Monday, 30 June 2025
NewsFeed

‘วัน แชมเปียนชิพ’ ย้ายศูนย์กลางการผลิตสู่กรุงเทพฯ หลังสร้างมูลค่าทางศก.ในไทยกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี

วัน แชมเปียนชิพ™ (ONE) องค์กรศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศย้ายศูนย์กลางการผลิตจากสิงคโปร์มายังกรุงเทพฯ ประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมศูนย์การผลิต และสนับสนุนการดำเนินงานด้านคอนเทนต์ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินงานของ ONE เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดรายการ ONE ลุมพินี ณ สนามมวยเวทีลุมพินีทุกสัปดาห์ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกถึง 195 ประเทศ ในช่วงไพรม์ไทม์ของเอเชีย ด้วยขนาดและความสม่ำเสมอของอีเวนต์นี้ การรวมฐานการผลิตทั้งหมดไว้ที่ประเทศไทยจึงถือเป็นก้าวสำคัญและมีความเหมาะสมในเชิงปฏิบัติการ

นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการนำเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้กับระบบการผลิตคอนเทนต์ระดับโลกในทุกแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพ พร้อมกับทำให้การดำเนินงานมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น

นายชาตรี ศิษย์ยอดธง ประธานและซีอีโอของ ONE กล่าวว่า “ตลอดสองปีครึ่งที่ผ่านมา ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตคอนเทนต์ระดับโลกของเรา เมื่อเราขยายการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยให้เราสามารถรวมศูนย์การผลิตและพัฒนาการประสานงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถด้านการผลิตอีเวนต์และคอนเทนต์ของเราต่อไป”

ผลการศึกษาล่าสุดจาก Nielsen รายงานว่า ONE มีส่วนสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยกว่า 470 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งตอกย้ำถึงคุณค่ามหาศาลในภาพรวมของอีเวนต์ ที่มีต่อภาคกีฬาและการท่องเที่ยวของประเทศ

ทั้งนี้ สิงคโปร์จะยังคงเป็นสำนักงานใหญ่ของ ONE ตามเดิม ในฐานะที่ตั้งของฝ่ายบริหารระดับสูง, ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ และฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ในขณะเดียวกันบริษัทยังคงมีสถานะทางนิติบุคคลในหมู่เกาะเคย์แมน ซึ่งเป็นสถานที่ที่บริษัทย้ายที่จดทะเบียนไปเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนด้านเงินทุนระยะยาว และการจัดโครงสร้างองค์กรโดยรวม

“นี่เป็นอีกก้าวสำคัญของการพัฒนาในฐานะองค์กรสื่อกีฬาชั้นนำระดับโลก เรายังคงยึดถือในความมุ่งมั่นที่มีต่อสิงคโปร์ ไปพร้อม ๆ กับการจัดสรรทรัพยากรไปยังสถานที่ที่มีความเหมาะสมกับการดำเนินงานมากที่สุด”

ONE ยังคงมุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์มสื่อกีฬาระดับโลก โดยมีกรุงเทพฯ ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตหลักสำหรับการส่งมอบคอนเทนต์สู่ผู้ชมทั่วโลกนับจากนี้

จีนปลด ‘พลเรือเอกเมี่ยว ฮัว’ พ้นคณะทหารสูงสุด ปมละเมิดวินัยร้ายแรง เอี่ยวคอร์รัปชันกองทัพ

(30 มิ.ย. 68) รัฐสภาสูงสุดของจีนมีมติปลด “พลเรือเอกเมี่ยว ฮัว” (Miao Hua) เจ้าหน้าที่ทหารอาวุโสวัย 69 ปี ออกจากตำแหน่งในคณะกรรมาธิการทหารกลาง ซึ่งเป็นองค์กรบัญชาการสูงสุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชน (PLA) หลังมีรายงานว่าเขาถูกสอบสวนเรื่อง “การละเมิดวินัยอย่างร้ายแรง” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายอุดมการณ์ทางการเมืองของ PLA

การปลดพลเรือเอกเมี่ยว ฮัว ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการเดินหน้ากวาดล้างคอร์รัปชันภายในกองทัพ โดยตลอดช่วงที่ผ่านมา มีทั้งนายพลระดับสูงและผู้บริหารในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศหลายรายถูกสอบสวนและถอดถอน ซึ่งเมี่ยวฮัวเองเคยร่วมงานกับสี จิ้นผิง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในมณฑลฝูเจี้ยน และเป็นบุคคลที่สี จิ้นผิงผลักดันให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ

