Saturday, 10 May 2025
NewsFeed

18 มกราคม 'วันกองทัพไทย และวันกองทัพบก' หน่วยทหารในพท.ลำปาง ประกอบพิธีและกิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2566  เวลา 10.30 น. พลตรี พรชัย นพรัตน์  ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 เป็นประธานในพิธีบวงสรวงศาลเจ้าพ่อดวงทิพย์ และศาลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี โดยมีประธานสมาคมแม่บ้าน ทหารบก สาขา มทบ.32 ,ผู้บังคับบัญชาฯกำลังพล และสมาชิกสมาคมแม่บ้านฯ ร่วมพิธี

ต่อมา ในเวลา 16.00 น. พลตรี พรชัย นพรัตน์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32 เป็นประธานในพิธี กระทำสัตย์ปฏิญาณตนต่อธงชัยเฉลิมพลของหน่วยทหารพื้นที่จังหวัดลำปาง เนื่องในวันกองทัพไทย โดย ได้รับเกียรติจากนายชัชวาลย์​ ฉายะบุตร​ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง​ พร้อมด้วย ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดลำปางประธานสมาคมแม่บ้านทหารบก​ สาขามณฑลทหารบกที่ 32 อดีตผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการภายในจังหวัดลำปาง และคณะข้าราชการทหารเข้าร่วมพิธี  ณ สนามกองบังคับการกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 17 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง

‘อินเดีย’ ขึ้นแท่น ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก สวนทาง ‘จีน’ ที่ประชากรลดลงในรอบ 60 ปี

อินเดียมีประชากรมากที่สุดในโลกแซงหน้าจีนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่จีนมีประชากรลดลงในรอบ 60 ปี

World Population Review องค์กรอิสระที่ศึกษาสำมะโนประชากรคาดการณ์ว่าอินเดียมีประชากรถึง 1.417 พันล้านคนแล้วในช่วงสิ้นปี 2022 และกลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดแซงหน้าจีนแล้วเรียบร้อย

จากจำนวนประชากรของอินเดียตามที่คาดการณ์ที่ 1.417 พันล้านคน ทำให้อินเดียมีประชากรมากกว่าจีนอยู่เกิน 5 ล้านคนก่อนหน้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนเผยว่า ขณะนี้จีนมีประชากรอยู่ 1.412 พันล้านคน ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ตั้งแต่ช่วงปี 1961

องค์การสหประชาชาติได้คาดการณ์ว่าอินเดียจะเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดแซงหน้าจีนภายในปีนี้ แต่จากคาดการณ์ของ World Population Review อินเดียมีประชากรถึง 1.432 พันล้านคนแล้ว ส่วนองค์กรวิจัย Macrotrends คาดว่าตัวเลขประชากรล่าสุดของอินเดียอยู่ที่ 1.428 พันล้านคนแล้ว ทั้งนี้ ไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการจากอินเดียเนื่องจากโควิด-19 ทำให้ไม่สามารถสำรวจตัวเลขประชากรได้

World Population Review ยังคาดการณ์ว่าแม้ประชากรของอินเดียจะเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ แต่จะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2050 

ครึ่งหนึ่งของประชากรอินเดียมีอายุต่ำกว่า 30 ปี ทำให้นายกรัฐมนตรี Narendra Modi เร่งสร้างงานให้คนในประเทศมากขึ้นเพื่อให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ เพราะอินเดียแม้จะมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ในเอเชียและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-19 ได้ดี แต่ประชากรราว 800 ล้านคนยังพึ่งพาโครงการจัดหาอาหารของรัฐบาลอยู่

อินเดียเป็นประเทศที่อยู่ได้ด้วยการผลิตอาหารภายในประเทศ เป็นผู้ผลิตข้าว ข้าวสาลี และน้ำตาลใหญ่เป็นอันดับ 2 เป็นประเทศที่บริโภคน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดและเป็นผู้ส่งออกน้ำมันสำหรับรับประทานมากที่สุด อินเดียยังเป็นตลาดที่ใช้ทองและเหล็กกล้ามากเป็นอันดับที่ 2 และเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบมากเป็นอันดับ 3 รวมทั้งเป็นประเทศที่มีตลาดการบินภายในประเทศใหญ่มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก

