Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

'สส.อรรถกร-พปชร.' ยื่นญัตติด่วนขอสภาฯ ตั้ง กมธ.แก้ไขราคากุ้งตกต่ำ  ช่วยเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง 'ปัจจัยรุมเร้า-นำเข้าจาก ตปท.พุ่ง'

(31 ก.ค. 66) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.ฉะเชิงเทรา เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้เสนอญัตติด่วน เพื่อขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคากุ้งตกต่ำ เนื่องจากในขณะนี้ ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งขนาดกลาง และขนาดย่อยกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากราคากุ้งเลี้ยงตกต่ำอย่างรวดเร็ว โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งหลังจากการที่ คณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) หรือบอร์ดกุ้งอนุมัติการนำเข้ากุ้งจากเอกวาดอร์และอินเดียเข้ามา โดยอ้างว่าเกษตรกรไทยมีโครงการประกันราคากุ้งอยู่แล้ว

"ปัญหาการขาดทุนจากการเลี้ยงกุ้งของเกษตรกร เกิดมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูง และ มีโรคระบาดในกุ้ง ประกอบกับราคาประกันขั้นต่ำที่ห้องเย็นตั้งไว้นั้นเท่ากับราคาต้นทุนการผลิตที่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ซึ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้เกษตรกรขายในราคาขาดทุน ทำให้เกษตรกรประสบปัญหาหนี้สิน" นายอรรถกร กล่าว

นายอรรถกร กล่าวต่อว่า แม้ราคากุ้งจะถูกกำหนดโดยคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) แต่ราคาของจริงไม่ได้ตามที่คณะกรรมการฯ กำหนด จึงต้องการให้รัฐช่วยลดภาระต้นทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง เช่น ค่าอาหารกุ้ง ค่าปู่น ค่าไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำไรของเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง หากภาครัฐไม่ดำเนินมาตรการอย่างเป็นรูปธรรม ปัญหาอาจบานปลายได้ 

"ผมจึงขอให้สภาฯ ตั้ง กมธ.ศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคากุ้งดังกล่าว เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยโดยเร่งด่วน เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประโยชน์สำคัญของแผ่นดินและประชาชนจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะรักษาความมั่นคง ของประเทศในทางเศรษฐกิจและสังคม โดยญัตติที่ผมเสนอไปได้ถูกบรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาฯ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมหวังว่าจะสามารถช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของเกษตรกรได้ทันท่วงที" นายอรรถกร กล่าว

'อนันดาฯ' แจ้งแนวทางแก้ปัญหา 'แอชตัน อโศก' ไม่ต้อง 'รื้ออาคาร-ขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่'

(31 ก.ค. 66) หลังจากวันที่ 27 ก.ค.66 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ 'เพิกถอน' ใบอนุญาตก่อสร้าง 'แอชตัน อโศก' (Ashton Asoke) ซึ่งเป็นโครงการของ 'อนันดาฯ’ ร่วมทุนกับ 'มิตซุย ฟูโดซัง' จากญี่ปุ่น สร้างคอนโดสูง 51 ชั้นจำนวนห้องพัก 783 ยูนิต ตั้งอยู่ริมถนนอโศก มูลค่าโครงการ 6,481 ล้านบาท และมีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 668 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 5,653 ล้านบาท หรือ 87% ปัจจุบันมีจำนวนยูนิตคงเหลือ 115 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 828 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% การดำเนินงาน

ล่าสุด คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหา 'แอชตัน อโศก' ดังนี้...

