Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

ย้อนประวัติศาสตร์ เมื่อครั้ง 'กัมพูชา' บ้านแตกสาแหรกขาด จนต้องหนีมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย

เมื่อวานนี้ (11 ก.พ. 66) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่อง ‘กัมพูชาภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารองค์พระมหากษัตริย์ไทย’ มีเนื้อหาระบุว่า

กัมพูชาหรือ Cambodia หรือ เคลมโบเดีย ในช่วงนี้อาจจะเคลมตั้งแต่มวยไทย โขนไทย ไปจนถึงห่อหมกของไทย อาจจะถูกเคลมว่าเป็นของกัมพูชา แต่คนไทยจำนวนมากอาจจะไม่เคยทราบว่ากัมพูชาเคยเป็นประเทศราชของไทย อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์พระมหากษัตริย์ไทยมายาวนาน และกษัตริย์ของคนกัมพูชาเองก็เคยพลัดบ้านพลัดเมือง พลัดถิ่นฐานบ้านเกิดเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ไทย เหมือนที่ประชาชนชาวกัมพูชานับล้านนับแสนคนเคยหนีร้อนมาพึ่งเย็นใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารเมื่อคราวเขมรแตกเช่นเดียวกัน

นักองค์เอง หรือ สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 105 แห่งกัมพูชา แต่ทรงเป็นพระราชโอรสบุญธรรมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ของไทย เมื่อคราวเกิดความวุ่นวายในกัมพูชา นักองค์เองพระชนมายุได้เพียง 10 พรรษา ก็ต้องหนีราชภัยเข้ามาอาศัยในกรุงเทพมหานคร รัชกาลที่ 1 ทรงสร้างวังเจ้าเขมรพระราชทานให้อยู่อาศัย พระราชทานให้ทรงพระผนวช หลังจากรัชกาลที่ 1 ทรงสังคายนาเหตุการณ์ความวุ่นวายในกัมพูชาได้สำเร็จ ทรงให้นักองค์เองกลับไปครองราชย์สมบัติที่กัมพูชา แต่นักองค์เองครองราชย์ได้ไม่นานก็ประชวรสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. 2339 รวมพระชนมายุเพียง 23 พรรษาเท่านั้น 

ต่อมานักองค์จันทร์พระราชโอรสของนักองค์เองได้ทรงครองราชย์ต่อจากนักองค์เอง แม้นักองค์จันทร์จะได้รับการสนับสนุนจากสยาม แต่ทรงฝักใฝ่และถูกแรงบีบคั้นจากเวียดนามอีกด้วย ทำให้กัมพูชาอยู่ภายใต้การปกครองของเวียดนาม 

โอรสอีกองค์หนึ่งของนักองค์เองคือนักองค์ด้วงได้หนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ของไทย นักองค์ด้วงเติบโตมาในวังเจ้าเขมรของนักองค์เองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้างพระราชทานไว้ 

ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ไปตีเขมรและปราบปรามความวุ่นวายในกัมพูชาจนราบคาบสงบลง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้นักองค์ด้วงไปทรงครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กัมพูชาหลังจากเสด็จมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในกรุงเทพกว่า 27 ปี ได้รับการสถาปนาโปรดเกล้าให้ทรงครองราชย์ที่สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี พระมหากษัตริย์องค์ที่ 108 ของกัมพูชา 

นักองค์ด้วงนั้นทรงเป็นพระราชบิดาของทวดของสมเด็จพระนโรดมสีหนุ หรือ เจ้าสีหนุ กษัตริย์องค์ที่ 112 ของกัมพูชา และสมเด็จพระนโรดมสีหนุทรงเป็นพระราชบิดาของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์รัชกาลปัจจุบันของกัมพูชา

