Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

ศาลพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ‘พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์’ จำเลยในคดีร่วมกันฆาตกรรม ‘เสี่ยชูวงษ์’ ชี้จำเลยไม่มีความสำนึก จึงไม่มีเหตุปราณี ลงโทษให้ประหารชีวิตสถานเดียว

ที่ศาลอาญาพระโขนง ถ.สรรพาวุธ ศาลอ่านคำพิพากษา ลงโทษให้ประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ หลายสมัย เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้

คดีนี้ นางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง ภรรยาของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับประเทศ กับพวก และพนักงานอัยการ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง กรณีเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2558 นายชูวงษ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์หรูยี่ห้อเลกซัสสีดำ ชนต้นไม้ มี พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย เป็นคนขับ มีนายชูวงษ์นั่งข้างๆ โดยชนต้นไม้ริม ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 ระหว่างซอย 48 กับซอย 50 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กทม. เป็นเหตุให้นายชูวงษ์ ถึงแก่ความตาย ซึ่งโจทก์มีพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าเป็นการฆาตกรรมอำพรางนายชูวงษ์ แต่ พ.ต.ท.บรรยิน ให้การปฏิเสธอ้างเป็นอุบัติเหตุ

วันนี้ศาลอ่านคำพิพากษาให้ พ.ต.ท.บรรยิน จำเลย ฟังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไปยังตัวจำเลยที่เรือนจำ ซึ่งจำเลยถูกจำคุกในคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นของนายชูวงษ์และคดีอุ้มฆ่าพี่ชายของผู้พิพากษา ขณะที่บรรยากาศในวันนี้ มีนางวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ พี่สาวของนายชูวงษ์ / นางวราภรณ์ ตั้งภากรณ์ ภรรยา และ นายวรภัทร์ ตั้งภากรณ์ ลูกชายของ พ.ต.ท.บรรยิน พร้อมทีมทนายความเดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย

โดยใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง บรรยายพฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานโดยละเอียด เกี่ยวกับพยานหลักฐานโจทก์ที่มีทั้งกล้องวงจรปิด พยานผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ และพยานแวดล้อม ที่พิสูจน์ได้ว่านายชูวงษ์ไม่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ แต่ถูก พ.ต.ท.บรรยิน จำเลยร่วมกับผู้อื่นฆ่าตาย และจำเลยไม่มีความสำนึก จึงไม่มีเหตุปราณี พิพากษาว่าจำเลย กระทำความผิดตามฟ้อง ลงโทษให้ประหารชีวิตสถานเดียว

‘นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์’ ซัดปมคำถามบริษัทสยาม-ไบโอไซน์ ผูกขาดการผลิตวัคซีนโควิด เป็นเจตนาดิสเครดิตรัฐบาล ของคนบางกลุ่ม ระบุหากมีข้อสงสัย สามารถเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงได้อยู่แล้ว

นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ (Jetn Sirathranont)’ ระบุว่า นักการเมืองบางคนและบางพรรคซึ่งตั้งตัวเป็นศัตรู กับนายกฯ กำลังออกมา discreditรัฐบาล โดยการพุ่งเป้าไปที่บริษัทสยาม-ไบโอซายน์ ถามถึงความเหมาะสม การผูกขาดในการผลิตวัคซีน คุณภาพวัคซีน รวมถึงราคาที่จ่าย โดยไม่พยายามศึกษาหาข้อมูล ทั้งที่ตัวเองมีอำนาจเรียกหน่วยงานต่างๆมาชี้แจงได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นบริษัท, สถาบันวัคซีนแห่งชาติ หรือกรมควบคุมโรค

บริษัทสยาม-ไบโอซายน์ เป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ที่ถือหุ้น100%เงินลงทุน 5,000 ลบ.จัดตั้งขึ้นด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลของรัชกาลที่9 ที่ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางยาและชีววัตถุ ตั้งขึ้นมาตั้งแต่พ.ศ.2552 ไม่ได้มีจุดประสงค์แสวงหากำไร มีผลงานผลิตยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง(Erythropoietin)ที่ประเทศไทยต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลนำเข้ายาจากต่างประเทศมาใช้ในผู้ป่วยที่ฟอกไตเช่นเดียวกับยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว(Peg-Filgrastim),ยารักษามะเร็ง,Covid test kit,น้ำยาRT-PCR,FentanylหรือMidazolam

