Wednesday, 9 July 2025
NewsFeed

แถลงผลการจับกุม 2 คดีสำคัญ! รวบ 5 ผู้ต้องหา พบของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด และกัญชา 560 กก.

วันที่ 13 ก.ย. 64 เวลา 10.00 น. ณ บช.ปส. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจำ บช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี ผู้ต้องหารวม 5 คน ของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด, กัญชา 560 กก. รายละเอียดมี ดังนี้    

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 12.00 - 12.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ กอง 12 ศรภ. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร บก.สส.ภ.5 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสิงห์บุรี และ อยุธยา ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 3 คน    

1. นายขวัญนภัส ลี้เจริญสุวรรณ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 18/18 ม.13 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 1) 

2. ส.ต.ตั๋ว เจริญภัย อายุ 40 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ อายุ 82 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 2) ยศ.รด.  3. ส.ต.สิทธิพล เจริญงดงาม อายุ 40 ปี ที่อยู่ 6/2 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 3)  ยศ.รด.

พร้อมของกลาง จำนวน 5 รายการ  

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 27 กระสอบ จำนวนประมาณ 5,400,000 เม็ด

2. รถยนต์กระบะแครี่บอย ยี่ห้อ Nissan สีบรอนด์ทอง จำนวน 1 คัน

3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ Honda รุ่น City สีดำ จำนวน 1 คัน

4. เงินสด จำนวน 17,000 บาท 

5. โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย  โดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณถนนหมายเลข 3283 ต.ท่างาม อ.อินทร์บุรี จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง บริเวณถนนหมายเลข 32 ต.โพบางดำออก อ.สรรพยา จว.ชัยนาท เวลาประมาณ 12.00-12.20 น. ของวันที่ 12 ก.ย. 64

ตามที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดอุดรธานี ได้เข้าขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหานายชัยณรงค์ หมั่นเขตรกิจ ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายขณะขับรถ (เสพขับ) ในพื้นที่ สภ.บ้านแพง จว.นครพนม โดยสังเกตพบว่ารถยนต์ตู้ที่ผู้ต้องหาขับขี่มาภายในรถถอดเบาะโดยสารออกทั้งหมด มีลักษณะต้องสงสัย จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจับกุมเครือข่ายลักลอบลำเลียงกัญชา 274 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ของ บก.ปส.2 บช.ปส. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จนกระทั่งทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน  

1. นายนิพนธ์ หรือแสบ เก่งธัญการ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 8/2 หมู่ที่ 7 ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์   

2. นายสุรศักดิ์ หรือศักดิ์ พันธุ์สวัสดิ์ อายุ 28 ปี ที่อยู่ 182/1 หมู่ที่ 5 ต.ระบำ อ.ลานสัก จว.อุทัยธานี

พร้อมของกลาง จำนวน 4 รายการ 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) จำนวน  560 แท่ง/กิโลกรัม

2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเซฟโลเล็ต เทรลเบลเซอร์ สีขาว ทะเบียน 4 กล 516 กรุงเทพมหานครเป็นยานพาหนะใช้ในการลำเลียงยาเสพติด

3. รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีเทา ทะเบียน กษ 6187 นครสวรรค์ เป็นยานพาหนะใช้ในการสำรวจเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด

4. โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” บริเวณถนนบ้านผือ – กุดจับ ในเขตพื้นที่บ้านเม็ก หมู่ที่ 1 ต.ข้าวสาร อ.บ้านผือ จว.อุดรธานี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.,พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.

