Friday, 9 May 2025
NewsFeed

‘ไทย-ไต้หวัน’ จับมือพัฒนาหลักสูตร ‘เซมิคอนดักเตอร์’ เร่งผลิตบุคลากร ตอบสนองความต้องการอุตสาหกรรมชิป

‘เซมิคอนดักเตอร์’ (Semiconductor) คือ ‘สารกึ่งตัวนำ’ หรือ ‘ชิป’ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีความต้องการในตลาด เพื่อใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีหลากหลายประเภท โดยประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต เนื่องจากความพร้อมทางด้านทรัพยากร การจัดตั้งภาคอุตสาหกรรม รวมถึงความสัมพันธ์อันดีกับประเทศอื่นๆ จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมประเภทนี้เป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตาม การลงทุนด้านชิปในไทยยังอยู่ในส่วนการประกอบและทดสอบ (assembly and testing) และเริ่มมีการลงทุนในส่วนของการออกแบบ (IC Design) แต่ยังขาดในส่วนของภาคการผลิต (Foundry) จึงเกิดเป็นความร่วมมือในการพัฒนาบุคลากร ระหว่างหน่วยงานของไทยและไต้หวัน เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมชิป

โดยมหาวิทยาลัยไทย 9 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไต้หวัน 6 แห่ง และบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก 

ร่วมมือวิจัยและผลิตบุคลากร โดยจัดทำหลักสูตรในระดับปริญญาตรี-โท ด้านเซมิคอนดักเตอร์ ตั้งเป้าให้มีนิสิตนักศึกษาที่มีศักยภาพสูงในโครงการไม่น้อยกว่า 200 คน/ปี ในสาขาที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ด้านเครื่องมือ ด้านวัสดุ ด้านการออกแบบวงจรรวม (IC) ด้านกระบวนการผลิต ด้านการทดสอบและ packing เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่อง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง มอบหมาย ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขับเคลื่อน วาง 9 มาตรการเข้ม แก้ไขปัญหาเด็กแว้นอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ที่ตระหนักและให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแข่งรถในทางของเด็กและเยาวชน (เด็กแว้น) อันเป็นปัญหาที่สร้างอุบัติเหตุบนท้องถนน เกิดความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน และสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ประชาชนในชุมชนและสังคม จึงได้จัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง และความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปข.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. เป็น ผอ.ศปข.ตร. และมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็น รอง ผอ.ศปข.ตร. เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทาง โดยใช้นโยบายบังคับใช้กฎหมาย ใน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการก่อนเกิดเหตุ มาตรการขณะเกิดเหตุ มาตรการสอบสวนขยายผล และมาตรการเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า วันนี้ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อน ศปข.ตร. และกำหนดแนวทางมาตรการปฏิบัติในห้วงต่อไปในปี พ.ศ.2566 โดยมีผู้แทนหน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. พร้อมด้วยหัวหน้าสถานีตำรวจ 1,484 สถานีทั่วประเทศ เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล รับฟังรายงานการบันทึกข้อมูลในระบบ CRIME และสถิติการดำเนินการ สถิติการร้องเรียนผ่านทางศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 และ 1599 พร้อมการวิเคราะห์จัดกลุ่มความเสี่ยงของพื้นที่ สน./สภ. และสรุปผลการป้องกันปราบปราม ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการแข่งรถในทางที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ และความคืบหน้าการจ่ายเงินรางวัลเบาะแส เป็นต้น

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ได้กำหนดมาตรการปฏิบัติและกำชับให้หน่วย บช.น., ภ.1 - 9 และ บก.ทล. นำไปขับเคลื่อนเพื่อป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ในห้วงต่อไปในปี พ.ศ.2566 โดยกำชับให้เพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ ดังนี้

1. ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างจับกุมและเพิ่มความเข้มในมาตรการป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทาง ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น การรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือโดยพฤติการณ์ที่น่าจะเป็นการนำไปสู่การแข่งรถในทาง โดยเน้นการบังคับใช้กฎหมายใน 4 มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการก่อนเกิดเหตุ มาตรการขณะเกิดเหตุ มาตรการสอบสวนขยายผล และมาตรการเฝ้าระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดอย่างต่อเนื่องและจริงจัง

2. เร่งรัดกวดขันตรวจสอบการกระทำความผิดทุกช่องทาง และเพิ่มความเข้มในการระดมกวาดล้างจับกุม ทั้ง ONLINE เช่น คลิปการแข่งรถ, การขับรถที่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย, ร้านค้าออนไลน์ ฯลฯ และ ON GROUND เพิ่มความเข้มออกตรวจตรา แหล่งมั่วสุม จุดนัดหมาย ร้านจำหน่ายอะไหล่ ร้านซ่อมดัดแปลงสภาพรถ ร้านแต่งซิ่ง โรงงานและร้านขายท่อไอเสียที่ไม่ได้มาตรฐาน ตลอดจนเส้นทาง ถนนที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ ฯลฯ ดำเนินการตามกฎหมายกับตัวการ และสอบสวนขยายผลไปยังผู้สนับสนุน เช่น ผู้ผลิต จำหน่าย ประกอบ ดัดแปลง ยุยงส่งเสริม Admin page และกองเชียร์ ตรวจยึดรถต้องสงสัย พร้อมจัดทำประวัติผู้กระทำผิดและมีพฤติกรรมเสี่ยง