นอกจากพลเรือเอกรายนี้แล้วยังมีรายงานว่า “หลี่ ฮั่นจวิน” (Li Hanjun) รองผู้บัญชาการกองทัพเรือ ก็ถูกปลดจากสถานะผู้แทนรัฐสภา ขณะที่อีกหนึ่งนายพลระดับสูง “เหอ เว่ยตง” (He Weidong) ซึ่งเป็นอันดับสองในคณะกรรมาธิการทหารกลาง หายตัวไปจากสาธารณะตั้งแต่เดือนมีนาคม และยังไม่มีความชัดเจนว่าเขาเกี่ยวข้องกับการสอบสวนใด ๆ หรือไม่ แม้โฆษกกลาโหมจีนจะอ้างว่า “ไม่ทราบ” เรื่องข่าวการควบคุมตัว

ทั้งนี้ จีนเคยปลดรัฐมนตรีกลาโหมมาแล้วสองคนจากกรณีคอร์รัปชัน หนึ่งในนั้นคือ “หลี่ ซางฝู” (Li Shangfu) ที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ส่วนรัฐมนตรีกลาโหมคนปัจจุบัน “ตง จวิ้น” (Dong Jun) ยังปรากฏตัวในงานต่าง ๆ และเพิ่งเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้เมื่อไม่นานมานี้ ท่ามกลางกระแสจับตาเกี่ยวกับความโปร่งใสในกองทัพจีนที่ยังคงเป็นปริศนา

นายกฯ เชิญ ‘ประธานาธิบดี มาครง’ เยือนไทย ย้ำชัดพร้อมหารือกัมพูชาแก้ปมชายแดนด้วยสันติวิธี

นายกฯ เผยเชิญ ‘มาครง’ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เยือนไทย ย้ำพร้อมหารือกัมพูชา แก้ปมชายแดนสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคีของสองประเทศ 

(30 มิ.ย. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก 'Ing Shinawatra' ระบุว่า “ดิฉันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้หารือทางโทรศัพท์กับท่านเอมานูว์แอล มาครง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นถึงการสานต่อ และกระชับความร่วมมือทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยีอวกาศ กลาโหม และพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ของไทย-ฝรั่งเศสไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ที่ต่างยึดมั่นในคุณค่าร่วมกันในการส่งเสริมการค้าเสรีระหว่างประเทศ และระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกติการะหว่างประเทศ” 

“ดิฉันได้เน้นย้ำบทบาทเชิงรุกของไทย ในการส่งเสริมความเป็นแกนกลางของอาเซียน รวมถึงความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงได้ย้ำความมุ่งมั่นของไทยที่จะหารือกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อหาทางออกของปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ซึ่งประธานาธิบดีมาครงแสดงความเข้าใจในท่าทีดังกล่าวของไทย และพร้อมให้การสนับสนุน” 

“ดิฉันยังได้ขอบคุณฝรั่งเศสที่สนับสนุนไทยในการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป และการสมัครเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ระยะยาวแก่ทั้งสองฝ่าย และดิฉันได้ใช้โอกาสนี้เชิญประธานาธิบดีมาครงเยือนไทยอย่างเป็นทางการในช่วงเวลาที่สองฝ่ายเห็นว่าเหมาะสม โดยประธานาธิบดีมาครงก็ได้เชิญดิฉันเยือนฝรั่งเศสเช่นกันค่ะ”

เยอรมนีจี้ Apple–Google แบน DeepSeek หวั่นข้อมูลผู้ใช้ถูกส่งกลับจีน!! ชี้ละเมิดกฎหมายคุ้มครอง

(30 มิ.ย. 68) เยอรมนีออกคำเตือนถึง Apple และ Google ให้พิจารณาแบนแอป AI จากจีนชื่อ DeepSeek หลังพบว่ามีการส่งข้อมูลผู้ใช้ในเยอรมนีกลับไปยังจีนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อกำหนดด้านการปกป้องข้อมูลของสหภาพยุโรป (GDPR) โดยสำนักงานคุ้มครองข้อมูลของกรุงเบอร์ลินระบุว่า DeepSeek ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าข้อมูลของผู้ใช้ชาวเยอรมันจะปลอดภัยเมื่อถูกส่งไปยังจีน

