Friday, 9 May 2025
NewsFeed

‘ธุรกิจกายภาพบำบัด’ บูม!! วัยทำงานแห่ใช้บริการ พบ 'กรุงเทพฯ' ยืนหนึ่ง ผู้ประกอบกระจุกตัว

(4 ก.ค. 66) นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรช่วงอายุ 25-54 ปี หรือ กลุ่มวัยทำงาน จำนวนเกือบ 30 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 45 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ (ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ด้วยอัตราการเกิดและการตายที่ลดลง รวมถึงอายุขัยเฉลี่ยของคนไทยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีช่วงเวลาการทำงานที่ยาวนานมากขึ้น ประชากรกลุ่มนี้จึงเริ่มตระหนักถึงการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานประจำ หรือที่เรียกว่า ทำงานออฟฟิศ ที่มีพฤติกรรมการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานและไม่ได้ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้เกิดอาการ ‘ออฟฟิศซินโดรม : Office Syndrome’ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

คลินิกกายภาพบำบัด เป็นทางเลือกใหม่ของคนวัยทำงานที่เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม รวมถึง ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บทางกล้ามเนื้อและกระดูกที่อาจเกิดจากการเล่นกีฬา หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตต่างๆ เนื่องจากสามารถเข้าถึงบริการและนวัตกรรมเครื่องมือในการรักษาที่ตอบโจทย์ตามมาตรฐานสากลและสะดวกสบาย โดยคลินิกกายภาพบำบัดให้บริการรักษาหลากหลายวิธี เช่น การใช้ความร้อนแสง เสียง ไฟฟ้า การดัด การดึง การนวด การบริหารร่างกาย การใช้เครื่องมือทางกายภาพชนิดต่างๆ เพื่อฟื้นฟู ป้องกัน ปรับปรุง แก้ไขสมรรถภาพของร่างกายที่เสื่อมสภาพให้กลับสู่สภาพปกติ ส่งผลให้ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคหลากหลายกลุ่ม และเป็นธุรกิจที่น่าจับตามองในยุคปัจจุบัน

จากสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจกายภาพบำบัด พบว่า ปี 2563 จดทะเบียนจัดตั้ง 12 ราย ทุนจดทะเบียน 158 ล้านบาท ปี 2564 จัดตั้ง 17 ราย (เพิ่มขึ้น 5 ราย หรือ ร้อยละ 41.7) ทุน 31.4 ล้านบาท (ลดลง 126.60 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 80.1) ปี 2565 จัดตั้ง 37 ราย (เพิ่มขึ้น 20 ราย หรือ ร้อยละ 117.7) ทุน 101.35 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 69.95 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 222.8) และ ปี 2566 เดือนมกราคม-พฤษภาคม จัดตั้ง 22 ราย ทุน 31.40 ล้านบาท (ม.ค.-พ.ค.65 จัดตั้ง 17 ราย ทุน 36.55 ล้านบาท)

ผลประกอบการธุรกิจ โดยรายได้รวมของธุรกิจ ปี 2562 อยู่ที่ 267.73 ล้านบาท ขาดทุน 18.79 ล้านบาท ปี 2563 รายได้รวม 246.94 ล้านบาท (ลดลง 20.69 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 7.7) ขาดทุน 15.29 ล้านบาท (ลดลง 3.50 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 18.6) และ ปี 2564 รายได้รวม 417.35 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 170.41 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 69.0) กำไร 37.23 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 21.94 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 143.5) ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการของธุรกิจกายภาพบำบัด ปี 2562 – 2564 รายได้มีความผันผวนเนื่องจากเป็นช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยธุรกิจกายภาพบำบัดเป็นธุรกิจบริการที่มีการสัมผัสกัน จึงเป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ

ภายหลังที่การระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ธุรกิจบริการโดยเฉพาะสุขภาพจึงสามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อย่างเต็มรูปแบบ ขยายธุรกิจ/การบริการที่ครอบคลุมตอบโจทย์ผู้ใช้บริการ และมีการเพิ่มสาขาโดยเฉพาะในตัวเมืองที่ประชากรอยู่หนาแน่น ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และกระแสการตื่นตัวรักสุขภาพของคนรุ่นใหม่ ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการกลับมามีทิศทางที่ดีขึ้น

