Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

‘รถไฟฟ้าสายสีแดง’ สแกนจ่ายค่าตั๋วโดยสารได้แล้ว ผ่าน QR Code ทุกธนาคารและแอป e-Wallet

รถไฟฟ้าสายสีแดง เปิดบริการใหม่ ซื้อตั๋วโดยสาร เติมเงินบัตรโดยสาร สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code ทุกธนาคารและแอป e-Wallet ได้แล้ววันนี้ ตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ RED Line SRTET ระบุว่า ซื้อตั๋ว เติมเงิน รถไฟฟ้าสายสีแดง สามารถสแกนจ่ายผ่าน QR Code ได้แล้ว และสามารถใช้งานได้ทุกธนาคาร รวมถึงแอปพลิเคชัน e-Wallet เช่น TrueMoney Wallet

โดยสามารถชำระเงินด้วย QR Code ที่ห้องจำหน่ายตั๋วโดยสารเท่านั้น เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ตั้งแต่เวลา 06.00 น. - 24.00 น. และต้องเป็นชื่อบัญชี "การรถไฟแห่งประเทศไทย รายได้รถไฟฟ้าสายสีแดง"

ก่อนหน้านี้ รถไฟฟ้าสายสีแดง เปิดให้บริการ รับบัตรเครดิต เดบิต และสแกน QR Code ผ่านเครื่อง EDC ทุกสถานี มาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2565 โดยมีเงื่อนไข คือ รับชำระบัตร เครดิต เดบิต และสแกน QR Code ทุกธนาคาร สำหรับรายการที่เกี่ยวกับบัตรโดยสารทุกประเภทขั้นต่ำ 300 บาท และสามารถจ่ายผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตั้งแต่เวลา 06:00 น. ถึง 20:30 น.

‘แยม ฐปณีย์’ เศร้า! ไม่ได้รับเชิญร่วมทริป ‘ภูมิธรรม’ เยือนซินเจียงอุยกูร์ หลังขอไปแล้วหลายทางแต่แห้ว เตรียมส่งจดหมายขอสถานทูตจีนต่อ

‘แยม ฐปณีย์’ สุดเสียดาย หลังไม่มีชื่อร่วมทริป ‘ภูมิธรรม’ เยือนมณฑลซินเจียง ประเทศจีน ตามติดชีวิต 40 อุยกูร์ที่รัฐบาลไทยส่งกลับไปก่อนหน้านี้

จากกรณีที่รัฐบาลไทย ได้ส่งชาวอุยกูร์ จำนวน 40 คน กลับไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน และทางคณะ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีสว่าการกระทรวงกลาโหม , พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงสื่อมวลชนของไทย มีกำหนดการจะเดินทางไปติดตามชีวิตความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์ หลังเดินทางกลับประเทศ ในวันที่ 18 มีนาคมนี้ 

แต่ล่าสุด เมื่อวันที่ (13 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวสายลุยคนดังจากรายการข่าว 3 มิติ โพสต์เฟซบุ๊กหลังจากไม่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสื่อมวลชนติดตามไปทำข่าวดังกล่าว โดยระบุว่า น่าเสียดายมากๆเลยค่ะสรุปเราไม่ได้รับเลือก/เชิญให้ไปทำข่าวที่ซินเจียงกับคณะรองนายกฯภูมิธรรมกรณีอุยกูร์ ขอไปหลายทางมากก็ไม่ได้ คิดว่าจะส่งจดหมายขอสถานทูตจีนดูด้วยค่ะ

‘อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ เตือนประชาคมโลกอย่าหลงเชื่อคำพูดสหรัฐฯ ชี้วอชิงตันใช้การเจรจาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพลักษณ์

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายสาธารณะว่า การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เผยพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านและเชิญชวนให้เจรจา นั้นเป็นเพียงการหลอกลวงความคิดของประชาคมโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเปิดการสนทนาและการยอมรับการเจรจาเท่านั้น

“การกล่าวถึงการเจรจาของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงความพยายามที่จะหลอกลวงประชาคมโลกเกี่ยวกับการแสดงออกของอเมริกาในการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของอิหร่าน” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “อิหร่านจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในคำพูดของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติในการทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ”