DeepSeek ได้รับความสนใจมากขึ้นหลังเปิดตัวโมเดล AI ราคาประหยัดที่อ้างว่าพัฒนาได้ด้วยต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง และปล่อยแอปแชตบอตที่มีผู้ดาวน์โหลดหลายล้านครั้งทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แอปนี้มีการส่งข้อมูลผู้ใช้งานกลับไปยังจีน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจีนอาจเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปได้ เรื่องนี้ขัดต่อกฎหมาย GDPR ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดให้ต้องมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลอย่างเข้มงวดก่อนจะส่งข้อมูลออกนอกยุโรป

ปัจจุบันหน่วยงานกำกับข้อมูลของเยอรมนีได้แจ้ง Apple และ Google ถึงข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว และคาดหวังว่าทั้งสองบริษัทจะรีบดำเนินการตรวจสอบว่าแอปพลิเคชั่น DeepSeek ควรถูกถอดออกจาก App Store และ Play Store หรือไม่ หากทั้งสองบริษัทดำเนินการตามคำแนะนำ ก็เท่ากับเป็นการแบน DeepSeek ทั่วทั้งสหภาพยุโรป

ทั้งนี้ DeepSeek เคยเผชิญปัญหาลักษณะเดียวกันมาแล้วในยุโรป โดยอิตาลีเคยสั่งระงับแอปดังกล่าวในประเทศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และไอร์แลนด์ก็เคยขอข้อมูลด้านการประมวลผลข้อมูลจากบริษัทในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หากแนวโน้มการตรวจสอบยังดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้ DeepSeek สูญเสียตลาดสำคัญในยุโรปและสหราชอาณาจักรในไม่ช้า

ผู้เชี่ยวชาญจีนเบรก ‘ฮุน เซน’ ย้ำอาวุธเขมรยิงไม่ถึงกรุงเทพฯ ชี้กัมพูชายังเป็นรอง!! ไทยเหนือกว่าหลายเท่า

(30 มิ.ย. 68) สถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชากลับมาเป็นที่จับตาหลังฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาระบุว่า อาวุธที่ประเทศตนมีอยู่สามารถยิงถึงกรุงเทพฯได้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จีนเตือนว่าเป็นไปไม่ได้ทางเทคนิค โดยชี้ว่าระบบอาวุธจีนที่กัมพูชามีไม่สามารถยิงไกลถึงกรุงเทพฯ และกัมพูชาก็ไม่มีเครื่องบินรบที่ติดอาวุธพิสัยไกลเช่นกัน

ซ่ง จงผิง (Song Zhongping) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการทหารของจีน กล่าวว่า อาวุธที่จีนขายให้ต่างประเทศนั้นออกแบบมาเพื่อการป้องกัน ไม่ใช่การรุกราน และเมื่อส่งมอบแล้ว ก็เป็นสิทธิของประเทศผู้ซื้อในการใช้งาน แต่จีนไม่อยากเห็นสองประเทศที่เป็นมิตรกับตนอย่างไทยและกัมพูชาต้องเปิดฉากสู้รบกัน โดยเฉพาะเมื่อข้อพิพาทชายแดนมีที่มาจากปัญหาที่ตกค้างมาตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งเศสยังเป็นเจ้าอาณานิคม

จีนยังย้ำว่าศักยภาพทางทหารของไทยเหนือกว่ากัมพูชาหลายเท่า ทั้งงบประมาณที่สูงกว่าราว 10 เท่า และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยกว่า โดยไทยนำเข้าอาวุธจากจีนถึง 44% ขณะที่กัมพูชาพึ่งพาจีนเกือบทั้งหมด จีนจึงเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความอดกลั้น และเน้นเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีและภูมิภาค

นอกจากนี้ จีนระบุอีกว่าไม่ใช่แค่จีนเท่านั้นที่ควรเข้ามาช่วย อาเซียนเองก็ควรมีบทบาทในการลดความตึงเครียด เพราะหากความขัดแย้งลุกลามเป็นความรุนแรง จะกระทบต่อเสถียรภาพของทั้งภูมิภาคโดยตรง

