Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

ดื่มด่ำ!! เมืองในฝันอันแสนโรแมนติกของสหรัฐฯ พิกัดตะวันออกเฉียงเหนือที่เรียกว่า New England

พี่มิกตะโกนอย่างตกใจว่ารถจะพุ่งลงแม่น้ำแล้ว เราตื่นขึ้นมาจากภวังค์หักพวงมาลัยและเหยียบคันเร่งให้รถไต่ขึ้นกลับมาบนถนน เราขอโทษพี่มิกเป็นการใหญ่ พี่มิกดุเราเล็กน้อยว่าไม่ควรสนุกจนนอนไม่พอ 

จากนั้นพี่มิกเปลี่ยนมาขับรถแทนเพื่อให้เราได้นอนพักผ่อน เราหลับตาไปสักพักก็หลับสนิท กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เมื่อรถเราเข้าเขตเมือง Albany รัฐนิวยอร์ก New York

เมื่อเอ่ยถึงรัฐนิวยอร์ก คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเมืองนิวยอร์ก (New York City) คือเมืองหลวงของรัฐ เพราะเป็นศูนย์รวมธุรกิจระดับโลก ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ร้านบูติกดีไซเนอร์ชื่อดัง และร้านอาหารของเหล่าเชฟมิชลินแห่กันมาปักหมุดอยู่ที่เมืองนี้ เนื่องจากเป็นเมืองท่าสำคัญของฝั่งตะวันออกของประเทศมากว่าสองร้อยปี

แต่ที่จริงแล้วเมืองหลวงของรัฐนิวยอร์กนั้นอยู่ที่เมืองอัลบานีซึ่งอยู่ทางเหนือ คนเลยมักจะเรียกบริเวณนี้ว่า Upstate 

ถ้าใครได้ผ่านไปเมืองนี้แล้วอยากแวะเที่ยว อย่าลืมไปแวะชมตึก New York State Capital สถานที่ว่าการของรัฐ ซึ่งขณะนี้ผู้ว่าการหญิงคนแรก Kathy Hochul ดำรงตำแหน่งอยู่ ถ้าชอบพิพิธภัณฑ์ ขอแนะนำให้ไป Albany Institute of History & Art และ New York State Museum ถ้าอยากจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในอัลบานี ท่านผู้อ่านสามารถหาข้อมูลได้จากเว็ปไซต์ https://www.albany.org

เมื่อผ่านจากอัลบานี เราก็เข้าในเขตBerkshires ทางตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตส์ (Western Massachusetts) เราพากันตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์สองข้างทาง ต้นไม้เต็มไปด้วยใบไม้สีแดง, ส้ม, เหลืองทองและน้ำตาล 

เมื่อแสงแดดอ่อนยามบ่ายฉายไปบนต้นไม้และใบไม้ช่างดูเหมือนกับเมืองในฝันที่แสนโรแมนติก ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า New England ซึ่งมีหกรัฐคือ Connecticut, Maine, Massachusetts, New Hampshire, Rhode Island และ Vermont นั้นมีชื่อเสียงที่มีทิวทัศน์ของใบไม้เปลี่ยนสี (Fall Foliage) ที่แสนงาม เพราะอุดมไปด้วยต้นโอ๊คและเมเปิ้ลที่มีไว้ทำน้ำตาล (Sugar Maple) ซึ่งจัดอยู่ในต้นไม้พันธุ์เปลือกแข็งที่ผลิตใบไม้แห้งหลากสีก่อนที่จะร่วงออกจากต้น 

นักท่องเที่ยวมักจะมาภูมิภาคนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเพื่อที่จะได้ชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ถ้าใครได้มาแถวนิวอิงแลนด์ช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลาคมไม่ควรพลาดโอกาสที่จะขับรถยลสีสันของมวลใบไม้ แถมดื่มด่ำบรรยากาศบ้านๆ ของชาวไร่อเมริกันในช่วงเก็บเกี่ยวแอปเปิ้ลและฟักทอง เนื่องจากผู้เขียนชินกับรัฐแมสซาซูเซตส์และนิวแฮมเชียร์ ขออนุญาตเน้นข้อมูลของสองรัฐนี้ https://berkshires.org เสนอข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในแถบตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซตส์รวมถึงเส้นทางชมใบไม้ร่วง https://visitnh.gov/seasonal-trips/fall/peak-foliage-map บอกเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ใบไม้เปลี่ยนสีมากที่สุดของแต่ละพื้นที่ในรัฐนิวแฮมเชียร์ https://www.mass.gov/guides/pick-your-own-farms แนะนำฟาร์มที่มีบริการให้นักท่องเที่ยวเก็บผลไม้ด้วยตัวเองในรัฐแมสซาซูเซตส์ ส่วน https://www.pumpkinpatchesandmore.org/NHpumpkins.php เจาะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเก็บแอปเปิ้ลและฟักทองในรัฐนิวแฮมเชียร์