การลงทุนในธุรกิจส่วนใหญ่เป็นคนไทย มูลค่าการลงทุน 1,632.31 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 98.0 ของการลงทุนในธุรกิจทั้งหมด ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติสูงสุด คือ จีน มูลค่า 14.85 ล้านบาท (ร้อยละ 0.89) รองลงมา คือ อเมริกัน มูลค่า 5.41 ล้านบาท (ร้อยละ 0.32) ญี่ปุ่น มูลค่า 5.24 ล้านบาท (ร้อยละ 0.31) และอื่น ๆ มูลค่า 7.74 ล้านบาท (ร้อยละ 0.48)

ปัจจุบัน ธุรกิจกายภาพบำบัดที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 มีจำนวน 175 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.01 ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ และมีมูลค่าทุน 1,665.55 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.007 ของธุรกิจทั้งหมดที่ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย ธุรกิจส่วนใหญ่ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด จำนวน 163 ราย คิดเป็นร้อยละ 93.14 มูลค่าทุน 1,645.85 ล้านบาท และเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) มากที่สุด จำนวน 174 ราย คิดเป็นร้อยละ 99.43 สถานประกอบการส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 91 ราย (ร้อยละ 52.00) ทุนจดทะเบียนรวม 1,284.31 ล้านบาท (ร้อยละ 77.11) รองลงมา คือ ภาคกลาง 33 ราย (ร้อยละ 18.86) ภาคเหนือ 15 ราย (ร้อยละ 8.57) ภาคใต้ 13 ราย (ร้อยละ 7.43) ภาคตะวันออก 11 ราย (ร้อยละ 6.29) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8 ราย (ร้อยละ 4.57) และภาคตะวันตก 4 ราย (ร้อยละ 2.28)

และด้วยกระแสความนิยมของธุรกิจกายภาพบำบัดที่มีเพิ่มมากขึ้น ทั้งการเข้าใช้บริการของผู้บริโภคและการเข้ามาลงทุนในธุรกิจของนักลงทุน ประกอบกับธุรกิจมีการปรับตัวที่น่าสนใจจนสามารถตอบโจทย์ความต้องการและเข้าถึงพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด ส่งผลให้ธุรกิจมีการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจากการสำรวจนักลงทุนที่เข้ามาในตลาดธุรกิจกายภาพบำบัด พบว่า มีแบรนด์กีฬาที่มองเห็นถึงโอกาสในการต่อยอดธุรกิจไปสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ ได้เข้ามาลงทุนจัดตั้งคลินิกกายภาพบำบัด และศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาขนาดใหญ่ในประเทศไทย เป็นการเสริมธุรกิจด้านกีฬาที่ดำเนินกิจการอยู่ ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างครบวงจร รวมทั้ง สามารถเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้สินค้าและบริการเพื่อขยาย/ต่อยอดสินค้าและบริการ สร้างรายได้แก่ธุรกิจอย่างยั่งยืน

ในอนาคตคาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในธุรกิจมากขึ้น ทั้งจากความนิยม แนวโน้มธุรกิจ (เทรนด์) และความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันและพัฒนาการให้บริการที่ดีมากกว่าเดิม ตลอดจนมีการนำเข้าเครื่องมือที่ทันสมัยมาให้บริการเพื่อดึงดูดและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ทั้งนี้ ธุรกิจกายภาพบำบัดยังคงมีที่ว่างสำหรับนักลงทุนชาวไทย/ต่างชาติในการเข้ามาร่วมแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาด โดยขึ้นอยู่กับความพร้อมและความเป็นมืออาชีพของผู้ประกอบการเป็นหลัก ซึ่งผลที่ได้รับ คือ ผลประกอบการที่เป็นบวกและมีผลกำไรธุรกิจอย่างต่อเนื่อง” อธิบดีฯ กล่าวทิ้งท้าย

รวมพลัง!! เทศบาลนครสมุทรปราการ ร่วมกับ ทสม.จังหวัดสมุทรปราการ จัดกิจกรรม Big Cleaning Day ทำความสะอาดวัดในเขตพื้นที่