ทั้งนี้กัมพูชาเป็นประเทศราชของไทยอยู่เกือบร้อยกว่าปีในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ก่อนไทยจะเสียดินแดนกัมพูชาให้กับฝรั่งเศส ดังนั้นกัมพูชาจึงได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมไทยไปเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักองค์ด้วงซึ่งทรงเติบโตในกรุงเทพกว่า 27 ปี เมื่อทรงกลับไปครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์กัมพูชาแล้วก็ทรงนำศิลปวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของราชสำนักไทยกลับไปยังกัมพูชาด้วย ยกตัวอย่างเช่น โขน ละคร และนาฏยศิลป์ของกัมพูชานั้นได้ครูโขนและครูนาฏศิลป์ไทยไปสอนและถ่ายทอดท่ารำ และแม้กระทั่งบทร้องบทละครก็ได้รับอิทธิพลไปจากไทยทั้งสิ้นดังที่ศาสตราจารย์ พลตรี หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือโครงกระดูกในตู้ และคุณชายคึกฤทธิ์ ได้เขียนกลอนบริภาษเขมรเอาไว้ว่า

วธ.บูรณาการ ๓๒ หน่วยงาน จัดใหญ่งานประเพณีสงกรานต์ปี ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” เน้นเผยแพร่คุณค่าอัตลักษณ์สงกรานต์ไทย สู่มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบูรณาการกำหนดแนวทางการจัดงานประเพณีสงกรานต์ ประจำปี ๒๕๖๖ ผ่านระบบออนไลน์ Zoom Meeting โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ศูนย์ประชุมกระทรวงวัฒนธรรม ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม

นายอิทธิพล เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบูรณาการเพื่อกำหนดแนวทางการจัดงานสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ว่า เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมรณรงค์ให้คนไทยตระหนักในคุณค่า สาระ ความสำคัญของประเพณีสงกรานต์ และร่วมมือกันอนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรม ตามแบบแผนอันดีงามของไทย ที่แสดงออกถึงความกตัญญู ความรัก ความสามัคคี มุ่งหมายให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์การเสนอประเพณี “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การยูเนสโก ให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง เน้นประเพณีอันงดงาม ที่มีการปฏิบัติกันทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังเป็นการต่อยอดสร้างสรรค์ทุนทางวัฒนธรรม Soft Power เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้แก่ชุมชนและประเทศ ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมรองรับการเปิดประเทศในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ให้จัดกิจกรรมสงกรานต์ได้อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างความสุข สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

รมว.วธ. เปิดเผยต่อว่า เพื่อให้กิจกรรมประเพณีสงกรานต์ในภาพรวมของประเทศเป็นไปด้วยความดีงามและเหมาะสม รวมถึงป้องกันและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาล วธ.โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้การประชุมคณะกรรมการบูรณาการเพื่อกำหนดแนวทางการจัดงานสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ประกอบด้วย ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๓๒ หน่วยงาน ได้แก่  กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย  กรมควบคุมโรค  กระทรวงสาธารณสุข  คณะกรรมการการอาชีวศึกษา  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  กองบังคับการตำรวจจราจร  กรมการขนส่งทางบก  กรมการท่องเที่ยว  กรมทรัพยากรน้ำ  กรมประชาสัมพันธ์  กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น  กรมอุตุนิยมวิทยา  กรมสารนิเทศ  สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  การประปานครหลวง  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย  จังหวัดเชียงใหม่  จังหวัดขอนแก่น  จังหวัดชลบุรี  จังหวัดสมุทรปราการ  จังหวัดนครศรีธรรมราช   จังหวัดปทุมธานี  สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร  สภาวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)   มูลนิธิเมาไม่ขับ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวัฒนธรรม

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ข้อสรุปแนวทางในการจัดงานประเพณีสงกรานต์ พุทธศักราช ๒๕๖๖ ภายใต้แนวคิด “สืบสานสงกรานต์วิถีไทย ร่วมสานใจ สู่สากล” ครอบคลุมคุณค่าสาระของวัฒนธรรม ประเพณี เผยแพร่อัตลักษณ์ของท้องถิ่น กระตุ้นการท่องเที่ยว รักษาสุขอนามัย ตลอดจนความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ประกอบด้วย ๙ แนวทางสำคัญ ดังนี้
๑. ขอความร่วมมือหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันจัดกิจกรรมประเพณีสงกรานต์ มุ่งเน้นสืบสานคุณค่าสาระของประเพณีอันดีงาม พร้อมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สู่การรับรู้ของชาวต่างชาติ
๒. ส่งเสริมให้จังหวัดต่าง ๆ ใช้พื้นที่จัดกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมในเทศกาลสงกรานต์ ร่วมกันสืบสานประเพณีที่ดีงาม เหมาะสม
๓. รณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันสืบสานคุณค่าสาระและสิ่งที่ควรทำของประเพณีสงกรานต์ เช่น การทำความสะอาดบ้านเรือน วัด ศาสนสถานที่นับถือ สถานที่สาธารณะ ทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ สรงน้ำพระพุทธรูป ขอพรผู้สูงอายุ
๔. รณรงค์ให้แต่งกายที่สร้างภาพลักษณ์ความเป็นไทย เช่น ใช้ผ้าไทย ผ้าท้องถิ่น ชุดไทยย้อนยุค หรือชุดสุภาพ เข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยต่อชาวต่างชาติ
๕. การขอความร่วมมือหน่วยงานต่าง ๆ สนับสนุนศิลปินพื้นบ้านในการจัดกิจกรรม การละเล่น และการแสดงทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่น ตามแนวทางมาตรการเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๖ เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และให้เด็ก เยาวชน ประชาชนทั่วไป ได้ร่วมกันสืบสานประเพณี โดยคำนึงถึงวัฒนธรรมที่ถูกต้องเหมาะสม และร่วมกันเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม
๖. หน่วยงานด้านความมั่นคง ความปลอดภัย และด้านบริการประชาชน ให้รักษามาตรการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สงกรานต์เป็นช่วงเวลาที่สร้างความสุข ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สิน

'เพื่อไทย' โว!! เตรียมข้อมูลอภิปรายรัฐบาลแน่น!! ท้า 'บิ๊กตู่' หากมั่นใจบริสุทธิ์ มาเจอกันในสภาฯ

(12 ก.พ. 66) นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงความพร้อมในการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 วันที่ 15-16 ก.พ.ว่า เตรียมขุนพลไว้อภิปราย 18 คน อาจจะมีเพิ่มขึ้นหรือลดลงบ้าง หากมีข้อมูลซ้ำซ้อนก็จะถอยออก ยืนยันว่าพร้อมเต็มที่เพราะได้มีการซักซ้อมมาแล้ว และจะอภิปรายตามเวลาที่กำหนด พรรคหวังว่าการอภิปรายครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลทำอะไรไม่ดีบ้าง ปกป้องคนทำผิดอย่างไร เกิดความไม่ชอบมาพากล ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไร แต่พี่น้องประชาชนจะอย่างไรก็อยู่ที่ผลการเลือกตั้ง

เมื่อถามว่า นายวิษณุ ระบุว่าหากองค์ประชุมไม่ครบหรือสภาฯล่ม ถือว่าจบการอภิปรายและสิ้นสุดญัตติทันที นายสมคิด กล่าวว่า นายวิษณุ พูดอาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน แต่ก็มีความใกล้เคียงบ้าง เพราะสภาฯล่มญัตติไม่ได้ตกไปในวันนั้นทันที สมมุติว่าวันที่ 15 ก.พ. องค์ประชุมไม่ครบ แต่ญัตติก็ยังค้างสภาฯอยู่ จากนั้นวันที่ 16 ก.พ. มาประชุมใหม่ก็ใช้ญัตติเดิมเข้ามาอภิปรายต่อ ดังนั้นเมื่อสภาฯล่มเราก็ไม่ได้พูดเท่านั้นเอง แล้วสภาฯปิดสมัยประชุมญัตติก็ตกไปโดยปริยาย รวมทั้งวันที่ 23 ก.พ. เป็นอาทิตย์สุดท้ายของสภาฯชุดนี้ด้วย

ย้อนเวลา '24 สิงหาคม 2557' ก้าวแรกแห่งนายกรัฐมนตรี ผู้ชายที่ชื่อ 'ประยุทธ์ จันทร์โอชา' ผู้มาพร้อมการ 'คืนความสุขให้คนไทย'

ตั้งคำถามสนุกๆ ว่า ระยะเวลาราว 8 ปี หากคิดจะเขียนจดหมายถึง “ใครสักคน” คุณอยากเขียนถึงใคร? ได้ยินเสียงตะโกนพร้อมกันโดยไว 'ลุงตู่ไง จะใครล่ะ!!'

