Thursday, 29 May 2025
NewsFeed

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำ 'โครงการถนนปลอดภัย' บังคับใช้กฎหมายจราจรเข้มข้น ป้องกันอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร คิกออฟ 1 มิถุนายนนี้ พร้อมกันทั่วประเทศ

(27 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยจัดทำ “โครงการถนนปลอดภัย” โดยให้ดำเนินการเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้การบริหารงานจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

พล.ต.อ.ไกรบุญฯ สั่งการให้ดำเนินโครงการ “โครงการถนนปลอดภัย” โดยให้กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ พิจารณาเลือกถนนสายสำคัญในพื้นที่ หรือถนนที่มีการฝ่าฝืนกฎจราจรจำนวนมาก หรือถนนที่มีอุบัติเหตุในเส้นทางบ่อยครั้ง หรือถนนที่มีที่ตั้งของสถานศึกษาอยู่หลายแห่ง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในทุกมิติ โดยเฉพาะการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 100% ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 122 กำหนดให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องสวมหมวกนิรภัยเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และมีโทษปรับเป็น 2 เท่า หากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขับขี่ในขณะที่คนโดยสารรถจักรยานยนต์มิได้สวมหมวกนิรภัย โดยให้บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถหรือการใช้ทางบนถนนดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน หน่วยงานเจ้าของถนน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง หน่วยงานภาครัฐ และสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อทราบถึง “โครงการถนนปลอดภัย” ของหน่วยตนเอง และเชิญชวนให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎจราจร ช่วยกันรณรงค์และตรวจตราผู้ใช้เส้นทาง มิให้มีการฝ่าฝืนกฎจราจรในถนนเส้นดังกล่าว ตลอดจนเสริมสร้างการใช้มาตรการองค์กรร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ ให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในถนนเส้นดังกล่าวในทุกมิติ ทั้งนี้ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจราจร สร้างความปลอดภัยให้แก่ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราอีกด้วย

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนร่วมกันสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน และหากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุต้องสงสัย หรือสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม  แจ้งอุบัติเหตุจราจร และขอความช่วยเหลือด้านการจราจร สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ทรัมป์’ ขึ้นภาษี EU 50% ทำให้ ‘เยอรมนี’ เสี่ยงทรุดหนัก คาดสูญ 7.3 ล้านล้านบาท GDP ลดลง 1.1% ต่อปี..ถึง 2028

(27 พ.ค. 68) สถาบันเศรษฐกิจเยอรมนี (IW) รายงานว่า หากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรปที่อัตรา 50% ต่อเนื่องจนสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่ง อาจส่งผลให้เศรษฐกิจเยอรมนีสูญเสียมูลค่าสูงสุดถึง 200,000 ล้านยูโร (ราว 7.39 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2028

การศึกษาของ IW ชี้ว่า ผลกระทบดังกล่าวจะทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของเยอรมนีลดลงเฉลี่ยปีละ 1.1% ระหว่างปี 2025 ถึง 2028 และหากสหภาพยุโรปตอบโต้ด้วยมาตรการภาษีในลักษณะเดียวกัน ความสูญเสียทางเศรษฐกิจของเยอรมนีอาจเพิ่มขึ้นเป็น 290,000 ล้านยูโร (ราว 10.71 ล้านล้านบาท) ในช่วงเวลาเดียวกัน

ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2025 ว่าจะเรียกเก็บภาษี 50% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหภาพยุโรป โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรปไม่มีความคืบหน้า และระบุว่าหากสินค้าถูกผลิตในสหรัฐฯ จะไม่ถูกเก็บภาษีดังกล่าว

ขณะที่ ลาร์ส คลิงไบล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของเยอรมนี เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อพิพาททางภาษีระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปโดยเร็ว เนื่องจากการเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย

ส่วนภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนี โดยเฉพาะภาคการส่งออก กำลังเผชิญกับความเสี่ยงอย่างมากจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ทัพเรือภาคที่ 1 จัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