บริษัท Oxford-Astra Zeneca ติดต่อมาแม้จะไม่เคยผลิตวัคซีนมาก่อน แต่เนื่องจากบริษัทได้มาตรฐานการผลิตยาระดับGMO PIC/S(หลักเกณฑ์และข้อกำหนดอนุสัญญาระหว่างประเทศด้านการตรวจประเมินยาแห่งสหภาพยุโรปPharmaceutical Inspection Co-Operation Scheme)มาตรฐานสากลที่AstraZenecaใช้ยึดถือในการก่อสร้างโรงงานผลิต และควบคุมการผลิตในทุกขั้นตอน

จึงเห็นด้วยที่จะให้บริษัทสยาม-ไบโอซายน์ปรับสายการผลิตมาผลิตวัคซีนดังกล่าว ซึ่งเมื่อปรับปรุงเรียบร้อย จะสามารถผลิตวัคซีน Oxford-Astra Zeneca ได้ปีละ 200 ล้านโดส โดยการเลี้ยงตัว cell จนได้วัตถุดิบในเวลา120วัน ซึ่งบริษัทได้ปรับปรุงจนเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ 16ธ.ค.ที่ผ่านมา ข้อดีคือสามารถจำหน่ายส่วนที่ผลิตเกิน ให้กับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และเป็นรากฐานความมั่นคงวัคซีนของประเทศต่อไปรวมทั้งช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทนอกเหนือจากความสามารถในการผลิตยาและชีววัตถุอื่นๆได้ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำอยู่แล้วข้อสำคัญสามารถดึงนักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิกลับจากตปท.มาทำงานในกระเทศได้ โดยเฉพาะผู้ที่รับทุนปริญญาโท ปริญญาเอกมากมายที่เรียนจบไม่ยอมกลับมาเพราะหางานทำที่เหมาะสมในประเทศไม่ได้


ที่มา : เพจ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ (Jetn Sirathranont)

‘วรรณวิภา’ ส.ส.ก้าวไกล อัดมาตรการรัฐบาลไม่เคยช่วยผู้ประกันตน ม.33 - ชี้กว่า 11 ล้านคนสู้เองตามยถากรรม ซ้ำยังโดนกรีดเลือดเฉือนเนื้อนำเงินสะสมในประกันสังคมมาเยียวยาตัวเอง

น.ส.วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวว่า มาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากวิกฤตโควิด -19 ในรอบแรกรัฐบาลไม่เคยถอดบทเรียนเลยจากการแก้ปัญหาเยียวยาประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานในระบบ คนที่ใช้ประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งไม่เคยได้รับเงินเยียวยาจากรัฐเลยแม้แต่บาทเดียว

มิหนำซ้ำ รัฐบาลชุดนี้ยังออกมาตรการมาเพื่อให้แรงงานกรีดเลือดเฉือนเนื้อเอาเงินสะสมในประกันสังคมของตนเองเพื่อมาเยียวยาตัวเองอีก เปิดโอกาสให้นายจ้างที่มีกำลังพอไม่มีผลกระทบมากนัก ฉวยโอกาสไม่ใช้มาตรา 75 คือสั่งหยุดแล้วจ่ายค่าจ้าง 75% แต่หันไปใช้ตามกฎกระทรวงที่ให้จ่าย 62% แทน

การเยียวยาไม่ครอบคลุมคนที่เพิ่งได้งานทำยังไม่ถึง 6 เดือน หลายคนไม่ได้ถูกเลิกจ้างแต่ถูกลดชั่วโมงการทำงานทำให้สูญเสียรายได้ นายจ้างหลายที่ไม่ส่งข้อมูลในการหยุดงานของลูกจ้างก็ทำให้ไม่ได้รับเงินเยียวยาเข้าไปอีกจนทำให้ตกหล่นซ้ำซ้อน และทำให้เงินประกันสังคมที่เป็นสวัสดิการเดียวของแรงงานรั่วไหลจำนวนมหาศาล