เพราะ 8 ปี คือตัวเลขระยะเวลาการทำงานของ 'ลุงตู่' หรือ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศไทย แน่นอนว่า เป็น 8 ปีที่มีเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และในวาระการเลือกตั้งใหญ่กำลังจะมาถึง พร้อมการมาถึงซึ่ง 'นายกรัฐมนตรีคนที่ 30' ของประเทศ THE STATES TIMES จึงนึกสนุก ขอเขียน 'จดหมายเหตุลุงตู่' ผู้นำประเทศคนที่ 29 ของประเทศไทย ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เรื่องไหนที่ควรเก็บบันทึกไว้ในรูปแบบจดหมายกันบ้าง เราจะนำมาเขียนถึงให้ได้ทราบกัน.. 

เริ่มต้นจดหมายเหตุฉบับแรกด้วย เรื่องราว 'วันแรกของการเป็นนายกรัฐมนตรี' ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2557 หลังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีมติเอกฉันท์เลือก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในวันที่ 24 สิงหาคม 2557 มีประกาศราชกิจจานุเบกษา พระบรมราชโองการ ประกาศแต่งตั้ง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นับเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย

'วราวุธ ศิลปอาชา' รมต.ผู้ Speak English ชนิดไฟแล่บ! กับผลงานโบแดง 'ลดถุงพลาสติก' เปลี่ยนพฤติกรรมคนในสังคม

เป็น รมต.อีกคนที่มีผลงาน 'ตึง' ไม่แพ้ใครๆ สำหรับ 'วราวุธ ศิลปอาชา' รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถมที่ผ่านมา ถ้ายังจำกันได้ รมต.ท็อป-วราวุธ ยังโชว์ทักษะด้านภาษาอังกฤษแบบตึงเป๊ะ ตอบคำถามสื่อต่างประเทศ เมื่อคราวเกิดปัญหาน้ำท่วมเดือนกันยายนปีก่อน งานนั้นเล่นเอากลายเป็นไวรัลให้ถูกพูดถึงกันไปทั้งเมือง

แต่หากว่าจะหยิบยกเอาผลงานที่เรียกว่าเป็น 'ชิ้นโบแดง' ของ รมต.แห่งเมืองสุพรรณคนนี้ คงต้องยกให้กับแคมเปญ 'การลดถุงพลาสติก' ซึ่งกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึง และส่งผลต่อพฤติกรรมผู้คนในประเทศไม่น้อยเลยทีเดียว

เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไป เพียงไม่กี่เดือน หลังการเข้ามารับตำแหน่งเจ้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของ 'วราวุธ ศิลปอาชา' เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 62  เจ้าตัวประกาศหนึ่งเป้าหมายสำคัญต่อสาธารณะ คือการเดินหน้าโรดแมป การจัดการ 'ขยะพลาสติก'  ตั้งเป้าลดและเลิกใช้พลาสติก 4 ชนิด คือ ถุงพลาสติกหูหิ้ว กล่องโฟมบรรจุอาหาร แก้วพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และหลอดพลาสติกภายในปี 2565

แต่ที่ฮือฮาคือการประกาศดีเดย์ 'งดแจกถุงพลาสติก' ในเครือห้างสรรพสินค้าและร้านค้าสะดวกซื้อ กว่า 43 ราย  เริ่มทันที วันที่ 1 มกราคม 2563 การประกาศหักดิบ งดแจกถุงพลาสติกในห้าง และร้านสะดวกซื้อครั้งนั้น มาพร้อมกับเสียงหนุนและต้าน โดยเฉพาะจากผู้คนที่คุ้นชินกับความสะดวกสบายแบบเดิม แต่ก็เป็นการนับหนึ่งให้ 'สังคมไทย' เริ่มปรับพฤติกรรมการบริโภคครั้งใหญ่ นับแต่นั้นมา 