'นิวยอร์ก' เปิดโรงเรียนครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังต้องเรียนออนไลน์หนีโควิด-19

14 กันยายน 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน โรงเรียนของรัฐในนครนิวยอร์ก เปิดเทอมให้นักเรียนกลับเข้าชั้นเรียนเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี หลังปิดไปตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ตามมาตรการควบคุมโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้นักเรียนต้องเรียนออนไลน์เป็นเวลานาน 

สำหรับโรงเรียนรัฐในนครนิวยอร์ก ถือเป็นระบบการศึกษาของรัฐขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา โดยมีนักเรียนอยู่ในระบบประมาณ 1 ล้านคน

ในวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐสังกัดเทศบาลนครนิวยอร์กเกือบทั้งหมดจากจำนวนประมาณ 300,000 คน ได้รับคำสั่งให้กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มรูปแบบในสำนักงานด้วย ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว หรือมิเช่นนั้นต้องผ่านการตรวจคัดกรองทุกสัปดาห์


ที่มา : https://www.naewna.com/inter/601988

ทปษ.นายกฯ ห่วงสื่อ ของดเข้าทำเนียบ 7 วัน แล้วตรวจคัดกรองก่อนเข้าทำเนียบ อีกครั้ง 27 กย.

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ให้สัมภาษณ์ กรณีขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบ เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดเชื้อโควิด ว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาดำเนินการทำความสะอาด พ่นยาฆ่าเชื้อ จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อ เบื้องต้นขอเวลา 7 วัน นับจากวันนี้ไปถึงวันที่ 24 กันยายน และจะให้สื่อมวลชนกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ  ได้ในวันที่ 27 กันยายน แต่อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนนำผลตรวจเอทีเคมาแสดงด้วย ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตราการที่เข้มข้น เนื่องจากผู้บริหารในทำเนียบฯส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราต้องมีความใกล้ชิดกัน 

น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะมีภารกิจลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี สื่อมวลชนก็ไม่ต้องเป็นห่วง  ทางสำนักโฆษกสำนักนายก รัฐมนตรี จะทำหน้าที่แทน โดยทำข่าวพูลให้ ทั้งนี้ที่เราใช้มาตรการเช่นนี้เนื่องจากมีความเป็นห่วงร่วมกันทุกคน เพราะเราไม่รู้ว่า ใครมีอาการแล้วไม่แสดงอาการหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ ขอให้ทุกคนระมัดระวังและกลับไปในที่ตั้งก่อน และขอให้สื่อไปตรวจคัดกรอง ก่อนกลับมาติบัตรหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสบายใจว่า การทำข่าวในช่วงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ใหญ่ทุกคนรับทราบแล้วจึงจะยังไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือตอบคำถามใดๆกับทุกคน ทุกคนสบายใจได้ว่าไม่มีการตกข่าว 

ผลวิจัย ชี้ ‘วัคซีนโควิดเข็ม 3’ ไม่จำเป็น ยัน แค่ 2 เข็ม เพียงพอช่วยลดอาการทรุดหนัก

วารสารการแพทย์แลนเซตตีพิมพ์ผลการศึกษาเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ก่อนจะสรุปว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 เพียง 2 เข็มมีประสิทธิภาพเพียงพอในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อมีอาการทรุดหนัก และไม่จำเป็นที่คนทั่วไปจะต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3

ในบางประเทศเริ่มมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับประชากรในประเทศ เพราะความหวั่นวิตกเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์เดลตาที่แพร่ระบาดได้รวดเร็วขึ้น ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องออกมาร้องขอให้ประเทศต่าง ๆ ยุติการฉีดวัคซีนเข็ม 3 ไว้ก่อน เนื่องจากยังมีคนหลายล้านคนทั่วโลกโดยเฉพาะในประเทศที่ยากจนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว

ผลการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ดังกล่าวมาจากนักวิทยาศาสตร์หลายคน ซึ่งรวมถึงนักวิทยาศาสตร์จากองค์การอนามัยโลกและองค์การอาหารและยา (เอฟดีเอ) ของสหรัฐฯ สรุปว่า แม้จะมีภัยคุกคามจากไวรัสกลายพันธุ์เดลตา แต่การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้กับคนทั่วไปไม่ใช่เรื่องเหมาะสมภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดในขณะนี้

ผู้เขียนซึ่งทบทวนผลการศึกษาเชิงสังเกตและผลการทดลองทางคลินิกพบว่า วัคซีนยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันไม่ให้มีอาการเจ็บป่วยรุนแรงในไวรัสโควิด-19 แทบจะทุกสายพันธุ์ซึ่งรวมถึงเดลตา แม้จะมีประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการก็ตาม