1. โครงการ 'แอชตัน อโศก' (Ashton Asoke) เป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษาดังกล่าว นอกจากมีผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้ซื้อห้องชุด หรือเจ้าของร่วมในโครงการแอชตัน อโศก แล้วยังส่งผลกระทบกับ อนันดา เอ็มเอฟฯ ในฐานะผู้ประกอบการที่ถือหุ้นโครงการนี้ 51% ได้ร่วมกับ 'มิตซุย ฟูโดซัง' ผู้ร่วมทุน รวบรวมความเสียหายและแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อติดต่อเจรจากับส่วนงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยเร่งด่วน ส่วนมูลค่าความเสียหายในเบื้องต้น อยู่ระหว่างการประเมินร่วมกับผู้สอบบัญชีและผู้เกี่ยวข้อง และจะตั้งสำรองในไตรมาส 2 นี้

2. แม้ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง แอชตัน อโศก แต่ความเสียหายดังกล่าวยังสามารถแก้ไขได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ผู้แทนหน่วยงานของรัฐได้เสนอทางแก้ตามที่เป็นข่าวต่อสาธารณะไปแล้วว่า 'กรณีที่ศาลเพิกถอนใบอนุญาตโครงการ ไม่จำเป็นต้องรื้อถอนอาคาร' ซึ่งบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ กำลังหาแนวทางแก้ไขที่มีอยู่หลายแนวทาง โดยจะได้ขอเข้าพบกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงหัวหน้าหน่วยงานรัฐ ซึ่งถูกฟ้องในคดีเดียวกัน ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ภายใน 14 วันทำการ นับถัดจากวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ซึ่งเป็นวันที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษา เพื่อเจรจาหาทางแก้ไขกับหน่วยงานของรัฐต่อไป

อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่สั่งเพิกถอนอาคาร ว่าหน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะต้องดำเนินการภายในเมื่อใดและไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมอื่นๆ ทั้งนี้ หน่วยงานของกรุงเทพมหานครจะเป็นผู้สั่งการให้บริษัทดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป

3. อนันดา เอ็มเอฟฯ อยู่ระหว่างการประชุมหารือร่วมกันกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางในการอนุมัติ หรืออนุญาตให้ทำโครงการแอชตัน อโศก เพื่อแก้ไขความเสียหายให้แก่ประชาชนผู้ซื้อห้องชุด หรือเจ้าของร่วม รวมถึงความเสียหายของบริษัท อนันดา เอ็มเอฟฯ ผู้พัฒนาโครงการดังกล่าวด้วยความสุจริต และเป็นไปตามกฎหมายตามที่หน่วยงานของรัฐได้รับรองไว้หลายหน่วยงานมาโดยตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะเป็นการดำเนินการควบคู่กับการพิจารณาแนวทางอื่นที่มีอยู่หลายแนวทางด้วย ซึ่งจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมต่อไป

สำหรับประเด็นสำคัญที่ศาลวินิจฉัย คือ ที่ดินทางเข้า-ออกอาคารแอชตัน อโศก เป็นที่ดินของ รฟม. มาจากการเวนคืน จึงไม่อาจนำมาให้เอกชนใช้ในการประกอบการได้ และเมื่อไม่สามารถนำที่ดินทางเข้า-ออกมาใช้ได้ ดังนั้นการที่หน่วยงานของรัฐ (กทม.) ออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร จึงขัดกับ พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ที่อาคารสูงต้องมีด้านใดด้านหนึ่งของที่ดินยาวไม่น้อยกว่า 12 เมตร ติดถนนสาธารณะที่มีทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร จึงมีผลให้ใบอนุญาตก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุด จึงยืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ให้ 'เพิกถอน' คำสั่งอนุญาตก่อสร้างอาคารแอชตัน อโศก โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกใบอนุญาต

‘ป๊อก’ ลั่น!! อย่าพูดมั่ว หลังโดนกล่าวหาบังคับ ‘มาร์กี้’ สักชื่อลูก ฟากฝ่ายหญิงโผล่คอมเมนต์แรงกว่า “คิดเองได้ สมองแม่ก็ให้มา” 