ขณะที่อินเดียมีประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จีนกลับมีประชากรลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี ข้อมูลจาก National Statistics Bureau เผยว่า ประชากรจีนลดลง 850,000 คนในปี 2022 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021

ผบ.ตร.ห่วงใยประชาชน วางมาตรการรักษาความปลอดภัย ดูแลการจราจรช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2566 เตือนประชาชนระวังป้องกันเหตุอัคคีภัย กำชับตำรวจ ห้ามเรียกรับผลประโยชน์อันมิชอบ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรและอาชีพ

เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2566 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึง มาตรการการดูแลความปลอดภัยอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชน ช่วงเทศกาลตรุษจีน ระหว่างวันที่ 20-22 ม.ค.2566 ว่า  

“พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีน ที่คนไทยเชื้อสายจีนจะออกมาจับจ่ายใช้สอย ทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ เดินทางไปเยี่ยมญาติและท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน จากกลุ่มมิจฉาชีพ และอันตรายจากอัคคีภัย รวมทั้งปัญหาการจราจร ผบ.ตร.จึงได้กำหนดมาตรการในการดูแลความปลอดภัยเพื่อป้องกันปราบปรามการก่อเหตุอาชญากรรมรูปแบบต่างๆ และการอำนวยความสะดวกด้านจราจรแก่พี่น้องประชาชน กำชับสายตรวจและฝ่ายสืบสวนเพิ่มความเข้มออกตรวจตราตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เฝ้าระวังคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ ตามตลาดที่จำหน่ายสินค้าเพื่อนำไปประกอบพิธีเซ่นไหว้ และเฝ้าระวังเหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์ตามธนาคาร ร้านทอง ร้านอัญมณี ร้านสะดวกซื้อ โรงทาน สถานที่ที่มีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งกลุ่มมิจฉาชีพที่จะหลอกหลวงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การหลอกหลวงทางออนไลน์ ส่วนประชาชนที่จะเดินทางไปเที่ยว เยี่ยมญาติให้ประชาสัมพันธ์การฝากบ้านไว้กับตำรวจเพื่อความปลอดภัย

19 ม.ค. 66 บันทึกประวัติศาสตร์ ‘รถไฟไทย’ ทางไกลสายเหนือ-ใต้-อีสาน ใช้สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์

เพจโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทย Thailand Infrastructure โพสต์ข้อความระบุว่า มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง!!! หลัง 19 มกราคม 66 12:00 น. หลังเปิดสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์!!! {ย้ายต้นทาง/ปลายทาง รถไฟ 52 ขบวน/ปิด 6 สถานีระดับดิน/รถไฟโดยสารทั้งหมดขึ้นยกระดับ}

19 มกราคม 2566 อีกหนึ่งวันที่จะเป็นวันสำคัญ ที่จะต้องถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ของการพัฒนาระบบรางไทย!!! ที่จะเปิดสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยการย้ายรถไฟทางไกล 52 ขบวน มาเริ่มต้นทางที่สถานีนี้

ซึ่งจะเป็นการยกระดับใหญ่อีกครั้งหนึ่งของการรถไฟ และโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของไทย!!!

แล้ว 19 มกราคม 2566 หลังเที่ยง (12:00 น.) จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง??? มาเตรียมตัวและทำความเข้าใจไปด้วยกันครับ!!!