หนึ่งในผู้เขียนหลักจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า หากดูในภาพรวมแล้ว วัคซีนที่มีอยู่ควรจัดลำดับความสำคัญไปที่คนทั่วโลกที่ยังไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน แต่หากมีการกระจายวัคซีนไปยังที่ที่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ก็จะช่วยเร่งให้การแพร่ระบาดยุติลงเร็วขึ้นด้วยการยับยั้งการกลายพันธุ์ของไวรัส


ที่มา : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2938333

ปิดทำเนียบฯ 14 วัน อีกครั้ง หลังพบผู้สื่อข่าวผลตรวจ ATK เป็นบวก

เมื่อเวลา 11.40 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.นัทรียา ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโฆษกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำด้านประสานกิจการภายในประเทศ ให้สัมภาษณ์ กรณีขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบ เนื่องจากมีผู้สื่อข่าวติดเชื้อโควิด ว่า ขอความร่วมมือสื่อมวลชนออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาดำเนินการทำความสะอาด พ่นยาฆ่าเชื้อ จะได้มั่นใจว่าปลอดเชื้อ เบื้องต้นขอเวลา 7 วัน นับจากวันนี้ไปถึงวันที่ 24 กันยายน และจะให้สื่อมวลชนกลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในทำเนียบรัฐบาลตามปกติ ได้ในวันที่ 27 กันยายน แต่อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนนำผลตรวจเอทีเคมาแสดงด้วย ทั้งนี้ให้เป็นไปตามมาตรการที่เข้มข้น เนื่องจากผู้บริหารในทำเนียบฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเราต้องมีความใกล้ชิดกัน 

น.ส.นัทรียา กล่าวว่า ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรี จะมีภารกิจลงพื้นที่ในต่างจังหวัด ได้แก่ จ.ชัยนาท จ.ชลบุรี สื่อมวลชนก็ไม่ต้องเป็นห่วง ทางสำนักโฆษกสำนักนายก รัฐมนตรี จะทำหน้าที่แทน โดยทำข่าวพูลให้ ทั้งนี้ที่เราใช้มาตรการเช่นนี้เนื่องจากมีความเป็นห่วงร่วมกันทุกคน เพราะเราไม่รู้ว่า ใครมีอาการแล้วไม่แสดงอาการหรือไม่ และไม่ทราบว่าจะมีใครติดเชื้อมาจากข้างนอกหรือไม่ ขอให้ทุกคนระมัดระวังและกลับไปในที่ตั้งก่อน และขอให้สื่อไปตรวจคัดกรอง ก่อนกลับมาติดบัตรหน้าที่ร่วมกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสบายใจว่า การทำข่าวในช่วงนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ผู้ใหญ่ทุกคนรับทราบแล้วจึงจะยังไม่มีการให้สัมภาษณ์ หรือตอบคำถามใด ๆ กับทุกคน ทุกคนสบายใจได้ว่าไม่มีการตกข่าว 

"โรม" ฉะ จับนักข่าวพลเมืองในม็อบ จงใจปิดหูปิดตาปชช.ไม่ให้เห็นความป่าเถื่อนของรัฐ อัด "ประยุทธ์" เมื่อไหร่จะมีสติสำนึกลาออก 

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงเหตุการณ์การชุมนุมในวันที่ 13 ก.ย. ที่บริเวณดินแดง ที่พบว่ามีการจับกุมสื่ออิสระ 2 คน คือ ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวราษฎร และผู้สื่อข่าวประจำเพจ ปล่อยเพื่อนเรา โดยถูกตั้งข้อหาร่วมกันชุมนุมและฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ว่า ในสถานการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่ตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมที่ย่านดินแดงในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐยกระดับการสลายการชุมนุมหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เราจะพบว่าสื่อมวลชนกระแสหลักกลับมีบทบาทน้อยอย่างเห็นได้ชัดในการถ่ายทอดเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดและรอบด้าน และมักเป็นการรายงานอยู่หลังแนวของตำรวจ โดยพร้อมจะล่าถอยออกไปเมื่อได้รับคำสั่ง ทำให้สังคมที่ติดตามอยู่ไม่อาจรู้ได้ว่า นอกเลนส์กล้องของนักข่าวนั้นเจ้าหน้าที่รัฐจะไปกระทำการอะไรไว้บ้าง