การแถลงของผู้นำสูงสุดของอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยกล่าวในหลายโอกาสว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังว่าจะสามารถหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ผ่านการเจรจา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเชิญชวนให้อิหร่านเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับ โครงการนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ โดยเขาระบุว่า การเจรจานี้จะเป็นการหาทางออกอย่างสันติ และ “จะช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม, อิหร่าน ยังคงยืนยันในจุดยืนที่ไม่ยอมรับการเจรจาต่อเงื่อนไขเดิมที่ไม่เป็นธรรม และยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ซึ่งสหรัฐฯ ถอนตัวในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อครั้งก่อน 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่สามารถปกป้องสหรัฐฯ และพันธมิตรจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ และกล่าวหาว่าอิหร่านยังคงดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค

“เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ มีคำกล่าวกันว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากเราต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่สามารถหยุดเราได้ เป็นความจริงที่ว่าเราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะตัวเราเองไม่ต้องการมัน” คาเมเนอี กล่าว

สำหรับการที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมาพูดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดและไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลายในอนาคตอันใกล้ 

ทั้งนี้ คำพูดของผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเจตนาของสหรัฐฯ โดยอิหร่านมองว่าการเสนอเจรจาของสหรัฐฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ในการบิดเบือนความจริงและไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอิหร่านได้

รัฐบาลเวียดนามประกาศโครงการใหม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียน เพื่อสร้างเยาวชนพร้อมสำหรับโลกการศึกษาในระดับสากลนำมาพัฒนาเศรษฐกิจ

(13 มี.ค. 68) รัฐบาลเวียดนาม ได้ประกาศแผนการที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านภาษาในประเทศ โดยจะมีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในโรงเรียนทั่วประเทศ ภายในปี 2035 เป้าหมายหลักของโครงการคือการทำให้ เด็กทุกคนในเวียดนาม สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลเวียดนามได้เริ่มต้นโครงการนี้โดยการพัฒนาแผนการสอนภาษาอังกฤษในระดับประถมและมัธยม โดยจะมีการฝึกฝนทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับการศึกษาขั้นสูง อีกทั้งยังมีการจัดอบรมและสนับสนุนให้ครูผู้สอนภาษาอังกฤษมีความเชี่ยวชาญและสามารถถ่ายทอดความรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เวียดนามตั้งเป้าหมายพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ โดยการศึกษาภาษาอังกฤษจะไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือในการสื่อสารระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ การท่องเที่ยว และการค้าในระดับสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา นี้จะช่วยให้ เยาวชนเวียดนาม สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลและความรู้จากต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดงานที่มีการแข่งขันสูงและเป็นโลกที่เชื่อมโยงกันมากขึ้น

การปฏิรูปการศึกษา ในเวียดนามนี้จะเป็นการยกระดับประเทศในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านการศึกษาและเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะทำให้เวียดนามกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มี การแข่งขันด้านภาษา สูงในเอเชียและทั่วโลกภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

สวนนงนุชพัทยา จัดงานใหญ่วันช้างไทย 13 มีนาคมของทุกปีพร้อมเลี้ยงบุฟเฟต์ขันโตกผลไม้ยักษ์สูงกว่า 3 เมตร

(13 มี.ค. 68) เวลา 07.00 น. นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยาคณะผู้บริหาร และประชาชนทั่วไปร่วมประกอบพิธีทำบุญตักบาตร พระสงฆ์ 9 รูป ช้าง 19 เชือก ซึ่งเป็นประเพณีที่ดีงามที่ทางสวนนงนุชดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมากกว่า10 ปี ในพิธีมีการประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้ผู้เข้าร่วมพิธีและโขลงช้าง เพื่อความเป็นสิริมงคลกับผู้มาร่วมทำบุญ

เวลา 10.00 น.ได้มีพิธีฮ้องขวัญช้าง(ทำขวัญช้าง)โดยมี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานในพิธี โดยมีการจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่อลังการประกอบไปด้วยนักแสดงและน้องช้างแสนรู้ 60 เชือก และประธานในพิธีเปิดตีฆ้องเปิดบุฟเฟต์ขันโตกผลไม้ยักษ์สูงกว่า 3 เมตรสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