(27 พ.ค. 68) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 นำกำลังพลจิตอาสาจากทัพเรือภาคที่ 1 พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 1, กองพันซ่อมบำรุง กรมสนับสนุนกองพลนาวิกโยธิน, กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 21 กรมต่อสู้อากาศยานที่ 2, หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง, เทศบาลตำบลบางเสร่, เทศบาลตำบลเกล็ดแก้ว ตลอดจนคณะครูและนักเรียนโรงเรียนเกล็ดแก้ว ร่วมจัดกิจกรรมจิตอาสา “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” ณ โรงเรียนเกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี รวมถึงกิจกรรมเก็บขยะบริเวณชายหาดหน้าโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ

กิจกรรมประกอบด้วย การปรับปรุงภูมิทัศน์ ตัดหญ้า ลอกรางระบายน้ำ ทำความสะอาดบริเวณโรงเรียนเกล็ดแก้ว และเก็บขยะบริเวณชายหาด เพื่อเสริมสร้างจิตสาธารณะ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาชุมชน สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือกับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของกองทัพเรือ

การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและแสดงความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และบำเพ็ญประโยชน์ถวายเป็นพระราชกุศล

สมนึก เชื้อสนุก  รายงาน

‘ทรัมป์’ ยื่นข้อเสนอใหม่ให้ ‘แคนาดา’ เลือกจ่าย 61 พันล้านดอลลาร์ หรือเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ

(28 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอใหม่ต่อแคนาดา โดยระบุว่าแคนาดาเลือกได้เลยจะจ่าย 61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.23 ล้านล้านบาท) เพื่อเข้าร่วมระบบป้องกันขีปนาวุธ 'Golden Dome' หรือกลายเป็นรัฐที่ 51 ของสหรัฐฯ เพื่อได้รับสิทธิเข้าร่วมฟรี โดยทรัมป์ประกาศผ่าน Truth Social ว่า “แคนาดาจะไม่ต้องจ่ายแม้แต่ดอลลาร์เดียว หากกลายเป็นรัฐที่รักยิ่งของเรา”

ข้อเสนอของทรัมป์มีขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา มาร์ก คาร์นีย์ ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ด้วยนโยบายปกป้องอธิปไตยของประเทศ และปฏิเสธแนวคิดของทรัมป์อย่างชัดเจน โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยล้อเลียนอดีตนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด ว่าเป็นเพียง 'ผู้ว่าการทรูโด'

ในขณะเดียวกัน โครงการ Golden Dome ของสหรัฐฯ มีมูลค่ารวมกว่า 175 พันล้านดอลลาร์ และอาจสูงถึง 542 พันล้านดอลลาร์ในระยะยาว โดยเป็นโครงการป้องกันขีปนาวุธที่รวมถึงการวางอาวุธในอวกาศ ซึ่งทรัมป์คาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ภายในปี 2029

การยื่นข้อเสนอของทรัมป์เกิดขึ้นหลังจากพระเจ้าชาร์ลส์แห่งอังกฤษเสด็จแคนาดาและกล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภา ย้ำอธิปไตยและเสรีภาพของแคนาดา ขณะที่นายกฯ คาร์นีย์ได้ย้ำจุดยืนว่า “แคนาดาไม่ใช่ของซื้อขายได้” ส่วนทรัมป์ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เดี๋ยวก็รู้เอง”

ILINK ย้ำความแข็งแกร่ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก มุ่งสู่รายได้แตะ 7.12 พันล้านบาท ในปี 68

ILINK ร่วมแจงความมั่นคง ในงานพบนักลงทุน Opportunity Day Q1/2568 เน้นย้ำเป้าหมายเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) มุ่งสู่รายได้ทั้งปี แตะ 7.12 พันล้านบาท

นายสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในการนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ และรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ว่า ILINK ยังคงดำเนินกลยุทธ์การเติบโตอย่างมีคุณภาพ ผ่าน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐาน และระบบการสื่อสาร เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในระยะยาว 