(31 ก.ค. 66) เรียกว่าฮือฮาสุดๆ สำหรับรอยสักแรกของสาว ‘มาร์กี้ ราศรี บาเลนซิเอก้า จิราธิวัฒน์’ ที่บินไปสักไกลถึงอเมริกา กับร้านประจำของสามี ‘ป๊อก ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์’ โดยตัดสินใจสักเป็นชื่อภาษาอังกฤษของสองแฝด ‘มีก้า-มีย่า’ ที่บริเวณข้อมือทั้งสองข้าง และแน่นอนว่างานนี้ นอกจากจะมีคำชมแล้ว ก็มีดรามาเข้ามาอีกจนได้ เชิงว่าเสียดายผิวสวยๆ ของมาร์กี้ ถ่ายละครจะมีปัญหาไหม ป๊อกไม่น่าให้ทำเลย อย่าสักเพิ่มอีกนะ… ซึ่งก็ทำเอาเดือดกันทั้งสามีภรรยา

โดยหนุ่ม ‘ป๊อก’ ได้ออกมาโพสต์ไอจี ถึงคอมเมนต์ในยูทูบ จาก ep. ล่าสุด ‘รอยสักแรกในชีวิตของมาร์กี้ | ป๊อกกี้ on the run SS6’ ว่าเบื่อกับคอมเมนต์คิดเองเออเอง อย่ามาพูดมั่วๆ เพราะตัวเองไม่เคยยุหรือบังคับคนอื่นมาสักตาม

“ผมชอบรอยสักมาก จริงๆ เรียกว่ารักเลยดีกว่า แต่อยากให้รู้ด้วยครับว่าถึงจะชอบจะรักขนาดไหน ผมก็ไม่เคยยุผลักดัน หรือบังคับให้ใครต้องมีรอยสักแบบผม นอกจากคนๆ นั้นจะมาปรึกษา เพราะอยากได้เอง เบื่อนะครับกับคอมเมนต์ที่คิดเองเออเองในรายการของผม ep ล่าสุด คุณอาจจะหวงมาร์กี้กันมาก ผมเองยังตกใจเลยที่เขาอยากจะมีรอยสัก แต่อย่ามาพูดมั่วๆ ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปบังคับคนอื่นให้สักตามผม”

ก่อน ‘มาร์กี้’ จะเข้ามาคอมเมนต์ตามว่า “โตจนลูกตีลังกาแล้วจ้า…คิดเองได้จ้าา...สมองแม่ก็ให้มาจ้าาา…”

'อานันท์' ชี้!! ตอนนี้ 'สังคมไทย' อยู่ในสภาพที่ไม่ปกติที่สุด ยกกรณี 'สว.' โหวตนายกฯ

(31 ก.ค. 66) จากเพจ ‘Gong Paramet Bhuto’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

คุณอานันท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี 2 ครั้ง ก็ล้วนแต่มาจากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติของสังคมไทย เพราะถ้าเหตุการณ์ปกติ คุณอานันท์ ก็จะไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกปี 2534 ได้เป็นเพราะคณะรัฐประหารไม่กี่คน เห็นว่าท่านภาพลักษณ์ดี ตั้งมาเป็นนายกฯ คงช่วยเรื่องการยอมรับจากสังคม

ครั้งที่ 2 หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 ก็มาแบบไม่ปกติอีก เพราะคนจากพรรคเสียงข้างมาก แต่งชุดขาวรอประกาศ แต่สุดท้ายกลายเป็นชื่อ ‘นายอานันท์’ แทน ซึ่งกระแสตอนนั้น ก็ไม่มีใครว่าคุณอานันท์ ออกจะดีใจด้วยซ้ำไป ซึ่งมองอีกมุมคุณอานันท์ก็ได้พิสูจน์ว่า นายกฯ มาจากไหนไม่สำคัญ สำคัญว่ามาแล้วได้ทำประโยชน์อะไรกับบ้านเมืองบ้าง ซึ่งคนแบบคุณอานันท์คงไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ในสถานการณ์ที่ปกติได้ เพราะท่านไม่ได้สังกัดพรรคการเมือง

และหากจะว่าไปแล้ว การรัฐประหารเมื่อปี 34 มีเหตุผลและความชอบธรรมน้อยกว่า การรัฐประหารเมื่อปี 57 มาก เพราะปี 34 หยิบยกข้ออ้างเรื่องนักการเมืองคอรัปชั่น เรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นหลัก ไม่ได้มีสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรง มีการสูญเสียชีวิตประชาชน และมีแนวโน้มสู่สภาวะมิคสัญญี เหมือนปี 57 แม้แต่น้อย

