Sunday, 29 June 2025
NewsFeed

ทบ. ฉีดวัคซีนSINOVAC สร้างภูมิคุ้มกันทหารใหม่ครบทุกนาย-จนท.ปฏิบัติงานด่านหน้า พร้อมขอบคุณรัฐบาล มอบวัคซีนให้กำลังพล

พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผนฝยว่าตามที่กองทัพบกได้รับทหารใหม่ผลัด1/64เข้าประจำการในเดือนกรกฎาคม2564  ซึ่งอยู่ในช่วงของการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และพล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้สั่งการให้หน่วยทหารของกองทัพบกดำเนินตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่ระบาด โดยเฉพาะได้เตรียมแผนการฉีดวัคซีน ให้กับทหารใหม่และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกและดูแลทหารใหม่ทุกส่วน อาทิ ครูฝึก ผู้ฝึก ผู้ช่วยครูฝึก ส่วนสนับสนุนด้านอาหาร สถานที่ งานธุรการ เป็นต้น 
 
กองทัพบกได้นำวัคซีน SINOVAC ที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล ดำเนินการฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ทหารใหม่และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกทหารใหม่ ครบทุกนายเรียบร้อยแล้วเมื่อ  23 ก.ค.64 แยกเป็น ทหารกองประจำการผลัด 1/64 จำนวน 34,822 นาย และ เจ้าหน้าที่หน่วยฝึกทหารใหม่จำนวน 312 หน่วยฝึก  15,635 นาย การฉีดวัคซีนเป็นไปตามมาตรฐานสาธารณสุข ไม่พบกำลังพลเกิดอาการข้างเคียงรุนแรงหรือแพ้วัคซีน 
 
นอกจากนี้ที่ผ่านมากองทัพบกยังได้นำวัคซีนSINOVAC ที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐบาล ฉีดให้แก่กำลังพลส่วนอื่นๆเช่นกันได้แก่ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด่านหน้า กองกำลังป้องกันชายแดนกองทัพบก ,บุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพบก ในภาพรวมกำลังพลของกองทัพบกได้ฉีดวัคซีนSINOVAC ทั้งในส่วนกำลังพลด่านหน้า ทหารใหม่รวมทั้งกำลังพลและครอบครัวที่เข้ารับวัคซีนSINOVAC ตามระบบของรัฐบาลแล้วทั้งสิ้น 114,000นาย ทำให้กำลังพลสามารถปฏิบัติภารกิจในสถานการณ์โควิดในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างเข้มแข็งและปลอดภัย
 
ทั้งนี้ กองทัพบกขอขอบคุณรัฐบาลและ ศบค.ที่ได้สนับสนุนวัคซีน SINOVAC เพื่อการสร้างภูมิคุ้มกัน COVID-19 ให้กับทหารใหม่ กำลังพลและเจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์โควิด  ถือเป็นวัคซีนที่ได้รับในเวลาที่เหมาะสมและรวดเร็ว ทำให้เกิดผลในด้านการป้องกันโรคทันที สร้างความมั่นใจในเรื่องภูมิคุ้มกันและสุขภาพร่างกายของผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าและในพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด  ในส่วนของทหารใหม่ก็มีความมั่นใจในภูมิคุ้มกันของตนเอง ช่วยคลายความกังวลของครอบครัวทหารใหม่ และสร้างความพร้อมในการฝึกฝน เรียนรู้ เพื่อทำหน้าที่ทหารของชาติและประชาชนที่รออยู่ข้างหน้าได้อย่างสมบูรณ์ต่อไป

อย่างไรก็ตาม การได้รับวัคซีน ควบคู่ไปกับมาตรการพิทักษ์พลของกองทัพบก และการปฏิบัติตนเองอย่างเคร่งครัดในเรื่องวินัยทหารต้านโควิด ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ใช้แอลกอฮอล์ ลดความแออัด รักษาระยะห่าง ล้างมือ  จะเป็นเกราะป้องกันโควิด ให้ทหารทุกนายมีความสมบูรณ์แข็งแรง พร้อมออกไปเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือทุกภาคส่วนดูแลสังคมและประชาชนในห้วงเวลาสำคัญของชาติที่ต้องเผชิญกับสงครามเชื้อโรคในขณะนี้

“ธรรมนัส"ตรวจรพ.สนามพะเยา1,000เตียง รองรับ “พาพี่น้องพะเยากลับบ้าน" รักษาตัวจากโควิด-19

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)​ลงพื้นที่จ.พะเยา ประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อมจัดตั้งรพ.สนาม รองรับผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่สีแดงเข้ม และผู้ที่ตรวจพบติดเชื้อ ที่ต้องการกลับมารักษาตัวที่ภูมิลำเนา เนื่องจากไม่สามารถเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลได้