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า กลายเป็นว่านักข่าวพลเมืองอย่าง 2 คนที่ถูกจับไปที่เป็นกำลังหลักในการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแบบสดๆ ทำให้ด้านมืดที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่อยากให้เห็นถูกนำขึ้นมาเปิดเผยในที่สว่าง อย่างสำนักข่าวราษฎรนั้น พบว่าหลายครั้งสามารถจับภาพเหตุการณ์การใช้ความรุนแรงอย่างเกินเหตุเอาไว้ได้ เช่นภาพที่ตำรวจใช้กระบองฟาดซ้ำใส่ศีรษะของผู้ชุมนุมที่ถูกควบคุมตัวไว้ได้แล้ว ภาพที่ตำรวจยิงกระสุนยางใส่รถจักรยานยนต์ที่ขับผ่านไปมาในระยะประชิด หรือภาพบ้านเรือนที่เสียหายจากการสลายการชุมนุมของตำรวจ แต่ในสายตาของรัฐบาล เช่น ในคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รอง ผบช.น. และโฆษก บช.น. กลับแปะป้ายนักข่าวพลเมืองเหล่านี้ว่าเป็น สื่อมวลชนปลอมที่แฝงตัวเข้ามา เพียงเพราะไม่มีบัตรสื่อ ซึ่งเป็นผลมาจากทัศนคติอันคับแคบและล้าหลังในการนิยามความเป็นสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ทำให้นักข่าวเหล่านี้นอกจากจะไม่ได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐแล้ว ยังกลายมาเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำจากรัฐเองเสียอีก

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่นักข่าวพลเมืองถ่ายทอดออกมาให้สังคมได้รับรู้ ช่วยให้เราได้เห็นว่าประเทศนี้ รัฐบาลนี้ ล้มเหลวในการคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างไร ความกล้าหาญของพวกเขาช่วยเป็นหูเป็นตาให้ประชาชนภายนอกที่ชุมนุม ได้เห็นสิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องเห็น นั่นคือความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และระบอบปรสิต ดังนั้น การหาเรื่องจับนักข่าวเหล่านี้จึงไม่อาจหาเหตุผลอื่นใดได้เลย นอกจากเพราะฝ่ายรัฐต้องการปิดหูปิดตาประชาชน ไม่ให้เห็นความอำมหิตป่าเถื่อนที่ฝ่ายตนได้กระทำต่อประชาชน จึงต้องทำลายผู้ที่จะมาเปิดโปงการกระทำเหล่านั้น นั่นหมายความว่ารัฐบาลยังคงยืนยันที่จะใช้ความรุนแรงในการกดหัวผู้เห็นต่างไม่ให้เงยหน้าขึ้นมาท้าทายต่อไป

"เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลจะมีสติสำนึกได้เสียที ว่าทุกวันนี้มีผู้คนต่อต้านพวกท่านกันมากมายแบบไม่ต้องมีใครชักนำ ถึงขนาดนี้แล้วจะยอมรับผิดแล้วออกไปแต่โดยดี หรือจะยังดื้อด้าน ยึดติดอยู่แต่กับการกดหัวและปิดหูปิดตา ราดน้ำมันลงบนกองไฟต่อไปอีก" นายรังสิมันต์ กล่าว 

สรุปวันโอนเงินเยียวยาประกันสังคมทุกมาตรา

✅วันที่ 20 - 21 กันยายน 2564   
โอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน มาตรา 40 ในพื้นที่ 16 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม และสิงห์บุรี กลุ่มที่สมัครขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 ระหว่างวันที่ 4 - 24 สิงหาคม 2564

✅วันที่ 21 กันยายน 2564  
โอนเงินเยียวยา มาตรา 39 รอบ 2 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 39 ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา

✅วันที่ 22 - 23 กันยายน 2564  
โอนเงินเยียวยา มาตรา 40 รอบ 2 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา

✅วันที่ 27 - 28 กันยายน 2564  
เริ่มโอนเงินเยียวยา มาตรา 33 รอบ 2 ให้ผู้ประกันตน มาตรา 33 ใน 9 กลุ่มกิจการ ในพื้นที่ 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา

✅วันที่ 28 กันยายน 2564  
โอนเงินเยียวยา มาตรา 40 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา ที่ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 รายใหม่ ในช่วงวันที่ 4 - 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา จำนวน 3.4 แสนคน กลุ่มนี้ ได้สิทธิเยียวยา 2 เดือน เดือนละ 5,000 บาท รวม 10,000 บาท


ที่มา : https://www.facebook.com/100750911731504/photos/a.100754921731103/348472363626023/

ก.แรงงาน ถกร่วม JETRO Bangkok สร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจ บ.ญี่ปุ่น ในไทย

กระทรวงแรงงาน หารือร่วม JETRO Bangkok เชื่อมภารกิจกระทรวงฯ เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน ต้อนรับนาย TAKETANI Atsushi ประธาน Japan External Trade Organization, Bangkok (JETRO Bangkok) และผู้แทนจากหอการค้าญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯ เนื่องในโอกาสเข้าเยี่ยมคาราวะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อรายงานผลการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยมีพลอากาศตรีเฟื่องศักดิ์ เรืองกล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดร.ทองอยู่ คงขันธ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ร่วมให้การต้อนรับ ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันท์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน

นายสุรชัย กล่าวว่า การหารือร่วมกับ JETRO Bangkok ในวันนี้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย ปัญหาด้านการบริหารองค์กรของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ได้แก่ การแข่งขันกับบริษัทอื่นรุนแรงขึ้น ราคาวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มสูงขึ้น และการขาดแคลนวิศวกร ในส่วนข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย พบว่า บริษัทส่วนใหญ่ได้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามมาการรองรับผลกระทบจากโควิด-19 การส่งเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่เกี่ยวข้องด้านแรงงาน ได้แก่ การปรับปรุงความสะดวกในการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า

นอกจากนี้ยังได้คาดการณ์ผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีต่อกิจกรรมทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะยังคงประกอบกิจการต่อไปหรือขยายขนาด โดยสนับสนุนให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีน แต่ยังคงมีข้อกังวลเกี่ยวกับความรับผิดชอบในกรณีที่บริษัทกำหนดให้พนักงานต้องฉีดวัคซีนหรือสนับสนุนให้พนักงานฉีดวัคซีนแล้วเกิดผลข้างเคียง ทาง JETRO Bangkok จึงขอให้รัฐบาลไทยได้มีการให้ข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนอย่างรวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ เช่น ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ผลข้างเคียง ความเสี่ยงต่อสุขภาพ แผนการฉีดวัคซีน ความก้าวหน้าในการฉีดวัคซีน เป็นต้น

“ขอบคุณประธาน JETRO Bangkok และคณะ ที่ได้ร่วมหารือและแบ่งปันข้อมูลในวันนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงแรงงาน เพื่อนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจของผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทยต่อไป” นายสุรชัย กล่าวทิ้งท้าย

ครม.อนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มเข็มของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่5  จำนวน 1,013 โครงการ ในพื้นที่ 11 จังหวัด วงเงิน 3,484.27  ล้านบาท  รวมอนุมัติ 5 ครั้งส่งงบประมาณเข้าหมุนเวียนเศรษฐกิจ 19,904.93 ล้านบาท  

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันที่ 14 ก.ย. 2564  ได้อนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มเข็มของเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่5  จำนวน 1,013 โครงการ ในพื้นที่ 11 จังหวัด วงเงินรวม 3,484.27  ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายเงินจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เสนอ

ทั้งนี้ เมื่อรวมกับผลการอนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากในครั้งที่ 1-5 แล้ว ครม. ได้อนุมัติโครงการไปแล้วจำนวน 8,516 โครงการ ใน 70 จังหวัด เป็นวงเงินที่เข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 19,904.93 ล้านบาท  คงเหลือ 6 จังหวัดที่อยู่ระหว่างการพิจารณาตามขั้นตอนได้แก่ ชัยนาท ราชบุรี เชียงใหม่ สุพรรณบุรี แม่ฮ่องสอน และสกลนคร