3. กรณีมีการชักชวนรวมกลุ่มมั่วสุมแข่งรถในทาง หรือออกทริปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาล วันหยุดราชการและวันหยุดต่อเนื่อง ในห้วงเดือน ก.ค. - ส.ค.66 ให้ดำเนินการตามมาตรการที่ ตร. กำหนด ตั้งแต่พื้นที่ต้นทาง พื้นที่กลางทาง จนถึงพื้นที่ปลายทาง ตั้งจุดตรวจ จุดสกัด เพื่อกวดขันวินัยจราจร ตรวจสอบและป้องปรามให้ครอบคลุม และให้หน่วยพื้นที่ต้นทางประชาสัมพันธ์กับ Admin Page ให้ระงับการดำเนินการดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และประชาชนที่พักอยู่ริมทางและลดการสูญเสียจากอุบัติเหตุ หากมีการรวมกลุ่มออกทริปท่องเที่ยวเกิดขึ้นแล้ว ให้ สน./สภ. บูรณาการกำลังทุกฝ่ายให้ยุติกิจกรรมพร้อมติดตามจับกุมให้ได้โดยเร็ว หากเกี่ยวข้องในหลายพื้นที่ ให้บูรณาการข้อมูลและการปฏิบัติ ระหว่างพื้นที่อย่างต่อเนื่อง 

4. ในช่วงเปิดภาคเรียน ให้ดำเนินโครงการ เปิดโรงเรียน เปิดโรงรถ พร้อมทั้งเครือข่ายเยาวชนก่อการดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความรู้ ป้องปรามและปรับเปลี่ยนเยาวชนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ให้กลับตัวเป็นคนดี มีจิตอาสา มุ่งสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

5. ให้ความสำคัญการรับแจ้งเหตุและร้องเรียนในทุกช่องทาง โดยให้ กก.สส.บก.น./ภ.จว. ร่วมกับงานสืบสวน ของ สน./สภ. เร่งรัดตรวจสอบและดำเนินการ เน้นการสืบสวนหลังเกิดเหตุให้ได้ตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีทุกราย เพื่อป้องปรามไม่ให้กลับมากระทำความผิดอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับแจ้งเหตุทางศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกตรวจสอบทุกเหตุ แล้วรายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบตามความเป็นจริง 

6. ในห้วงที่ผ่านมา พบว่าสถิติการรับแจ้งเหตุฯ ของบางหน่วย มีแนวโน้มสูงขึ้น ให้หน่วยทุกระดับนำข้อมูลการรับแจ้งเหตุและพื้นที่เสี่ยงต่างๆ ของศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191, 1599 และข้อมูลในระบบ CRIMES มาวิเคราะห์ เพื่อวางแผนและกำหนดมาตรการในการป้องกันปราบปรามเหตุเพื่อป้องกันเหตุและลดอุบัติเหตุ ให้เท่าทันต่อสถานการณ์ เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และสืบสวนจับกุมให้ได้ทุกราย 

7. ให้ผู้บังคับบัญชาสุ่มตรวจและทดสอบการปฏิบัติ กรณีเมื่อได้รับแจ้งเหตุแข่งรถในทาง ผ่านศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191 และช่องทางอื่นๆ เพื่อทดสอบการดำเนินการทั้งระบบ เช่น การรับแจ้งและประสานงาน การเดินทางไปที่เกิดเหตุ การเข้าระงับเหตุและดำเนินคดี การรายงานผลการปฏิบัติ เพื่อกระตุ้น แก้ไขปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติ 

8. แสวงหาความร่วมมือ ข้อมูลและเบาะแสจากเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่และช่องทางอื่นๆ ทุกช่องทาง ประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้ประชาชนรับทราบ กรณีผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแสที่สามารถนำไปสู่การจับกุมความผิดแข่งรถในทาง จะได้รับค่าตอบแทน รายละ 3,000 บาท โดยสามารถแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้ ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน 191, สายด่วน 1599 และ ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.