สมาคมคนพิการภาคตะวันออก ผนึกกำลัง ขับเคลื่อน “โครงการฝึกงานมาตรา 35” ส่งเสริมอาชีพคนพิการอย่างยั่งยืน

(27 มิ.ย. 68) ณ ศูนย์การเรียนรู้เย็บผ้า จังหวัดบุรีรัมย์ ดร.ณรงค์ ไปวันเสาร์ นายกสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ได้เป็นประธานในพิธีเปิด “โครงการฝึกงานตามมาตรา 35 หลักสูตรช่างตัดเย็บเสื้อผ้าระดับต้น 600 ชั่วโมง” โดยมีผู้บริหารจากบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด บริษัทในเครือ ปตท. นำโดย นายจตุรงค์ วงษ์อุดมสิน เข้าร่วมในพิธี พร้อมด้วย นายอุทัย จิตสัตย์ นายกสมาคมคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกายจังหวัดบุรีรัมย์ ประธานชมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญา หน่วยงานราชการในพื้นที่ และกลุ่มผู้พิการที่เข้าร่วมโครงการให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นองค์กรคนพิการในพื้นที่ ชมรมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญา ตลอดจนหน่วยงานท้องถิ่น ที่ร่วมกันดำเนินงานตามแนวทางของสมาคมคนพิการภาคตะวันออก โดยมีบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด (ในเครือ ปตท.) เป็นผู้สนับสนุนหลัก ทั้งด้านงบประมาณและการผลักดันให้เกิดโครงการนี้อย่างเป็นรูปธรรม

ดร.ณรงค์ ได้กล่าวว่า โครงการฝึกงานมาตรา 35 ดังกล่าว เป็นหนึ่งในโครงการนำร่องของสมาคมฯ ที่ดำเนินการร่วมกับองค์กรคนพิการใน 6 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ นครราชสีมา อ่างทอง หนองบัวลำภู ขอนแก่น และสกลนคร โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนหลายแห่ง อาทิ บริษัท ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด (สถานีบริการน้ำมัน PT), บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) และบริษัท บิซิเนส เซอร์วิสเซส อัลไลแอนซ์ จำกัด
ปัจจุบัน แม้คนพิการจำนวนมากจะได้รับโอกาสในการทำงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ พ.ศ. 2550 (และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2556) โดยเฉพาะในมาตรา 33 แต่ยังมีคนพิการอีกเป็นจำนวนมากที่ยังว่างงาน ขาดโอกาสทางการศึกษา หรือไม่สามารถเดินทางไปทำงานนอกบ้านได้ ด้วยภาระหรือข้อจำกัดทางร่างกาย โครงการฝึกงานตามมาตรา 35 จึงเป็นทางเลือกสำคัญที่จะช่วยให้คนพิการเหล่านี้ได้เข้าถึงทักษะอาชีพ มีรายได้ และสามารถดูแลตนเองและครอบครัวได้อย่างมั่นคง

หลักสูตรช่างตัดเย็บเสื้อผ้าระดับต้น 600 ชั่วโมง ที่จัดขึ้นนี้ มีระยะเวลาฝึกอบรม 6 เดือน โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 330 บาท พร้อมอาหารหลัก 3 มื้อ และอาหารว่าง 2 มื้อตลอดการฝึก เมื่อจบหลักสูตร ผู้ฝึกจะได้รับ “จักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมและชุดเครื่องมือ” เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพอิสระต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเปิดร้านซ่อมผ้า ปะ เปลี่ยนซิป หรือเย็บเสื้อผ้าในชุมชนของตนเอง โครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างทักษะอาชีพ แต่ยังสร้างความหวัง ความภูมิใจ และศักดิ์ศรีให้กับกลุ่มคนพิการ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสมาคมคนพิการภาคตะวันออก ร่วมกับองค์กรคนพิการระดับจังหวัด ภาครัฐ และภาคธุรกิจ ที่ร่วมกันส่งเสริมและผลักดันให้คนพิการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
ในตอนท้าย ดร.ณรงค์ ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงานและภาคเอกชนที่ร่วมสนับสนุนโครงการ ทั้งในด้านทุนทรัพย์ อุปกรณ์ ตลอดจนการส่งเสริมตามมาตรา 33, 34 และ 35 ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านคนพิการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเชิญชวนบริษัทหรือหน่วยงานที่สนใจเข้าร่วมสนับสนุนโครงการในลักษณะนี้ ติดต่อได้ที่
สมาคมคนพิการภาคตะวันออก โทร. 08-1669-1111