ย้อนรอยทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหา ‘แพะ’ และความ ‘เสื่อม’ จนเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2

ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อหา ‘แพะ’ กับ ความ ‘เสื่อม’ จนเสียกรุงศรีฯ ครั้งที่ 2 

เมื่อคราวที่แล้วเรื่องของการเสียกรุงครั้งที่ 1 ที่ผมได้เล่าไปแล้วนั้น ภาพที่ฉายให้เราได้เห็นกันก็คือการขัดแย้งกันของฝ่ายโอนอ่อนและฝ่ายแข็งกร้าว ที่ยึดเอาราชตระกูลเป็นที่ตั้ง หักกันได้เพื่อผลประโยชน์ และมีภาพของ “ไส้ศึก” เช่น “พระยาจักรี” ที่เปรียบเสมือน “แพะ” จนทำให้เสียกรุงศรีฯ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2112 ในครั้งนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวของการเสียกรุงครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 และ “แพะ” ที่ถูกตราหน้าว่าทำให้เสียกรุงกันบ้าง 

“แพะ” คนแรกคือขุนนางที่ถูกตราหน้าว่าเป็นไส้ศึก เป็นตัวร้ายของการย้อนประวัติศาสตร์ทุกเรื่องนั่นคือ “พระยาพลเทพ” มีทินนามเต็มตามทำเนียบพระไอยการนาพลเรือนคือ “ออกญาพลเทพราชเสนาบดีศรีไชยนพรัตนกระเสตราธิบดี” เป็นตำแหน่งของเสนาบดีกรมนาหรือ “เกษตราธิการ” หนึ่งในเสนาบดีจตุสดมภ์ ศักดินา 10,000 ไร่ เสนาบดีกรมนาทุกคนจะมีตำแหน่งเป็น “พระยาพลเทพ” ในสมัยรัตนโกสินทร์ยกขึ้นเป็น “เจ้าพระยา” เสนาบดีกรมนาทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานผู้ดูแลไร่นา เก็บหางข้าวหรือข้าวจากนาของราษฏรสำหรับขึ้นฉางหลวง ตั้งศาลพิจารณาความที่เกี่ยวข้องกับที่นาและสัตว์ที่ใช้ทำนาอย่างโคกระบือ เป็นเจ้าพนักงานที่ชักจูงให้ราษฎรทำนา เวลามีศึกก็ต้องเตรียมเสบียงกรังให้พรักพร้อม เป็นหน่วยพลาธิการสำคัญของกระบวนรบ  

สำหรับ “พระยาพลเทพ” ผู้เป็นไส้ศึกให้พม่าในสงครามเสียกรุงนั้น ไม่ทราบประวัติชัดเจน เพราะถูกกล่าวถึงอยู่ในหลักฐานเพียงชิ้นเดียวคือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ซึ่งพม่าเรียบเรียงจากคำให้การของเชลยอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าเมื่อหลังสงครามเสียกรุง พ.ศ. 2310 มีเนื้อหาสั้นๆ ว่า... “คราวนั้นพระยาพลเทพ ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาเอาใจออกห่าง ลอบส่งศัสตราวุธเสบียงอาหารให้แก่พม่า สัญญาจะเปิดประตูคอยรับ พม่าเห็นได้ทีก็ระดมเข้าตีปล้นกรุงศรีอยุธยา ทำลายเข้ามาทางประตูที่พระยาพลเทพนัดหมายไว้”... เรื่องพระยาพลเทพส่งเสบียงอาหารให้พม่า ตรงกับหน้าที่รับผิดชอบของพระยาพลเทพในจดหมายของหลวงอุดมสมบัติ จึงเข้าใจว่าพระยาพลเทพผู้นี้เป็นผู้รับผิดชอบตระเตรียมเสบียงในสงครามเสียกรุง และจากที่ระบุว่าเป็นผู้เปิดประตูรับพม่าเข้ามา จึงอนุมานได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ป้องกันพระนครในเวลานั้นด้วย

พงศาวดารไทยและพม่าไม่ได้กล่าวถึงพระยาพลเทพในฐานะไส้ศึกเลย มีแต่กล่าวถึงพระยาพลเทพ (พงศาวดารพม่าฉบับภาษาพม่าสะกดว่า ‘ภยาภลเทป’ ဘယာဘလဒေပ) ว่าเป็นหนึ่งในเสนาบดีอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนแต่ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าให้ความช่วยเหลือแก่พม่า แต่ด้วยปัจจัยเรื่องเสบียงที่ขาดแคลนเมื่อพม่าไม่ยกทัพกลับเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก จึงน่าจะทำให้ “พระยาพลเทพ” ผู้ดูแลเสบียงกรังกลายเป็น “ไส้ศึก” และน่าจะเป็นที่จดจำของชาวกรุงเก่าที่ให้การไว้กับพม่า แต่นอกจากนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงพระยาพลเทพผู้นี้อีกเลย