โดยร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า โครงการ”พาพี่น้องพะเยากลับบ้าน"ทางองค์การบริหารส่วนจ.พะเยา ร่วมกับหลายหน่วยงาน ได้จัดเตรียมความพร้อมโรงพยาบาลหลักและโรงพยาบาลสนาม 1,000 เตียง โดยการสนับสนุนสถานที่ จากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา ซึ่งการดูจะเป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิดอย่างเข้มงวด นอกจากนั้นจังหวัดอื่นที่ในพื้นที่ภาคเหนือ8 จ.ที่ตนได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบดูแล ได้จัดเตรียมความพร้อมไว้เช่นกัน หาก บุคคลใกต้องย้ายมารักษาตัวในพื้นที่จ.พะเยา ให้ปฏิบัติตามกระบวนการที่องค์การบริหารส่วนจ.พะเยา ประกาศไว้ หรือติดต่อศูนย์ประสานงานรับคนพะเยากลับบ้าน หมายเลข054-409123, 054-409124 ได้ทุกวัน โดยเบื้องต้นจะประสานกรมทางหลวงพิเศษ เพื่ออำนวยความสะดวกเรื่องการเดินทาง ในการสนับสนุนจัดจุดพักระหว่างการเดินทางหนึ่งจุด ภายใต้มาตรการดูแลของสาธารณสุขอย่างเข้มแข็ง 

นฤมล ห่วงคนงานแคมป์ก่อสร้าง ส่งทีมมอบข้าวกล่องต่อเนื่อง 

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้แคมป์คนงานถูกสั่งปิดตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยมีคำสั่งหยุดก่อสร้างและห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานเป็นระยะเวลา 1 เดือน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ในคลัสเตอร์แคมป์คนงาน ซึ่งตนเองได้ส่งทีมงานนำข้าวกล่องไปส่งมอบให้ยังแคมป์คนงานต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ได้ส่งมอบข้าวกล่องไปยังแคมป์คนงานแล้วรวม 12 แห่ง ประกอบด้วย แห่งที่ 1 แคมป์คนงานบริษัท ทวีพรเทคโนโลยี จำกัด บริเวณข้างโรงแรมมณเฑียร ริเวอร์ไซด์ แห่งที่ 2 แคมป์คนงานบริษัท ซินเทค เทคโนโลยี คอนสตรัคชั่น จำกัด  บริเวณซอยมไหสวรรย์ 6 แห่งที่ 3 แคมป์คนงานบริษัท ซินเทค จำกัด (มหาชน) บริเวณสามแยกยานนาวา

แห่งที่ 4 แคมป์คนงานโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการยานนาเวศ แห่งที่ 5 แคมป์คนงาน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริเวณข้างหอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร แห่งที่ 6 แคมป์คนงานบริษัท สยามมิทัล คอน จำกัด บริเวณซอยอินทามะระ 15 แห่งที่ 7 แคมป์คนงานบริษัท วิศวภัทร์ จำกัด บริเวณซอยวิภาวดี 1 แห่งที่ 8 บริษัท นวรัตน์พัฒนาการ จำกัด บริเวณแขวงรามอินทรา เขตคันนายาว แห่งที่ 9 แคมป์คนงานบริษัท พรพระนคร จำกัด บริเวณซอยรามคำแหง 7 

รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแคมป์คนงาน 3 แห่งที่ได้ส่งมอบข้าวกล่องในวันนี้ ประกอบด้วย แห่งที่ 10 แคมป์คนงานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)  บริเวณศูนย์การค้าโชว์ ดีซี พระราม 9 แห่งที่ 11 แคมป์คนงานบริษัท ไทยทาเคนาคาสากลก่อสร้าง จำกัด บริเวณถนนจตุรทิศ และ แห่งที่ 12 แคมป์คนงานบริษัท ฤทธา จำกัด บริเวณถนนพระราม 9 และในวันต่อไปจะได้กระจายไปยังแคมป์ต่าง ๆ เพิ่มเติมให้ทั่วถึงได้มากที่สุด เพื่อส่งมอบกำลังใจและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว หากมีอะไรที่ต้องการให้ช่วยเหลือเพิ่มเติม ตนเองยินดีที่จะรับฟังและพร้อมที่จะเป็นกระบอกเสียงส่งต่อไปยังรัฐบาล เพื่อร่วมกันช่วยเหลือพี่น้องแรงงานทุกคน และฝากถึงพี่น้องแรงงานทุกคนในการปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขอนามัยของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือด้วยสบู่หรือฉีดพ่นแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง และเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

คุณกัลย์สุดา ยะมา พนักงาน บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) แคมป์พระราม 9 กล่าวว่า  ทุกวันบริษัทจะจัดเตรียมอาหารสำหรับพนักงานในแคมป์ครบ 3 มื้อ  แต่จะมีบางมื้อที่หน่วยงานภาครัฐได้เข้ามาให้การสนับสนุน ซึ่งในวันนี้ต้องขอขอบคุณกระทรวงแรงงานเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบรรเทาความเดือดร้อน  สำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 บริษัทฯ มีการตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยจะแบ่งโซนพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับผู้ติดเชื้อและผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หากพบผู้ติดเชื้อจะมีจุดพักคอยเพื่อนำตัวไปทำการรักษาต่อไป

ไม่ต้องกังวล!! 'สุริยะ'​ ย้ำปริมาณก๊าซออกซิเจนมีเพียงพอ ด้าน กรอ.เตือนท่อก๊าซออกซิเจนมีความดันสูงหากเก็บ-ใช้งานผิดวิธีเกิดอุบัติเหตุได้!! 