นางประภาพร อัศวเหม นายกเทศมนตรีนครสมุทรปราการ พร้อมด้วย นางสาวชนม์ทิดา อัศวเหม ประธานเครือข่าย อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้าน จังหวัดสมุทรปราการ (ทสม.จังหวัดสมุทรปราการ) นำคณะสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานและเจ้าหน้าที่เทศบาลนครสมุทรปราการ

ร่วมกันทำกิจกรรม Big Cleaning Day ในเขตพื้นที่เทศบาลนครสมุทรปราการ ตามแนวทางของโครงการ วัด ประชา รัฐ สร้างสุข พัฒนาวัด ด้วยแนวทาง 5 ส โดยกำหนดจัดโครงการ รวม 5 วัดในเขตพื้นที่ ซึ่งกิจกรรมวันแรกนั้น เป็นการทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบภายในบริเวณวัดชัยมงคล ประกอบด้วย การฉีดล้างทำความสะอาดพื้น และการทำความสะอาดห้องน้ำวัด

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักและการมีส่วนร่วมในการรักษาดูแลทำความสะอาดภายในศาสนสถาน จุดบริการห้องน้ำสาธารณะที่ประชาชนมาใช้บริการ รวมถึงบริเวณพื้นที่ต่างๆ ภายในวัด ซึ่งถือเป็นการทำนุบำรุงศาสนสถานให้พระภิกษุสงฆ์ปฏิบัติศาสนกิจด้วยความสะดวก และพุทธศาสนิกชนที่เข้ามาทำบุญปฏิบัติธรรมหรือร่วมกิจกรรมประเพณีทางศาสนาในวัดได้อย่างสบายใจและสุขภาพอนามัยที่ดี ด้วยความห่วงใยจากคณะผู้บริหารเทศบาลนครสมุทรปราการ 

ทุกวินาทีคือชีวิต! ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ นำส่งอวัยวะหัวใจ ครั้งที่ 71 “ผบ.ตร. - รอง ผบ.ตร.” ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง “สุภาพบุรุษจราจร”

วันนี้ (4 ก.ค.66) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) เปิดเผยว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ กองบังคับการตำรวจจราจร อำนวยความสะดวกการจราจรเร่งนำส่งอวัยวะหัวใจส่ง รพ.ศิริราช ได้ทันเวลา

ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้รับการประสานงานจากศูนย์บริจาคอวัยวะ รพ.ภูมิพล ผ่านศูนย์วิทยุจราจรโครงการพระราชดำริ แจ้งว่าขอสนับสนุนนำอวัยวะหัวใจจาก รพ.ภูมิพล ส่งยัง รพ.ศิริราช หลังจากรับแจ้ง ตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้นำกำลังตำรวจไปรอรับที่ รพ.ภูมิพล เพื่ออำนวยความสะดวกการจราจร เร่งนำส่งอวัยวะหัวใจไปยัง รพ.ศิริราช รวมถึงได้รับความร่วมมือจากตำรวจจราจร สน.ท้องที่ ในเส้นทางทุกพื้นที่ และผู้ใช้เส้นทางที่ช่วยเปิดทางให้จนภารกิจชีวิตในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ได้เปิดเส้นทางนำส่งอวัยวะหัวใจ ซึ่งระยะเวลาตั้งแต่ผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งปลูกถ่ายให้ผู้รับ มีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น (อวัยวะหัวใจหากทำการผ่าตัดออกมาจากร่างกายของผู้บริจาคแล้วจะอยู่ได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง นับจากเวลาที่ปิดทางเดินเลือดในการผ่าตัดหัวใจของผู้บริจาค จนกระทั่งเปิดให้เลือดผ่านหัวใจใหม่ในร่างกายของผู้รับการปลูกถ่าย)  จึงเป็นภารกิจที่ต้องแข่งกับเวลา โดยกรณีนำส่งอวัยวะหัวใจในครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 71 แล้ว ที่ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ นำส่งอวัยวะลุล่วงจนแพทย์สามารถปลูกถ่ายหัวใจ ต่อชีวิตใหม่ให้กับผู้รับบริจาคได้ 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของทีมตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง “สุภาพบุรุษจราจร” ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังมีผู้รอรับการบริจาคอวัยวะอยู่มากกว่า 6,000 คนทั่วประเทศ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมต่อลมหายใจให้กับผู้ป่วย เพราะการบริจาคอวัยวะแก่เพื่อนมนุษย์ คือที่สุดแห่งการให้ โดยตำรวจจราจรพร้อมสานต่อเจตนารมณ์ของผู้บริจาค และเติมเต็มความหวังของผู้รับบริจาค เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชีวิตใหม่ อำนวยความสะดวกนำทางส่งต่ออวัยวะสำคัญ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานตำรวจโครงการพระราชดำริฯ ได้ที่ โทร.1197 กองบังคับการตำรวจจราจร