คนที่สองหรือพระองค์ที่สอง ก็ได้ เพราะเป็นถึงกษัตริย์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่ได้รับเกียรติให้กลายเป็น “แพะ” ผมกำลังจะเล่าถึง “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” หรือ “สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์” กษัตริย์พระองค์สุดท้ายของกรุงศรีอยุธยาที่มี “ภาพจำ” จากพระราชพงศาวดาร, แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทย, คำบอกเล่า ฯลฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ เป็นกษัตริย์ที่ไม่ใส่ใจกิจการบ้านเมือง, ลุ่มหลงแต่สนมนางใน, กดขี่ข่มเหงข้าราชการและประชาชน, อ่อนแอ, ขี้ขลาดและเมื่อพม่าประชิดกรุงศรีอยุธยาพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ยิงปืนใหญ่ ด้วยเกรงบรรดาพระสนมจะตกอกตกใจกัน ฯลฯ 

พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” กับพระอัครมเหสีองค์รองคือ “กรมหลวงพิพิธมนตรี” หรือ “พระพันวษาน้อย” พระนามเดิมเมื่อแรกประสูติคือ “เจ้าฟ้าเอกทัศน์” พ.ศ. 2275 ทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี” โดยมีพระอนุชามีรวมโสทรคือ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” หรือที่พระชนกตั้งชื่อเมื่อแรกประสูติว่า “เจ้าฟ้าดอกเดื่อ” โดยทรงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาให้เป็น “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต” ซึ่งในกาลต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็น “สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” ก่อนจะสละราชย์ไปทรงผนวชถึง 2 คราว ด้วยเหตุจำเป็น จนชาวบ้านขนานนามพระองค์อย่างเป็นที่รู้จักกันว่า “ขุนหลวงหาวัด” 

ซึ่งสิ่งที่ทำให้ “พระเจ้าเอกทัศน์” กลายเป็นตัวโกง ก่อนจะกลายเป็น “แพะ” คือการไม่ได้รับการยอมรับจากพระราชบิดาให้เป็น “กรมพระราชวังบวรสถานมงคล” หรือ “องค์รัชทายาท” แต่พระราชบิดากลับยกให้ “เจ้าฟ้าอุทุมพร” พร้อมด้วยแรงสนับสนุนจาก “กรมหมื่นเทพพิพิธ” ซึ่งเป็นพระโอรสชั้นผู้ใหญ่ กับบรรดาเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ คือเรียกว่าเพียบพร้อมกว่าพระเชษฐาว่างั้นเถอะ ทั้งยังมีพระราชโองการของ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า “กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้น โฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้นบ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย” และมีพระราชดำรัสสั่งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีว่า “จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวาง” ถึงตรงนี้คนเล่าประวัติศาสตร์ก็ข้ามเรื่องราวการเคลียร์เส้นทางของ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต” ไปเลย 

ครั้นเมื่อ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ” สวรรคต ได้เกิดกบฏเจ้า 3 กรม อันได้แก่ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดีซึ่งเป็นโอรสของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แต่ได้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าเอกทัศน์ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี” เป็นผู้วางแผนและดำเนินการปราบกบฏเจ้า 3 กรม เพื่อกรุยทางให้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิต” ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา แต่หลังจากนั้นประมาณ 10 วัน ก็ทรงสละราชสมบัติให้ “สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี” แล้วพระองค์ก็ออกผนวช ซึ่งพงศาวดารฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ก็ขยายความในเชิงว่า พระองค์ถูก “บีบ” แต่จะบีบด้วยอะไร ? แบบไหน ? กลับไม่มีใครบันทึกไว้ มีแต่บอกว่า “กรมขุนอนุรักษ์มนตรี” เสด็จ ฯ ขึ้นไปประทับที่พระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เนื่องจากเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้นและดื้อแพ่งไม่ยอมย้ายหรือยกให้ใคร จน“สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร” ต้องยอมยกราชบัลลังก์ให้ ซึ่งนี่คือข้อมูลเชิงปรักปรำที่ทำให้ “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์” เป็นกษัตริย์ที่ “ดูแย่” อย่างสมบูรณ์แบบ แต่เป็นจริงแบบนั้นไหม ? ไปต่อกัน  