'สุริยะ'​ เผยข่าวดีการผลิตก๊าซออกซิเจนยังมีเพียงพอประชาชนไม่ต้องกังวล โดยเอกชนผู้ผลิต 4 กลุ่ม ยืนยันศักยภาพการผลิตของโรงงานมีเพียงพอ ขณะที่ กรอ.เตือนผู้ที่มีและใช้ท่อก๊าซออกซิเจนให้ตรวจสอบอุปกรณ์และวิธีการใช้งาน เนื่องจากท่อที่ใช้มีความดันสูงหากจัดเก็บหรือใช้งานผิดวิธีจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้!! 



นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีมีรายงานข่าวว่าประชาชนเริ่มวิตกกังวลจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ขยายเป็นวงกว้าง ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องทุกวัน และเกรงว่าการผลิตก๊าซออกซิเจนทางการแพทย์อาจไม่เพียงพอหรือขาดตลาด จึงได้มีการจัดหาและเก็บท่อออกซิเจนไว้ที่บ้าน กรณีที่เกิดขึ้นนี้ได้ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ประสานไปยังกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม โรงงานผู้บรรจุก๊าซ และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ เพื่อสอบถามถึงความพร้อมในเรื่องของกำลังการผลิต ซึ่งได้รับการยืนยันว่าภาพรวมศักยภาพการผลิตของโรงงานยังมีเพียงพอที่จะรองรับกับความต้องการของพี่น้องประชาชน

“ผมเข้าใจว่าพี่น้องประชาชนอาจจะวิตกกังวลต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงขอย้ำตรงนี้ว่าไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ในอนาคต เพราะจากการประสานงานไปยังเอกชนทั้ง 4 กลุ่ม ทั้งกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรมจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม โรงงานผู้บรรจุก๊าซ และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ ได้รับคำตอบยืนยันว่าศักยภาพการผลิตของโรงงานแต่ละกลุ่มยังมีเพียงพอรองรับความต้องการของประชาชนได้” นายสุริยะ กล่าว 

ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า จากการประสานกับทางกลุ่มก๊าซอุตสาหกรรม สมาคมก๊าซอุตสาหกรรมสยาม และผู้ผลิตภาชนะบรรจุก๊าซ ได้รับการยืนยันถึงศักยภาพการผลิตของโรงงาน โดยภาพรวมทั้งประเทศกำลังการผลิตรวมทั้งหมด 1,860 ตันต่อวัน จากจำนวนโรงงาน 15 โรงงาน ในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สระบุรี ชลบุรี ระยอง สงขลา ลำพูน และเชียงใหม่ โดยในปลายเดือนสิงหาคมนี้จะมีเพิ่มอีก 1 แห่งที่จังหวัดระยอง โดยจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 150 ตันต่อวัน ซึ่งหากมีกรณีฉุกเฉินสามารถเพิ่มกำลังการผลิตออกซิเจนได้ถึง 2,200 ตันต่อวัน ทั้งนี้ ปริมาณการใช้ก๊าซออกซิเจนทั้งทางการแพทย์และอุตสาหกรรมปัจจุบันประมาณ 1,260 ตันต่อวัน แบ่งเป็น ปริมาณความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์ ประมาณ 400-600 ตัน/วัน และความต้องการก๊าซออกซิเจนในภาคอุตสาหกรรม ประมาณ 660 ตัน/วัน 

“จากตัวเลขประมาณการข้างต้น จึงมั่นใจได้ว่าศักยภาพของโรงงานด้านการผลิตสามารถรองรับความต้องการของพี่น้องประชาชนในอนาคตได้ ขณะเดียวกันทราบว่ามีประชาชนบางส่วนได้จัดหาและเก็บท่อก๊าซออกซิเจนไว้ที่บ้าน ซึ่งกรณีดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตราย เนื่องจากท่อก๊าซออกซิเจนเป็นท่อที่มีความดันสูง หากจัดเก็บหรือใช้งานอย่างผิดวิธีอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ 

"ทั้งนี้ กรอ.จะประสานเอกชนทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อติดตามการใช้ก๊าซออกซิเจนและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย 

ที่มา: กองส่งเสริมเทคโนโลยีความปลอดภัยโรงงาน 

สายพันธุ์เดลตาถล่มย่านอาเซียนสาหัส มาเลเซียมียอดผู้ติดเชื้อใหม่กว่า 17,045 ราย

Covid-19 สายพันธุ์เดลตา ยังถล่มย่านอาเซียนสาหัส ที่มาเลเซียมียอดผู้ติดเชื้อรอบ 24 ชั่วโมง ทำ New High อีกครั้ง ที่ 17,045 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศทะลุ 1 ล้านคน

ศูนย์กลางการระบาดหนัก ยังคงอยู่ที่ รัฐสลังงอร์และกรุงกัลลาลัมเปอร์ ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่รวมกันในวันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม ถึง 10,500 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตเพิ่มอีกกว่า 180 ราย ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตรวมในมาเลเซียถึงกว่า 8 พันรายแล้ว

การระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ เดลตา ยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการเข้มงวด จนถึงระดับล็อกดาวน์ทั่วประเทศในเดือนมิถุนายน แต่ยอดผู้ติดเชื้อยังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง จนโรงพยาบาลในมาเลเซียต้องรับมือกับผู้ป่วยที่ยังติดเชื้อรอการรักษาอยู่ถึง 1.6 แสนราย และผู้ป่วย ICU มากกว่า 1,000 เคส

จากวิกฤติโรคระบาดครั้งรุนแรงนี้ ทำให้ฝ่ายค้านได้ยื่นแจ้งความฟ้องรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี มูห์ยิดดิน ยัสซิน ในข้อหาละเลยการจัดการแก้ไขปัญหา Covid-19 ที่สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน

ทางด้านรัฐบาลมาเลเซียก็เร่งเดินหน้าฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างเร่งด่วน ซึ่งจนถึงตอนนี้มีชาวมาเลเซียในกลุ่มผู้ใหญ่ ได้รับวัคซีนครบโดสไปแล้วถึง 23% และคาดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มให้กับกลุ่มผู้ใหญ่ทั้งหมดในแถบกรุงกัลลาลัมเปอร์ และปริมณฑลได้ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม

รัฐบาลมาเลเซียคาดหวังว่า หลังเร่งกระจายฉีดวัคซีนได้ทั่วประเทศแล้ว น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้ และจะเริ่มคลายมาตรการล็อกดาวน์ได้ภายในเดือนตุลาคมนี้

และนอกเหนือจากมาเลเซีย ที่ทำสถิติ New High เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทั้งไทย, เวียดนาม, พม่า ต่างมียอดผู้ติดเชื้อทุบสถิติเช่นเดียวกัน

ดังนั้นสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 ในย่านอาเซียนจัดว่าน่าเป็นห่วงมาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย ที่ขยับขึ้นมาเป็นประเทศศูนย์กลางการแพร่ระบาดแห่งใหม่ในเอเชียไปแล้วเช่นกัน


ผู้เขียน : ยีนส์ อรุณรัตน์
อ้างอิง : The Straits Time / The Star Malaysia


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

'เกษตรฯ-พาณิชย์'​ เดินหน้า 7 มาตรการล่าสุด​ 'แก้ปัญหาลำไยเหนือ-ผลไม้ใต้'​ หลัง 'จีน-เวียดนาม'​ ออกมาตรการโควิดใหม่กระทบส่งออกทำมังคุดใต้ราคาตก

'อลงกรณ์'​ แนะผู้ส่งออกใช้ด่าน 'ตงชิง-ผิงเสียง' แก้ปัญหาด่านโหยวอี้กวน-โมฮ่านติดขัดจนคอนเทนเนอร์ขาดแคลน พร้อมประสาน​ 900 ล้งภาคตะวันออกลงใต้ เร่งกลยุทธ์ขยายการค้าออนไลน์ทุแพลตฟอร์มเพิ่มการบริโภคในประเทศ

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษาและมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ว่า คณะกรรมการบริหารและจัดการผลไม้​ (Fruit Board) ได้ติดตามสถานการณ์ตั้งแต่เข้าฤดูกาลลำไยภาคเหนือและผลไม้ภาคใต้อย่างใกล้ชิดตามข้อสั่งการของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารและจัดการผลไม้ซึ่งผลผลิตออกมาเร็วกว่ากำหนด 1 เดือน ซึ่งราคาลำไยและมังคุดในเดือนมิถุนายนอยู่ในเกณฑ์ดีส่งออกได้มากขึ้น

แต่หลังจากเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่โดยเฉพาะเดือนกรกฎาคมทำให้มีการออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เข้มข้นมากกว่าเดิมโดยทางการจีน เวียดนามรวมทั้งไทยส่งต่อการค้าการขนส่งและการส่งออกผลไม้ไทยไปจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของไทยจึงได้จัดประชุมทางไกลเร่งด่วนและประสานการทำงานกับสำนักงานเกษตรของไทยในจีนรวมทั้งสมาคมผู้ประกอบการค้าผลไม้ที่มีสมาชิกกว่า​ 900 ล้งและผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อรับมือกับสถานการณ์ใหม่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยสรุปปัญหาล่าสุดและกำหนดมาตรการเพิ่มเติม​ 7​ ประการดังนี้... 

1.​ เร่งการนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์กลับจากจีนและเวียดนามทั้งการขนส่งทางบกและทางเรือให้หมุนเวียนกลับมาไทยเร็วที่สุด

2.​ ขอการสนับสนุนจาก​ 'ศบค.'​ จัดหาวัคซีนจำนวนอย่างน้อย 30,000 โดสให้แก่พนักงานและแรงงานของบริษัทส่งออกและล้งตลอดห่วงโซ่ผลไม้เป็นการเร่งด่วน เพื่อให้สามารถกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานของล้งและบริษัทส่งออก

3.​ ผ่อนปรนมาตรการควบคุมโควิดและอำนวยความสะดวกให้ผู้ค้าและล้งจากภาคตะวันออกซึ่งมีกว่า 900 ล้ง สามารถเข้าไปรับซื้อผลไม้ในพื้นที่จังหวัดชุมพรสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช เป็นต้น