แม้จะมีเสียงบ่น จากมาตรการหักดิบ แต่กระแสตอบรับก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ภาพของคนหิ้วถุงผ้าเข้าไปใส่ของในห้างร้าน การใช้หลอดกระดาษแทนหลอดพลาสติก หรือการพกแก้วแบบที่ใช้ซ้ำได้ เริ่มเป็นภาพชินตา

แต่น่าเสียดาย ที่ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน โลก และไทยต้องเผชิญการรุกรานของศัตรูที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อย่าง 'โควิด-19' ความต่อเนื่องของการลด เลิกใช้พลาสติก ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง มีอันต้องสะดุดลง

ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ เผยว่า ในช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด ตลอดปี 2562 คนไทยสร้าง 'ขยะพลาสติก' เฉลี่ย 96 กรัม/คน/วัน ขณะที่ช่วง 'โควิด-19' ปี 2563 ปริมาณขยะพลาสติก กลับเพิ่มขึ้นกว่า 40% และเพิ่มขึ้นเป็น 45% ในช่วงกลางปี 2564

พิษณุโลก รองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ตรวจเยี่ยมการสอบคัดเลือกบุคคลเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ประจำปี 2566

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พันเอก สมบัติ บุญกอแก้ว รองเสนาธิการกองทัพาคที่ 3 เดินทางไปตรวจเยี่ยมการสอบคัดเลือกบุคคลเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก ประจำปี 2566 ขั้นที่ 1 ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 3 สนามที่ 1 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร 

โดยรองเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 ได้เน้นเจ้าหน้าที่กำกับดูแลให้เรียบร้อย โปร่งใส ยุติธรรม ทั้งนี้ยึดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19 เป็นสำคัญ รวมถึงการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้กับนักเรียนที่มีสิทธิ์สอบ และผู้ปกครองที่มาคอยให้กำลังใจ 

'พุทธิพงษ์' ชูนโยบาย 'ภูมิใจกรุงเทพฯ' ไม่ปล่อยให้ประชาชนต้องทุกข์อีกต่อไป ทุกนโยบายที่เสนอทำได้จริงตามแบบฉบับ "พูดแล้วทำ"

'พุทธิพงษ์' ขอใช้ความจริงใจทะลวงใจคนกรุง ชูนโยบาย 'ภูมิใจกรุงเทพฯ' ดูแลชาว กทม. 24 ชม. 7 วัน เน้นลดภาระ-รายจ่าย ดัน 'ตั๋ววัน' โดยสารขนส่งสาธารณะไม่เกิน 40 บ./วัน พร้อมดูแลด้านสาธารณสุข ลั่น 'มะเร็ง' ต้องรักษาฟรี ลดเครียดผู้ป่วย-คนในครอบครัว ยัน ทุกนโยบายที่เสนอทำได้จริงตามแบบฉบับ "พูดแล้วทำ"

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หัวหน้าทีม กทม. พรรคภูมิใจไทย กล่าวในรายการ 'พรรคภูมิใจไทย พูดแล้วทำ' เผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก และยูทูบ พรรคภูมิใจไทย ถึงการนำเสนอนโยบาย 'ภูมิใจไทย ภูมิใจกรุงเทพฯ' ว่า เป็นนโยบายที่เกี่ยวกับคน กทม. ที่ผ่านการสังเคราะห์ และตกผลึกว่า ปัญหาของคน กทม. คืออะไร และทำอย่างไรให้คน กทม.ได้รับการดูแลอย่างจริงจัง ก่อนออกแบบเป็นนโยบายที่จะต้องทำได้ เกิดขึ้นจริง ในแบบฉบับพูดแล้วทำของพรรคภูมิใจไทย จึงได้เสนอนโยบายเกี่ยวกับ 24 ชม. 7 วัน โดยยึดหลักการ 'เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-ให้โอกาส' เพราะเรารู้ว่า คน กทม. หรือพวกเราทุกคนใช้ชีวิตอยู่ใน กทม. 24 ชม. ต่อ 1 วัน และใน 7 วัน จันทร์ถึงอาทิตย์ เราก็ใช้ชีวิตอยู่ใน กทม. ส่งผลให้ภาระค่าใช้จ่ายของคนใน กทม.มีมากเหลือเกิน ทั้งค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการจับจ่ายใช้สอยค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเช่าบ้าน และอื่น ๆ อีกมากมาย ในฐานะที่เราจะขออาสาดูแล กทม. จึงคิดในเรื่องของการลดภาระประชาชนเป็นอันดับแรก