สำหรับการครองราชย์ของ “พระเจ้าเอกทัศน์” ตาม “คำให้การชาวกรุงเก่า” ปรากฏความว่า... "พระมหากษัตริย์พระองค์นี้” ทรงพระกรุณากับอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวง แผ่เมตตาไปทั่วสารพัดสัตว์ทั้งปวง”... หรืออย่างใน “คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม” ปรากฏความว่า "พระองค์ตั้งอยู่ในธรรมสุจริต บพิตรเสด็จไปถวายนมัสการพระศรีสรรเพชทุกเพลามิได้ขาด พระบาทจงกรมอยู่เป็นนิจ บพิตรตั้งอยู่ในทศพิธสิบประการ แล้วครอบครองกรุงขันธสีมา ทั้งสมณพราหมณ์ก็ชื่นชมยินดีปรีเปนศุขนิราชทุกขไภย ด้วยเมตตาบารมีทั้งฝนก็ดีบริบูรณภูลความศุกมิได้ดาล ทั้งข้าวปลาอาหารและผลไม้มีรสโอชา ฝูงอาณาประชาราษฎร์และชาวนิคมชนบทก็อยู่เยนเกษมสานต์ มีแต่จะชักชวนกันทำบุญให้ทาน และการมโหรสพต่าง ๆ ทั้งนักปราชผู้ยากผู้ดีมีแต่ความศุกที่ทุกขอบขันธสีมา" 

...นอกจากหลักฐานทั้งสอง ยังได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระเจ้าเอกทัศ เช่น ทรงออกพระราชบัญญัติเครื่องชั่ง ตวง วัดต่าง ๆ, มาตราเงินบาท สลึง เฟื้องให้เที่ยงตรง และโปรดให้ยกเลิกภาษีอากรต่าง ๆ เป็นเวลา 3 ปี รวมทั้ง... "ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา บ้านเมืองสงบ การค้าขายเจริญ ทรงบริจาคทรัพย์ให้แก่คนยากจนจำนวนมาก" ...คือมองแล้วพระองค์น่าจะเป็นกษัตริย์ที่ถนัดทางด้านการจัดการด้านเศรษฐกิจและกิจการภายใน ที่ดีทีเดียว
 

'บิ๊กตู่' ลุย!! แผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับที่ 4 ชู!! 'เศรษฐกิจดิจิทัล' พาเศรษฐกิจไทยโตยั่งยืน

(4 ก.พ.66) น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลสำเร็จของแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 (ปี 2560-2564) ในการเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) เป็นแหล่งระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย และพัฒนาให้ตลาดทุนไทยเป็นจุดเชื่อมโยงของภูมิภาค เป็นต้น ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2566 ได้รับทราบแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 - 2570) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างแข็งแรง ให้ตลาดทุนไทยเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ส่งเสริมทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืน สนับสนุนทุกภาคส่วนให้ปรับสู่เศรษฐกิจดิจิทัลและเสริมสร้างความอยู่ดีมีสุขทางการเงินของประชาชน

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า แผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 4 ที่สานต่อจากแผนพัฒนาตลาดทุนฯ ฉบับที่ 3 ได้คำนึงถึงปัจจัยความท้าทาย และทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโลก (Mega Trends) ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนในหลายด้านที่สำคัญ อาทิ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สังคมสูงวัย ภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ เป็นต้น รวมทั้งมุ่งเน้นการสร้างภูมิทัศน์ของภาคตลาดทุนไทยในอนาคต ภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ 29 แผนงาน ดังนี้...

ยุทธศาสตร์ที่ 1 ตลาดทุนเพื่อการแข่งขันได้ (Competitiveness) เป็นการเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของทุกภาคส่วนในตลาดทุนไทยและระบบเศรษฐกิจ ประกอบด้วย 11 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น การแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ตลาดทุนที่เข้าถึงได้ (Accessibility) เป็นตลาดทุนที่เอื้อให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ ประกอบด้วย 8 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น การสนับสนุนให้กลุ่มธุรกิจเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่แห่งอนาคต (New Economy) กลุ่มธุรกิจที่เน้นการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาต่อยอดจากอุตสาหกรรมเดิมเพื่อให้เติบโตต่อไปได้ในอนาคต (New S-curve) และกลุ่มธุรกิจด้านเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) การระดมทุนผ่าน LiVE Exchange ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startup เป็นต้น 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 ตลาดทุนดิจิทัล (Digitalization) เป็นการส่งเสริม ประยุกต์ และใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลในตลาดทุน ประกอบด้วย 6 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น โครงการ Digital Infrastructure (DIF) เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานกลางในตลาดทุน เป็นต้น

ยุทธศาสตร์ที่ 4 ตลาดทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainability) เป็นการมุ่งเน้นส่งเสริมความยั่งยืนของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทยและระบบเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบด้วย 1 แผนงาน ได้แก่ มาตรการส่งเสริมและพัฒนาให้ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างยั่งยืน (ESG) 