4.​ เร่งรณรงค์การบริโภคผลไม้ภายในประเทศ

5.​ ขยายการค้าออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม​ (B2C / B2B / B2F / B2G)

6.​ เร่งระบายจำหน่ายผลไม้ออกจากพื้นที่กระจายทุกช่องทางโดยขอความร่วมมือภาคเอกชนและภาครัฐ

7.​ ส​นับสนุนคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลผลิตการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) และหน่วยงานภาครัฐเร่งขับเคลื่อนมาตรการตามที่ได้รับการอนุมัติไปก่อนหน้านี้จากคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ ทั้งแผนงานและงบประมาณตามแผนบริหารจัดการผลไม้ภาคเหนือและภาคใต้

นายอลงกรณ์ย้ำเป็นข้อแนะนำด้วยว่า ขอให้ผู้ประกอบการส่งออกเข้าจีนทางเขตปกครองตนเองกว่างสีจ้วงใช้ด่านตงชิงและด่านผิงเสียงเพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความแออัดของด่านโหยวอี้กวนและปรับแผนการขนส่งที่จะผ่านเวียดนามเพราะประกาศล่าสุดของทางการเวียดนามเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาห้ามผ่านเขตกรุงฮานอยทำให้ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งมีระยะทางเพิ่มขึ้นอีก​ 150 กิโลเมตร

“การขนส่งทุกเส้นทางยากลำบากมากเพราะเป็นฤดูฝนทั้งเส้นเชียงของผ่านด่านบ่อเตนของลาวไปผ่านด่านโมฮ่านในสิบสองปันนาของมณฑลยูนนานและเส้นทางจากนครพนมผ่านลาวเวียดนามไปจีนที่กว่างสีจ้วงฝนตกหนักตลอดและมีการตรวจโควิดเข้มข้นทุกด่านและบทลงโทษหากพบการปนเปื้อนโควิดก็รุนแรงมากขึ้นถึงขั้นถอนใบอนุญาตนำเข้านอกจากนี้ยังเป็นช่วงฤดูกาลผลไม้เวียดนามที่มีผลผลิตออกมามากทำให้การขนส่งผ่านด่านจีนเพิ่มมากขึ้น​ ซึ่งเราก็ให้ทีมเกษตรและพาณิชย์ไทยในจีนช่วยดูแลหน้างานอย่างใกล้ชิดเร่งคลี่คลายความแออัดโดยทางการจีนให้ความร่วมมืออย่างดีพร้อมกับให้กำลังใจผู้ประกอบการอย่าท้อเพราะรัฐบาลพร้อมสนับสนุนการทำงานโดยเฉพาะ7มาตรการเพิ่มเติมซึ่งได้รายงานต่อท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเกษตรฯ​ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาและท่านได้สั่งการทันทีให้ทุกภาคส่วนเร่งคลี่คลายแก้ปัญหา 

"ล่าสุด​ คพจ.นครศรีธรรมราช​ ซึ่งมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานร่วมกับพาณิชย์จังหวัดและเกษตรและสหกรณ์จังหวัดได้ผ่อนปรนให้ล้งเข้ารับซื้อมังคุดเพิ่มขึ้น พร้อมกันนั้นได้ขยายการค้าออนไลน์และเพิ่มบริการขนส่งโดยความร่วมมือกับบริษัทไปรษณีย์ไทยคณะอนุกรรมการอีคอมเมิร์ซและคณะอนุกรรมการธุรกิจเกษตรของกระทรวงเกษตรฯ​ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์พร้อมกันนี้ได้ประสานความร่วมมือกับกรมประชาสัมพันธ์ อสมท.และสื่อมวลชนทุกแขนงช่วยรณรงค์บริโภคผลไม้ไทยเช่นลำไย มังคุด เงาะ ลองกองเป็นต้น 

"เมื่อการส่งออกเริ่มติดขัดก็ปรับกลยุทธ์เพิ่มอุปสงค์ในประเทศ ตัวอย่างเช่นปีนี้มังคุดภาคใต้มีผลผลิต​ 165,000 ตัน​ เพิ่มขึ้นกว่า​ 20% สัดส่วนส่งออก​ 60% บริโภคในประเทศ​ 40% และผลผลิตออกเร็วกว่าปกติ​ 1​ เดือนจนชนกับผลไม้ปลายฤดูของภาคตะวันออก แถมล้งก็ข้ามเขตไปใต้แทบไม่ได้เลยเพราะมาตรการโควิดต้องตรวจโรคและไม่มีวัคซีนฉีดแรงงานชำนาญงานขาดแคลน ปัญหารุมเร้ามากตั้งแต่ต้นทางถึงด่านส่งออกรวมทั้งฝนที่ตกกระหน่ำในลาวและเวียดนามไม่เว้นแต่ละวันแต่เราก็สู้เต็มกำลังทุกวันเพื่อเกษตรกรของเรา เราจะฝ่าวิกฤตไปด้วยกันไม่ทอดทิ้งกัน” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