9. กรณีมีการจัดการแข่งขันรถ อันมีลักษณะเป็นเทศกาลประจำในพื้นที่ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือสืบทอดวัฒนธรรมประเพณี ให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกการจราจร และป้องกันอุบัติเหตุอย่างใกล้ชิด
          
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังที่จะดำเนินการป้องกันและปราบปรามการแข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรม ประชาชนได้รับความสะดวกในการการเดินทาง ลดอุบัติเหตุบนท้องถนน และความเดือดร้อนรำคาญของประชาชนในชุมชนและสังคม ตลอดจนสร้างความปลอดภัยต่อผู้ใช้รถใช้ถนน จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกสถานีทั่วประเทศ ทุ่มเทสรรพกำลังอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยให้แก่ประชาชนและสังคม

‘พีท ทองเจือ’ สุดปลื้ม!! อวดรูป ‘น้องมิย่า’ สวมชุดนักศึกษา หลังตั้งใจเรียนจนสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในวัย 17 ปี

(4 ก.ค. 66) เรียกได้ว่าเป็นสาวน้อยวัย 17 ปีที่ทั้งสวย เก่ง และมากความสามารถมาก สำหรับ น.ส.พิชชา ทองเจือ หรือ ‘น้องมิย่า’ ลูกสาวคนกลางของ ‘คุณพ่อพีท ทองเจือ’ และ ‘คุณแม่เจ็ง วิไลลักษณ์’

ล่าสุด คุณพ่อพีทได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอของลูกสาวคนเก่ง ในชุดนักศึกษาผ่านอินสตราแกรมส่วนตัว พร้อมเผยความภูมิใจผ่านทางแคปชันว่า…

“เมื่อวานยังใส่ชุดนักแข่งขึ้นรับรางวัลอยู่เลย วันนี้ใส่ชุดนิสิตซะแล้ว หลังจากตั้งใจและพยายามสอบ จนเข้ามหาวิทยาลัยได้ ในวันเกิดครบรอบ 17 ปีนี้ ตั้งใจทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แบบนี้ตลอดไปครับ Congratulations, We’re Always with U”

ทางด้านคุณแม่เจ็งก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอเดียวกัน ลงในอินสตาแกรมส่วนตัว พร้อมแคปชันว่า…

“นักศึกษาใหม่เริ่มเรียนวันแรก ดีใจที่หมวยได้กลับมาใช้ชีวิตนักเรียนอีกรอบ ที่ผ่านมาหนูทำงานเยอะมากกก แต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียน สอบเทียบจนผ่านเข้ามหาลัยได้ในวัยอายุ 17 ปี มี๊บันทึกไว้ให้หนูนะหมวย ว่าวันนี้หนูทำได้แล้ว Congratulation นะหมวย สู้ๆ นะคะ 4 ปีแป๊บเดียวเอง #LoveYou #Miyajung”

‘สิตางศุ์ บัวทอง’ โพสต์ให้กำลังใจ ‘เอ้ ชุติมา’ แถมลั่นถึงแม่ฟร้อง "สอนลูกยังไงให้เป็นแมงดา"

(4 ก.ค. 66) จากกรณีที่ ‘ฟร้อง ศุภกิจ’ อดีตคนรักของนักแสดง ‘เอ้ ชุติมา’ เข้าร้องขอความช่วยเหลือจาก ‘เพจสายไหมต้องรอด’ อ้างว่า ‘เอ้’ ยักยอกทรัพย์ ไม่ยอมผ่อนค่างวดรถหรู และนำรถไปหลบซ่อนไม่ยอมส่งมอบคืน ทำให้ทางไฟแนนซ์เตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับตน ส่วนบ้านก็ถูกธนาคารยึดทำให้เสียเครดิต โดยวันที่ 3 ก.ค. 66 เอ้ และ ฟร้อง พร้อมด้วยคุณแม่วรรณ ได้มาเผชิญหน้ากันในรายการ โหนกระแส งานนี้ต่างฝ่ายต่างแฉกันยับ แถมแม่ฟร้อง ยังหลุดปากพูดว่า ลูกชายกับเอ้เลิกกัน เพราะเอ้หมดตัว และย้ำว่าไม่ขออโหสิกรรม ไม่อยากเห็นหน้า และไม่อยากได้ยินชื่อเอ้อีก งานนี้ทำเอาชาวเน็ตกรูกันเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่น พร้อมกับนำทัวร์ไปลงคุณแม่ของ ฟร้อง ในทันที!

ล่าสุดจากประเด็นร้อนระอุดังกล่าวของ เอ้ กับ ฟร้อง ทำให้ สิตางศุ์ บัวทอง หรือ แม่สิตางศุ์ ก็ได้ออกมาโพสต์ให้กำลังใจ เอ้ พร้อมกับลั่นแรงถึงแม่ ฟร้อง เอาไว้ว่า “กอดๆ เอ้ ชุติมา สอนลูกยังไงให้เป็นแมงดา” งานนี้ทำเอาชาวเน็ตถึงกับสะดุ้งทั้งไทม์ไลน์ อีกทั้งยังเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมาย อาทิ ทีมเอ้ เนอะแม่, แรงอะแม่, แรงค่ะแม่แต่โดนใจทั้งประเทศค่ะ, ทีมเอ้ รักเอ้นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ สู้สู้ค่ะ ทำดีได้ดีค่ะ, คุณเอ้..สตรองมาก.ที่ผ่านมาได้, พี่เอ้ชัดเจนชอบค่ะ, แรงมากแม่คิดเหมือนกันค่ะ, ทีมเอ้ค่ะเข้าใจหัวอกคุณเอ้เลย, จริงมากแม่ เป็นต้น