ยุทธศาสตร์ที่ 5 ตลาดทุนเพื่อความอยู่ดีมีสุขทางการเงิน (Financial well-being) เป็นการมุ่งเน้นสร้างผลลัพธ์ทางการเงินที่ดี รวมถึงการสร้างโอกาสในการลงทุน โดยมีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ประกอบด้วย 3 แผนงาน โดยมีแผนงานที่สำคัญ เช่น การพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย (Financial Literacy) ภายใต้แผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน พ.ศ. 2565 - 2570 การปรับปรุงพระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. 2530 เป็นต้น

'รทสช.' พร้อม!! จ่อเข็นนโยบายแรกเดือนนี้ ยัน!! ไม่มุ่งโกยแต่คะแนน จนกระทบงบประมาณ

(4 ก.พ.66) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายของ รทสช.จะมีออกมาหรือยัง เพราะขณะนีัหลายพรรคเริ่มเปิดกันออกมาแล้ว ว่า รทสช.จะเริ่มทยอยเปิดนโยบายออกมาในเดือนนี้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงมากว่านโยบายอะไรที่ออกไปแล้ว ไม่ใช่คิดแต่ว่าจะได้คะแนน แต่เป็นห่วงว่าจะกระทบกับงบประมาณหรือไม่ ดังนั้น รทสช.จะต้องคำนึงถึงตรงนี้ให้มาก 

เชียงใหม่-แอร์เอเชีย ต้อนรับเที่ยวบินแรก 'สิงคโปร์-เชียงใหม่' คึกคัก

เชียงใหม่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 แอร์เอเชียต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ เส้นทาง “เชียงใหม่-สิงคโปร์” ปั้นเชียงใหม่เป็นฐานปฏิบัติการการบินศูนย์กลางเชื่อมเส้นทางระหว่างประเทศหลากหลาย ดึงรายได้เข้าภาคเหนือกระตุ้นเศรษฐกิจ เผยเเผนเดือนมีนาคมนี้ เปิดเส้นทางบินเพิ่มอีก 2 เส้นทาง คือ “เชียงใหม่-ฮ่องกง” และ “เชียงใหม่-มาเก๊า” ชูจุดเด่น บินประหยัดคุ้มค่า พร้อมคุณภาพบริการมาตรฐานระดับโลก การันตีด้วยรางวัลติดอันดับตรงต่อเวลาสุงสุด จาก 2 สถาบัน Cirium และ OAG รวมทั้งมาตรฐานปลอดภัยสูงสุด เรตติ้ง 7/7 จาก airlinerating.com 

นายสุรพันธ์ หอมขจร ผู้จัดการสายการบินไทยแอร์เอเชีย ประจำท่าอากาศยานเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบันฐานปฏิบัติการการบินเชียงใหม่ มีฝูงบินแอร์บัสเอ 320 ประจำการอยู่ 4 ลำ มีเส้นทางบินเข้าออก 8 เส้นทางภายในประเทศเเละ 5 เส้นทางระหว่างประเทศ หรือมากกว่า 420 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ถือเป็นฐานปฏิบัติการการบินแอร์เอเชียที่มีเที่ยวบินมากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากดอนเมือง ตอกย้ำความสำคัญและกลยุทธ์ผลักดันให้จังหวัดเชียงใหม่ของเราเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเดินทางในภูมิภาค โดยเฉพาะเที่ยวบินระหว่างประเทศ ที่ตั้งเเต่ปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 เราทยอยเพิ่มเส้นทางบินใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง เพื่อชิงโอกาสในฤดูกาลท่องเที่ยว พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิด-19 ได้ผ่อนคลาย

“แอร์เอเชียมีความพร้อมเต็มที่ในการกลับมาให้บริการเส้นทางบินต่างๆ ด้วยพนักงานและฝูงบินขนาดใหญ่ เราจึงสามารถเปิดเส้นทางบินใหม่ๆ ได้ต่อเนื่องทันที โดยเชียงใหม่-สิงคโปร์ ถือเป็นเส้นทางยอดนิยมที่ทุกคนรอคอย และได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยปัจจุบันเราให้บริการ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ อาทิตย์ ซึ่งต้องขอขอบคุณทางจังหวัด ท่าอากาศยานเชียงใหม่ การท่องเที่ยวเเห่งประเทศไทย เเละทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ร่วมประสานเเละทำงานด้วยกันอย่างดี ทำให้การท่องเที่ยวเชียงใหม่กลับมาคึกคักอีกครั้ง ภายใต้มาตรฐานด้านสุขอนามัยที่รัดกุม” นายสุรพันธ์กล่าว