สำหรับวันที่ 13 มีนาคมของทุกปีเป็นวันช้างไทย สวนนงนุชพัทยาจัดงานเพื่อเป็นการยกย่อง “ช้าง” เป็นสัตว์ใหญ่ที่มีความสำคัญกับคนไทย  ซึ่งเป็นสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยมาตั้งแต่โบราณการ และในอดีตช้างเป็นสัญลักษณ์บนผืนธงชาติไทย และได้รับเกียรติจากหน่วยงานราชการเข้าร่วมพิธีประกอบไปด้วย นายอนุศักดิ์ พิริยอมร นายอำเภอสัตหีบ , นายไพโรจน์ จันทร์ตั้ง ผอ.ส่วนยุทธศาสตร์และสารสนเทศฯสำนักงานปศุสัตว์เขต 2,นายศรายุทธ ธานีวัฒน์นักวิชาการสัตวบาลชำนาญการพิเศษ สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดชลบุรีและนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมงานเป็นประจำทุกปี

‘เอกนัฏ’ ลั่นไม่ปล่อยผ่าน ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ ยึดเหล็กข้ออ้อยสเปกต่ำ จำนวน 230 ตัน มูลค่า 4.6 ล้าน เตือนหากยังนิ่งอาจโดนคดีเพิ่ม

(13 มี.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า หลังได้รับรายงานว่ามีการนำเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต และเหล็กข้ออ้อยที่ไม่ได้มาตรฐานมาจำหน่ายในท้องตลาด จึงได้ส่งทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม

นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว.อุตสาหกรรม นายเตมีย์ พันธุวงค์ราช ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) นายสุนัย พิริยสกุลพัฒน์ อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบบริษัท เอบี สตีล จำกัด ต.ศาลาลำดวน อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว พบว่ามีการผลิตเหล็กข้ออ้อยที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน จึงได้ดำเนินการยึดอายัดเหล็กดังกล่าว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

“เหล็กข้ออ้อยที่ตรวจพบ ตกเกณฑ์มาตรฐานในรายการความยาว แม้จะไม่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค แต่ถือว่าไม่ควบคุมคุณภาพให้เป็นไปตามมาตรฐานอย่างสม่ำเสมอ จึงได้สั่งการให้ทีมสุดซอยฯ เข้าตรวจยึดอายัดเหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 230 ตัน มูลค่าราว 4.6 ล้านบาท และให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศที่ผลิตเหล็กได้มาตรฐาน รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศ” นายเอกนัฏ ระบุ

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ดังกล่าวได้รับใบอนุญาตทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจาก สมอ. จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ เหล็กเส้นกลม มอก. 20-2559, เหล็กข้ออ้อย มอก. 24-2559 ชั้นคุณภาพ SD 40 ซึ่งจากการตรวจสอบในวันนี้ พบว่า มีเหล็กข้ออ้อย ขนาด DB 20 ชั้นคุณภาพ SD 40 ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ในรายการความยาว โดยมีขนาดสั้นกว่าที่มาตรฐานกำหนด ประมาณ 15-30 มิลลิเมตร

ซึ่งการกำหนดเกณฑ์ความยาวในมาตรฐาน เป็นการคุ้มครองให้ผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ตรงตามการแสดงเครื่องหมายและฉลากของผู้ผลิต สมอ. จึงได้อายัดเหล็กข้ออ้อย ความยาว 10 เมตร จำนวน 9,320 เส้น น้ำหนักประมาณ 230 ตัน มูลค่าประมาณ 4.6 ล้านบาท รวมทั้งจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการรายนี้ให้ถึงที่สุด โทษฐานทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้งสั่งให้บริษัทเรียกคืนเหล็กที่จำหน่ายออกไปแล้วกลับคืนมา หากไม่ดำเนินการ สมอ. ก็จะตามยึดอายัดที่วางจำหน่ายในท้องตลาดและดำเนินคดีตามกฎหมายในส่วนนี้ด้วย

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า บริษัท เอบี สตีล จำกัด จะถูกดำเนินคดีความผิดฐานทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดฐานแสดงเครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานจำหน่ายสินค้า ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ยังพบว่าโรงงานยังปฏิบัติในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมไม่ครบถ้วน อุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้วจึงมีคำสั่งให้บริษัท เอบี สตีล จำกัด ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครบถ้วน โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มีนาคม 2567 หากไม่ปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดจะยกระดับคำสั่งที่เข้มข้นขึ้น

คณะแพทยศาสตร์ มช.จัดงานวัน 'ต้อหินโลก' ภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดถาวร

คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยภาควิชาจักษุวิทยา จัดให้มีกิจกรรมงานวันต้อหินโลก เพื่อให้ความรู้แก่ผู้สนใจ ในเรื่องเกี่ยวกับต้อหิน ให้มีการตื่นตัว และทราบถึงความสำคัญของการตรวจตาในเวลาที่เหมาะสม ในวันที่ 13 มีนาคม 2568 ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคารเฉลิมพระบารมี ระหว่างเวลา 08.00 - 12.00 น. โดยได้รับเกียรติจาก รศ.พญ.อรินทยา พรหมินธิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นประธานในพิธี

รศ.พญ.อรินทยา พรหมินธิกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า "โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีนโยบายจัดกิจกรรมเนื่องในวันต้อหินโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างความรู้และความตระหนักเกี่ยวกับโรคต้อหินให้กับประชาชน กิจกรรมเหล่านี้มุ่งเน้นการป้องกันและลดภาวะตาบอดจากโรคต้อหิน 

โดยภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลักดันให้มีโครงการตรวจคัดกรองต้อหินประจำปี สำหรับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน พัฒนาแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยต้อหินให้เข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วขึ้น บูรณาการการให้ความรู้เรื่องต้อหินในการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและตรวจคัดกรองต้อหิน โดยหวังว่า มีผู้เข้ารับการตรวจคัดกรองต้อหินเพิ่มขึ้น สามารถพัฒนาแนวทางป้องกันและรักษาต้อหินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลและเฝ้าระวังโรคต้อหิน"

ผศ.นพ.ดำรงค์ วิวัฒน์วงศ์วนา อาจารย์ประจำหน่วยต้อหิน ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์มช. เปิดเผยว่า "ในปัจจุบันโรคต้อหิน เป็นสาเหตุของภาวะตาบอดของประชากรในเมืองไทยและทั่วโลกคิดเป็นอันดับสองรองจากโรคต้อกระจก แต่ภาวะตาบอดที่เกิดจากโรคต้อหินไม่สามารถรักษาให้กลับมาเห็นได้ตามปกติหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะแรกของโรค อัตราความชุกของโรคต้อหินพบเพิ่มขึ้นตามอายุ 

ในประเทศไทย ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี พบมีความชุกของโรคร้อยละ 2 และเพิ่มเป็นร้อยละ 6 เมื่ออายุมากกว่า 60 ปี ผู้ป่วยต้อหินในระยะแรกจะไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีตามัว ไม่มีปวดตา ดังนั้นหากไม่ได้รับการตรวจตาเพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจะมีอาการตามัว มองเห็นภาพแคบลงเรื่อยๆจนกระทั่งตาบอดในที่สุด ปัจจุบันมีผู้ป่วยต้อหินเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น"

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ เสวนาวิชาการ ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคต้อหินและแนวทางป้องกัน นิทรรศการ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคต้อหินและสุขภาพดวงตา บริการตรวจคัดกรองภาวะต้อหินและตรวจตาเบื้องต้น วัดความดันลูกตา ถ่ายภาพจอประสาทตา รับคำแนะนำจาก จักษุแพทย์ ตอบปัญหาชิงรางวัล และจับสลาก ชิงรางวัลฟรี! 

โรคต้อหินเป็นภัยเงียบที่อาจนำไปสู่ภาวะตาบอดถาวร หากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาอย่างทันท่วงที

รอง ผบ.ตร. มอบเข็ม 'สยบไพรีกิตติมศักดิ์' แก่สมาชิกวุฒิสภา ที่ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

เมื่อวันที่ (12 มี.ค.68) ที่ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. เป็นประธานในพิธี มอบใบประกาศและเครื่องหมายแสดงความสามารถ สยบไพรีกิตติมศักดิ์ แก่บุคคลผู้ให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยมี พล.ต.ต.อังกูร คล้ายคลึง สมาชิกวุฒิสภา, พล.ต.ท.ศรายุทธ สงวนโภคัย ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ปส.2 และ ข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธี

สำหรับผู้ที่เข้าเครื่องหมายปราบไพรี กิตติมศักดิ์อครั้งนี้ ประกอบด้วย สมาชิกวุฒิสภา นายกัมพล สุภาแพ่ง นายเดชา นุตาลัย นายธนกร ถาวรชินโชติ นายนิคม มากรุ่งแจ้ง พล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายพิบูลย์อัทฒ์ หฤหรรษ์ปราการ นายมานะ มหาสุวีระชัย นายรุจิภาส มีกุศล นายเศก จุลเกษร นายเศรณี อนิลบล
นายสุนทร พฤกษพิพัฒน์ นายสุวิทย์ ขาวดี
นายอะมัด อายุเคน นายอัครวินท์ ขำขุด 

