Thursday, 10 July 2025
NewsFeed

นายกฯ ชมความก้าวหน้าสถานีดาวเทียม และศูนย์กลางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศ GISTDA แนะเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมดิจิทัล นำพาประเทศเดินหน้า พัฒนาสู่มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจติดตามความก้าวหน้า สถานีดาวเทียมและศนูย์กลางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) โครงการอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (Space Krenovation Park: SKP) ในพื้นที่เขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล (Eastern Economic Corridor of Digital: EECd) เพื่อติดตามการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ประกอบด้วย 1. ความคืบหน้าโครงการ THEOS-2 และการพัฒนาดาวเทียมระดับ Industrial grade โดยวิศวกรไทย ณ ศูนย์ทดสอบประกอบดาวเทียมแห่งชาติ 2. การพัฒนาเศรษฐกิจอวกาศ (New Space Economy) จากเครือข่ายดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit: LEO satellite network) และ 3.การนําเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ไปใช้ประโยชน์ด้านการบริหารจัดการน้ำ  

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมการดำเนินงานและขอให้พัฒนาต่อไปอย่าหยุดการพัฒนา การใช้เทคโนโลยีมาช่วยประมวลผล ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล นำพาประเทศเดินหน้าพัฒนาสู่ประเทศที่มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป ทั้งนี้ ต้องร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ แก้ไขปัญหาไปด้วยกัน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือของคนไทยทุกคน ในส่วนของรัฐบาลพร้อมสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

สำหรับโครงการอุทยานรังสรรค์นวัตกรรมอวกาศ (Space Krenovation Park: SKP) เป็นสถานีควบคุมและรับสัญญาณดาวเทียมไทยโชต อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ GISTDA ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ EECd ที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนที่ผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ จะได้รับสิทธิประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ภายในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการทางด้านอวกาศ ภาพรวมของโครงการฯ มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดงาน วิจัย และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ SMEs และระดับอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นผู้นำในการพัฒนาธุรกิจบนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น โครงการนี้จึงเป็นกลไกที่่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระดับภูมิภาค และเป็นโครงสร้างพื้นฐาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และระบบนวัตกรรม เพื่อให้รองรับการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปช่วยเหลือผู้ประกอบการ อันเป็นการเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยมีพื้นที่ให้หน่วยงานภาคเอกชนเข้าทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ พร้อมกับให้บริการอันเป็นการสนับสนุนการวิจัยให้เกิดผลเชิงพาณิชย์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ

อดีตทูตฯ ยอมรับ!! เกาหลีใต้ สุดเทพด้าน Soft Power ยกกรณี 'ลิซ่า' ดัน Soft 2 ชาติ แบ่งกัน 'ภูมิใจ'

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj ว่า... 

มีพวกร่านที่ออกมาดีดดิ้นรับไม่ได้ที่ ลิซ่า ได้รับความนิยมติดอันดับโลก จาก Single เพลง Lalisa ที่มีการสอดแทรกความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า ไว้ในฉากหนึ่ง และในเนื้อเพลงก็มีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “From Thailand to Korea” 

พวกร่านพวกชังชาติจะดิ้นมากและออกมาบอกว่า อย่ามาอ้างความเป็นไทย เพราะมันไม่มี 

ฟังแล้วก็ได้แต่สมเพช คือ ถ้ามันไม่มีสิ่งที่สะท้อนความเป็นไทยที่เป็น “ต้นกำเนิด” ของลิซ่า เขาก็คงไม่ใส่คำว่า Thailand ลงในเนื้อเพลง และคงไม่ใส่ ฉากปราสาทหินพนมรุ้ง ฉากลิซ่าใส่รัดเกล้า ใส่ชุดไทยประยุกต์ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์คนไทย ไว้ในคลิป หรือแม้แต่ ป้ายร้านอาหารที่เป็นภาษาไทยที่ปรากฏแว่บนึงในคลิปด้วย

ตอนที่ผมไปออกรายการของคุณต้น วรเทพ ช่อง Top News ผมก็ได้เล่าเบื้องหลังการทำการบ้านของ Korea ที่เก่งมากสามารถผลักดันเรื่อง Soft Power จนทำให้เกาหลีเป็นผู้นำทางด้านสื่อบันเทิงสมัยใหม่ได้ในระดับแถวหน้า 