สช.นราธิวาส จัดพิธีเปิดและส่งมอบนักศึกษาในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เชื่อมสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ

นายสนั่น พงษ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานกล่าวเปิดงานและต้อนรับ คณะ นักศึกษาภายใต้โครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-อินโดนีเซีย ณ ห้องประชุมใยลานี  ชั้น 3 อาคาร 16 โรงเรียนดารุสสาลาม อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส นายสนั่น เปิดเผยว่าโครงการที่จัดขึ้นถือว่าเป็นโครงการที่ดีมากถือว่าเป็นครั้งแรกของสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส นอกจากจะเป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างประเทศอินโดนีเซียที่เปรียบเสมือนเป็นบ้านพี่เมืองน้องของเราแล้วยังทำให้น้องน้องเยาวชนในพื้นที่ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ประเพณี ที่แปลกใหม่ของอินโดนีเซีย และสามารถนำประสบการณ์สิ่งดีในพื้นที่จังหวัดชายเเดนภาคใต้ของเรา กลับไปเผยแพร่ให้กับพี่น้องในประเทศอินโดนีเซียได้รับรู้ต่อไป

ทางด้านนายภิญญา รัตนวรชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส กล่าวว่า การจัดโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเซียมีวัตถุประสงค์ คือ เป็นการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์อันดีต่อกันโดยใช้กระบวนการจัดการศึกษาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์การศึกษาซึ่งกันและกัน พัฒนาศักยภาพและทักษะทางภาษา และเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภาษา วัฒนธรรม สภาพชีวิตความเป็นอยู่ของทั้ง 2  ประเทศ และส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ…

สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส เห็นความสำคัญของการสร้างมาตรฐานการจัดการศึกษา เพื่อยกระดับความสำเร็จในการจัดการศึกษากับต่างประเทศ จึงได้จัดโครงการภายใต้ความร่วมมือของสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส สถานศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชนของสาธารณรัฐอินโดนีเชีย โดยได้ดำเนินการจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการศึกษาไทย-สาธารณรัฐอินโดนีเชีย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งจากการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ดังกล่าว ทางมหาวิทยาลัยในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จะดำเนินการส่งนักศึกษาเข้าแลกเปลี่ยนในโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดนราธิวาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส ซึ่งในครั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย จำนวน 75 คน มีระยะเวลาในการแลกเปลี่ยนจำนวน 3 เดือน ระหว่างวันที่กรกฎาคม 2566 ถึง 2 ตุลาคม 2566 มีโรงเรียนรับนักศึกษาแลกเปลี่ยน จำนวน 38 แห่ง โดยเป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานการศึกษาเอกชน จำนวน 26 แห่งและสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส จำนวน 12 แห่ง

แม่ 'ฟร้อง' ซัด 'เอ้ ชุติมา' เคยบอกจะเลี้ยงดูลูกชาย สุดท้ายขอยืมเงินทีละ 5 หมื่น ช่วง 6 ปี ที่คบกัน

(4 ก.ค.66) เป็นไปอย่างดุเด็ดเผ็ดมันส์ หลังเมื่อวานนี้ ‘เอ้ ชุติมา’ พร้อมด้วยอดีตผัวเด็ก ‘ฟร้อง-ศุภกิจ ประสงค์’ และแม่ พากันไปออกรายการโหนกระแส ซัดกันเรื่องที่เอ้ไม่ยอมผ่อนบ้านผ่อนรถ ที่เป็นชื่อผัวเด็ก จนทำให้บ้านรถถูกยึด หลังเลิกกันไป 9 เดือน แถมแม่ฟร้องก็ยังเปรี้ยวสุด ชี้หน้าด่าเอ้ตอแหลกลางรายการ แบบชนิดที่ว่าไม่กลัวถูกฟ้อง พร้อมยอมรับว่าที่ลูกชายเลิกกับเอ้เพราะเอ้หมดตัว ไม่มีเงิน จนเอ้ซัดกลับไม่มีเงินได้ไง งานละครก็มี พรีเซ็นเตอร์ก็มี ก่อนแฉฟร้องกลับ ลูกติดการพนัน แม่เป็นเจ้ามือหวย แถมลูกชายผันตัวไปเป็นเด็กบาร์โฮส ซึ่งฟร้องยอมรับว่าที่ไปทำเพราะจนมุม ไม่มีเงินใช้หนี้ จนถูกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์กันสนั่น

ทั้งนี้ภายหลังจบรายการ ‘ฟร้อง’ และ ‘แม่วรรณ’ ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนอีกด้วย 