น.ส.วรรณวิภา กล่าวว่า ล่าสุด มติ ครม.ได้ออกมาตรการเยียวยาโควิด 19 ระลอก 2 เราชนะ พร้อมอธิบายถึงกลุ่มเป้าหมาย 31.1 ล้านคน ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผู้ลงทะเบียนคนละครึ่ง เที่ยวด้วยกัน โดยต้องนำไปใช้ผ่านระบบเพื่อชำระค่าสินค้า เครื่องดื่ม อาหาร และบริการต่าง ๆ ไม่สามารถเบิกเป็นเงินสดได้

เกณฑ์การรับเงินเยียวยาดูจะยุ่งยากมากขึ้นมากกว่ารอบแรก มาตรการนี้กลุ่มที่ไม่ได้รับสิทธิ เราชนะ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้มีรายได้สูง และลูกจ้างที่อยู่ในฐานระบบประกันสังคมมาตรา 33 อีกจำนวน 11 ล้านคน ขนาดข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างรัฐ ยังมีคำสั่งให้พิจารณาเยียวยาเหมือนโครงการเราชนะ

"หากพิจารณาแล้ว ประชาชนทุกคนล้วนแล้วแต่มีผลกระทบด้วยกันทั้งสิ้น ที่น่าตั้งคำถามมากที่สุดคงหนีไม่พ้นผู้ประกันตนในระบบมาตรา 33 จำนวน 11 ล้านคน ที่โดนมองข้ามไร้การเยียวยาครั้งแล้วครั้งเล่า ถูกปัดความรับผิดชอบจากรัฐบาลให้เป็นไปตามเงื่อนไขของประกันสังคมซึ่งก็เป็นเงินของพวกเขาเองทั้งนั้น

สุดท้ายแล้วต่อให้โดนบังคับลาออก ลดชั่วโมงการทำงาน ลดเงินเดือน มีปัญหาก็ไปฟ้องร้องกับนายจ้างกันเองตามยถากรรม ทั้ง ๆ ที่หลายธุรกิจได้ทยอยล้มหายตายจากลดลงไปเรื่อย ๆ แต่รัฐก็เลือกที่จะมองข้ามการเยียวยากลุ่มคนเหล่านี้ ดิฉันยังคงยืนยันว่าการเยียวยาควรเป็นการเยียวยาแบบถ้วนหน้า ไม่ควรแบ่งแยกประชาชน เพราะประชาชนไม่ใช่ภาระทางการคลังแต่อย่างใด โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ไทยชนะ เราชนะ แต่ที่แน่ ๆ ประชาชนไม่เคยแพ้ราบคาบ" น.ส.วรรณวิภา กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (20 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 59 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,653 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 รวมยอดผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหายเพิ่ม 265 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,621 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,961 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 59 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากไอร์แลนด์ 1 ราย ,ปากีสถาน 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย ,มาเลเซีย 1 ราย ,ญี่ปุ่น 1 ราย ,อินเดีย 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 28 ราย
ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 23 ราย
ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 448 ราย รักษาหายแล้ว 392 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.27 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.54  แสน เสียชีวิต 26,590 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.65 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.25 แสน ราย เสียชีวิต 619 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.35 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.19 แสน ราย เสียชีวิต 2,986 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.04 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.66 แสน ราย เสียชีวิต 9,978 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,157 ราย รักษาหายแล้ว 58,894 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,540 ราย รักษาหายแล้ว 1,402 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ ร้องนายกฯ ประชาชนจำเป็นต้องใช้เงิน จี้เปลี่ยนการเยียวยาเป็นเงินสด ชี้ เหตุผลของรัฐบาลเหมือนอยู่คนละโลกกับความจริง แนะปรับวงเงินแบงก์ชาติ 9 แสนล้าน ช่วย SMEs ให้รอด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ได้ออกมาตรการเยียวยา เราชนะ ผ่าน ครม. ให้เยียวยาประชาชน เดือนละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน แล้วนั้น

นอกจากจำนวนเงินจะน้อยไป เพราะแค่วันละ 117 บาท เท่านั้น และระยะเวลาสั้นไปเพราะไม่น่าจะควบคุมสถานการณ์และกลับมาเป็นปกติได้ใน 2 เดือนแน่ แล้วรัฐบาลยังกำหนดว่า จะไม่จ่ายเป็นเงินสดแต่จะจ่ายเข้าบัญชีและเบิกเงินสดไม่ได้ นำไปใช้จ่ายได้แบบโครงการคนละครึ่งเท่านั้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจกับประชาชนเป็นจำนวนมาก