แน่นอน ว่าเราทราบกันแล้วว่าจะมีรถไฟทางไกล ทั้งหมด 52 ขบวน เข้ามาเริ่มต้น/สิ้นสุด ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ แบ่งตามสายทางได้ดังนี้
- สายเหนือมี 18 ขบวน ได้แก่
3 4 7 8 9 10 13 14 51 52 109 102 105 106
107 108 111 และ 112

รถไฟทางไกลสายใต้ มี 24 ขบวน ได้แก่
31 32 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46
83 84 85 86 167 168 169 170 171 172
173 และ 174

รถไฟทางไกลสายอีสาน มี 24 ขบวน ได้แก่
21 22 23 24 25 26 67 68 71 72 75 76
77 78 133 134 135 136 139 140
141 142 145 และ 146 

*** รถไฟสายเหนือ-อีสาน 'ทั้งหมด'!!! จะขึ้นทางยกระดับร่วมกับรถไฟสายสีแดง 
โดยจอดแค่ สถานีดอนเมือง และ รังสิต เท่านั้น!!!
สถานีระดับดินตั้งแต่ กม.11 ถึง รังสิต จะปิดทั้งหมด!!!
ผู้โดยสารที่มีตั๋ว และจะลงระหว่างทางในสถานีเดิม สามารถใช้ตั๋วโดยสาร ต่อรถไฟไปลงที่สถานีที่ต้องการได้ฟรี!!!
รายละเอียดการใช้ตั๋วโดยสารเดินทางสายสีแดง
https://www.facebook.com/491766874595130/posts/1597488807356259/

ชื่นชมความดี 'จ่าพยาบาล รล.สุโขทัย' สละชีวิตช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเรืออับปาง

พลเรือโท ชลธร  สุวรรณกิตติ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ มอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติ พันจ่าเอก คุณากร จริยศ พันจ่าพยาบาล แผนกพลาธิการ ร.ล.สุโขทัย ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถและเสียสละชีวิต เพื่อช่วยเหลือกำลังพลประจำเรือ เพื่อเป็นการขอบคุณ ในความเสียสละ ความกล้าหาญ และเป็นแบบอย่างที่ดีของทหารเรือเหล่าแพทย์สืบต่อไป 

SMART เปิดแผนปี 66 รับดีมานด์ตลาดวัสดุก่อสร้างฟื้น เดินหน้าขับเคลื่อน ESG มุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

SMART เผยทิศทางธุรกิจปี 2566 ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัว ปัจจัยบวกจากนโยบายก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ กระตุ้นภาคอสังหาฯ ดันดีมานด์ที่อยู่อาศัยเพิ่ม เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ชูกลยุทธ์พัฒนาคุณภาพสินค้าอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่ง Green Innovation ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภค เพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ดีลเลอร์ ออนไลน์ ขยายฐานลูกค้าทั่วประเทศ ตั้งเป้าหมายการเติบโตรายได้ที่ 10%

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง และงานกั้นผนังอาคารเปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องและการปริมาณการใช้ที่มากขึ้น ปัจจัยหนุนจาก นโยบายก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้ธุรกิจภาคเอกชน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เปิดโครงการใหม่ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับทิศทางธุรกิจปี 2566 บริษัทเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ สู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ESG (Environmental, Social, Governance) เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจให้เติบโตก้าวหน้าอย่างมั่นคงยั่งยืน  โดยดำเนินงานด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม และรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มชูกลยุทธ์พัฒนาคุณภาพสินค้าอิฐมวลเบา-อิฐมวลเบาตกแต่ง Green Innovation ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค ไม่ก่อให้เกิดฝุ่น มลภาวะในการก่อสร้าง อาทิ การนำเศษจากการผลิตอิฐมวลเบานำกลับมาใช้ซ้ำ เพื่อผลิตบล็อกตกแต่ง สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้ามากที่สุด อีกทั้ง พัฒนาผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ประหยัดพลังงาน ประหยัดเวลา ลดต้นทุนโดยรวมของงานก่อสร้าง สามารถตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป พร้อมปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับแนวทางเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด สร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานอันถูกสุขลักษณะและปลอดภัย โดยการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการเกิดของเสียอันตรายในระหว่างการผลิต เพื่อให้พนักงานรวมถึงสังคมรอบข้างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 