ผมขอนำมาอธิบายตรงนี้อีกครั้ง เพราะตอนออกรายการเวลามันน้อย อาจจะอธิบายไม่หมด 

1.) เกาหลีเป็นประเทศที่ทำการบ้านทางด้านใช้ Soft Power เป็นตัวนำได้ดีที่สุดในโลก ในสายตาผม เก่งกว่าญี่ปุ่นด้วย เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่าทำไม

2.) Soft Power ของเกาหลี สามารถทำให้สินค้าเกาหลีจากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนเป็นสินค้าที่เมื่อเอ่ยชื่อคนยังไม่รู้จักดีพอ เช่น มือถือซัมซุง รถยนต์ฮุนได กลายเป็นแบรนด์ชั้นนำแนวหน้าได้ เพราะภาครัฐและภาคเอกชนเกาหลีเขามีส่วนช่วยกันผลักดันสร้าง Soft Power (ผ่านทางการดูแลขององค์กรที่ชื่อว่า Korea Foundation) อย่างเป็นระบบร่วมกันอย่างขันแข็ง

3.) ศิลปินเพลงแร็พร่วมสมัย หนังซีรีส์เกาหลี ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตผลที่ภาครัฐและเอกชนเกาหลีเขาบรรจงสร้างสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ครองใจคนทั้งโลก เริ่มจากในอดีตนักร้องดังอย่าง Rain ก็เป็นเหมือน “หุ่นยนต์” ที่ Korea Foundation เป็นผู้อยู่เบื้องหลังปั้นขึ้นมาจากเด็กหนุ่มโนเนมคนนึงจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์

4.) การที่ผมบอกว่าเกาหลีเก่งกว่าญี่ปุ่นในเรื่องการสร้าง Soft Power นั้น เพราะเกาหลีใช้เวลาน้อยกว่าญี่ปุ่น แต่สามารถผลักดันจนตอนนี้สื่อบันเทิงแซงหน้าญี่ปุ่นไปแล้ว 

5.) เกาหลีทำการบ้านล่วงหน้ามากกว่าญี่ปุ่นหลายสิบปี อย่างที่ผมเคยเกริ่น เคยเขียนลงใน FB และพูดในรายการคุณต้นไป ขอเล่าอีกทีคือ ทางเกาหลีเขาทำการบ้านอย่างระมัดระวัง และคิดล่วงหน้าไปไกลมาก เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว สมัยผมเป็น ผอ.กองการทูตวัฒนธรรม (ดูแลงานด้าน Soft Power ของไทยในต่างแดน) วันนึงก็ได้รับการติดต่อจากสถานทูตเกาหลีว่า อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านสารนิเทศ (ดูแลงานด้าน Soft Power) ขอมาพบผมที่ กต.เพื่อหารือเรื่อง Soft Power

ผู้ว่าฯ อัศวิน ปัดเปิดกรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยว 15 ต.ค. ลั่น ตนใหญ่สุด ใครตัดสินใจแทนไม่ได้

ผู้ว่าฯ กทม. ปัดตอบ เปิดกรุงเทพฯ 15 ต.ค. นี้ ลั่นไม่เคยพูด ตนใหญ่สุด ใครตัดสินใจแทนไม่ได้ เผยอยากเปิด แต่รอให้คนกรุงเทพปลอดภัย ฉีดวัคซีนเข็ม 2 มากกว่า 70% ก่อน

วันที่ 17 กันยายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยถึงแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในระยะที่ 2 ว่า ในส่วนของกรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือ “กรุงเทพฯ แซนด์บอกซ์” จะเปิดในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ต่อคำถามที่ว่า การกำหนดเปิดกรุงเทพฯ ในวันที่ 15 ตุลาคม นี้ จะเป็นความเป็นไปได้มากหรือน้อยเพียงใดนั้น ผู้ว่าฯ ระบุว่า ทาง กทม. ไม่เคยพูดว่าจะเปิด เนื่องจากต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 2 ให้ได้มากกว่า 70% ก่อน

หนุ่มฝรั่งเศส 'อดอาหารประท้วง' กฎหมายบังคับฉีดวัคซีน อ้าง แค้นเพราะทำคนตกงานมากกว่า 3,000 คน