อีกทั้ง บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ความยืดหยุ่นในการบริหาร และการปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว พร้อมเสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ลงทุน คู่ค้า ลูกค้า และสังคมโดยรวม แม้ไตรมาสแรกจะมีความท้าทายหลายด้าน แต่ ILINK พร้อมปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม และเดินหน้าต่ออย่างมั่นคง เชื่อมั่นว่าในไตรมาสต่อ ๆ ไป เราจะสามารถเร่งการเติบโต สร้างผลกำไรที่ดี และตอบสนองความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างแน่นอน

โดยภาพรวมผลการดำเนินงานของ 3 ธุรกิจหลักในไตรมาส 1/2568 สำหรับ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) มีรายได้รวม 832.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 84.73 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แต่ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของการบริหารจัดการต้นทุน และโครงสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนา และขยายตลาดของแบรนด์ “LINK AMERICAN & GERMAN RACK” อย่างต่อเนื่อง จากการที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “New Innovation Products Launch 2024 – Expanding the Products Line 2025” เพื่อรองรับความต้องการสายสัญญาณคุณภาพสูงของตลาดทั้งในประเทศ และในอาเซียน

ในส่วนของธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) มีรายได้ในไตรมาสที่1/68 อยู่ที่ 136.57 ล้านบาท ขาดทุน 4.22 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการส่งมอบโครงการ และการเบิกงบประมาณที่ล่าช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงมีศักยภาพจากโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว เช่น โครงการสายเคเบิลใต้น้ำไปยังเกาะเต่า และสถานีไฟฟ้านนทรี พร้อมทั้ง ยังมีความพร้อมในการเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่เพิ่มเติมจากภาครัฐในอนาคต

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ที่ดำเนินงานโดยบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL มีรายได้ 806 ล้านบาท กำไรสุทธิ 30.62 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเลื่อนรับรู้รายได้บางโครงการ อย่างไรก็ตาม การประกาศความร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน “NDC” เพื่อให้บริการโซลูชันด้านระบบความปลอดภัยสาธารณะ และเทคโนโลยีดิจิทัล ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดเทคโนโลยีขั้นสูง

นอกจากนี้ ILINK ยังคงวางเป้าหมายรายได้ทั้งปี 2568 ไว้ที่ 7,120 ล้านบาท โดยใช้กลยุทธ์ 'โตอย่างมีคุณภาพ' (Quality Growth) เป็นแกนหลักของการดำเนินธุรกิจ ควบคู่กับการคิดค้น พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรองรับความต้องการของตลาดยุคใหม่ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตต่อไป

โรงเรียนนายร้อยตำรวจครบรอบ 124 ปี เปิดเวทีประกาศเกียรติศักดิ์ดาวเงิน เชิดชูเกียรติศิษย์เก่าดีเด่น

โรงเรียนนายร้อยตำรวจได้จัดการประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาสรรหาศิษย์เก่าดีเด่น เพื่อรับรางวัล 'เกียรติศักดิ์ดาวเงิน' วานนี้ (27 พฤษภาคม 2568) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส อาคารกองบัญชาการ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีแรกในวาระครบรอบ 124 ปี แห่งการก่อตั้งโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รร.นรต.

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อคัดเลือกศิษย์เก่าที่ได้รับการเสนอชื่อ 1 นายจากแต่ละรุ่น โดยมีผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 28 นาย และมีผู้สละสิทธิ์ 5 นาย เหลือจำนวนผู้เข้ารับการพิจารณาคัดเลือกทั้งสิ้น 23 นาย การคัดเลือกมุ่งเน้นไปที่ผลงานที่โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน สร้างคุณประโยชน์ต่อสังคม องค์กรตำรวจ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ เพื่อยกย่องและเชิดชูศักดิ์ศรีของศิษย์เก่าผู้ทรงคุณค่า พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