เพราะในภาวะที่ลำบากกันอย่างมากนี้ ประชาชนมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดในหลายกรณี ดังนั้นจึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้เร่งปรับเปลี่ยนการจ่ายเยียวยาให้กับประชาชนให้เป็นเงินสดเพื่อบรรเทาความลำบากของประชาชน

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ข้ออ้างของรัฐบาลฟังแล้วเหมือนอยู่คนละโลกกับความเป็นจริงที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนกันอย่างมาก การที่ไม่ให้เบิกเงินสดโดยอ้างว่า กลัวประชาชนจะไปซื้อ ลอตเตอรี่ เหล้า บุหรี่ บ้าง กลัวไวรัสโควิด จะติดมากับเงินสดบ้าง กลัวจะไปใช้จ่ายเอื้อประโยชน์กิจการของเจ้าสัวบ้าง (ซึ่งเรื่องที่เอื้อประโยชน์จำนวนมากกลับไม่พูดถึง) อีกทั้งยังจะจ่ายสัปดาห์ละ 1,000 บาท ติดต่อกัน 7 สัปดาห์ กลัวว่า ประชาชนจะใช้เงินหมดเร็ว ซึ่งคิดเหมือนประชาชนไม่มีปัญญาจะบริหารจัดการตัวเองได้

นอกจากนี้ แทนที่จะแจกประชาชนที่กำลังลำบากอย่างทั่วถึง กลับต้องให้ลงทะเบียนผ่านมือถืออีก โดยประชาชนจำนวนมาก ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ พอถูกถามเรื่องนี้ รัฐบาลกลับบอกว่า จะมีการติดต่อบริษัทให้มาจำหน่ายโทรศัพท์มือถือให้ในราคาพิเศษ ให้กับคนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือสามารถซื้อเพื่อลงทะเบียนเข้าโครงการได้ ซึ่งต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อซื้อมือถือที่หลายคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุอาจจะไม่มีความจำเป็นต้องใช้ และยังต้องมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นแบบไม่สมเหตุสมผล

รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า โดยทั้งหมดนี้ ดูเหมือนรัฐบาลกำลังสับสน ทั้งที่คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้เตือนรัฐบาลแล้วว่าให้คิดให้ดี คิดให้ครบกรอบ ก่อนที่จะออกมาตรการ อย่าทำแบบ “ทราบแล้วเปลี่ยน” ที่ต้องเปลี่ยนแปลงแนวทางหลายหนเพราะถูกตำหนิมาโดยตลอด

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องนี้อยากให้รัฐบาลเร่งเปลี่ยนแปลงเป็นการจ่ายเป็นเงินสด เพื่อให้ช่วยประชาชนได้ตรงตามความจำเป็นของประชาชนมากกว่า โดยที่รัฐบาลก็ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้อยู่แล้ว ไม่เข้าใจใจว่าจะไปกำหนดให้ประชาชนยุ่งยากเพิ่มขึ้นทำไม กลายเป็นรัฐบาลที่แจกเงินประชาชนแต่กลับโดนประชาชนด่ามาตลอด

นายพิชัย กล่าวว่า นอกจากนี้ การที่รัฐบาลและ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการปล่อยกู้ช่วยเหลือ ธุรกิจ SMEs ให้สะดวกขึ้นง่ายขึ้น ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท ที่ปล่อยไปได้เพียง แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจ SMEs อีกเป็นจำนวนมากยังต้องการความช่วยเหลือ นับเป็นเรื่องที่ดี และอยากให้เร่งดำเนินการ และอยากให้มีการเพิ่มวงเงินช่วยเหลือธุรกิจ SMEs เพิ่มเติมหากจำเป็น

โดยอยากให้รัฐบาลได้ปรึกษากับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปลี่ยนวงเงิน 4 แสนล้านเดิม ที่วางแผนจะซื้อพันธบัตรของเอกชน แต่ตอนนี้เชื่อว่าคงยกเลิกแผนการซื้อพันธบัตรของเอกชนนี้ไปแล้วเพราะถูกคนคัดค้านกันมาก ได้ปรับเปลี่ยนวงเงิน 4 แสนล้านบาทดังกล่าวมาเป็นการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs แทน ซึ่งเชื่อว่าธุรกิจ SMEs จำนวนมากยังต้องการความช่วยเหลือ ที่จะประคองตัวให้ผ่านภาวะวิกฤตินี้ไปได้ และจะสามารถฟื้นกลับมาได้อีกครั้งหลังจากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นกลับมาได้