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งชุดปฏิบัติการออกพบปะประชาชนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน ประกอบสำนวนคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย ยันไม่มีการกลั่นแกล้ง ผู้ซื้อสลากไม่มีความผิด แต่ผู้ขายเกินราคามีความผิด

วันที่ 4 ก.พ.66 พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ ประธานคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบผู้ค้าสลาก กินแบ่งรัฐบาลเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนด เปิดเผยว่า ตามนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยเป็นการดำเนินการในรูปแบบแพลตฟอร์มขายสลาก กินแบ่งรัฐบาลออนไลน์ของเอกชน ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภค มีลักษณะเป็นเครือข่าย และมีผู้ร่วมกระทำผิดจำนวนมาก ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ และกฎหมายอื่นๆ อีกหลายฉบับ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยได้แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 107/2566 ลงวันที่ 1 ก.พ.66 เพื่อให้การสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้ควบคุม กำกับ ดูแล การสืบสวน พร้อมด้วย คณะพนักงานสืบสวนหน่วย บช.ก., บช.น., ภ.1-9, บช.สอท. และ บก.ปคบ. โดยมีอำนาจหน้าที่ทำการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิดของบุคคล กลุ่มบุคคล และเครือข่ายอาชญากรรมในกรณีดังกล่าว ตลอดจน ขอข้อมูล เอกสาร จากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการสืบสวน 

โดยในวันที่ 3 ก.พ.66 พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยคณะพนักงานสืบสวนหน่วย บช.ก., บช.น., ภ.1-9, บช.สอท. และ บก.ปคบ. ได้ประชุมเพื่อร่วมกำหนดแนวทางการสืบสวน โดยในขณะนี้พนักงานสืบสวนได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พงส.บก.ปคบ. ในข้อหาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา จากนั้น บก.ปคบ.จะประสานส่งข้อมูลรายชื่อลูกค้าที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากกองสลากพลัส งวดวันที่ 16 มี.ค.65 และ 1 เม.ย.65 จำนวน 4,214 ราย ให้กับหน่วย บช.น. และ ภ.1-9 เพื่อทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมพร้อมทั้งเชิญผู้มีรายชื่อซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล มาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามภูมิลำเนา ในฐานะพยาน เพื่อยืนยันข้อมูลการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคาของกองสลากพลัส งวดวันที่ 16 มี.ค.65 และ 1 เม.ย.65 ซึ่งเป็นงวดที่มีการขายเกินราคา จากนั้น บช.น. และ ภ.1-9 จะรวบรวมพยานหลักฐานตลอดจน บันทึกคำให้การข้างต้น ดำเนินการส่งมายัง บก.ปคบ. เพื่อรวบรวมดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ท.ประจวบฯ ยืนยันว่า กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปสอบถามข้อมูลจากลูกค้าที่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากกองสลากพลัส งวดวันที่ 16 มี.ค. และ 1 เม.ย.65 เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมีความจำเป็นในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อประกอบสำนวนคดี มิได้เป็นการกลั่นแกล้ง บุกรุก หรือข่มขู่ โดยเป็นการดำเนินการภายใต้กฎหมาย และขอยืนยันว่า ผู้ซื้อสลากฯ จะมีสถานะเป็นเพียงพยานในข้อหาจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา โดยไม่มีความผิดตามกฏหมาย และหากผู้ซื้อประสงค์จะแจ้งความเอาผิด ก็สามารถทำได้ แต่หากผู้ซื้อไม่ประสงค์แจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะบันทึกถ้อยคำไว้เท่านั้น แต่ผู้ที่ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา จะมีความผิด

นรข.ตรวจยึดยาบ้าล็อตใหญ่ กว่า 4 แสน 6 หมื่นเม็ดชุกริมฝั่งโขง

เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2566 หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลําน้ำโขงสกัดจับยึดยาบ้าชุกอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงโดยกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติฝั่งประเทศเพื่อนบ้านลักลอบขนข้ามโขงมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านน้ำเข้าส่งให้ครือข่ายฝั่งไทยยาบ้าจำนวน 460,000 เม็ดคนร้ายหลบหนีไปได้น้ำของกลางยาบ้ามาตั่งโต๊ะแถลงข่าว

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10.00 น. พล.ร.ต.สมาน ขันธพงษ์ ผบ.นรข. ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ไม่ประสงค์ออกนาม (เพื่อผลทางรางวัลนำจับ) ว่าจะมีการลักลอบขนส่งยาเสพติดเข้ามาในราชอาราจักร บริเวณ บ้านท่าไคร้ ต.นาสีนวล อ.เมือง จ.มุกดาหาร จึงได้สั่งการให้ น.อ.กษิดิ กลิ่นศรีสุข ผบ.นรข.เขตนครพนม น.ท.เฉลิมศักดิ์ ไชยจิตต์ หน.สน.เรือมุกดาหารจัดชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ทันที