การค้าชายแดน 5 เดือนแรก พุ่ง 4.2 แสนล้าน ชี้ เป็นปัจจัยสำคัญช่วยเพิ่มดุลการค้าของไทย

(4 ก.ค. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รับทราบและยินดีต่อภาพรวมสถานการณ์การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนไทย ช่วงเดือนพฤษภาคม 2566 มูลค่าการค้าขยายตัว 4.9% ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง การค้าและการส่งออกในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 เพิ่มขึ้น 4.3% โดยนายกฯกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแนวทางเชิงรุกตามนโยบายรัฐบาล กระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง ผลักดันการเปิดด่านและจุดผ่านด่านเพิ่มเติม พร้อมเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ

นายอนุชา กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขการค้าชายแดนและผ่านแดนไทย เดือนพ.ค. 2566 มีมูลค่ารวม 153,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 และไทยได้ดุลการค้า รวม 24,966 ล้านบาท โดยการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สปป.ลาว เมียนมา และกัมพูชา มีมูลค่าการค้ารวม 82,418 ล้านบาท ซึ่งไทยได้ดุลการค้าประมาณ 26,001 ล้านบาท ขณะที่การค้าผ่านแดนไปจีน เวียดนาม สิงคโปร์ และประเทศอื่น ๆ มีมูลค่าการค้ารวม 71,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.9% เมื่อเทียบกับปี 2565 

โดยในภาพรวม 5 เดือน (มกราคม – พฤษภาคม) ปี 2566 ไทยส่งออกผ่านการค้าชายแดนและผ่านแดน รวม 420,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับปี 2565 ทั้งนี้ สถานการณ์การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนไทย ช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอีก โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เร่งผลักดันการเปิดด่านและจุดผ่านแดนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกและสนับสนุนการค้าชายแดนและผ่านแดนไทยให้ขยายตัวมากขึ้น

“นายกฯ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยว ขานรับแนวนโยบายของรัฐบาล ผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนและผ่านแดนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อตัวเลขดุลการค้าของไทย ถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญต่อมูลค่าการระหว่างประเทศของไทยที่เพิ่มขึ้น และช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ด้วยความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ของไทย ประกอบกับนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของรัฐบาล ที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาค จะผลักดันการค้าการลงทุนตามแนวชายแดน จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้โอกาสทำมากิน รายได้ครัวเรือน และวิถีชีวิตของประชาชนไทยดีขึ้น” นายอนุชา กล่าว

ผู้ป่วยเป็นปลื้ม!! โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น โรงพยาบาลรัฐที่บริการดีแบบเสมอต้นเสมอปลาย

(4 ก.ค. 66) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดาริกา โพธิรุกข์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกฎหมายบริหารพัสดุและทรัพย์สิน ม.มหาสารคาม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Darika Phothiruk’ ชื่นชมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ ม.ขอนแก่น ระบุว่า…

พาพ่อมาหาหมอ พี่ รปภ. จัดการจราจรดูแลดีมาก ทันทีที่จอดรถ เปิดประตู ถามคำแรก "คุณตาไหวไหม" (ลงเองได้ไหม) ปิดประตูให้ ดูรถให้ เป็น รพ. รัฐที่ไม่เหมือนรัฐ ดีเสมอตั้งแต่พ่อมาเป็นคนไข้แรกๆ จน
ปัจจุบัน เยี่ยมจริงๆ

‘กอบศักดิ์’ จี้ยกเครื่องใหญ่ ‘ตลาดทุน’ ป้องกันเหตุซ้ำรอยโกงหุ้น ‘STARK’