สำหรับผลการพิจารณาคัดเลือกเบื้องต้น ศิษย์เก่าที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้แก่
1. พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นรต.รุ่น 32 หมายเลข 9 ได้ 24 จาก 27 คะแนน
2. ศ.ร.ต.อ.ดร.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ นรต.รุ่น 25 หมายเลข 4 ได้ 23 จาก 27 คะแนน
3. พล.ต.อ.ธีรวุฒิ บุตรศรีภูมิ นรต.รุ่น 20 หมายเลข 2 ได้ 14 จาก 27 คะแนน
4. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา นรต.รุ่น 28 หมายเลข 6 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
5. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง นรต.รุ่น 41 หมายเลข 15 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
6. พล.ต.ท.สันติ ชัยนิรามัย นรต.รุ่น 48 หมายเลข 18 ได้ 13 จาก 27 คะแนน
7. พล.ต.ท.อนันต์ ภิรมย์แก้ว นรต.รุ่น 18 หมายเลข 1 ได้ 11 จาก 27 คะแนน
8. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นรต.รุ่น 30 หมายเลข 7 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
9. พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง นรต.รุ่น 40 หมายเลข 14 ได้ 10 จาก 27 คะแนน
10. พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ นรต.รุ่น 45 หมายเลข 17 ได้ 10 จาก 27 คะแนน

ทั้งนี้ โรงเรียนนายร้อยตำรวจขอแสดงความยินดีและเชิดชูเกียรติแก่ศิษย์เก่าผู้ได้รับการเสนอชื่อทุกท่าน ที่เป็นแบบอย่างแห่งความสำเร็จและความมุ่งมั่นอันสูงสุด พร้อมย้ำเจตนารมณ์เดินหน้าสร้างแรงบันดาลใจและความภาคภูมิใจให้กับศิษย์ปัจจุบันและสังคมโดยรวม

สมุทรปราการ-กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังเสียงประชาชนแผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และหมายเลข 9 

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม Green Heart ชั้น 2 โรงแรมเดอะกรีนวิว ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ โดยนายพิชากร ศรีจันทร์ทอง ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงสมุทรปราการ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดการประชุม สรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 2) โครงการศึกษา ออกแบบ วิเคราะห์ แผนการพัฒนาโครงข่าย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 และหมายเลข 9 ของกรมทางหลวง 

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความก้าวหน้าของการศึกษาและสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ พร้อมรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่มีต่อการศึกษาของโครงการจากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้พิจารณาประกอบการออกแบบรายละเอียด รวมทั้งการกำหนดมาตรการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ 

โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ ราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาชน เข้าร่วมการประชุม โดยการประชุมในครั้งนี้ บริษัทที่ปรึกษาโครงการฯ ได้นำเสนอสรุปผลการคัดเลือกรูปแบบการพัฒนาโครงการ 

โดยทางด้าน นายนิรันดร์ จันทร์ชม วิศวกรโยธาชำนาญการพิเศษ กรมทางหลวง เปิดเผยว่า สำหรับพื้นที่ศึกษาโครงการตั้งอยู่บริเวณทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ประมาณกิโลเมตรที่ 25+900 ถึง กิโลเมตรที่ 30+800 ครอบคลุมพื้นที่ 4 ตำบล 2 อำเภอ 1 จังหวัด ได้แก่ บริเวณพื้นที่ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง ตำบลเปร็ง ตำบลบางบ่อ และตำบลระกาศ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ 

ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาโครงการจะเป็นการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับรถเข้าทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยถนนโครงการจะออกแบบเป็นสะพานยกข้ามถนนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 โดยได้มีการคัดเลือกตำแหน่งที่ตั้งทางแยกต่างระดับของโครงการ ซึ่งมีแนวทางเลือกทั้งหมด 3 แนวทาง ได้แก่ 
ตำแหน่งที่ 1 จุดตัดระหว่างถนนสายร่วมพัฒนา-ทล.34 บริเวณกิโลเมตรที่ 26+500 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้กับด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างการก่อสร้าง และต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน อีกทั้งการขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 2 จุดตัดระหว่างถนน สป.2003 บริเวณกิโลเมตรที่ 27+900 ในเขตตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งตำแหน่งนี้มีจุดเด่นที่ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบและมีชุมชนในพื้นที่ค่อนข้างน้อย แต่มีจุดด้อยคือมีตำแหน่งใกล้ด่านเก็บค่าผ่านทาง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจราจรระหว่างก่อสร้าง ต้องรอแผนการพัฒนาแนวเส้นทางของกรมทางหลวงชนบทที่ชัดเจน การขนส่งวัสดุเพื่อการก่อสร้างยาก เนื่องจากไม่มีถนนเชื่อมต่อ และเขตทางเดิมเหลือพื้นที่น้อยสำหรับก่อสร้างทางชั่วคราว