ความมุ่งมั่นครั้งสำคัญของ 'นายกใหญ่' สะบัดธง ‘พลังประชารัฐ’ รับใช้ 'ปทุมธานี' ยกจังหวัด

"เป้าหมายใหญ่ พัฒนาปทุมธานี ให้กลายเป็นเมืองที่ผู้คนต้องหยุดมอง และกลายเป็นอีกเมืองสำคัญของประเทศ ที่ผู้คนต้องแวะมาท่องเที่ยว เศรษฐกิจดี ปากท้องต้องดี สาธารณูปโภคพร้อม ไร้ยาเสพติด และสลายสีขั้วการเมือง" 

นี่คือการประกาศศักดาจาก นายเสวก ประเสริฐสุข ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จังหวัดปทุมธานี ชายที่พี่น้องชาวปทุมฯ ต่างรู้จักกันดีในฉายา ‘นายกใหญ่’ อดีต นายก อบต.เชียงรากใหญ่ และ อดีตรอง นายก อบจ.ปทุมธานี ผู้ได้รับฉายา ‘พี่ใหญ่ มีแต่ให้’ ของชาวปทุมฯ ที่เปิดเผยในรายการ Contributor (ผู้แทน เดอะซีรีส์)

'พี่ใหญ่ เสวก' ถือเป็นบุคคลที่ชาวปทุมฯ ให้การยอมรับในความเป็นคนพูดจริงทำจริง มีน้ำใจสไตล์นักเลง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เพราะตนเองเคยผ่านความยากลำบากมาก่อน 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนพื้นที่เชียงรากใหญ่ แห่งเมืองปทุมฯ จะคุ้นเคยกับพี่ใหญ่อย่างมาก เพราะถือเป็นบุคคลสำคัญที่ทุ่มเทพัฒนาผืนถิ่นในส่วนที่ทำได้ (เชียงรากใหญ่) นำความเจริญในแง่ของสาธารณูปโภค เศรษฐกิจ และการเกษตรมาสู่ปทุมธานีอย่างต่อเนื่อง ใต้บทบาทของคนทำงานเบื้องหลัง

พี่ใหญ่ มักจะมองเห็นปัญหา และแนวทางแก้ปัญหา รวมถึงวิธีการพัฒนาจังหวัดปทุมธานี แต่ด้วยข้อจำกัดของการเป็นคนเบื้องหลัง ทำให้การผลักดันภายใต้มุมคิดที่เจนจัดถูกขจัดออกไป

ดังนั้น การตัดสินใจลุกขึ้นมาเป็นคนเบื้องหน้า ลงสมัคร ตำแหน่ง ส.ส.แห่งเมืองปทุมฯ จึงเป็นธงสำคัญ ที่จะช่วยเร่งความเจริญให้ปทุมธานีไม่ต้องทนเป็นแค่เมืองล้าหลังอีกต่อไป และต่อจากนี้คือสิ่งที่พี่ใหญ่เล่าให้ THE STATES TIMES ฟัง...

>> แปลงร่างปทุมธานี 
"ปทุมธานีเหมาะที่จะเป็นนิคมอุตสาหกรรมหรือโรงงานย่อยๆ เพราะใกล้กรุงเทพฯ ใกล้ท่าเรือ ถ้าทำได้ ผมกล้าบอกเลยว่าความเจริญมันจะเกิดขึ้นในพื้นที่ปทุมธานี และถ้าจะให้ผมทำมันให้เกิดขึ้นจริงได้ ต้องเลือกผมทั้ง 7 คน 7 เขต ประชาชนชาวปทุมธานีต้องร่วมมือกันเลือกทีมนายกใหญ่ ช่วยกันเลือกพลังประชารัฐปทุมธานี"