‘กอบศักดิ์’ จี้ยกเครื่องใหญ่ ‘ตลาดทุน’ ป้องกันเหตุซ้ำรอยหุ้น ‘STARK’ ชี้ต้องเอาคนผิดทุจริตมารับโทษ หลังผู้เสียหายมากมูลค่าเกินหมื่นล้าน แนะเพิ่มกลไกการตรวจสอบ เร่งเอาผิดทำให้เกิดความเสียหาย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงกรณีหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “STARK” ที่มีปัญหาการทุจริตและมีผู้เสียหายจำนวนมากว่า ในส่วนแรกคนที่ทำความผิดต้องได้รับความผิด ต้องให้เกิดบทเรียนจากการทำผิดครั้งนี้ คนที่อยู่ในกระบวนการนี้ก็ต้องรับความผิดร่วมกัน

“เราจะยอมรับความผิดในลักษณะนี้ไม่ได้เพราะความเสียหายเป็นหลักหมื่นล้านบาท ความเสียหายมีความกว้างขวางมาก และความเสียหายในครั้งนี้ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยอย่างเดียวแต่เป็นนักลงทุนสถานบันที่มีข้อมูลเพียบ มีนักวิเคราะห์อยู่เยอะไปหมด แต่เขายังพลาดได้ แสดงว่ากระบวนการในครั้งนี้เขามีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามมา”

นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่าในส่วนนี้ FETCO ได้เข้าไปหารือร่วมกับฝ่ายต่างๆ ในตลาดทุนแล้ว เช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าจะต้องมีการเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องกับประชาชนที่ถูกกระทบ ว่าคดีนั้นมีความคืบหน้าอย่างไร เงินที่เสียหายจะได้คืนอย่างไร เท่าไหร่ และเมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมีคำถามกับเรื่องนี้

นอกจากนี้ในการหารือกันอย่างใกล้ชิดว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ต้องมาดูเรื่องของกลไกตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก ซึ่งต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิด โดยทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุลักษณะนี้ในตลาดทุน มักจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และระบบต่างๆ ให้มีกลไกมากขึ้นมาตรวจสอบ เช่น การตรวจสอบ 3 ระดับ ที่เรียกว่า “third line of defense” เพื่อจัดการไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำรอย

“มีหลายเรื่องที่ต้องมาดูเรื่องของรายการระหว่างกัน เรื่องของผู้ที่มาทำหน้าที่ในการตรวจสอบรวมทั้งเรื่องของธรรมาภิบาลต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญให้กับคนในตลาดทุนเพื่อให้ตลาดทุนไทยไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก” นายกอบศักดิ์ กล่าว

พ่อเลี้ยงใจเหี้ยม!! โมโหลูกวัย 12 แอบกินของที่ต้องส่งลูกค้า ใช้ไม้เบสบอลตีดับ อำพรางศพยัดใส่ถังน้ำแข็งโบกปูนทับ

(4 ก.ค. 66) คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญกลางกรุง ‘ฆ่ายัดถังโบกปูน’ ถูกเปิดเผย หลัง ร.ต.อ.ธนศักดิ์ พ้องเสียง รอง สว.(สอบสวน) สน.บางเขน รับแจ้ง น.ส.อภิญญา หรือ ‘เบลล์’ อายุ 24 ปี ว่า ด.ญ.อริศสา หรือ ‘น้องใหม่’ อายุ 12 ปี ซึ่งเป็นหลานสาวถูกนายยุทธนา หรือ ‘แจ๊บ’ อายุ 29 ปี พ่อเลี้ยง ทำร้ายจนเสียชีวิตภายในบ้านหลังหนึ่ง ในซอยพหลโยธิน 48 แยก 19 ขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวเฮ้าส์ 2 ชั้น ประกอบกิจการรับจ้างแพ็กสินค้าใส่กล่องเพื่อส่งมอบให้บริษัทขนส่ง จากการตรวจสอบบริเวณครัวหลังบ้านชั้นล่าง พบถังพลาสติก ขนาด 200 ลิตร สีน้ำเงิน วางอยู่ใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างจาน เมื่อนำถังดังกล่าวออกมาเปิดดูพบมีการถมด้วยดินอยู่ชั้นบนสุด และมีการโบกปูนทับในชั้นรองลงมา เมื่อนำดินและปูนออก เจ้าหน้าที่พบศพ ด.ญ.อริศสา หรือ ‘น้องใหม่’ หลานสาวของผู้แจ้ง สภาพศพเปลือย มีถุงขยะสีดำและผ้าขนหนูสีชมพูห่อหุ้มร่างเอาไว้ ตรวจสอบเบื้องต้น พบบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งตามใบหน้าและร่างกายหลายแห่ง คาดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง

จากการสอบสวน น.ส.อภิญญา ผู้แจ้งเหตุ ให้การว่า ด.ญ.อริศสา พักอยู่กับ นายยุทธนา และ น.ส.นิรมล ซึ่งรับเลี้ยง ด.ญ.อริศสา ที่ผ่านมาทราบว่า ด.ญ.อริศสา มีอุปนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และชอบลักขโมยข้าวของภายในบ้าน จน น.ส.นิรมล และ นายยุทธนา ต้องว่ากล่าวตักเตือนและทำโทษด้วยการตีอยู่หลายครั้ง แต่ ด.ญ.อริศสา ยิ่งถูกทำโทษ ก็ยิ่งมีการต่อต้าน ที่ผ่านมาทั้งนายุทธนา และ น.ส.นิรมล นำเรื่องมาปรึกษาตน ซึ่งก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร

จนกระทั่งเมื่อเวลา 19.00 น.ที่ผ่านมา น.ส.นิรมล และ นายยุทธนา มาหาตนที่บ้าน ย่านรามอินทรา นายยุทธนา ยอมรับว่า ได้ใช้ไม้เบสบอลตี ด.ญ.อริศสา จนเสียชีวิต ตั้งแต่ช่วง 01.00 น. ของวันที่ 2 ก.ค. 2566 เนื่องจากจับได้ ด.ญ.อริศสา ขโมยอาหารเสริมซึ่งเป็นสินค้า ที่ต้องแพ็กนำส่งให้ลูกค้าไปกิน โดยหลังจากที่พลั้งมือตีลูกที่ตัวเองรับมาเลี้ยงจนตาย นายยุทธนา ได้วางแผนจะทำลายศพด้วยการหั่นแต่ไม่กล้า

จึงไปซื้อถังพลาสติกขนาดใหญ่มาใส่ศพโบกปูนและถมดินทับ ก่อนที่จะตัดสินใจมารับสารภาพและให้ช่วยแจ้งความ โดยหลังจากที่ตนแจ้งความแล้ว นายยุทธนา ก็ได้เดินทางไปหาเพื่อนแถวแฟลตดินแดงแล้วไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ส่วน น.ส.นิรมล ผู้เป็นภรรยา ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนนำตัวไปสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้มอบร่างผู้ตาย ให้แพทย์นิติเวชนำไปผ่าชันสูตร อย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นได้ประสานให้ฝ่ายสืบสวนติดตามตัวนายยุทธนา มาดำเนินคดี ส่วน น.ส.นิรมล นั้น ต้องรอผลสอบปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นมากน้อยเพียงใด หากพบว่ามีพฤติกรรมร่วมกันกระทำความผิดก็จะแจ้งข้อหาดำเนินการในฐานะผู้ร่วมกันฆ่าฯ และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ

‘ต่าย ชุติมา-พลอย ชิดจันทร์’ ควงคู่แชะสลัดลุค!! จัดเต็ม 'อินเนอร์' สุดซี้ด จนชาวเน็ตขอจับจิ้น

(4 ก.ค. 66) เคมีเคใจได้มาก เมื่อ 2 แม่เพื่อนซี้อย่าง 'ต่าย ชุติมา' และ 'พลอย ชิดจันทร์' ควงคู่กันถ่ายภาพในลุคสวยสุดเท่ พร้อมท่าโพสต์ที่ทำเอาแฟนๆ แอบจิ้นไม่น้อยเลยทีเดียว โดยงานนี้ 'ต่าย ชุติมา' ได้โพสต์ภาพเช็ทนี้ลงไอจีส่วนตัว ‘Tye.Chutima’ พร้อมแคปชันว่า “Pride month ไปหมาดๆ!”