นอกจากมาตรการเพิ่มเติม​ 7​ ประการ​ ยังมีการพัฒนาคุณภาพผลผลิตตามความเหมาะสมของพื้นที่ การเชื่อมโยงตลาด ภายใต้โครงการส่งเสริมอาชีพด้านการเกษตรตามอัตลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่น การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีโดยศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม​ (AIC) และหน่วยงานส่งเสริมต่างๆ 

การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผลไม้และผลไม้อัตลักษณ์ตลอดจนการจัดทำแปลงเรียนรู้การส่งเสริมการผลิตตามระบบมาตรฐาน GAP GMP เกษตรอินทรีย์​ (Organic) และ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์​ (GI) การพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งขององค์กรตามระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ สหกรณ์ และศูนย์คัดแยกผลไม้ชุมชน การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การตรวจสอบย้อนกลับโดยใช้ QR Code และการสร้างแบรนด์​ (Branding) เป็นต้น​ ภายใต้โมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดตามยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตและ​ '5 ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย'​ ของ​ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์​ เป็นแนวทางในการบริหารจัดการผลไม้ในสถาวะวิกฤติโควิด-19​ เน้นร่วมบูรณาการทุกภาคส่วน และการใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมจากศูนย์ AIC เพื่อยืดอายุผลผลิต และแปรรูปยกระดับสู่อุตสาหกรรมเกษตรอาหารเพิ่มมูลค่ารายได้ให้มากขึ้นต่อไป

ทั้งนี้​ จากข้อมูลกรมส่งเสริมการเกษตร (23 ก.ค. 64) ได้เผยถึงสถานการณ์การเก็บเกี่ยวผลไม้ภาคใต้ มีดังนี้... 

ทุเรียน ผลผลิตเก็บเกี่ยวแล้ว ร้อยละ 32.83
เงาะ ผลผลิตเก็บเกี่ยวแล้ว​ ร้อยละ 33.46
มังคุด ผลผลิตเก็บเกี่ยวแล้ว​ ร้อยละ 23.16
ลองกอง ผลผลิตเก็บเกี่ยวแล้ว​ ร้อยละ 0.2

“องอาจ” เสนอใช้โรงเรียน-มหาวิทยาลัย ทั้งรัฐและเอกชน ทำโรงพยาบาลสนาม จุดพักคอย สกัดการแพร่เชื้อ ดีกว่าให้กักตัวที่บ้านหรือชุมชน 

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เพิ่มมากขึ้นทั่วประเทศว่า จากการลงพื้นที่ช่วยเหลือดูแลประชาชนของตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์พบว่าการตรวจหาเชื้อเชิงรุกทำให้พบผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้น ส่วนมากที่พบอาจจะยังไม่มีอาการ แต่ถ้าไม่บริหารจัดการแยกผู้ป่วยติดเชื้อออกจากบ้าน หรือออกจากชุมชน โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อที่อยู่ในชุมชนแออัดของ กทม. ก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้เชื้อต่อไปอีก ถึงแม้ทางราชการจะพยายามมีมาตรการโฮมไอโซเลชั่น (Home isolation)  หรือ คอมมูนิตี้ไอโซเลชั่น (Community isolation) คือให้แยกกักตัวอยู่บ้านหรืออยู่ที่ชุมชน แต่การจัดการเรื่องนี้ในเชิงระบบก็ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ หรือพวกที่พักอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดหนาแน่นของ กทม. ก็ไม่สามารถกักตัวอยู่บ้านได้ เพราะบ้านเป็นห้องที่อยู่รวมกันหลายคน

นายองอาจ กล่าวต่อว่า การช่วยเหลือให้ผู้ป่วยติดเชื้อแยกตัวออกจากบ้านหรือชุมชนจึงเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยติดเชื้อนำเชื้อไปแพร่ระบาดกระจายต่อไป ทางราชการจึงจำเป็นต้องมีโรงพยาบาลสนามและจุดพักคอยเพื่อมากขึ้นใน กทม. ซึ่งทาง ศบค.กทม. พยายามให้มีจุดพักคอยเขตละ 1 จุดรวม 50 เขต 50 จุด แต่ก็ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการให้ครบตามเป้าหมาย เพื่อให้การจัดตั้งจุดพักคอยและโรงพยาบาลสนามทันต่อความต้องการของผู้ป่วยติดเชื้อที่กักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่ชุมชนไม่ได้ จึงขอเสนอดังนี้ 1.ควรประสานขอใช้โรงเรียน สถานศึกษา มหาวิทยาลัย ทั้งของรัฐและเอกชน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดสีแดงเข้มทำเป็นจุดพักคอยและโรงพยาบาลสนาม 2.ประสานกระทรวงสาธารณสุขและท้องถิ่นช่วยสนับสนุนให้ดำเนินการเป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์และสาธารณสุข 3.ขอความร่วมมือจากชุมชนและคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และ 4.ขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างคล่องตัวมีประสิทธิภาพ

“การทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อมีสถานที่ที่เหมาะสมในการกักตัว ไม่ว่าจะเป็นกักตัวที่บ้าน ที่ชุมชน หรือที่จุดพักคอย ที่โรงพยาบาลสนาม นับเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ควรเร่งดำเนินการ จึงขอให้รัฐบาล ศบค. และ ศบค.กทม. เร่งช่วยกัน ทำให้เป็นจริงโดยเร็วด้วย จะได้ช่วยกันทำให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุเลาเบาบางลงซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราคนไทยทุกคนอยากเห็นในเร็ววันนี้” นายองอาจ กล่าว