>> แค่ผมคนเดียว เปลี่ยนแปลงไม่ได้!!
"ที่บอกว่าควรเลือกเราทั้ง 7 เขต เพราะแค่ความสามารถและความตั้งใจจากบุคคลใดบุคคลหนึ่งยังไม่พอ เราเห็นสิ่งที่บุรีรัมย์เป็นไหม เราเห็นสิ่งที่สุพรรณบุรีเป็นไหม ความเจริญมาจากความเป็นหนึ่งเดียวของ ส.ส.ที่มาจากพรรคเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้มีอำนาจในการผลักดันนโยบายและการทำงานแบบบูรณาการได้ชัดเจน ทำงานร่วมกัน ไม่เกิดความขัดแย้ง จังหวัดก็เจริญ"

>> เพื่อนร่วมทีมชั้นยอด เก่งกาจคนละด้าน
"ยิ่งไปกว่านั้น ผมเลือกแต่คนที่เข้าใจปัญหา และมีหัวใจที่อยากเปลี่ยนแปลงจังหวัดปทุมธานีไปในทิศทางที่ดีขึ้น ภายใต้ความสามารถที่แตกต่างกันแบบไม่ทับซ้อน เช่น ผมมี 'สจ.ตุ้ย นพดล ลัดดาแย้ม' ท่านจะเข้ามาช่วยบูรณาการด้านเกษตร ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ให้องค์ความรู้ในการสร้างผลผลิตทางเกษตรแนวใหม่

"ต่อมา กำนันหมู ยุทธวัฒน์ หาญเกียรติกล้า ท่านอยากจะเข้ามาผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ชาวปทุมฯ ผ่านระบบคมนาคมใหม่ที่เป็นรูปธรรมและเหมาะต่อพี่น้องชาวปทุมธานี รวมถึงท่านยังเก่งในการเข้าถึงการแก้ปัญหายาเสพติดอีกด้วย

"ด้าน ดร.ปรีชา ชื่นชนกพิบูล ท่านวางแผนระยะยาวในการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนเรื่องของรถติด และจะทำให้ชาวปทุมฯ กลับถึงบ้านได้โดยเร็ว ไม่ต้องติดบนถนนนานๆ อีกต่อไป

"ท่าน วิรัช พยุงวงษ์ นี่คือกุนซือด้านกฎหมาย และมีความสามารถในการจัดหางบประมาณมาช่วยสร้างความเจริญเติบโตให้จังหวัดได้ ซึ่งแต่ก่อนท่านก็หางบมาช่วยท้องถิ่น อบต. เทศบาลอยู่อย่างต่อเนื่อง

"ต่อมา เกียติศักดิ์ ส่องแสง ท่านต้องการทำเมืองปทุมฯ ให้เป็นแลนด์มาร์ก เช่น ปทุมฯ ต้องมีแลนด์มาร์กในจุดช่วงงบแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเป็นจริงเป็นจัง ต้องทำให้เป็นเมืองน่าเที่ยวไม่แพ้จังหวัดอื่นๆ 

"สุดท้ายกับ กฤษณา วงศ์คำ เธอมองไปถึงการนำเทคโนโลยี เข้ามาเป็นสื่อกลางในการค้าขาย ยกระดับราคา และช่วยขยายตลาด เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ชาวเกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น

"ทุกคนมีพลัง มีความรู้ และมีความตั้งใจที่อยากจะเข้ามาร่วมกันพัฒนาปทุมธานีให้เจริญภายใน 4 ปีนี้"

>> ทั้งชีวิตมีแต่ให้
พี่ใหญ่ เล่าให้ฟังอีกว่า เหตุผลที่กล้าลงมาสมัคร เพราะเชื่อในความไว้วางใจที่คนปทุมฯ มอบให้ เพราะพี่ใหญ่เริ่มจากการทำบ้านเกิดจากไม่มีอะไร จนวันนี้เชียงรากใหญ่เจริญเริ่มผิดหูผิดตา