นายเธียรี่ เปซองท์ นักดับเพลิง และ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ของโรงพยาบาลปาสเตอร์ในเมืองนีซ ของฝรั่งเศส ประกาศที่จะอดอาหารประท้วงมาตรการของรัฐ ที่กำหนดให้บุคลากรการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 อย่างน้อย 1 เข็มให้ทันภายในวันที่ 15 กันยายน 2021 มิฉะนั้นจะต้องถูกพักงานโดยไม่ได้รับค่าแรง 

และเส้นตายก็ได้ผ่านมาแล้ว แต่ยังพบว่ายังมีบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานสาธารณสุขมากถึง 3,000 คน ที่ยังไม่เข้ารับวัคซีน จึงทำให้พวกเขาจะต้องพักงานทันที และอาจมีบางคนต้องออกจากงานด้วย

นายเธียรี่ เปซองท์ กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยกับมาตรการบังคับฉีดวัคซีนของรัฐบาล ที่เป็นเหตุให้มีคนหลายพันต้องตกงาน โดยไม่ได้รับเงินชดเชย และประชาชนควรได้สิทธิ์ที่จะเลือกฉีดวัคซีนโดยสมัครใจ ไม่ใช่การบังคับ 

แต่เขายืนยันว่า นี่ไม่ใช่การต่อต้านการฉีดวัคซีน แต่แค่ไม่พอใจที่รัฐออกมาตรการบังคับให้ต้องไปฉีดเท่านั้น และเขาจะปักหลักกางเต็นท์ อดอาหารประท้วงที่หน้าโรงพยาบาลปาสเตอร์ ต้นสังกัดของเขาต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่ร่างกายทนไหว และเชื่อว่าการประท้วงของเขาจะช่วยสะท้อนความอึดอัดคับข้องใจของผู้คนที่มีต่อมาตรการของรัฐให้สังคมรับรู้ 

จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขฝรั่งเศส ระบุว่ามีบุคลากรการแพทย์อยู่ถึง 2.7 ล้านคนทั่วประเทศ แต่มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประมาณ 12% และ ระดับแพทย์อีก 6% ที่ยังไม่มีข้อมูลการฉีดวัคซีน ก่อนที่จะถึงวันกำหนดเส้นตาย และทางกระทรวงได้ส่งเอกสารแจ้งการพักงานออกไปแล้ว 3,000 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนั้นหลายคน เลือกที่จะส่งใบลาออกแทนใบลงทะเบียนฉีดวัคซีนตามข้อกำหนดของรัฐ 
.

ผู้ป่วยซึมเศร้า สั่งแซลมอนกินมื้อสุดท้ายก่อนลาโลก แต่เปลี่ยนใจ เพราะกำลังใจดี ๆ จากทางร้าน

สาวป่วยโรคซึมเศร้าแชร์ประสบการณ์เตรียมตัวจะจบชีวิตของตัวเองลง ก่อนกดสั่งแซลมอนที่ชอบที่สุดหวังได้กินของชอบเป็นมื้อสุดท้าย แต่กลับได้พบกับเรื่องราวดี ๆ จากทางร้านที่ส่งกำลังใจให้ ตนจึงตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ต่อ

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของตนเองลงในกลุ่มเฟซบุ๊ก “ตามล่าหาปลาส้ม (Salmon lovers)” ซึ่งเป็นกลุ่มรีวิวอาหาร โดยเล่าว่า ตนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า รักษาตัวมาหลายปียังไม่หาย สุดท้ายเตรียมตัวจะจบชีวิตของตัวเองลง และได้บอกลาครอบครัวคนใกล้ชิด ทำพินัยกรรมไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนกดสั่งแซลมอนที่ชอบที่สุด หวังได้กินของชอบเป็นมื้อสุดท้าย แต่กลับได้พบกับเรื่องราวดี ๆ จากทางร้าน ทำให้ตนตัดสินใจจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

ปตท. ผุดนวัตกรรม ช่วยบุคลากรแพทย์ดูแลประชาชน ลุยใช้แบ่งเบาภาระในโรงพยาบาลสนาม End-to-End

“ปตท.” นำความรู้ลุยพัฒนานวัตกรรม ต่อยอดใช้ในโครงการ End-to-End หวังช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ เยียวยาประชาชนจากผลกระทบโควิด-19 โชว์ศักยภาพผุดชุดตรวจเชื้อไวรัสคุณสมบัติพิเศษ เสื้อกาวน์พลาสติกป้องกันการติดเชื้อ และร่วมบริษัทในเครือสนับสนุนเทคโนโลยีหุ่นยนต์