เว็บไซต์: www.ead.or.th
อีเมล: [email protected]

‘ทรัมป์’ ยืนกรานเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่น 25% เสนอทางรอด!! ซื้อสินค้าอเมริกันแทนโดนภาษีอัตราสูง

(30 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงวิจารณ์การค้ารถยนต์ระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นว่าไม่เป็นธรรม โดยระบุว่าสหรัฐฯ รับรถยนต์จากญี่ปุ่นนับล้านคันทุกปี แต่ญี่ปุ่นกลับไม่เปิดตลาดรับรถจากอเมริกาเท่าที่ควร พร้อมขู่ว่าจะยังคงเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 25% ต่อไป

ทรัมป์ให้สัมภาษณ์ว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นก็รู้เรื่องนี้ดี เขายังพูดเชิงประชดว่า “ผมอาจส่งจดหมายถึงญี่ปุ่นว่า คุณต้องจ่ายภาษีนำเข้ารถยนต์ 25%” ซึ่งสื่อว่าเขาจะไม่ยอมลดหรือยกเลิกภาษีนำเข้ารถยนต์จากญี่ปุ่นตามที่ญี่ปุ่นร้องขอ

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังกล่าวว่า ญี่ปุ่นควรช่วยลดการขาดดุลการค้าด้วยการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้น เช่น น้ำมันหรือสินค้าอุตสาหกรรม พร้อมย้ำว่าเขาสามารถประกาศเก็บภาษีได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องพบหรือหารือกับผู้นำประเทศคู่ค้าเหล่านั้นโดยตรงก่อน

ทรัมป์ยังระบุอีกว่า เขาเตรียมส่งจดหมายแบบเดียวกันไปยังประเทศคู่ค้ารายอื่น ๆ ที่ตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ไว้สูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของเขาจะเดินหน้านโยบายกดดันด้านการค้าอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นหลัก

ศาลอิสราเอลเลื่อนสืบคดี ‘เนทันยาฮู’ อ้างติดภารกิจดูแลเรื่องความมั่นคงชาติ

(30 มิ.ย. 68) ศาลกรุงเยรูซาเลม มีคำสั่งเลื่อนการไต่สวนคดีทุจริตของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ซึ่งเดิมมีกำหนดในสัปดาห์นี้ หลังเจ้าตัวยื่นคำร้องขอเลื่อน โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ และได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิกคดี พร้อมยกย่องเนทันยาฮูว่าเป็น “วีรบุรุษ”

ทีมกฎหมายของเนทันยาฮูให้เหตุผลว่า นายกรัฐมนตรีจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการจัดการปัญหาทางการเมืองและความมั่นคง โดยเฉพาะหลังจากเกิดการสู้รบกับอิหร่านที่เพิ่งยุติลงด้วยข้อตกลงหยุดยิง และสถานการณ์ในฉนวนกาซาที่ยังมีตัวประกันชาวอิสราเอลถูกจับอยู่

ก่อนหน้านี้ศาลเคยปฏิเสธคำขอเลื่อนการไต่สวนของเนทันยาฮู แต่ภายหลังเปลี่ยนใจเมื่อได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าตัว รวมถึงหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหารและผู้อำนวยการมอสซาด (Mossad) ซึ่งยืนยันว่าเขาจำเป็นต้องทุ่มเทเวลาให้กับภารกิจด้านความมั่นคง จึงเห็นควรให้เลื่อนการไต่สวนออกไปก่อนในช่วงนี้

สำหรับคดีของเนทันยาฮูมีหลายประเด็น โดยหนึ่งในนั้นคือการรับของขวัญหรูมูลค่ากว่า 260,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9.49 ล้านบาท) จากนักธุรกิจ แลกกับผลประโยชน์ทางการเมือง อีกทั้งยังถูกกล่าวหาว่าพยายามต่อรองให้สื่อบางสำนักเสนอข่าวเชิงบวก ขณะที่เจ้าตัวปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และมองว่าคดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง โดยที่ผ่านมาเขาเคยขอเลื่อนการพิจารณาคดีมาแล้วหลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2020