แต่ท่านก็ยินยอมพร้อมใจรับตำแหน่งนายกฯ บนวิถีทางไม่ปกติทั้ง 2 ครั้ง ความจริงแล้วหลายคนคาดหวังว่า ด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ ประสบการณ์ และการผ่านโลกมาเกือบจะศตวรรษของท่าน น่าจะเข้าใจเหตุปัจจัยและบริบททางการเมืองของไทยที่เป็นจริงมากกว่าพวกนักท่องตำราที่มีอยู่ดาษดื่นในสังคม

'ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์' เปิดผลสอบบุคลากรตีพิมพ์วิจัยมากผิดปกติ  พบผิดวินัยร้ายแรง สั่งลงโทษทาง 'วินัย-ให้ออกแล้ว'

(31 ก.ค. 66) กรณีปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะว่ามีบุคลากรในสังกัดราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์รายหนึ่ง มีพฤติการณ์ว่ามีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีความผิดปกติจนเกิดความเสียหายต่อราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นั้น

บัดนี้ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้ดำเนินการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวจนเป็นที่ยุติพบว่าบุคลากรรายดังกล่าวมีพฤติการณ์กระทำความผิดวินัยร้ายแรงอันเกี่ยวเนื่องจากพฤติการณ์ที่ผิดปกติของการตีพิมพ์ผลงานวิจัย และได้ลงโทษทางวินัยร้ายแรงและพ้นจากการเป็นบุคลากรของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์แล้ว

ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ มุ่งมั่นให้บุคลากรทุกคนมีมาตรฐานการดำเนินงานที่โปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล มุ่งเน้นการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม และนำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้และพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนและประเทศชาติต่อไป จึงแจ้งมาให้ทราบทั่วกัน

ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2566

‘เพื่อไทย’ นัดถก ‘8 พรรคร่วม’ 2 ส.ค.นี้ ก่อนโหวตนายกฯ หลังซาวเสียง ‘สส.-สว.’ ลั่นตรงกัน ย้ำ!! ต้องไม่มีก้าวไกล

(31 ก.ค. 66) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการนัดประชุม 8 พรรคร่วมภายหลังนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เตรียมออกวาระการประชุมรัฐสภา เพื่อเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ ในวันที่ 4 ส.ค.นี้ ว่า เบื้องต้นจะนัดประชุม 8 พรรคร่วมในวันที่ 2 ส.ค. ที่พรรคเพื่อไทย เนื่องจากวันที่ 1 ส.ค.ยังคงเป็นวันหยุด หลายคนยังอยู่ต่างจังหวัด ยังไม่สะดวกมาร่วมประชุม

อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับทั้ง สว.และ สส.จากพรรคการเมืองต่างๆ จนถึงขณะนี้ ทั้ง สส.และ สว. ยังแสดงความเห็นตรงกันว่าพร้อมจะยกมือสนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย แต่ต้องไม่มีพรรคก้าวไกล อยู่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะหากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่ให้เสียงสนับสนุน

‘เพื่อไทย’ ลุยทำการบ้าน!! นัดประชุม สส. 3 ส.ค.นี้ เตรียมความพร้อมโหวต ‘เศรษฐา’ ชิงเก้าอี้นายกฯ