>> หลังจากที่ได้มาเจอหน้าพี่เอ้รู้สึกยังไงบ้าง?
ฟร้อง : ผมยังสงสัยว่าทำไมไม่ยอมคืนรถให้ ตามจริงคือรถตกลงกันว่าพี่เอ้จะเป็นคนผ่อน แต่อยู่ดีๆ มาบอกว่าบ้าน ต้องการหาบ้านใหม่ ต้องการหาคนซื้อ แต่ผมตามเพื่อนพี่เอ้ทุกคนเลย ตามไม่รู้จะตามยังไงแล้ว ผมก็อยากได้รถคืนเพราะพี่เอ้ไม่ยอมผ่อน ค้าง 4 งวด ผมกลัวรถหายก็ไปแจ้งความ ร้องเรียนเพจสายไหมต้องรอดว่าผมอยากได้รถคืนมา จะได้จบปัญหา (คดีที่โดนตอนนี้?) เรื่องบ้าน แล้วก็เรื่องรถที่กำลังจะโดน (ฟ้องล้มละลาย?) อาจจะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ต้องไปรึกษาทนาย

>> สิ่งที่เราต้องการจากพี่เอ้ตอนนี้คืออะไร?
ฟร้อง : ก็แค่อยากให้รับผิดชอบที่เอาไปยังผ่อนค้าง 3-4 งวด จะเอารถมาคืนโดยบอกว่าค้างไม่ได้ นั่นแหละครับ หลังจากนี้ขอไปปรึกษาทนายและคุณพ่อคุณแม่

>> ทนายว่ายังไงบ้าง เพราะเอ้บอกว่าไม่ได้ให้ด้วยความเสน่ห์หา?
ทนาย : ไม่ได้ให้โดยเสน่ห์หา ก็คือจริงๆ ตามสัญญาเขาต้องเป็นคนผ่อนทั้งหมดนะครับ แต่หลังจากไกล่เกลี่ยกันในรายการ (โหนกระแส) ก็อยู่ที่ว่าทางคุณฟร้องจะโอเคไหม เพราะเขาคืนรถมาแล้ว ทีนี้ส่วนต่างกับที่ค้างอยู่ทางคุณฟร้องจะต้องรับผิดชอบ อาจจะต้องหารือว่าเขาจะโอเคหรือเปล่า ถ้าโอเคก็จบเลย ถ้าไม่โอเคก็ต้องไปว่ากันในศาล เพราะว่ามันก็มีสัญญาอยู่ตกลงกันไว้ว่ายังไงก็ต้องว่ากันตาม (กังวลเรื่องสัญญาไหม ไม่มีบัตรประชาชนสำเนา?) ไม่เกี่ยวครับ ก็มีพยานอยู่ในการลงชื่อ มีลายเซ็นต์ชัดเจน

>> ในส่วนที่ฟร้องจะต้องจ่ายส่วนต่างอีกเท่าไหร่ ถ้าอยากจะได้รถมา?
ฟร้อง : ปัญหาหลักคือค้างค่างวดอยู่ ประมาณ 4 งวด ก็งวดละประมาณ 2 หมื่นบาท ที่จะต้องจ่ายที่พี่เอ้ไม่ยอมผ่อน (ยังอยากได้รถไหม?) ผมตกลงกับพี่เอ้ตั้งแต่แรกตอนที่เลิกนะว่าฟร้องไม่เอาหรอกรถน่ะ บ้านไม่เอาหรอกเพราะว่าฟร้องก็มี รถของที่บ้านอยู่ที่กาญจนบุรี ตอนแรกอยากให้พี่เอ้มีรถ มีบ้าน พอเลิกไปพี่เอ้ก็มีทรัพย์สินใช่ไหม ฟร้องก็บอกแม่ว่าพอถึงเลิกกันไปพี่เอ้ก็จะมีทรัพย์สินของตัวเอง มีบ้าน มีรถ แต่พออันนี้มันกลับกันเลย ก็แล้วแต่คนจะเชื่อเพราะว่าผมก็เป็นเด็กซื่อๆ เด็กต่างจังหวัดหลงคารมณ์

>> ขอย้อนกลับไปสาเหตุที่เขาไม่ผ่อนต่อทั้งบ้านและรถ?
ฟร้อง : ไม่ผ่อนต่อ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันครับ
ทนาย : เดี๋ยวไปถามพี่เอ้ดีกว่าครับ

>> เป็นไปได้ไหมจะมีการแบ่งจ่ายคนละครึ่ง?
ทนาย : ผมอยากเสนอเขาแต่เขาปฏิเสธ ก็เลยไม่ได้เสนอไปในรายการ
ฟร้อง : ตอนที่เลิกกันคุยอย่างดีเลยนะว่าพี่เอ้จะเป็นคนเอาบ้าน เอารถ จะเป็นคนผ่อนต่อ พอผ่อนเสร็จปุ๊ปหรือปิดทุกอย่างผมยินยอมโอนให้พี่เอ้ จะยอมเปลี่ยนชื่อทุกอย่างเลย แต่คราวนี้คือมันไม่ได้
ทนาย : ในเรื่องนี้เดี๋ยวไปหารือกันอีกทีดีกว่าครับ