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่องและรุนแรง กลุ่ม ปตท. จึงนำความรู้ความสามารถมาคิดค้นนวัตกรรม ผลิตอุปกรณ์ และครุภัณฑ์ทางการแพทย์ และนำมาใช้ภายใต้หน่วยคัดกรองและโรงพยาบาลสนามครบวงจร (End-to-End) กลุ่ม ปตท. ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อคัดแยกและเยียวยาประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง

“ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องร่วมช่วยเพิ่มศักยภาพให้ระบบสาธารณสุข เพื่อให้มีขีดความสามารถในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอและทั่วถึงมากขึ้น กลุ่ม ปตท. จึงได้ใช้ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ในการคิดค้นอุปกรณ์และวัสดุเพื่อช่วยเหลือการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์มาใช้ในโครงการ End-to-End นี้” นายอรรถพล กล่าว

ซึ่งนวัตกรรมสำคัญที่ได้นำมาใช้ในหน่วยคัดกรองดังกล่าว ได้แก่ ชุดตรวจ Abbott’s COVID-19 Antigen Test Device ที่เป็นชุดตรวจเชื้อโควิด-19 ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก WHO EUL (Emergency Use List) โดยชุดตรวจนี้เป็นระบบ Close system และ Single Flow ป้องกันการปนเปื้อน หรือการฟุ้งกระจาย และมีสาร inactive ของเชื้อโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถแพร่กระจายได้ สามารถใช้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ และสามารถตรวจหาได้ที่ความเข้มข้นของเชื้อต่ำ ที่ค่า CT (Cycle threshold) เท่ากับ 33

รวมถึงการใช้นวัตกรรมเครื่องต้นแบบบำบัด PM2.5 และเชื้อโรคในอากาศ ที่ทีมวิจัยของ ปตท. โดยฝ่ายวิจัยเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม สถาบันนวัตกรรม ได้คิดค้นวิจัยและพัฒนาขึ้น โดยเครื่องดังกล่าวเป็นเทคโนโลยีแบบผสม (Hybrid System) ประกอบด้วย เทคโนโลยีการปล่อยไอออนประจุไฟฟ้า (Ionization) ร่วมกับเทคโนโลยีออกซิเดชันขั้นสูง (AOPs) ที่เกิดขึ้นอยู่ภายในระบบเดียวกัน โดยสามารถบำบัดได้ทั้ง PM2.5 และเชื้อโรคที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการติดตั้งและใช้จริงแล้วภายในพื้นที่ดำเนินโครงการ End-to-End และโรงพยาบาลสนามสีแดง

สรรพสามิต จับของหนีภาษีเพียบ 2 หมื่นคดี ยอดทะลุ 546 ล้าน

นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน

สำหรับผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 ก.ย. 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 537 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.03 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 293 คดี ค่าปรับ 2.20 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 148 คดี ค่าปรับ 3.09 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 8 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 26 คดี ค่าปรับ 2.83 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 2 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 45 คดี ค่าปรับ 0.87 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 15 คดี ค่าปรับ 0.92 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 755.990 ลิตร ยาสูบ จำนวน 37,603 ซอง ไพ่ จำนวน 262 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 80,110.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 42 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 47 คัน

'ดีพร้อม' เร่งปั๊มภูมิคุ้มกันหมู่ สู่ธุรกิจรายย่อย ผ่านยุทธศาสตร์รวมกลุ่ม 'คลัสเตอร์'

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ 'ดีพร้อม' (DIPROM) เผยความสำเร็จจากการดำเนินมาตรการการรวมกลุ่มผู้ประกอบการ หรือคลัสเตอร์โดยตั้งแต่เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 - ปัจจุบัน มีจำนวนกลุ่มอุตสาหกรรมที่พัฒนามาแล้วอย่างต่อเนื่องจำนวน 123 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์ทั่วไป 112 กลุ่ม และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือ S - Curve 11 กลุ่ม พร้อมชี้ในปี 2564 ได้ดำเนินการพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม จำนวน 29 กลุ่ม แบ่งเป็นคลัสเตอร์เกษตรอุตสาหกรรม จำนวน 25 กลุ่ม และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 4 กลุ่ม สามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อีกกว่า 1,200 ล้านบาท 