ตำแหน่งที่ 3 จุดตัดระหว่างถนนรัตนโกสินทร์ 200 ปี บริเวณกิโลเมตรที่ 30+200 ในเขตตำบลเปร็ง อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ มีจุดเด่นคือสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับโครงข่ายถนนเดิมที่มีอยู่ในปัจจุบัน มีระยะห่างจากด่านเก็บค่าผ่านทางลาดกระบังที่เหมาะสม ลักษณะทางกายภาพเป็นพื้นที่ราบ และพื้นที่ก่อสร้างไม่ผ่านลำน้ำสำคัญ แต่มีจุดด้อยคือมีบ้านเรือนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก

โดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ตำแหน่งที่ 3 มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีแนวเส้นทางที่ชัดเจน สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายถนนเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับปริมาณจราจรได้ดีและเอื้อต่อการเข้าถึงพื้นที่ก่อสร้างอย่างสะดวก ลดความยุ่งยากด้านการก่อสร้างและต้นทุนการขนส่งวัสดุ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินต่ำ และให้ประโยชน์ต่อผู้ใช้ทางมากกว่าแนวทางอื่น ส่วนการคัดเลือกรูปแบบทางแยกต่างระดับของโครงการ มีแนวทางเลือกทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 1 Double Trumpet มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันตกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 3 Partial Cloverleaf with Semi Directional Ramp ฝั่งตะวันออกของแนวทางเลือก มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทาง 

ทั้งนี้ แม้ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 2 และรูปแบบที่ 3 จะมีลักษณะทางกายภาพและจุดเด่น-จุดด้อยโดยรวมใกล้เคียงกัน แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดด้านทิศทางการเดินทางบางจุดที่แตกต่างกัน 

ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีการก่อสร้างสะพานยกระดับ เพื่อรองรับการสัญจรระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 กับโครงข่ายถนนที่เชื่อมต่อในทุกทิศทางโดยจากการพิจารณาคัดเลือกพบว่า ทางแยกต่างระดับรูปแบบที่ 4 Trumpet with Semi Directional Ramp มีความเหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีจุดเด่นในด้านสิ่งแวดล้อม ส่งผลกระทบต่อชุมชนน้อยที่สุด และยังมีความเหมาะสมด้านวิศวกรรม ทั้งในแง่ความสะดวกในการก่อสร้างและการบริหารจัดการด่านเก็บค่าผ่านทาง สำหรับการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ สำรวจและเก็บตัวอย่างด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อนำมาประกอบการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) โดยมีประเด็นที่ศึกษาครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ทรัพยากรสิ่งแวดลอมทางชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งจะนำไปศึกษาต่อในขั้นรายละเอียด (EIA) เพื่อเตรียมกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมต่อไป

ภายหลังการประชุมครั้งนี้ กรมทางหลวง จะรวบรวมข้อมูลความคิดเห็น และข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนนำมาพิจารณาประกอบการศึกษาและรายละเอียดของโครงการให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจะดำเนินการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดข้อมูลโครงการไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนในพื้นที่โครงการได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง โดยมีกำหนดจัดการประชุมหารือมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (กลุ่มย่อย ครั้งที่ 2) ในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม - กันยายน 2568 และกำหนดจัดประชุมสรุปผลการศึกษาโครงการ (สัมมนา ครั้งที่ 3) ในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม 2568 เพื่อนำเสนอสรุปผลการศึกษาในทุกด้านให้ประชาชนได้รับทราบรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป โดยผู้สนใจสามารถติดตามความคืบหน้าและรายละเอียดของโครงการฯ ได้ที่ เว็บไซต์ www.m7-m9-interchange-ruamphathana-rd34.com หรือ Line Official : @515fcrum

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงพัฒนายารักษามะเร็งสำเร็จ ภายใต้ชื่อ ‘HERDARA’ ผลิตโดยนักวิจัยไทย ผ่าน อย.