"อยากให้สังเกตดูที่เชียงรากใหญ่ ผมของบมาทำถนนคอนกรีตหมด 100% มีถังขยะทุกอาคาร จากนั้นมาต่อท่อมาบำบัดน้ำเสีย 3 ตัว 80 กว่าล้าน ทำมาประมาณ 7-8 ปีแล้ว และก่อนหน้านี้ก็มีการของบสร้างเขื่อน 764 ล้านบาท และคนที่นี่ก็ได้สันเขื่อน

"นี่เป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งในช่วงตั้งแต่ที่เป็นนายก อบต. ซึ่งผมมีแต่ให้ บางทีไปเจอคนจน คนไร้บ้าน ก็หาที่ทางให้เขาอยู่ เช่น ก่อนหน้านี้ มี 7 ครอบครัวที่ผมปลูกบ้านให้ฟรีๆ ตกหนึ่งหลังประมาณ 103,000 บาท เงินส่วนตัวทั้งนั้น ไม่ได้อวดรวยนะ แต่เราทำเราก็ได้บุญ เพราะชีวิตเราเคยจนมาก่อน เคยลำบากมาก่อนพอเห็นทุกคนยืนได้ผมก็ดีใจ"

ซูเปอร์โพล เผยภาคเอกชน ยก ‘บิ๊กตู่’ ซื่อสัตย์-สุจริต พร้อมเทคะแนนเลือกเข้ามาบริหารประเทศอีกสมัย

(12 ก.พ. 66) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา หัวหน้าโครงการวิจัย สำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) เสนอผลสำรวจ เรื่อง ประยุทธ์ กับ คุณธรรมการเมือง กรณีศึกษาผู้ประกอบการ ธุรกิจ รายย่อย รายย่อม และขนาดกลาง (MSME) ทั่วประเทศ จำนวน 1,035 ตัวอย่างระหว่างวันที่ 8 – 11 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อถามถึง คุณธรรมการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 80.5 ระบุ ซื่อสัตย์สุจริต รองลงมาคือ ร้อยละ 74.5 ระบุ เสียสละอดทน แบกรับภาระประเทศ ปัญหาทุกสิ่งของชาติ ร้อยละ 74.4 ระบุ ขยัน หมั่นเพียร มุมานะบากบั่น อุตสาหะ ร้อยละ 74.3 ระบุ ความรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 62.0 ระบุ ความเก่ง ความสามารถ

เมื่อเปรียบเทียบ คุณธรรมการเมือง ระหว่าง อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้ กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน พบว่า จำนวนมากหรือร้อยละ 44.8 ระบุ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคุณธรรมการเมือง มากกว่า ในขณะที่ ร้อยละ 29.0 ระบุ น้อยกว่า และร้อยละ 26.2 ระบุไม่แตกต่าง

ที่น่าสนใจคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.4 จะกาบัตรเลือกตั้ง คนซื่อสัตย์สุจริต ไม่ด่างพร้อย เคยมีผลงานพาประเทศผ่านวิกฤตต่าง ๆ ได้ ในขณะที่ร้อยละ 35.6 ตั้งใจจะกาบัตรเลือกตั้ง คนเก่งเศรษฐกิจ โกงบ้างไม่เป็นไร

ที่น่าพิจารณาคือ แนวโน้มความตั้งใจจะเลือก พรรครวมไทยสร้างชาติ จากเดือน กรกฎาคม ปีที่แล้ว 2565 ถึงวันนี้เดือนกุมภาพันธ์ 2566 พบว่า ความตั้งใจจะเลือกพรรครวมไทยสร้างชาติ ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด จาก เดือนกรกฎาคมปีที่แล้วอยู่ที่เพียงร้อยละ 0.4 เพิ่มขึ้นในเดือน มกราคม 2566 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.8 และขยับขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 9.4 ในการสำรวจล่าสุดวันนี้เดือนกุมภาพันธ์ 2566 ตามลำดับ

ส่อง!! 10 อันดับพรรคการเมืองกระเป๋าตุง ประจำปี 2566

ส่อง!! 10 อันดับพรรคการเมืองกระเป๋าตุง ประจำปี 2566

หมายเหตุ: กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง เริ่มจัดตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นการสนับสนุนพรรคการเมืองโดยรัฐ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันหลักในการปกครอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top