“ยุทธพงศ์” แจงที่ดินที่ทำการส.ส. อ.พยัคฆพิสัย ใช้ทำรพ.สนาม เป็นของแม่ ลั่น พร้อมให้ตรวจสอบไม่มีอะไรปกปิด ท้า “เรืองไกร” เจอกัน 5 ส.ค. หน้าไทยเบฟฯ เตรียมเสนอขายที่ดิน 100 ไร่ “เสี่ยเจริญ” หวังนำเงินช่วยปชช.ติดโควิด – 19   

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงตอบโต้กรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 65 เตรียมยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบตนกรณีบริจาคหน้ากากอนามัยให้ประชาชน และยกที่ทำการ ส.ส. ที่ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม ให้ทางราชการไปทำ รพ.สนาม ว่า กรณีหน้ากากอนามัย มีเจ้าสัวใหญ่จิตใจเป็นกุศลให้เอาไปบริจาคช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ คนทางบ้านตนยากจนเงินจะกินยังไม่มี แต่มีเจ้าสัวใหญ่ที่มีเมตตาได้มอบให้ซึ่งไม่มีมูลค่า เพราะหน้าซองก็เขียนว่าฟรี
 
นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีใช้ที่ทำการ ส.ส. พรรคเพื่อไทย เขต 3 อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม ทำรพ.สนาม ขอชี้แจงว่า ได้ใช้ที่ทำการส.ส. เป็นศูนย์ประสานงานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด กระทรวงมหาดไทย และจังหวัด มาร่วมดูแล เพราะถือว่าเป็นรพ.สนาม ที่เปิดไว้รองรับผู้ป่วยโควิด – 19 ที่มาจากกทม. แล้วไม่มีที่รักษา ส่วนค่าใช้จ่ายต่างๆ นางเตือนใจ จรัสเสถียร มารดาของตน บริจาคให้กับรพ.พยัคฆภูมิพิสัย ซึ่งมีหน้าที่ดูแลศูนย์แห่งนี้ ทั้งนี้ มารดาของตนเป็นเจ้าของโรงสีที่ใหญ่ที่สุดใน จ.มหาสารคาม ซึ่งมีมานานแล้ว ได้ร่วมกับผู้มีจิตศรัทธาทำเตียงต่างๆ 
 
“ที่ต้องเอาที่ทำการพรรคมาเป็นรพ.สนาม เนื่องจากตอนนี้คนมาจากกทม.ทำให้เตียงในรพ.ล้น แล้วใครจะยอมเสียสละบ้าน เสียสละที่ทำงานของตัวเองให้ แต่มารดาของผมบอกว่าคนเหล่านี้มีบุญคุณ สนับสนุนให้เราได้เป็นส.ส. แม่ทำธุรกิจโรงสี ชาวนาก็เอาข้าวมาขายส่งให้ผมได้เรียนหนังสือ เราจะไปทิ้งเขาได้อย่างไร จึงเสียสละพื้นที่ทำรพ.สนาม ไม่ได้มีความลับอะไร และเป็นที่ดินที่มีมานานแล้ว ตั้งแต่ปี 2516 เป็นที่ดินมีโฉนด ไม่ได้บุกรุกที่หลวง ที่ดินแปลงนี้ได้มาครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2533 เป็นชื่อของบิดาผม ต่อมาโอนเปลี่ยนเป็นชื่อมารดาของผม เมื่อวันที่ 28 ก.ย.2543 กระทั่งถึงทุกวันนี้ไม่มีอะไรปกปิด และที่ทำการ ส.ส. มีมาตั้งแต่ผมยังไม่เป็น ส.ส. ผมได้บารมีของบิดา มารดา ที่สั่งสมไว้ จึงใช้ที่ตรงนี้ใครจะไปตรวจสอบก็ไปได้ ไม่มีอะไรปกปิด” นายยุทธพงศ์ กล่าว 
  
นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า วันนี้ตนปรึกษามารดาขอให้ขายที่สักแปลง 100 ไร่ ให้เจ้าสัวเจริญ โดยเสนอขายราคา 600 ล้านบาท เพื่อเอาเงินไปช่วยประชาชนที่ติดโควิด - 19 ต้องดูว่าเจ้าสัวเจริญจะช่วยหรือไม่ แล้วขอท้านายเรืองไกร ว่าวันที่ 5 ส.ค.นี้ เวลา 10.00 น. แน่จริงขอให้มาเจอกันหน้า บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ว่าปู่ของภรรยาตนเป็นหุ้นส่วนกับเจ้าสัวเจริญ ชื่อเจ้าสัวโกเมน เคยมีบุญคุณกับเจ้าสัวเจริญด้วย วันนี้ลูกหลานเจ้าสัวโกเมนเดือดร้อนดูว่าเจ้าสัวเจริญจะช่วยเหลือหรือไม่

“ยุทธพงศ์” ซัด กลับ “เรืองไกร” ตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาดีจริงหรือยัง พรุ่งนี้จ่อยื่นเพียบ ขอให้ตรวจสอบที่มาเงินซื้อเบนซ์   

ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 มีผู้ใหญ่ใจดีซื้อรถเมอร์เซเดสเบนซ์ s class ให้ ว่า สภาฯแต่งตั้งนายเรืองไกร เป็นกมธ.งบฯ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.2564  ต่อมาวันที่ 1 ก.ค. นายเรืองไกร หิ้วเงินสด 5 ล้านบาท ไปซื้อรถหรูป้ายแดงที่โชว์รูมตรงสถานีรถไฟฟ้าอารีย์ ถ.พหลโยธิน เรื่องนี้นายเรืองไกร ต้องชี้แจงว่าเอาเงินสด 5 ล้านบาท ไปซื้อรถได้แจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) หรือไม่ เพราะเป็นการถอนเงินเกิน 2 ล้านบาท และผู้ใหญ่ใจดีคนนั้นเป็นใครถึงได้ให้เงินนายเรืองไกร 5 ล้านบาท ถามว่านายเรืองไกร ได้เงินดังกล่าวมาด้วยความโปร่งใสหรือไม่ หรือเกี่ยวข้องอะไรกับการที่นายเรืองไกร เป็นกมธ.งบฯ หรือไม่ เรื่องนี้นายเรืองไกรต้องชี้แจง ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ระบุว่า ในการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือคณะกมธ. จะเสนอหรือกระทำการใดๆที่มีผลให้ ส.ส. ส.ว. หรือกมธ. มีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการใช้จ่ายงบประมาณจะกระทำมิได้ ซึ่งนายเรืองไกร เป็นกมธ. และเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ รับเบี้ยประชุม จึงต้องชี้แจงที่มาที่ไปของเงิน 5 ล้านบาท ขณะเดียวกัน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ท่านห้ามรับเงินเกิน 3,000 บาท เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ 

“ผมไม่ได้บอกว่านายเรืองไกร ทุจริตแต่เรียกร้องให้นายเรืองไกร ชี้แจง ซึ่งพรุ่งนี้ (27 ก.ค.) ผมจะยื่นหนังสือถึงนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกมธ.งบฯ และยื่นต่อนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองประธานคณะกมธ.งบฯ เพราะนายวิรัช เป็นหัวหน้าทีมงบประมาณของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งนายเรืองไกร มาในนามของพรรคพลังประชารัฐ จึงจะให้ตรวจสอบว่ามีส่วนได้เสียหรือไม่ นอกจากนี้ จะยื่นต่อปปง. และป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบที่มาที่ไปของเงิน 5 ล้านบาท ในวันที่ 27 ก.ค.นี้ ด้วยเช่นกัน นายเรืองไกรต้องชี้แจง เพราะเป็นนักตรวจสอบ ดังนั้น ต้องโปร่งใส ต้องตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาตัวเองก่อนว่าโปร่งใสหรือไม่และดีจริงหรือไม่” นายยุทธพงศ์ กล่าว

“บิ๊กป้อม” กำชับ สทนช.เตรียมรับมือ ฝนตกหนัก 22 จว. รองรับประกาศกรมอุตุฯ  สั่ง ปภ.เตรียมช่วยเหลือปชช.ทันที  จี้กรมชลฯเตรียม ระบายน้ำ ป้องกันน้ำหลาก-น้ำท่วม  ควบคู่ แผนกักเก็บน้ำใช้ฤดูแล้ง

พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กอนช. ได้สั่งการไปยัง สทนช. ,มหาดไทย ,กรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหน่วยงานทหารในพื้นที่ต่างๆ ให้เตรียมการรับมือจากสถานการณ์น้ำ กรณี การพยากรณ์อากาศ ของกรมอุตุนิยมวิทยา ล่าสุดวันนี้ ( 26 ก.ค.) เกี่ยวกับการแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ 22 จังหวัด ของไทย ที่อาจได้รับผลกระทบ จากสภาพอากาศที่จะมีฝนตกหนัก และอาจจะเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก  อันเนื่องมาจาก ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง บริเวณชายฝั่งทะเลเวียดนามตอนบน ประกอบกับ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทย และอ่าวไทย ยังคงมีกำลังแรง ซึ่งจะส่งผลให้เกิด ภาวะฝนตกหนักบางแห่งบริเวณ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  ภาคตะวันออก ของประเทศไทย รวม 22 จังหวัด และ พื้นที่บางแห่งใน กทม.-ปริมณฑล

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร  ได้กำชับสั่งการให้ กระทรวงมหาดไทย หน่วยทหารในพื้นที่ เตรียมความพร้อมในการป้องกัน ให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ ทันที ที่อาจได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่ม รวมทั้งได้สั่งการกรมชลประทาน ให้ตรวจ ติดตามพื้นที่เตรียมระบายน้ำทุกสาย ทุกจังหวัด พร้อมสั่งการให้ กอนช.และสทนช. เร่ง กำกับ ติดตามการบริหารจัดการน้ำในภาพรวม จากสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ซึ่งมีแผนรองรับไว้แล้ว และให้รายงานให้ พล.อ.ประวิตร  ทราบความคืบหน้า อย่างต่อเนื่องด้วย ต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top