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมยกระดับการดำเนินงาน ผ่านการเป็นศูนย์กลางหรือ HUB ด้านการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการในทุก ๆ กลุ่มสาขาอุตสาหกรรมด้วยการใช้ศักยภาพของหน่วยงาน โดยมีเครื่องมือที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 หรือศูนย์ ITC 4.0 ศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ Thai-IDC เครือข่าย RISMEP และศูนย์สนับสนุนและช่วยเหลือเอสเอ็มอี หรือ SSRC

นายณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ดีพร้อมได้เป็นผู้ริเริ่มมาตรการขับเคลื่อนการสร้างและพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรม หรือ คลัสเตอร์มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีพ.ศ.  2549 - ปัจจุบัน โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มผลิตภาพและสร้างนวัตกรรมร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเชื่อมโยงการช่วยเหลือในมิติต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีอำนาจต่อรองทางการซื้อ การตลาด และสามารถเติบโตได้ในลักษณะกลุ่ม 

ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินมาตรการดังกล่าว ปัจจุบันมีจำนวนกลุ่มอุตสาหกรรมที่พัฒนามาแล้วอย่างต่อเนื่องจำนวน 123 กลุ่มอุตสาหกรรม ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยแบ่งเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมทั่วไป 112 กลุ่ม และคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S - Curve) 11 กลุ่ม มีกระบวนการพัฒนาตั้งแต่การทำความความเข้าใจด้านเศรษฐกิจแบบพึ่งพา หรือ Sharing Economy การพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็งในด้านการผลิต การตลาด การแบ่งปันเทคนิคและองค์ความรู้ ตลอดจนการผลักดันให้เข้าใจถึงนโยบายและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ

สำหรับในปี 2564 ภายใต้การนำของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้ ดีพร้อม เร่งพัฒนาการรวมกลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบัน ได้ดำเนินการพัฒนาคลัสเตอร์ไปแล้ว จำนวน 29 กลุ่ม แบ่งเป็นคลัสเตอร์เกษตรอุตสาหกรรม จำนวน 25 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แก่ คลัสเตอร์น้ำผึ้ง กาแฟ เกษตรแปรรูป ผลไม้แห่งขุนเขา เกลือไอโอดีน สมุนไพรและสปา มันสำปะหลัง อาหารเพื่อสุขภาพ ขนมหวาน ผลไม้ภาคตะวันออก ไม้ยางพารา ผลไม้แปรรูป อาหารแห่งอนาคต อาหารพร้อมทาน เป็นต้น 

ส่วนคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 4 กลุ่ม ได้แก่ คลัสเตอร์การแพทย์ครบวงจร พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดเชียงใหม่ หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และดิจิทัล โดยผลสำเร็จจากการดำเนินมาตรการดังกล่าวยังสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อีกกว่า 1,200 ล้านบาท

ประชุมส่งท้าย…!!! “ผบ.ทสส.” ประชุม ผบ.เหล่าทัพ ร่วม ผบ.เหล่าทัพ -ผบ.ตร. ครบ ส่งท้ายผบ.ทร.-ผบ.ทอ. ที่เกษียณ ปช.สรุปผลงาน 1 ปี 4เหล่าทัพ 

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.เฉลิมพลศรีสวัสดิ์  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธานการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ  โดยมีผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุม สำหรับการประชุมในวันนี้  เป็นการสรุปผลการปฏิบัติงานที่สำคัญของกองทัพไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

การประชุมด้านการพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญยิ่ง โดยการถวายความปลอดภัยการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติต่างๆการสนับสนุนการดำเนินงานตามโครงการพระราชดำริ  ซึ่งกองทัพไทยและกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนรับผิดชอบรวม 170 โครงการการน้อมนำและส่งเสริมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลและประชาชน อาทิ  งานเกษตรผสมผสานตามแนวทางพระราชทานเศรษฐกิจพอเพียงของกองบัญชาการกองทัพไทย โครงการทหารพันธุ์ดี "ชุมชนเบิกบาน อาหารปลอดภัย" ของกองทัพบก 

โครงการศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ โคกหนอง นา ของกองทัพเรือ สวนการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของกองทัพอากาศ และโครงการตำรวจพันธุ์ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ตลอดจนได้จัดการประกวดผลงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง  รวมถึงได้สนับสนุนการจัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทาน  อาทิโครงการจิตอาสาพัฒนาโดยการขุดลอกคูคลองเก็บขยะ  และพัฒนาภูมิทัศน์ ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ  โครงการจิตอาสาภัยพิบัติซึ่งได้เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนในพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศนอกจากนี้ ยังได้จัดโครงการกองทัพไทยร้อยรวมใจสู้ภัยโควิดบริจาคโลหิตถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา  ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณโลหิตสะสมกว่า 48 ล้านมิลลิลิตร

สำหรับการป้องกันประเทศกองทัพไทยได้จัดและวางกำลังป้องกันชายแดน รวมทั้งบูรณาการปฏิบัติงานร่วมกับตำรวจตระเวนชายแดนอย่างประสานสอดคล้องในการปกป้องอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติ  ทั้งทางบก ทางทะเล  และทางอากาศ มีศูนย์บัญชาการทางทหารทำหน้าที่อำนวยการ ควบคุมและกำกับดูแลโดยมุ่งให้เกิดความสงบสุข  และพัฒนาร่วมกันลดปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดน ทั้งยังช่วยพัฒนาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวชายแดน   อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การพึ่งพาตนเองในอนาคต

ด้านการรักษาความมั่นคงของรัฐ  ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนรัฐบาล  ในการแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19  โดยกองทัพไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ร่วมกันปฏิบัติงานภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินความมั่นคง มีการดำเนินการที่สำคัญ อาทิ

- การป้องกันและสกัดกั้นการแพร่ระบาดจากภายนอกประเทศ  ด้วยการสนับสนุนการคัดกรองเลือกผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร  ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ  รวมถึงการสกัดกั้นผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ฯลฯ

- การป้องกันการแพร่ระบาดภายในประเทศ  ด้วยการใช้มาตรการป้องกันโรค  ชะลอการเดินทางของประชาชนโดยไม่มีเหตุจำเป็น  งดการประชุมกลุ่มทำกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ฯลฯ

- การสนับสนุนด้านการแพทย์และสาธารณสุข  โดยการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯและต่างจังหวัด  การสนับสนุนเคลื่อนย้ายผู้ติดเชื้อกลับภูมิลำเนา   การสนับสนุนการตรวจหาเชื้อเชิงรุกฯลฯ

- การช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน  ด้วยการจัดตั้งจุดบริการประชาชน แจกจ่ายถุงยังชีพ  สิ่งของอุปโภคบริโภค  การจัดรถครัวสนาม

สมาพันธ์ SME ไทย แนะรัฐเข้มมาตรการโควิด หนุนเปิดเมือง - คลายล็อกดาวน์เพิ่ม

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยหนุนรัฐคลายล็อกดาวน์ และเปิดเมืองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้นแต่ต้องมีมาตรการดูแลและป้องกันที่ชัดเจน วิตกหากกลับมาระบาดรอบ 5 จะยิ่งซ้ำเติม ศก.และเอสเอ็มอีวิกฤตหนักขึ้น แนะเร่งฉีดวัคซีน ควบคุมราคา ATK ไม่เกิน 100 บาทต่อชุดเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการป้องกันดูแลตนเอง ขณะที่มาตรการเร่งด่วนช่วยเอสเอ็มอีต้องลดดอกเบี้ย พักเงินต้น พักดอกเบี้ย 6 เดือนทั้งระบบ

ทั้งนี้ แม้การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จะส่งผลดีต่อเอสเอ็มอีและเศรษฐกิจภาพรวม แต่ขณะนี้ต้องยอมรับว่าอัตราการติดเชื้อใหม่ของไทยรายวันก็ยังคงอยู่ระดับสูงกว่าหมื่นคนแม้จะลดลงจากก่อนหน้าไปบ้างก็ตาม ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นสุดคือการเร่งฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนครบ 2 เข็มโดยเร็ว ควบคู่ไปกับการควบคุมราคาชุดตรวจโควิด-19 หรือ ATK ไม่ให้สูงกว่า 100 บาทต่อชุดและเป็น ATK ที่ได้มาตรฐานเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงโดยง่ายที่จะนำมาดูแลป้องกันตนเอง ขณะที่การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาควรนำบทเรียนจากภูเก็ตแซนด์บอกซ์มาปรับใช้ ซึ่งมีข้อกังวลว่าต่างชาติอาจนำเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ๆ เข้ามาได้ จำเป็นต้องมีมาตรการที่ป้องกันอย่างรัดกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top