คณะอนุกรรมาธิการด้านปลอดภัยการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ นาวาเอก(พิเศษ) มนตรี ศิริไพศาล ดร.สมชาย กระแจะเจิม นายสมชาย จรรยา เลขานุการ คณะกรรมาธิการการท่องเที่ยวและการกีฬา วุฒิสภา นายอรรถพล เจริญชันษา นายฌาณวัชร์ หุ้นอิทธิดิษฐ์ นิติกรชำนาญการกลุ่มงานคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ สำนักกรรมาธิการ 2 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 

โรงพยาบาลตำรวจ ประกอบด้วย พ.ต.อ.ฉัตรชัย โรหิตาภิรมย์พยาบาล (สบ 4) โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.ท.หญิง ภัทรกร ธนกนกบวรกุล พยาบาล (สบ 3) โรงพยาบาลตำรวจ พ.ต.ท.หญิง อรอนงค์ อุทัย นักกายภาพบำบัด (สบ3) โรงพยาบาลตำรวจ

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. ได้กล่าวแสดงคำขอบคุณและความยินดีกับทุกท่านที่ได้รับมอบเครื่องหมายสยบไพรีกิตติมศักดิ์ ซึ่ง ตร. จะพิจารณามอบให้แก่บุคคล ผู้เสียสละ ช่วยเหลือสนับสนุนและทำคุณประโยชน์ ให้แก่ทางราชด้วยดีเสมอมา เพื่อเป็นเกียรติ และขวัญกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ที่ดีในอนาคต

พร้อมทั้งได้เชิญผู้เข้ารับเครื่องหมายสยบไพรีกิตติมศักดิ์และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมสดุดีและไว้อาลัย ร.ท.ภูริวัฒน์ คำสง ผบ.มว.ปล.ที่ 1 ร้อย ร.ที่ 2 ผู้กล้าที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ จากเหตุคนร้ายซุ่มยิ่งขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยเป็นน้องชายของ พ.ต.ท.หญิง ฝนอริน คำสง สว.ฝอ.บก.สอท.2 ปฏิบัติราชการสำนักงาน รอง ผบ.ตร. ซึ่งถือเป็นเสมือนสมาชิกครอบครัวของรองแจง และเป็นมดงานในการประสานการจัดพิธีในครั้งนี้

สำหรับเครื่องหมายสยบไพรี เป็นตราสัญลักษณ์รูป นกอินทรีสยายปีก ทำท่าเหินเวหา ปากคาบปืนเอ็ม 16 พร้อมดาบปลายปืนในกงเล็บมือประกายสายไฟ โดยกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร อดีตเจ้าอาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ประทานนามให้แก่หน่วยกองกำลังชุดปฎิบัติพิเศษในการปราบปรามยาเสพติดว่า “สยบไพรี”

รัฐสภายุโรปมีญัตติให้ใช้การเจรจา ตกลงการค้าเสรี FTA กดดันรัฐบาลไทยหยุดเนรเทศผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์และปฏิรูปกฎหมาย ม.112

(13 มี.ค. 68) รัฐสภายุโรป (European Parliament) ได้มีมติร่วมเพื่อแก้ปัญหา (Joint Motion for a Resolution) เรียกร้องให้ประเทศไทยดำเนินการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) และยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน

ข้อเรียกร้องสำคัญจากรัฐสภายุโรป ซึ่งขอให้ปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 โดยรัฐสภายุโรปแสดงความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (มาตรา 112) ที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายดังกล่าว เพื่อรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การชุมนุมโดยสงบ และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน

โดยขอให้ยุติการส่งตัวผู้ลี้ภัยอุยกูร์ รัฐสภายุโรปประณามการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปยังประเทศจีน ซึ่งระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการถูกประหัตประหาร และเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัย ผู้ขอลี้ภัย รวมถึงผู้เห็นต่างทางการเมืองกลับสู่ประเทศที่อาจทำให้พวกเขามีความเสี่ยงต่อชีวิต