(31 ก.ค. 66) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาลที่พรรค พท. เป็นแกนนำ ที่ผ่านมาพรรค พท. ได้ไปทำการบ้านรับฟังเสียงจากทั้ง สส. และ สว.ในมุมมองเกี่ยวกับการตั้งรัฐบาลตามที่ 8 พรรคร่วมมอบหมาย ซึ่งขณะนี้งานใกล้เสร็จสิ้นแล้วเราจะนัด 8 พรรคพูดคุยกันอีกครั้งแต่ยังไม่กำหนดวันแน่นอนเพราะต้องรอถามความพร้อมของทุกฝ่าย แต่สิ่งที่มีกำหนดแน่นอนแล้ว พรรคเพื่อไทย ที่จะมีการประชุม สส. วันที่ 3 ส.ค. ที่รัฐสภา เตรียมความพร้อม สส. ก่อนการโหวตนายกฯ วันที่ 4 ส.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับรายชื่อที่พรรคเพื่อไทย จะเสนอเพื่อโหวตเป็นนายกฯ ต่อรัฐสภาวันที่ 4 ส.ค. คือ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย

'นักวิทย์ฯ' ชี้ 'อายุขัย' ของมนุษย์ อาจเพิ่มแตะ 120 ปี ตัวแปรหนุนจากปัญญาประดิษฐ์และการแกะเชื้อโควิด19

(31 ก.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมาลาร์ดาเลน (MDU) ของสวีเดน ได้เปิดเผยถึงอายุขัยของมนุษย์ ที่อาจเพิ่มขึ้นสูงถึง 120 ปี ภายในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า เนื่องจากมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้จากการระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

อิกนัต คุลคอฟ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฯ กล่าวว่าตัวเลขอายุขัยที่คาดการณ์ล่วงหน้าของผู้คน เช่น กลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว อาจอยู่ที่ 100-120 ปี ในช่วงราว 50 ปีข้างหน้า ด้านบรรดาผู้สูงอายุมีแนวโน้มสุขภาพแข็งแรงดีเหมือนคนวัยสี่สิบ ซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว

คุลคอฟ บอกว่า ผู้คนจะสวมใส่อุปกรณ์อัจฉริยะกันมากขึ้นเพื่อติดตามดูสุขภาพของตัวเอง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้จะเชื่อมต่อกับแพทย์และโรงพยาบาล และบางกรณีอาจมีการปลูกถ่ายเซนเซอร์พวกนี้เข้าสู่ร่างกาย โดยอุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์หรือวิถีชีวิตตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุขัยยืนยาวยิ่งขึ้น

นอกจากนั้นความก้าวหน้าด้านอื่นๆ จะมีส่วนส่งเสริมอายุขัยที่ยืนยาวยิ่งขึ้นด้วย โดยการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้วิธีแกะรอยเชื้อไวรัสต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะปัญญาประดิษฐ์ถูกใช้วินิจฉัยโรคต่างๆ ได้เร็วยิ่งขึ้นและพัฒนาวิธีบำบัดรักษาใหม่ๆ รวมถึงการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized medicine) มีส่วนส่งเสริมสุขภาพดีด้วย

เปิดเหตุผล ที่ทำให้ 'ญี่ปุ่น-เวียดนาม' ต้องปาดเหงื่อ!!  หลังจีนถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้ไทย

เมื่อไม่นานมานี้ ช่องยูทูบ BangkokTube Akira ได้แชร์บทวิเคราะห์ช่องยูทูบ ‘Geography Issues’ ซึ่งเป็นชาวเวียดนาม ที่ได้พาดหัวข่าวเกี่ยวกับโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคายในประเทศไทย เอาไว้ว่า “เหตุใดประเทศจีนจึงจําเป็นต้องมีโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ-หนองคาย มูลค่า 67,000 ล้านบาท ในประเทศไทย อันตรายสําหรับเกษตรกรเวียดนาม” โดยระบุว่า…

นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน ก็แน่นแฟ้นมากขึ้น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นพันธมิตรทางการทหารที่ยาวนานกับสหรัฐอเมริกาก็ตาม โดยเฉพาะในบริบทของจีนที่กําลังเร่งดําเนินโครงการ One Belt One Road สิ่งนี้จะเป็นเส้นทางรถไฟที่สําคัญ เป็นหัวใจสําคัญและเป็นความใฝ่ฝันของจีน เมื่อพิจารณาจาก ‘ทําเลที่ตั้ง’ ของประเทศไทย และตําแหน่งในภูมิภาคปักกิ่ง ซึ่งประเทศไทยนั้นเป็นศูนย์กลางที่สําคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจะเป็นส่วนสําคัญในการผลักดันโครงการ One Belt One Road หรือ 1 แถบ 1 เส้นทาง สําหรับประเทศไทยสิ่งนี้จะเป็นความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาระบบขนส่งทางราง เมื่อรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย เปิดให้บริการด้วยความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ช่วยลดระยะเวลาการเดินทางระหว่าง 2 เมือง เหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น