ทั้งนี้ต้องเลือกด้วยว่าธุรกิจไหนสามารถจะฟื้นได้ โดยรัฐอาจจะต้องเข้าไปรับผิดชอบในหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่เชื่อว่าคงไม่มากนักหากเศรษฐกิจฟื้นกลับมา และ สามารถเลือกSMEs ที่จะไปรอดให้ดี นอกจากนี้รัฐบาลน่าจะต้องมีโครงการการรักษาการจ้างงานควบคู่กับการช่วยเหลือด้วย เพื่อป้องกันคนจะตกงานเป็นจำนวนมาก ในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้ โดยรัฐบาลอาจจะสนับสนุนการจ้างงานบางส่วน

"ในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ทรุดหนักเช่นนี้ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นได้ รัฐบาลจะต้องเปิดใจรับฟังความเห็นทุกทางเพื่อนำมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขการบริหารประเทศของรัฐบาล อย่ามีอคติคิดว่าจะเป็นการตำหนิ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลต้องยอมรับก่อนว่าการบริหารของรัฐบาลล้มเหลวมาโดยตลอด กรอบคิดของรัฐบาลมีปัญหา หากมองย้อนหลังด้วยใจเป็นธรรม จะพบว่าทุกเรื่องที่ผมได้เตือนมาเป็นความจริงมาโดยตลอดและเป็นไปตามหลักการทางเศรษฐศาสตร์ หากรัฐบาลจะเปิดใจรับฟังและนำไปปรับปรุงน่าจะช่วยได้มาก ซึ่งตอนนี้ก็ควรจะนึกได้แล้วเละควรฟังคำแนะนำของทุกฝ่ายมากขึ้น ก่อนประเทศจะย่ำแย่ไปกว่านี้" นายพิชัย กล่าว

‘แจ็ค หม่า’ ปรากฏตัวผ่านวิดิโอลิงก์ครั้งแรกหลังโดนข่าวลือหนัก พร้อมทิ้งปริศนา จะกลับมาอีกครั้งหลังโควิด-19 จบลง

ทันทีที่มีการนำเสนอคลิปวิดิโอของอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของจีน แจ็ค หม่า ที่คนทั้งโลกกำลังตามหาว่าเขาหายไปไหน ก็กลายเป็นข่าวด่วนไปทั่วโลกว่า แจ็ค หม่า กลับมาแล้ว หลังจากที่เขาหายไปนานเกือบ 3 เดือน ตั้งแต่เกิดเรื่องระงับ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ จนอาจนำไปสู่การตรวจสอบบริษัท Alibaba ทั้งเครือข่าย

ล่าสุด มีการนำเสนอคลิปวิดิโอสั้น ผ่านทางสำนักข่าว Tianmu News ที่เป็นสำนักข่าวท้องถิ่นของรัฐบาลมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นมณฑลบ้านเกิดของ แจ็ค หม่า และที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของ Alibaba ได้ออกมาแสดงความยินดีกับครูชนบทดีเด่น 100 คนที่ได้รับรางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ในปีนี้ ซึ่งเป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ แจ็ค หม่า และจัดต่อเนื่องมาทุกปี จนถึงปี 2021 นี้เป็นปีที่ 6 แล้ว

อย่างที่ทราบกันดีว่า แจ็ค หม่า เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมาก่อนที่จะผันตัวเองเข้ามาอยู่ในธุรกิจ e-Commerce และกลายเป็นอาณาจักรธุรกิจ Alibaba ที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน แต่แจ็ค หม่า ยังคงรัก และสนับสนุนอาชีพครู เท่าที่เขาทำได้ และ รางวัล Jack Ma Rural Teachers Award ก็เป็นหนึ่งในโครงการของเขา ซึ่งจัดมอบรางวัลที่เมืองซานย่า ในเกาะไหหลำทางตอนใต้ของจีนตั้งแต่ปี 2015