นายกฯ เปิดผลสอบ ตึกสตง.ถล่ม หลังครบ 90 วัน ชี้ผิดทั้งออกแบบ-วิธีก่อสร้าง เล็งชงดีเอสไอ-ตร.ฟันคนผิด

(30 มิ.ย. 68) ที่ห้องสีเขียว ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามผลการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีอาคารที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อันเนื่องมาจากแผ่นดินไหว โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายพิศุทธ์ สุขุม วิศวกรใหญ่กรมโยธาและผังเมือง นายนิเวศน์ ล้ำเลิศลักษณชัย ผอ.สำนักวิศวกรรมโครงสร้างและงานระบบ นายธนิต ใจสอาด ผอ.สำนักควบคุมและตรวจสอบอาคาร ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย รศ.ดร.บุญไชย สถิตมั่นในธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รศ.ดร.สุทัศน์ ลีลาทวีวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และรศ.อเนก ศิริพานิชกร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย  เข้าร่วมประชุม

จากนั้นเวลา 12.15 น. นายกฯ แถลงว่า จากการประชุมเนื่องจากเหตุการณ์พังถล่มของอาคาร สตง. ที่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มี.ค. 68 เราได้รับความร่วมมือจากกรมโยธาธิการและผังเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นเอกภาพ โดยจากทุกสถาบันมีข้อมูลที่สอดคล้องกันดังนี้ 1. พบว่ามีการบกพร่องในการออกแบบและวิธีการก่อสร้าง โดยเฉพาะเทคนิคในการก่อสร้าง ในส่วนของผนังช่องลิฟท์ ผนังบันไดหรือที่เรียกว่า ผนังรับแรงเฉือน เป็นสิ่งที่เกิดปัญหา

นายกฯ กล่าวว่า เรื่องของวัสดุไม่ว่าจะเหล็กหรือคอนกรีตเป็นวัสดุปกติที่ได้มาตรฐานทั่วไป แต่การนำมาใช้ในโครงการนี้และเกิดปัญหา เป็นเรื่องของคอนกรีตที่ไม่ได้มาตรฐานและวิธีการสร้างของโครงการนี้ที่มีปัญหา ก็เป็นสิ่งที่หลายภาคส่วนมีความกังวล อาคารอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร ซึ่งเท่าที่ได้รับรายงานมา มีการก่อสร้างหลายๆ จุดที่ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมายทั้งการออกแบบและการก่อสร้าง ทั้งในการวิจัยออกมาและมีการทำจำลองตัวตึก ระบุว่าถ้าปฏิบัติตามกฎหมายจะสร้างความแข็งแรงให้ตึกเพิ่มมากขึ้นและจะสามารถรับแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่านี้แน่นอน โดยเราใช้เทคโนโลยีเดียวกันกับที่สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นในการดำเนินการ

นายกฯ กล่าวว่า ขอย้ำอีกครั้งว่าโครงการอื่น ๆ ได้มีการตรวจสอบในด้านวัสดุก่อสร้าง อย่างเคร่งครัดไม่ได้มีปัญหาใด ๆ และอยากให้ประชาชนสบายใจในเรื่องนี้ ต่อจากนี้เราก็จะนำข้อมูลที่ได้ทำเป็นรูปเล่มให้เสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ และส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจเพื่อดำเนินการต่อ ทั้งนี้ขอตอบปัญหาประชาชนเบื้องต้นว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากการออกแบบและการก่อสร้างของโครงการนี้ที่มีปัญหาอย่างเห็นได้ชัดซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย

เมื่อถามว่า สรุปได้หรือยังว่าความเสียหายอาคาร สตง. ถล่มใครจะเป็นคนรับผิดชอบ นายกฯ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการออกแบบและโครงสร้างการก่อสร้างที่มีปัญหา เรื่องที่ว่าใครผิดหรือไม่ ต้องให้ตำรวจทำงานร่วมกับดีเอสไอเป็นคน ซึ่งเราทราบข้อมูลทั้งหมดแล้ว ใครที่ไม่เกี่ยวข้องหรือว่าอย่างไรก็ว่าไปตามกฎหมาย ตามกระบวนการ