อีกทั้งใช้เวทีเจรจา FTA (Free Trade Agreement) หรือ ข้อตกลงการค้าเสรี เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการยุโรปใช้เวทีการเจรจาลงนามความร่วมมือเขตการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป เพื่อกดดันประเทศไทยให้มีการปฏิรูปกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และให้สัตยาบันอนุสัญญาหลักทั้งหมดขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) 

ด้านรัฐบาลไทยยังไม่มีการตอบสนองอย่างเป็นทางการต่อมติของรัฐสภายุโรป อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา ได้แสดงความสนใจในประเด็นนี้ โดยเตรียมเดินทางไปตรวจสอบสภาพความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับประเทศจีน เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและตอบข้อสงสัยของประชาคมโลก

นอกจากนี้ มีรายงานว่า สภาอุยกูร์โลกได้แสดงความกังวลต่อแผนการของรัฐบาลไทยในการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่โทษประหารชีวิต และเรียกร้องให้ประชาคมโลกดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยเหล่านี้

ทั้งนี้ มติของรัฐสภายุโรปครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของประชาคมระหว่างประเทศต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย โดยเฉพาะในประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ การตอบสนองของรัฐบาลไทยต่อมติดังกล่าวจะเป็นที่จับตามองของทั้งประชาชนภายในประเทศและประชาคมโลก

‘ปูติน’ ลงพื้นที่เยือนศูนย์บัญชาการทหารในเคิร์สก์ มุ่งเสริมความมั่นคงรับมือภัยคุกคามจากฝ่ายตรงข้าม

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียลงพื้นที่เยือน ศูนย์บัญชาการทหาร ที่ควบคุมการปฏิบัติการใน ภูมิภาคเคิร์สก์ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่มีความตึงเครียดทางทหารในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา โดยการเยือนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในภูมิภาค และสั่งการให้ดำเนินมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามจากกองกำลังฝ่ายตรงข้าม

ปูตินได้เสนอแนวทางการจัดตั้งเขตความมั่นคง ตามแนวชายแดนของรัสเซีย เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการป้องกันประเทศและยับยั้งการบุกรุกจากฝ่ายตรงข้ามที่อาจเข้ามาก่อความไม่สงบในพื้นที่ดังกล่าว เขตความมั่นคงที่เสนอนี้จะมีการจัดตั้งการป้องกันทางทหารอย่างเข้มงวด และมีกองกำลังรัสเซียประจำการอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ปูตินได้สั่งการให้ขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้าม ออกจากภูมิภาคเคิร์สก์ โดยระบุว่า รัสเซียจะไม่ยอมให้มีกองกำลังที่ไม่เป็นมิตรทำการแทรกแซงหรือขัดขวางการปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่สำคัญนี้ การขับไล่กองกำลังฝ่ายตรงข้ามถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเสริมสร้างความมั่นคงและปกป้องดินแดนของรัสเซียในช่วงเวลาที่มีความตึงเครียดทางการเมือง และทหารในภูมิภาคยูเครนรวมถึงเขตพื้นที่ใกล้เคียง

โดยในระหว่างการแถลงข่าว ปูตินได้เน้นย้ำว่า การปลดปล่อยภูมิภาคเคิร์สก์ จากการควบคุมของกองกำลังฝ่ายตรงข้ามจะเป็นก้าวสำคัญในการรักษาความมั่นคงและอำนาจการปกครองในภูมิภาค โดยเขาแสดงความเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติการทางทหารที่รุนแรงและมีความมุ่งมั่นจะสามารถนำไปสู่ชัยชนะในที่สุด

ปูตินยังกล่าวเสริมว่า ทหารฝ่ายตรงข้ามที่ถูกจับกุมในเคิร์สก์ ควรได้รับการปฏิบัติเสมือนเป็น ผู้ก่อการร้าย ตามกฎหมายของรัสเซีย โดยอ้างว่าผู้ที่ต่อต้านการปกครองของรัสเซียในภูมิภาคนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและการปกครองของรัฐ จึงต้องได้รับการลงโทษตามกฎหมายที่เคร่งครัด

การเยือนของปูตินในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลรัสเซียในการรักษาอำนาจทางทหารในพื้นที่ยุทธศาสตร์ และสร้างการควบคุมที่เข้มงวดในภูมิภาคที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อรัสเซีย โดยเฉพาะเมื่อมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงจากต่างชาติในพื้นที่เหล่านี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top