ในคลิปวิดีโอ แจ็ค หม่า ได้กล่าวแสดงความยินดีกับครูผู้ได้รับรางวัล และบอกว่า เขาจะกลับมาพบทุกคนแน่นอนหลังจากที่โรคระบาด Covid-19 สิ้นสุดลง และยังมีภาพแจ็ค หม่า ไปเยี่ยมโรงเรียนประถมในเมืองหังโจว บ้านเกิดตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เพื่อบอกให้รู้ว่าเขาสบายดี ไม่ได้หายไปไหน

แต่ก็ยังมีข้อสงสัยว่า นี่อาจเป็นคลิปเก่าที่อัดไว้นานแล้ว ตัวแจ็ค หม่า จะยังอยู่ที่เมืองหังโจว อยู่หรือไม่ ก็ไม่มีใครยืนยันแน่ชัด และยังคงต้องรอจนกว่าแจ็ค หม่า จะพร้อมออกสื่อให้ได้เห็นตัวเป็น ๆ ซึ่งก็อาจจะต้องรอจนกว่า Covid-19 จะหมดอย่างที่เขาพูดไว้ก็เป็นได้


แหล่งข่าว

https://edition.cnn.com/.../jack-ma-appearance.../index.html

https://www.globaltimes.cn/page/202101/1213348.shtml

กสทช. จับมือกับ อย. กวาดล้างโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมถั่งเช่า ซึ่งใช้บุคคลในแวดวงบันเทิงเป็นพรีเซนเตอร์ จัดฉากลวงโลกว่าผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าดังกล่าวสามารถรักษาได้หลายโรค โดยกสทช. ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า กสทช. ได้จับมือกับคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อร่วมกันกวาดล้างการโฆษณาให้สิ้นซาก โดยเฉพาะการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมถั่งเช่าซึ่งใช้บุคคลในแวดวงบันเทิงเป็นพรีเซนเตอร์

จัดฉากลวงโลกว่าผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าดังกล่าวสามารถรักษาได้หลายโรค เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตและโรคเรื้อรังต่างๆ มีนักแสดง แสดงเป็นผู้ป่วยอาการหนักแต่เมื่อรับประทานผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว กลับมาหายป่วยได้อย่างมหัศจรรย์ ทาง กสทช.ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่ได้นิ่งนอนใจกับเรื่องนี้

เภสัชกรหญิงสุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการ อย.กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าที่ อย.อนุญาตมี 2 กลุ่ม คือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรือ ยาแผนโบราณ และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีถั่งเช่าเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นการโฆษณาว่า ผลิตภัณฑ์ถั่งเช่าสามารถรักษาได้สารพัดโรค จึงเป็นการโฆษณาที่โอ้อวดเกินจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท โดยในปี 2563 อย.ได้ดำเนินคดีโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารทางสื่อต่างๆไปแล้ว 1,388 คดี ดังนั้น อย.จึงขอเตือนไปยังผู้ป่วย ผู้สูงอายุ อย่าหลงเชื่อโฆษณาเหล่านี้เด็ดขาด

ทั้งนี้นอกจากการโฆษณาถั่งเช่าแล้ว ยังพบว่า มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเกี่ยวกับดวงตาที่อ้างว่ารักษาโรคตาได้หลายชนิดทั้งโรคต้อ กระจกตาเสื่อม สายตาสั้น-ยาว ตาแห้ง เคืองตา แสบตา เพียงแค่รับประทานอาหารเสริมเหล่านี้

ทาง กสทช.ได้สอบถามไปยังราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แล้ว ชี้ชัดว่า ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านั้นไม่สามารถรักษาโรคตาได้

‘หมอวรงค์’ ประกาศตั้งพรรค "ไทยภักดี" รวบรวมเครือข่ายผู้จงรักภักดี มีภารกิจสำคัญปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ให้ถูกรังแกจากผู้ไม่หวังดี ประกาศสู้กับพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า และม็อบสามนิ้ว

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แถลงข่าวการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ชื่อพรรคไทยภักดี ผ่านเพจ ไทยภักดี ประเทศไทย และเพจ Warong Dechgitvigrom มีเป้าหมายเพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องด้วยที่ผ่านมา มีกลุ่มคนไม่หวังดีต้องการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่องพร้อมส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไปทุกพื้นที่ทุกเขตทั่วประเทศ