โดยสถานีเรือมุกดาหาร เมื่อทราบการข่าวจากผู้บังคับบัญชา จึงได้ประชุมวางแผนจัดชุดปฏิบัติการลงพื้นที่ทันที แบ่งเป็น 2 ชุด ชุ่มเฝ้าตรวจ ชุดละ 3 นาย ครั้นเมื่อเวลา 18.50 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 ชุดปฏิบัติการได้ตรวจพบ เรือกีบเพลายาว แล่นข้ามมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งได้แล่นลงไปทางใต้ ผ่านท่าทรายฯ และได้กลับลำแล่นเรือขึ้นมาทางเหนืออีกครั้ง พร้อมได้ดับเครื่องยนต์ และพายเรือเข้าเทียบฝั่ง บริเวณเขื่อนริมโขง บ้านท่าไคร้ ต.นาสีนวล อ.เมือง จ.มุกดาหาร และในขณะเดียวกัน ได้มีชายฉกรรจ์ 2 คนเดินออกจากพุ่มไม้ ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงไปยังที่เรือกีบเพลายาวเทียบฝั่ง 

จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้ง 2 ได้แบกวัตถุต้องสงสัย ขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขง คนละ 1 กระสอบมาชุกป่าหญ้าริมตลิ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากชุดปฏิบัติการชุ่มอยู่ ประมาณ 50 เมตร ชุดปฏิบัติการจึงได้วิ่งเข้าไปและแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ นรข. เพื่อขอทำการตรวจสอบ เมื่อชายฉกรรจ์ 2 คนเห็นเป็นเจ้าหน้าที่จึง อาศัยความชำนาญในพื้นที่ และความมืดวิ่งหลบหนีไปได้ ชุดปฏิบัติการจึงทำการตรวจสอบคาดว่าจะเป็นยาเสพติด จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชา และหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ทราบ เพื่อร่วมกันตรวจสอบวัตถุต้องสงสัย

จากการตรวจสอบในเบื้องต้น เป็นยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 2 กระสอบ กระสอบที่ 1 เขียนด้วยหมึก เขียนว่า กาละสิน 120, กระสอบที่ 2 เขียนว่า อำนาจเจริญ 110 สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ ไม่มีผู้ใดรู้เห็นกับเหตุการณ์ดังกล่าว และไม่มีผู้ใดมาแสดงตนเป็นเจ้าของ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดและนำของกลางทั้งหมด มาที่สถานีเรือมุกดาหาร เพื่อทำการแถลงข่าวดังกล่าวโดยหลังการแถลงข่าวเจ้าหน้าที่จึงนำของกลางยาบ้าส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหารเพื่อขยายผลกลุ่มเครือข่าย 2 ฝั่งโขงกลุ่มนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผบ.พล.ร.15 ตรวจความพร้อม และติดตามความคืบหน้าศูนย์ฝึกจิตอาสา ภาค 4 ณ ค่ายจุฬาภรณ์ จ.นราธิวาส

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ศูนย์ฝึกจิตอาสา ภาค 4 ค่ายจุฬาภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ในฐานะ รองผู้อำนวยการศูนย์ฝึกจิตอาสาพระราชทาน ภาค 4 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมติดตามความคืบหน้า ความพร้อมของศูนย์ฝึกจิตอาสา ภาค 4 โดยได้เข้ารับฟังบรรยายสรุป ภาพรวมในการดำเนินงาน และตรวจความพร้อมของอาคาร สถานที่ เพื่อใช้ในการการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 "หลักสูตรพื้นฐาน" (ภาค4 ) รุ่นที่ 2/2566 ซึ่งจัดขึ้นในห้วงระหว่างวันที่ 1-17 มีนาคม 2566 โดยมี คณะทำงานฝ่ายอำนวยการ ศูนย์ฝึกจิตอาสาภาค 4 และส่วนที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว รองผู้อำนวยการศูนย์ฝึกจิตอาสาพระราชทาน ภาค 4 กล่าวว่า ศูนย์ฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสาพระราชทานเป็นแหล่งผลิตวิทยากรจิตอาสา 904 “หลักสูตรพื้นฐาน” โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปณิธานที่จะสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแนวพระราชดำริต่างๆ ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชน และพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า พระองค์ฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้จัดตั้งโรงเรียนจิตอาสาพระราชทานขึ้น เพื่อฝึกอบรมจิตอาสา 904 ให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับ ไปขยายผล ต่อยอด ปฏิบัติงานเป็นจิตอาสา 904 ให้เกิดการเรียนรู้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งต่อมาศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้มอบหมายให้ ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน ภาคต่างๆ จัดให้มีการฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา 904 หลักสูตรพื้นฐานขึ้น เพื่อเป็นการสนองพระราชปณิธานที่ต้องการให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ทั้งนี้ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค 4 ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการฝึกหลักสูตรจิตอาสา 904 หลักสูตรพื้นฐาน (ภาค4) รุ่นที่ 2 ประจำปี 2566 ร่วมกับกองทัพเรือ โดยจัดตั้งศูนย์ฝึกจิตอาสาภาค 4 ณ ค่ายจุฬาภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส เพื่อเป็นการเสริมสร้าง และพัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ ทั้งการพัฒนาบุคลิคภาพ เสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีใจเป็นจิตอาสา ตลอดจนองค์ความรู้ด้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยดำเนินการฝึกด้วยวิทยากรจาก 904 พร้อมทั้งให้มีการฝึก และปฏิบัติในสถานที่ ตามสถานีต่างๆ การศึกษาดูงานนอกสถานที่ เพื่อนำองค์ความรู้ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 