ส่วนทางด้านของ ‘พลอย ชิดจันทร์’ ก็ได้มีการโพสต์ลงไอจีส่วนตัว ‘ploychidjun’ เช่นกัน พร้อมแคปชัน “จิ้นนน”

‘ปู จิตกร’ ยก ‘ส.ส.ก้าวไกล’ ตัวอย่างการใส่ ‘ยูนิฟอร์ม’ ชี้!! ‘ไม่ทุกข์-ไม่ตาย’ แถมถ่ายรูปกลุ่มเบิกบาน

(4 ก.ค. 66) ปู จิตกร บุษบา พิธีกรและคอลัมนิสต์ชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กกล่าวถึงกรณีพรรคก้าวไกลสวมเครื่องแบบในวันเปิดประชุมสภา โดยระบุว่า…

ถึง ‘หยก’ [และคนอื่น ๆ ที่ถูกทำให้คิดแบบหยก]

ดูพี่ๆ ลุงๆ ป้าๆ ‘พรรคก้าวไกล’ เป็นตัวอย่างไว้นะ

● นี่คือตัวอย่างของการใส่ ‘ยูนิฟอร์ม’ แล้ว...ไม่ตาย!!, ไม่ทุกข์, ไม่ถูกกดทับด้วยอำนาจนิยม ทำได้ ง้ายง่าย ยิ้มหวานถ่ายภาพไว้เป็นที่ระลึกด้วย

● วันที่มารายงานตัวเป็น ส.ส. ก็แต่งตัวเหมือนกัน เป็นระเบียบ เรียบร้อย งามตา

● การกระทำของพรรคก้าวไกล ควรทำให้น้องได้รู้ว่า ‘เครื่องแบบ’ ไม่ใช่สาระอะไรที่ต้องเอามาปั่นป่วนวุ่นวาย ทำให้ตัวเองดูเป็น ‘ขยะสังคม’ หรือถูกมองว่า ‘รับจ้างมาปั่นป่วน’ มันก็แค่เรื่องปกติธรรมดาในสังคมเท่านั้น

● พรรคก้าวไกล ก็อยู่ใน ‘กาลเทศะ’ ได้เหมือนคนอื่น ๆ ทำอะไรเหมือน ๆ กัน ที่บางทีมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ทั้งเครื่องแบบพรรค การโพสต์ การพูดการจา ซึ่งย่อมต้องมาจากคำสั่งหรือนโยบาย โดยที่พวกเขามิได้ขัดขืน ต่อสู้ใด ๆ

● ลูกหลานของพวกเขาก็สวมชุดนักเรียน ไปโรงเรียน ไม่ได้รู้สึกว่าสิทธิในเนื้อตัวร่างกายถูกละเมิด

ดังนั้น หยุดบ้า หยุดเสียสติปัญญา หยุดรับการยุยงปลุกปั่น แล้วดูพรรคก้าวไกลเป็นตัวอย่างสิ

#ดูรอยยิ้มแห่งความสุขภายใต้เครื่องแบบขาวของพวกเขาสิ

ดู ดู ดู…
แล้ว... คิด คิด คิด 
#ตามนี้นะจ๊ะ 😉

โฉมหน้า ประธาน-รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ปี 2566

🔍การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) มีวาระสำคัญคือการโหวตเลือกประธานสภา - รองประธานฯ ซึ่งผลโหวตปรากฏว่า 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชาติ ได้เป็น ‘ประธานสภาผู้แทนราษฎร’ โดยมีผู้รับรอง 20 คน ครบตามข้อบังคับและไม่มีการเสนอชื่อคนอื่นมาแข่งขันด้วย ถือว่าที่ประชุมลงมติให้นายวันนอร์เป็นประธานสภาโดยไม่ต้องมีการลงคะแนนแข่ง

หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล ได้เป็น ‘รองประธานสภาฯ คนที่ 1’ ด้วยคะแนนโหวต 312 ต่อ 105 งดออกเสียง 77 

และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้เป็น ‘รองประธานสภาฯ คนที่ 2’ โดยไม่มีการเสนอชื่อคนอื่นมาแข่งขัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top