ถอดรหัสสโลแกนใหม่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ กับนัยยะ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้งไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย’

ยิ่งใกล้ครบวาระรัฐบาล การเมืองไทยยิ่งทวีความเข้มข้น ทุกการเคลื่อนไหวของทุกพรรคการเมืองล้วนถูกจับจ้อง 

เช่นเดียวกับ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ พรรคแกนนำรัฐบาล จากการเลือกตั้งครั้งก่อน แต่ทว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า อาจจะไม่ได้เป็นพรรคแกนนำในการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล นั่นเพราะส.ส.ในสังกัดยังไหลออกไม่หยุด หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เก้าอี้ส.ส.ที่เคยมี คงไม่ได้เท่าเดิม

นั่นจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย พี่ใหญ่ 3 ป. ‘บิ๊กป้อม - พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องทำการบ้านอย่างหนัก หากต้องการนำพรรคกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งให้ได้ 

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา เป็นการประกาศนโยบายแรก ที่สร้างความฮือฮา และ เป็นกระแสให้พูดถึงอย่างมาก กับการประกาศ ‘เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน’ หากได้จัดตั้งรัฐบาล

แน่นอนว่า นโยบายที่ออกมา ถูกใจชาวบ้านในระดับรากหญ้า และกลุ่มเปราะบาง เพราะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ ขณะที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นนโยบายที่สร้างชื่อให้กับพรรคพลังประชารัฐอย่างมาก

ไม่เพียงเท่านั้น ในงานแถลงข่าวเปิดตัวนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจ นั่นคือการชูคำขวัญ หรือ สโลแกนใหม่ของพรรคที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่”

คำขวัญดังว่า อาจจะดูเป็นสโลกแกนธรรมดา แต่หากวิเคราะห์ลึกลงไป จะเห็นนัยยะที่ซ่อนไว้ และจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐและพลเอกประวิตรได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะคำว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ที่พลเอกประวิตร ย้ำเป็นพิเศษ และถือเป็นจุดยืนของพรรค ที่พร้อมจะสานสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ก้าวข้ามความขัดแย้ง และหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ โดยไร้ความขัดแย้ง

“ปัจจุบันสังคมไทยยังคงมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แตกแยกเป็น 2 ขั้ว ผมขอยืนยันจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ อย่างหนักแน่นว่า เราพร้อมจะสานสัมพันธ์กับทุกฝ่ายเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และเพื่อสร้างพลังแห่งความสามัคคี เพื่อนำทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน เพื่อนำประเทศไทย ไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยทุกคน” พล.อ.ประวิตร ประกาศต่อหน้าสื่ออย่างหนักแน่น

'โบวี่' แจงโพสต์ "ไป ตปท. กลับมารักเมืองไทยกว่าเดิม" หลัง 'โซเชียล' ดรามาใส่ "ไม่เคยลำบากหรือเปล่า?"

กลายเป็นประเด็นดรามาบนโลกโซเชียล หลังจากที่นักแสดงสาว โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีข้อความระบุว่า "ไป ตปท. มา เกือบ 1 เดือน กลับมารู้สึก รักเมืองไทยกว่าเดิม #ของดีที่อยู่ใกล้มือ"

งานนี้หลังจากที่เจ้าตัวได้โพสต์ข้อความไปนั้น ปรากฏว่ามีชาวเน็ตได้เข้ามาคอมเมนต์กันอย่างหลากหลาย พร้อมกับตั้งคำถามว่าไม่เคยลำบากหรือเปล่า และบางคอมเมนต์ได้บอกว่าหรืออยู่ที่เมืองไทยมีอภิสิทธิ์เยอะ