เมื่อมาถามว่า ตัวเหล็กไม่มีปัญหาแต่มีปัญหาที่คอนกรีตใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตัวเหล็กไม่มีปัญหาอะไร แต่มีปัญหาพวกวัสดุอื่น ๆ ซึ่งเอามาไม่ผิด แต่พอมาสร้างในโครงการนี้มีการเฉือนให้บางลงซึ่งไม่เป็นไปตามกฎ ตอนแรกตนก็กังวลใจในเรื่องของที่ไม่มีคุณภาพกับโครงการอื่น แต่เป็นการมาบิดในโครงการนี้

เมื่อถามว่า ถ้าปัญหาเป็นเรื่องของการออกแบบ ทาง สตง.ที่เป็นผู้จัดซื้อจัดจ้าง ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ต้องให้ทางดีเอสไอกับตำรวจช่วยดูว่าอย่างไรบ้าง ใครต้องรับผิดชอบส่วนไหนบ้าง เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ซึ่งเราได้ให้ทางผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยี 90 วัน ในการหาสาเหตุของแผ่นดินไหว และยื่นข้อมูลให้ดีเอสไอกับตำรวจดำเนินการต่อ

เมื่อถามว่า น้ำหนักที่จะเอาผิดอยู่ที่ผู้ออกแบบและผู้ที่ทำเรื่องของโครงสร้างใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ทราบ แต่ข้อมูลที่ออกไปคนก็จะมองต่างมุมว่า แบบไหนผิดหรือถูก ฉะนั้นก็อยากให้เป็นไปตามกระบวนการที่เป็นกลางมากที่สุด ทำแบบนี้ใครผิด ซึ่งก็ไม่ได้มีหน้าที่ว่าใครชี้ว่าใครผิด แต่ตอนนี้ทราบว่าดำเนินการผิดกฎหมาย

เมื่อถามว่า กระบวนการการตรวจสอบ สตง. จะไม่เงียบ นายกฯ กล่าวว่า ไม่เงียบแน่นอนเดี๋ยวอีก 2 สัปดาห์ก็จะมีรายงานที่เป็นรูปเล่ม และส่งให้ดีเอสไอกับตำรวจทำงานต่อ และเรารู้ว่าประชาชนไม่ได้ลืม และรออยู่ว่าตึกสตง. ถล่มเกิดขึ้นจากคืออะไร จริงวันนี้เราได้คำตอบแล้วและดีมาก ๆ หลังจากนั้นก็ให้ว่าไปตามกระบวนการ

เครมลินชี้!! ชาติตะวันตกเริ่มยอมรับความจริง แม้พยายามหนัก แต่ไม่สามารถเอาชนะรัสเซียได้

(30 มิ.ย. 68) รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ (Sergey Lavrov) กล่าวระหว่างเยือนคีร์กีซสถานว่า ชาติตะวันตกเริ่มตระหนักว่า ไม่สามารถเอาชนะรัสเซียในเชิงยุทธศาสตร์ได้ แม้จะพยายามใช้อาวุธและสนับสนุนรัฐบาลยูเครนที่ลาฟรอฟกล่าวหาว่าเป็น “ระบอบนาซี” เพื่อบีบให้รัสเซียพ่ายแพ้ แต่ที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จ และครั้งนี้ก็จะล้มเหลวอีกเช่นกัน

ลาฟรอฟยืนยันว่ารัสเซียพร้อมร่วมมืออย่างจริงใจในการหาทางยุติสงครามในยูเครน แต่จะไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของเกมการเมืองที่ผู้นำยุโรปบางรายพยายามกดดันให้รัสเซียเข้าร่วม พร้อมโจมตีผู้นำฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง และนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริช แมร์ทซ์ ว่าไม่มีเหตุผล และกำลังพยายามรื้อฟื้นอิทธิพลเดิมของยุโรปในแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

นอกจากนี้ ลาฟรอฟยังหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศคีร์กีซถึงประเด็นแรงงานข้ามชาติ โดยระบุว่ารัสเซียยินดีต้อนรับแรงงานจากประเทศพันธมิตร แต่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด พร้อมหารือเรื่องสถานการณ์ในยูเครน อิหร่าน และปัญหาปาเลสไตน์

ลาฟรอฟแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลคีร์กีซที่มีท่าทีเป็นกลางและไม่เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย โดยการเยือนครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 29–30 มิถุนายน และเขายังเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศขององค์กรสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (CSTO) อีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top