นพ.วรงค์ เปิดเผยว่า การเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ ชื่อพรรคไทยภักดี วันนี้ เกิดขึ้น 5 เดือนหลังจากที่เปิดตัว "กลุ่มไทยภักดี" เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2563 ซึ่งจุดประสงค์กลุ่มขณะนั้น เพื่อเป็นองค์กรกลางในการรวบรวมประชาชนผู้ภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

"การรวมเป็นกลุ่มไม่เพียงพอ จุดยืนเราชัดเจน เราจะสู้กับ 3 กลุ่มนี้ เราจะสู้กับพรรคก้าวไกล กลุ่มก้าวหน้า ม็อบสามนิ้ว นี่คือจุดยืนที่ชัดเจนของการประกาศจัดตั้งพรรคไทยภักดี" นพ.วรงค์กล่าว

ทั้งนี้ การจัดตั้งพรรคอยู่บนพื้นที่ฐานความเชื่อว่า สังคมไทยจะดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ร่วมกับนักการเมืองที่มีคุณธรรม แม้เราจะมีสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่นักการเมืองไม่มีคุณธรรม ประเทศชาติก็วุ่นวาย

นพ.วรงค์ กล่าวว่าพรรคไทยภักดีมีเป้าหมายไม่ต่างจากกลุ่มไทยภักดี คือ การใช้กฎหมายรวมทั้งกฎหมายอาญามาตรา 112 ดำเนินคดีกับผู้จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ และนำความจริงบอกกับประชาชน ซึ่งเจตนาของการตั้งพรรคการเมืองเพื่อต้องการมีเครือข่ายให้ครอบคลุมไปทั่วประเทศ เนื่องจากหากต่อสู้ในนามกลุ่มแม้จะคล่องตัวแต่มีข้อจำกัด

พรรคไทยภักดีตั้งใจจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในทุกเขตทั่วประเทศในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาหลายเดือน

สำหรับโครงสร้างของพรรคไทยภักดี นพ.วรงค์ จะยังเป็นรักษาการหัวหน้าพรรค จนกว่าจะมีการประชุมใหญ่อย่างเป็นทางการ และขอไม่เปิดเผยรายชื่อว่าที่กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) พรรค ในตอนนี้ แต่ยืนยันว่าประกอบไปด้วยบุคคลมากหน้าหลายตา

ทันทีที่ ‘กลุ่มไทยภักดี’ ของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ได้จัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็ได้โพสต์ข้อความลงบนทวิตเตอร์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณี ‘กลุ่มไทยภักดี’ ตั้งพรรคการเมืองทันที

“การตั้งพรรคโดยชูเรื่องปกป้องสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าหวังดีต่อสถาบันฯ หรืออ้างเพื่อทำลายผู้อื่น แต่ทั้งหมด คือ การนำสถาบันฯ เข้ามาอยู่ใน ‘แดนทางการเมือง’ หากประชาชนเลือกพรรคนั้นน้อย จะหมายความอย่างไร?

การปกป้องสถาบันฯ ที่ถูก ต้องช่วยกันรักษาสถานะความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันฯ”

หลังจากข้อความจากนายปิยบุตรถูกโพสต์ขึ้นได้ไม่นาน ด้าน ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความบนฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan สวนกลับสิ่งที่นายปิยบุตรได้ดึงสถาบันฯ เข้ามาเกี่ยวข้องกับประเด็นดังกล่าวโดยทันที...

#เมื่อไหร่ปิยบุตรจะหยุดบิดเบือน

คนรกโลกและหนักแผ่นดินอย่างนายปิยบุตร ไม่ทำอะไรนอกจากบิดเบือนโจมตีให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ และคอยยุยงปลุกปั่นเพื่อปลุกม็อบล้มเจ้า ยัดเยียดความแตกแยกให้คนไทยทะเลาะกันเอง บั่นทอนความมั่นคงของประเทศชาติให้ระส่ำระสายไปวันๆ

สถาบันพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศมีบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดินมากกว่าประเทศไทยเสียอีก แต่นายปิยบุตรกลับไม่เคยพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว

พระมหากษัตริย์ไทยเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งไม่ได้มีพระราชอำนาจ (Royal prerogative) อย่างที่มีปรากฏในรัฐธรรมนูญของประเทศอื่นๆ ทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานการแนะนำ, การส่งเสริม และการตักเตือนแก่รัฐบาล ซึ่งตามรูปแบบปกติโดยทั่วไป นายกรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรายงานการทำงาน และรับฟังคำปรึกษาแนะนำจากพระมหากษัตริย์เป็นประจำ (อังกฤษ, เบลเยียม, นอร์เวย์, เนเธอร์แลนด์, สวีเดน, เดนมาร์ก, สเปน)

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศนอร์เวย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีจะต้องเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรายงานการทำงาน และรับฟังคำปรึกษาแนะนำจากพระมหากษัตริย์นอร์เวย์รวมถึงองค์รัชทายาทเป็นประจำทุกสัปดาห์ แต่คนไทยกลับไม่เคยเห็นภาพอะไรแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย อีกทั้งพระราชอำนาจและบทบาทสำคัญแบบนี้มักถูกบิดเบือนใส่ร้ายให้ดูเป็นเรื่องที่ผิดปกติและไม่เหมาะสมเสียด้วย ทั้งหมดเป็นเพราะลัทธิรัฐธรรมนูญตั้งแต่คณะราษฎรในอดีตเรื่อยมาจนถึงนายปิยบุตรในปัจจุบัน คอยยัดเยียดชุดความคิดบิดเบือน บั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ลิดรอนพระราชอำนาจและบทบาทอันพึงมีตามปกติของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

สถาบันพระมหากษัตริย์ในต่างประเทศเขาก็มีรายได้และธุรกิจที่แตกต่างกันออกไป สถาบันพระมหากษัตริย์เกือบทุกประเทศในโลกมีธุรกิจเป็นของตัวเองแทบทั้งสิ้น แล้วการที่สถาบันพระมหากษัตริย์ในแต่ละประเทศร่ำรวยไม่เท่ากันก็เป็นเพราะภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และพระราชวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกัน ในแง่นี้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยดูเหมือนจะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ช่วยเหลือประชาชน คอยบำบัดทุกข์บำรุงสุขและอยู่เคียงข้างประชาชนมาโดยตลอด แต่ด้วยเจตนาอันโสมมของนายปิยบุตร นายปิยบุตรจึงไม่เคยพูดถึงความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่โบราณกาลนานมาตลอดจนถึงการสนับสนุนเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนมากของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนและรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด

นับได้ว่ามีเรื่องสำคัญอยู่ 2 เรื่องที่นายปิยบุตรไม่เคยพูดถึง 1.ความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย 2. ความชั่วช้าสามานย์ของคณะราษฎร พฤติกรรมของนายปิยบุตรจึงมีแต่กัดเซาะบ่อนทำลายให้สถาบันพระมหากษัตริย์เหินห่างจากประชาชน ทั้งๆ ที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้วางรากฐานของชาติและระบอบประชาธิปไตยเพื่อประชาชนมาตั้งแต่ต้น

สิ่งที่ปิยบุตรทำมาทั้งหมดจึงเป็นไปเพื่อสร้างความแตกแยก บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและประชาชน พยายามยัดเยียดทำให้พระมหากษัตริย์กลายเป็นนักโทษ ตลอดจนทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ลงในที่สุด

ในเมื่อนายปิยบุตรถูกเปิดโปงซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาจนถึงขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่หยุดสำรอกกำพืดชั่วๆ ออกมาอีก เมื่อพูดจากันดีๆ ด้วยหลักการและความจริงไม่รู้เรื่อง ถ้าเจอนายปิยบุตรที่ไหน ตบมันที่นั่นเลยดีไหมครับ?


ที่มา: เฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan

อ้างอิง:

https://www.express.co.uk/.../queen-elizabeth-ii-news...

https://thecrownchronicles.co.uk/.../queen-conducts.../

https://www.newmyroyals.com/.../king-carl-gustaf-and...

https://www.newmyroyals.com/.../king-willem-alexander-and...

https://www.royalcourt.no/artikkel.html?tid=30068

https://www.businessinsider.com/royal-family-net-worth...

https://brandinside.asia/private-bank-war-lgt-open.../

https://maroc.mom-rsf.org/.../owner/owner/show/royal-family/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top