>> พอวันนี้ประเด็นเปลี่ยนว่าเลิกกันต่างคนต่างหมดตัว การจากเล่นการพนันออนไลน์ เราจะชี้แจงยังไงบ้าง?
ฟร้อง : เรื่องพนันออนไลน์ที่ผมโดนโกงไป ผมไม่ได้เล่น ผมโดนโกงจริงๆ มีคนทักเฟซบุ๊กมาว่าสนใจร่วมลงทุนไหม แล้วให้ผมไปสมัคร ก็ตามที่เห็นครับผมโดนโกง เหมือนให้ผมโอนไปเรื่อยๆ แต่ถอนไม่ได้  ผมก็แจ้งความจับทุกอย่างแล้ว แต่คืออัยการไม่สั่งฟ้อง (เหตุผลที่ยอมลงทุน?) ผมไม่ได้เล่น ผมโดนโกงจริงๆ ผมลงทุนไป มีปัญหาหลายๆ เรื่อง พี่เอ้ต้องใช้เงินเยอะด้วย เดือนนึงจ่ายเป็นแสนนะ ทั้งบ้าน ทั้งรถ ทั้งบัตรเครดิต

>> เงินที่เอาไปลงทุนใช่เงินที่รีไฟแนนซ์ไหม?
ฟร้อง : ไม่ใช่ครับ เงินที่ลงทุนที่โกงไปนานแล้ว ก่อนที่ผมจะเอารถไปรีไฟแนนซ์ เพราะผมก็ปรึกษาพี่เอ้นะ เขาก็อยู่นะที่ธนาคารมาเซ็นต์สัญญาที่บ้าน ผมก็ปรึกษาพี่เอ้ว่าเอารถไปรีไฟแนนซ์ไหม เอามาหมุนเพราะเดือนนึงจ่ายเป็นแสน ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิด งานก็น้อย พี่เอ้ก็งานน้อย รายได้ก็น้อย ผมกลัวหมุนไม่ทันก็เป็นห่วง เลยบอกพี่เอ้เดี๋ยวมารีไฟแนนซ์กันนะ จะได้มีเงินหมุนจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าโน่นนี่นั่น แต่คือที่เห็นพี่เอ้กลับคำหมดเลย

>> แม่รู้สึกยังไงบ้างที่ลูกชายเราต้องมาเผชิญเหตุการณ์แบบนี้?
แม่ : มันพูดไม่ถูกกับพฤติกรรมที่เขาทำตอนนี้ ที่เขากลับคำพูดทุกอย่าง บ้านเขาจะเอา จะผ่อนเอง ตอนนี้เขากลับละ เขาบอกว่าเขาซื้อเงินสดที่ว่ารถซื้อสด แล้วลูกชายเราเอาไปรีไฟแนนซ์มันไม่ใช่ละ เขากลับคำแล้วมันเสียความรู้สึก

>> เอ้บอกในรายการว่าส่งเสียเลี้ยงดูมา เรื่องเรียน?
แม่ : ใช่ อันนั้นคือข้อตกลงที่เขาไปขอลูกเราที่บ้าน เขาจะเลี้ยงดูเองนะ ไม่ต้องห่วงนะ แล้วก็ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ เขาจะเอาน้องไปทำงาน ได้มีเงินเก็บ แต่ทุกวันนี้ไม่เคยเลย โทรมาบอกว่าจะมีงานแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ แล้วลงท้ายยืมเงิน 5 หมื่นได้ไหม ทุกครั้ง 6 ปีมาเนี่ย

>> ตอนที่ไปขอเขาขอลูกแม่มาดูแลในฐานะอะไร?
แม่ : คล้ายๆ เขาจะคบกัน เป็นแฟนคบกัน แต่เราก็บอกเขาแล้วว่าลูกรับได้ก็โอเค ลูกรักใครเราก็รัก

>> ตอนนี้กระแสอาจจะตีกลับมาที่ครอบครัวเราเหมือนกัน ที่บอกว่าเลิกกันเพราะเขาหมดตัว?
แม่ : ใช่ พี่เอ้เขาไม่มีเงินจริงๆ (แม่ทราบได้ยังไง?) เพราะเรารู้ปัญหา เขายืมเงินเราอยู่ แล้วปัญหาลูกเราก็บอกว่าพี่เอ้ไม่มีงาน เงินหมุนไม่ทัน
ฟร้อง : วันที่เลิกกันก็ออกจากบ้านไปเลย แม่ผมก็พยายามติดต่อโทรหาว่าเพราะอะไร เขาไม่ยอมรับสาย ไม่อะไรเลย ได้แต่คุยกันในแชต มันก็ไม่โอเค พี่เอ้หนีปัญหาของเขาแหละ

แต่ถ้าหลายคนจะมองว่าตอนที่พี่เอ้มีเงินเราก็ยังอยู่กับเขา พอเขาไม่มีเงินแล้วเราไม่อยู่?
ฟร้อง : ผมอยู่บ้านตลอด ผมไม่ได้ทิ้ง แต่คือพี่เอ้ทิ้งผม ผมงงมาก เพราะตอนแรกก็บอกพี่เอ้ว่าสร้างครอบครัวด้วยกันนะ ซื้อบ้าน ซื้อรถ อยู่ด้วยกัน แต่ไปๆ มาๆ มันไม่ใช่ไง ผมก็งงอยู่ดีๆ หนีผมไปกับลูกบุญธรรมเขา