เคลียร์ดรามา 'หมอกินคนไข้' หลังสาววีแกนโวย งานเกษตรแฟร์ มีขาย 'เนื้อกระต่าย-จระเข้'

เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่ง ทวีตข้อความระบุว่า “#เกษตรแฟร์ #ทีมมก ปีนี้ช่วงวันที่ 4-11 ก.พ. จะมีเมนูเนื้อกระต่ายกับเนื้อจระเข้ ขายโดยนิสิตสัตวแพทย์ค่ะ ช่วยกันติดแท็กให้ข่าวกระจายนะคะ ไม่ควรมีสัตว์ตัวไหนต้องตายเพราะบุคลกรทางการสัตวแพทย์เอามาทำขายเป็นอาหารเลยค่ะ #หมอกินคนไข้ อยากให้ผู้จัดนำไปพิจารณาด้วยค่ะ”

ด้าน อ.สพ.ญ.นิยดา ล้านทรัพย์สกุล หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร์ ในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการร้าน Vet Restaurant ชี้แจงว่า เนื้อกระต่าย และเนื้อจระเข้ ที่จำหน่ายในร้าน เป็นเนื้อที่รับมาจากฟาร์มที่ผ่านการรับรองโดยกรมปศุสัตว์ เป็นแหล่งผลิตเนื้อเพื่อประกอบอาหาร ซึ่งเป็นฟาร์มคู่สัญญากับร้านมามากกว่า 10 ปี และมีอาจารย์จากคณะสัตวแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาควบคุมดูแลคุณภาพเนื้อด้วย จึงขอให้มั่นใจเรื่องมาตรฐาน พร้อมยืนยันว่า Vet Restaurant มีกระบวนการคัดสรรวัตถุดิบที่ปลอดภัย ไม่ขัดต่อหลักจรรยาบรรณตามที่เป็นข่าว 

ปตท. ร่วมแก้วิกฤตฝุ่น PM 2.5 หนุนพนักงาน Work from Home

เมื่อวันที่ 3 ก.พ.66 นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.)  กล่าวว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศที่นิ่งและปิด ทำให้ฝุ่นละอองสะสมตัวมากขึ้น และส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง ปตท. ในฐานะบริษัทพลังงานของคนไทย เราตระหนักถึงปัญหาจึงมีนโยบายให้พนักงานที่ปฏิบัติงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร, ปทุมธานี, นครราชสีมา, พระนครศรีอยุธยา, ระยอง, ราชบุรี และขอนแก่น ปฏิบัติงานในที่พัก (Work from Home) ระหว่างวันที่ 3 – 5 กุมภาพันธ์ 2566 เพื่อร่วมลดผลกระทบที่เกิดจากการสัญจร

ทั้งนี้ ปตท. ยึดมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการดูแลสังคม ชุมชม และสิ่งแวดล้อม พร้อมตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050) ซึ่งเร็วกว่าที่ประเทศกำหนด ด้วยกลยุทธ์เชิงรุก 'ปรับ เปลี่ยน ปลูก' ปรับกระบวนการผลิต ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการให้ได้สูงสุด เปลี่ยนสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มสัดส่วนการลงทุนโดยมุ่งธุรกิจพลังงานสะอาด อาทิ พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บพลังงาน และธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ปลูกป่าเพิ่ม 2 ล้านไร่ โดย ปตท. เป็นแกนหลักในการปลูก 1 ล้านไร่ ภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) และกลุ่ม ปตท. อีก 1 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มปริมาณการดูดซับก๊าซเรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศด้วยวิธีทางธรรมชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top