พัฒนาการเชื่อมต่อโครงข่ายทางรางระหว่างไทย-จีน ผ่านเส้นทางรถไฟเวียงจันทน์-คุนหมิง ซึ่งกรุงเทพมหานครจะเชื่อมต่อโดยตรงกับเครือข่ายระบบรางอันมหึมาของจีน พร้อมกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไทย-จีน รวมถึงสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทยจะเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคจีนได้อย่างรวดเร็ว และในทางกลับกันสินค้าจีนก็จะเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน

จีนผู้ริเริ่มโครงการรถไฟสายนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางสําคัญของแผนทั้งหมด ความทะเยอทะยานของปักกิ่งสําหรับทางรถไฟสายเอเชีย เชื่อมระหว่างภาคใต้ตอนกลางของอาณาจักรไปยังกัวลาลัมเปอร์และสิงคโปร์ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าภายในไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนกําลังค่อยๆยกระดับการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในทางบกมากยิ่งขึ้น

หากโครงการนี้สําเร็จ โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสครั้งสําคัญของไทยในการดึงดูดนักลงทุนจากจีน และประเทศอื่นๆ ตลอดจนขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ทั้งนี้ สําหรับจีนโครงการนี้จึงเปรียบเสมือนหัวใจสําคัญของโครงการ One Belt One Road ไม่ใช่แค่เพื่อในการขนถ่ายสินค้าระหว่างไทย-จีนเท่านั้น แต่ด้วยความสําคัญของเครือข่าย จะช่วยในการสื่อสารผ่านพื้นที่ เพื่อสร้างเงื่อนไขที่ดีสําหรับตลาดผู้บริโภค พัฒนาการค้า และการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ยังมีบทบาทที่สําคัญในการส่งเสริมการออกสู่ทะเลตะวันออกผ่านอ่าวไทยและมหาสมุทรอินเดีย เพื่อสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การทหาร และอื่นๆ สําหรับจีน

อีกทั้งโครงการนี้ยังเป็นความเคลื่อนไหวที่สําคัญสําหรับประเทศจีน ในการขยายการแสดงตัวตน
และอิทธิพลของพวกเขา ในภาคสนามเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า การที่จีนถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงให้กับประเทศไทย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อส่วนแบ่งทางการตลาดของ ‘ญี่ปุ่น’ ที่เป็นผู้นําด้านเทคโนโลยี ซึ่งครองเจ้าตลาดในภูมิภาคนี้มาอย่างยาวนาน ด้วยความสามารถของประเทศไทย หากรับเอาเทคโนโลยีจากจีน ญี่ปุ่นจะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดที่สําคัญ สิ่งนี้จึงทําให้ญี่ปุ่นอาจเกิดความกังวลได้

นอกจากนี้จีนยังมุ่งมั่นอย่างยิ่งที่จะให้บริการเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงแก่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งได้นําไปสู่การแข่งขันโดยตรงกับญี่ปุ่น และสิ่งนี้ยังส่งผลกระทบที่สําคัญต่อโมเดลรถไฟความเร็วสูงทั่วโลกในอนาคต

หลังจากข่าวดังกล่าวถูกเผยแพร่ไป ก็มีชาวเวียดนามเข้ามารับชมนับแสนคน พร้อมแสดงความคิดเห็นทั้งชื่นชมในวิธีคิดของทั้งจีนและไทย รวมถึงมีการมองต่างมุมบ้างในบางความเห็นคละกันไปเป็นจํานวนมาก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top