>> เลิกกันมีมือที่สามไหม?
ฟร้อง : ไม่มีครับ บอกตรงๆ มือที่สามไม่มี ปัญหาก่อนเลิกหนึ่งวัน คือผมมีปากเสียงกับพี่เอ้ เรื่องเอาลูกบุญธรรมกับเพื่อนมาที่บ้าน เหมือนพูดว่าผมเอาผู้หญิงที่มหาวิทยาลัยขึ้นรถ แต่ไม่ใช่ ผมก็เลยอธิบายว่าไม่ใช่ ผมก็เลยตัดสินใจบอกพี่เอ้เลยว่าผมไม่ชอบลูกบุญธรรมของเขานะ ผมเลยให้เลือกระหว่างลูกบุญธรรมกับผม ถ้าลูกบุญธรรมอยู่ที่บ้านผมจะไม่อยู่ ก็มีปากเสียงกันครับ (จุดแตกหัก?)  ใช่ครับ (ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องเงิน เรื่องเขาหมดตัว?) ครับ

>> กลัวคนมองภาพเราเปลี่ยนไปไหมหลังจากนี้?
ฟร้อง : ก็คงตามสังคมที่มอง ผมก็น้อยใจที่พี่เอ้บอกว่าทำไมถึงทำแบบนี้ น้อยใจทุกอย่าง ผมรักและกู้เงินให้ ยอมเป็นหนี้

>> อยากบอกอะไรเขาไหมหรืออยากไกล่เกลี่ย เราก็เป็นคนเคยรักกัน?
ฟร้อง : เดี๋ยวค่อยพูดครับ เพราะผมพูดไม่ไหวแล้ว

>> ฟ้องมาฟ้องกลับ?
ฟร้อง : คงเป็นแบบนั้นครับ

‘ไอซ์ ปรีชญา’ ลบรูป-อันฟอลแฟนหนุ่มลูกครึ่งเกลี้ยงไอจี ขึ้นจอดำพร้อมโพสต์ภาพถาม “ใบบัวบกแก้ช้ำในไหม?”

(4 ก.ค. 66) เพิ่งจะหวานออกสื่อ หลังควงคู่ออกรายการแชร์เรื่องราวความรักกันไปได้ไม่นาน ล่าสุด ‘ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกร’ ทำแฟนคลับอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะเจ้าตัวโพสต์ภาพจอดำ และต่อมาได้โพสต์ภาพผ่าน IG Story ขณะกำลังถือขวดยาแคปซูลสมุนไพรบัวบก พร้อมกับแคปชันว่า…

“แก้ช้ำ (รูปอีโมจิหัวใจสีขาว)” และตั้งคำถามว่า… “แก้ช้ำในไหม?” พร้อมกับคำตอบ “ใช่” หรือ “ไม่” และใส่เพลง ‘ความรักไม่ง่าย’ ประกอบ

เมื่อชาวเน็ตเข้าไปส่องโซเชียลของไอซ์ ปรีชญา ก็พบว่า ไอซ์ได้ลบรูปคู่ที่โพสต์กับแฟนหนุ่มลูกครึ่งอย่าง ‘สเตฟาน อิสเลอร์’ หมดเกลี้ยงอินสตาแกรม พร้อมกับอันฟอลโลว์ฝ่ายชายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่อินสตาแกรมของอีกฝ่ายยังมีรูปคู่และกดติดตามดาราสาวอยู่ตามปกติ

‘4 หนุ่ม’ วงแตก!! แก๊สกระป๋องหม้อไฟชาบูระเบิด รู้สึกกลัว!! แต่ในมือยังถือ ‘ถ้วย-ตะเกียบ’ แน่น

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ผู้ใช้ติ๊กต็อกที่ใช้ชื่อว่า ‘a2tuinho100991’ โพสต์คลิปวิดีโอไว้เป็นอุทาหรณ์สายชาบูทั้งหลาย เผยว่า ขณะกำลังนั่งกินชาบูหม้อไฟพร้อมกับเพื่อนรวม 4 คน แต่ความอร่อยต้องมาสะดุด เมื่อที่บริเวณใส่ขวดแก๊สเปิดออก หลังจากนั้นไม่ถึง 3 วินาที เตาระเบิดทันทีทำให้ 3 หนุ่มวิ่งหนี แต่อีก 1 หนุ่มยังอึ้งกับเหตุการณ์และที่มือยังถือถ้วยและตะเกียบไว้แน่น

โดยเจ้าของคลิป ยังระบุข้อความไว้ว่า “มองย้อนกลับไปตอนนี้ยังรู้สึกกลัวอยู่ ระวังกันด้วยนะทุกคน สบายดี”

‘หนิง ปณิตา’ แจงคู่กรณีไม่มาตามนัด ยัน!! เรียกค่าเสียหายตามเดิม ปมหย่าอดีตสามีต้องขอเวลาคุยก่อน เพราะห่วงความรู้สึกลูกสาว