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ทั้ง 11 จังหวัดที่ได้รับอนุมัติโครงการฯ ครั้งที่ 5 ประกอบด้วย ลำพูน จำนวน 115 โครงการ วงเงิน 185.04 ล้านบาท, ลำปาง จำนวน 64 โครงการ วงเงิน 298.86 ล้านบาท, เชียงราย จำนวน 89 โครงการ วงเงิน 355.47 ล้านบาท, เพชรบูรณ์ จำนวน 89 โครงการ วงเงิน 232.42 ล้านบาท, มุกดาหาร จำนวน 246 โครงการ วงเงิน 219.04 ล้านบาท

นนทบุรี จำนวน 45 โครงการ วงเงิน 168.61 ล้านบาท, สมุทรปราการ จำนวน 53 โครงการ วงเงิน 312.66 ล้านบาท, กาญจนบุรี จำนวน 47 โครงการ วงเงิน 313.04 ล้านบาท, ชลบุรี จำนวน 82 โครงการ วงเงิน 546.41 ล้านบาท,ระยอง จำนวน 125 โครงการ วงเงิน 401.80 ล้านบาท และภูเก็ต จำนวน 58 โครงการ วงเงิน 450.85 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ในจำนวนทั้งหมด 1,013 โครงการ ใน 11 จังหวัด จำแนกลักษณะโครงการดำเนินการเป็น 4 กลุ่มลักษณะ ได้แก่ 1)กลุ่มโครงการพัฒนาสินค้า ท่องเที่ยว บริการและการค้า จำนวน 46 โครงการ หรือ ร้อยละ5 ของจำนวนโครงการรวม 2)กลุ่มโครงการยกระดับประสิทธิภาพและสร้างมูลค่าเพิ่มด้านการเกษตร จำนวน 33 โครงการ หรือร้อยละ3 ของจำนวนโครงการรวม 3)โครงการส่งเสริมและพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานจำนวน 43 โครงการ หรือร้อยละ4 ของจำนวนโครงการรวม และ 4)กลุ่มโครงการที่เป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 891 โครงการ หรือร้อยละ 88 ของจำนวนโครงการ

สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ประมาณ 36,070 คน และมีผู้ได้ประโยชน์ไม่น้อยกว่า 3,602,819 คน และไม่น้อยกว่า 38,721 ครัวเรือน รวมทั้งช่วยยกระดับมาตรฐานและคุณภาพของสินค้า ทักษะและความรู้ในการประกอบอาชีพ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการฟื้นตัวและพัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจในหมู่บ้านและชุมชน

ครม. ไฟเขียวมาตรการภาษี เอกชนซื้อชุดตรวจ ATK ให้พนักงาน/ลูกจ้าง นำมาลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า ตั้งแต่วันนี้ -31 มีนาคม 65

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบกำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายจ่ายค่าซื้อชุดตรวจโควิด-19 แบบเร่งด่วน (Antigen Test Kit) เพื่อใช้สำหรับพนักงานหรือลูกจ้าง สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น ร้อยละ 50 หรือ 1.5 เท่า ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ถึง 31 มีนาคม 2565 นี้ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ หลังวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา ศบค. ได้ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยให้ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านนวด (เฉพาะนวดเท้า) และสนามกีฬา สามารถเปิดให้บริการได้ ประกอบกับในที่ประชุม ศบค. ครั้งที่ 14/2564 เมื่อวันที่ 10 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิจารณาแนวทางตามนโยบาย ศบค. ที่จะเพิ่มการตรวจ ATK ในประชากรโดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน กระทรวงการคลังจึงได้ออกมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนรายจ่ายค่าซื้อชุดตรวจ โควิด-19 แบบเร่งด่วน (Antigen Test Kit) ซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการได้มีส่วนร่วมกับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด-19 ช่วยบรรเทาภาระภาษี สำหรับประชาชน ก็จะช่วยป้องกันและลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ช่วยลดผลกระทบต้องเศรษฐกิจและสังคมด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top