เมื่อวันที่ (26 พ.ค.68) ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทรงประกาศความสำเร็จในการพัฒนายาชีววัตถุ 'ทราสทูซูแมบ' สำหรับรักษาโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งชนิดอื่น ๆ โดยไม่อาศัยการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ นับเป็นนวัตกรรมยาชีววัตถุผลิตโดยคนไทยเพื่อคนไทยเป็นครั้งแรก

ยาดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว ภายใต้ชื่อ 'HERDARA' ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถเข้าถึงยารักษาได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนที่ถูกลง โดยเฉพาะในบริบทที่โรคมะเร็งยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในไทย ขณะที่ยานำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูง

ภายใต้พระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงริเริ่มโครงการ 'ศูนย์วิจัยและพัฒนาชีววัตถุ' มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านยา พัฒนาศักยภาพนักวิจัยไทย และวางรากฐานความมั่นคงทางยา ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว

การวิจัยและผลิตยาดังกล่าวยังสอดคล้องกับเป้าหมายการยกระดับระบบสุขภาพไทย และส่งเสริมโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มวัยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม สะท้อนพระปณิธานอันแน่วแน่ของพระองค์ในการนำวิทยาศาสตร์มารับใช้ประชาชนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมฯ ม.มหาสารคาม โต้ ‘ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส’ ปมโจมตี ร่าง พ.ร.บ.โซลาร์เซลล์ รวบอำนาจ รมต.พลังงาน เอื้อประโยชน์พวกพ้อง ชี้ เป็นเรื่องปกติของกฎหมายลูกที่ต้องมีรายละเอียด การให้อำนาจสั่งการ เอื้อพวกพ้องตรงไหน

จากกรณีที่นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งปัจจุบันผันตัวเป็น CEO บริษัทโซลาร์ชั้นนำ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเพจ ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส - Treerat Sirichantaropas และแพลตฟอร์มเอ๊กซ์ (X) ส่วนตัว ถึงร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ.... โดยกระทรวงพลังงาน โดยมีเนื้อหาว่า ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้สะท้อนเจตนารมณ์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน แต่กลับเป็นการขยายอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน อย่างไม่สมเหตุสมผล จนเสี่ยงกลายเป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มการเมืองและเครือข่ายธุรกิจใกล้ชิดรัฐบาล

ตามโพสต์ https://www.facebook.com/photo?fbid=1215836123326954&set=a.477905157120058

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน ผศ.ดร. พลกฤษณ์ จิตร์โต อาจารย์ประจำคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แสดงความคิดเห็นผ่านช่องคอมเมนต์ในโพสต์ดังกล่าว โดยระบุว่า กำหนดที่ตั้งโซลาร์ได้ปกตินิ เขาให้ตั้งตามบ้านไง กำหนดวัสดุ ก็ต้องได้ให้ได้มาตรฐานไม่งั้นไฟไหม้ทำไง ให้อำนาจในการตรวจสอบรื้อถอนปกติไหม ถ้าไม่ให้อำนาจเวลามีปัญหา มันไม่มีคนสั่งการแล้วจะเอายังไง พ.ร.บ. นี้แค่ร่างให้เป็นผู้ดำเนินการ โคตรปกติกฎหมายลูก มันจึงมีรายละเอียดว่า กำหนดยังไง ค่อยโวยวายตรงนั้น ผมกลับมองเป็นเรื่องดี เอื้อพวกพ้องตรงไหน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top