(4 ก.ค.66) ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ‘หนิง ปณิตา’ ซึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่สาม ซึ่งเป็นข่าวกับสามี ‘จิน จรินทร์’ เดินทางมาที่ศาลซึ่งนัดไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย โดย ‘หนิง’ ได้มาพร้อมกับทนายความส่วนตัวและน้องสาว ‘แนน ชุมพิชา’ แต่ทางคู่กรณีไม่ได้มาด้วยตัวเอง ส่งทนายความส่วนตัวมา แต่ขออนุญาตทางศาลวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ซึ่งศาลไม่อนุญาต โดย ‘หนิง’ ได้เปิดเผยว่า

ยังคงยืนยันคำเดิมเดินหน้าเรียกค่าเสียหาย ส่วนเงื่อนไขไม่ขอลงรายละเอียดแต่มั่นใจในหลักฐานที่มี ซึ่งศาลนัดสืบพยานวันที่ 4 ต.ค. 66 ถ้าไม่มาตามนัดศาล มีสิทธิ์แพ้คดี และหากคู่กรณีขอโทษด้วยความจริงใจที่ไม่มีอะไรแอบแฝงก็อาจจะคุยกันได้

ส่วนดรามาธัญญ่าเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้ทั้งคู่นั้น ‘ธัญญ่า’ เป็นแค่คนส่งสารที่อีกฝ่ายฝากมาบอก และที่มีข่าวว่า ‘จิน จรินทร์’ เป็นคนหาทนายให้คู่กรณีนั้นขอไม่พูดถึง แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดที่สุด

สำหรับรูปครอบครัวที่น้องณิรินโพสต์ลงอิสตาแกรมส่วนตัว คือการทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด หลังจากนี้จะทำอะไรจะตัดสินใจช้าๆ เพื่อให้กระทบความรู้สึกของลูกน้อยที่สุด ส่วนเรื่องหย่าอดีตสามีขอเวลาคุยกับลูกก่อนเพราะห่วงความรู้สึกของลูก

'พิธา' ฝ่าฝน!! สวมกอดกองเชียร์ 'ด้อมส้ม' ประกาศเปิดห้องรับรองสภาฯ รับประชาชน

(4 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โหวตเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรเสร็จสิ้น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้า และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนบริเวณห้องแถลงข่าว ก่อนจะเดินออกมาหน้าอาคารรัฐสภา พร้อมด้วยแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ, นายปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม., น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ส.ส.ปทุมธานี และมุ่งหน้าไปยังป้อมรักษาการณ์หน้าอาคารรัฐสภา ฝั่งถนนทหาร ซึ่งเป็นจุดรวมตัวของกลุ่มมวลชน ที่เดินทางมาให้กำลังใจพรรคก้าวไกลตั้งแต่ช่วงเช้า 

โดยพิธา และคณะ ได้เดินเข้าไปนั่งร่วมวงกับประชาชน ก่อนจะมีการพูดคุย พร้อมแจกลายเซ็น และกล่าวขอบคุณที่เดินทางมาให้กำลังใจในวันนี้ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา

โดยช่วงหนึ่ง นายพิธา กล่าวว่า เมื่อเราได้เก้าอี้สำคัญในฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง 3 ตำแหน่ง หนึ่งในนั้นคือ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ว่าที่รองประธานสภาฯ คนที่ 1 สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือ ทำให้สภาแห่งนี้เป็นของประชาชน โดยประชาชนจะไม่ต้องยืนตากฝนแบบนี้ เพราะสามารถเข้าไปนั่งในห้องรับรองได้ โดยจะทำพื้นที่ให้เหมือนกับรัฐสภาสากล ที่มีไว้ต้อนรับประชาชน เพราะเป็นสถานที่ทำงานของสภาผู้แทนราษฎร และราษฎร์เป็นผู้เลือกให้เข้ามาทำงาน รวมถึงเป็นงบประมาณที่ได้จากภาษีของประชาชน ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นภารกิจเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ส่วนตัวเชื่อว่า ประธานรัฐสภาของฝ่ายประชาธิปไตย และรองประธานทั้งสองคน จะช่วยบริหารจัดการดูแล ขณะเดียวกันก็จะดูแลความปลอดภัยของระบบรัฐสภาให้ดีขึ้น คิดว่าน่าจะเป็นวาระแรก ๆ เพราะอีกหน่อยจะไม่มี 3 ป.แบบเดิม แต่จะมี 3 ป.แบบใหม่ คือ ประสิทธิภาพ โปร่งใส และประชาชน ซึ่งทั้งหมดอยู่ในระบบประชาธิปไตย

ทั้งนี้ กลุ่มมวลชนได้ต้อนรับนายพิธา และคณะ ด้วยการนำพัดมาพัดให้ และระหว่างที่มีการสนทนา กลุ่มมวลชนหลายคนต่างพร้อมใจตะโกนคำว่าย้ำว่า "นายกฯ" และร้องเพลง "แสงดาวแห่งศรัทธา" เพื่อให้กำลังใจพิธาและคณะด้วย นอกจากนี้ นายพิธา ยังเข้าไปสวมกอดมวลชนอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top