ด้านสาว โบวี่ หลังได้อ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ จึงได้เข้ามาชี้แจงใต้โพสต์ดังกล่าวว่า "การรักประเทศไทย ไม่ได้หมายความว่า เราจะหยุดพัฒนาประเทศแต่ยิ่งเรารักประเทศ เราก็ยิ่งอยากจะพัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้น (ตามความสามารถที่เราทำได้) ประเทศไทยเรายังมีส่วนที่พัฒนาได้มากกว่านี้อีกเยอะแต่เสน่ห์ดี ๆ ที่เรามีและน่ารักษาไว้ ก็มีมากมายเช่นกัน"

พร้อมกับบอกเพิ่มเติมว่า "ตัวโบเองก็ไม่ได้เกิดมาสบายนะเคยสมัครเป็น พนักงานเซเว่นแต่เขาไม่รับ มาแล้วเหมือนกันพ่อแม่โบเข้ามาจาก ตจว. อยู่บ้านเช่ารวม ๆ กันกับญาติตอนเด็ก ๆ เห็นพ่อแม่ลำบากดิ้นรน ก็คิดว่าจะทำยังไงดีที่จะช่วยให้ครอบครัวมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้จึง 'พยายาม' พัฒนาตัวเอง พยายามตั้งใจเรียน เพื่อจะได้มีความรู้ความสามารถไปทำงานที่ดี ได้เงินเดือนที่ดีช่วงจบ ม.6 เคยไปสมัครเป็น พนักงานเซเว่น แต่เขาไม่รับเพราะอายุไม่ถึง เลยไปทำงานเป็นพนังงานยืนเฝ้าร้านขายของในห้าง วันนึงได้ประมาณ 250 บาท นั่งรถเมล์ไปทำงาน หลับน้ำลายยืดบนรถเมลล์เพราะรถติดมาก และเราก็เหนื่อยพอเข้ามหาวิทยาลัยได้"

ขสมก. - รฟท.จัดรถ Shuttle Bus ให้บริการฟรี เชื่อม สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ – หัวลำโพง

ขสมก. - รฟท. จัดรถ Shuttle Bus บริการฟรี! เชื่อมต่อสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-หัวลำโพง ตั้งแต่เวลา 04.30-23.00 น.

(19 ม.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ปรับเปลี่ยนสถานีต้นทางปลายทางของขบวนรถไฟทางไกล สายเหนือ ใต้ อีสาน ทั้งขบวนรถด่วนพิเศษ รถด่วน รถเร็ว จำนวน 52 ขบวน มาที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ โดยเริ่มจะจำหน่ายตั๋วโดยสารอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ 19 ม.ค. นี้ เป็นต้นไป

น.ส.รัชดา กล่าวว่า องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ได้จัดเดินรถ Shuttle Bus บริการฟรี เส้นทาง “สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) (ทางด่วน)รองรับการเปิดให้บริการรถไฟทางไกล จำนวน 52 ขบวน ที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค.เป็นต้นไป เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทาง เชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟทั้ง 2 แห่ง

'เพชร' โต้ 'ดู๋-สัญญา' คนดีไม่มีเครื่องวัด!! การจั่วหัวแบบสุภาพ เพื่อปกปิดกมลสันดาน

กลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกทวิตเตอร์ เมื่ออดีตนักแสดงเกรดบี 'กรุณพล เทียนสุวรรณ' หรือ 'เพชร กรุณพล' ออกมาทวิตข้อความเห็นต่างจากดารารุ่นพี่ พิธีกรรุ่นใหญ่ 'ดู๋ - สัญญา คุณากร' ที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ผ่านรายการ 'Thairath Talk Live' โดยทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ได้ทำการตัดต่อเนื้อหารายการดังกล่าว ลงเป็นคลิปสั้นโพสต์โปรโมตบนสังคมโซเชียลมีเดีย โดย THE STATES TIMES ก็ขอถอดเนื้อหาใจความ 'สังคมต้องการคนดีมากกว่าคนเก่ง - ข้อคิดจากดู๋ สัญญา' ดังต่อไปนี้...

"...คุณต้องสร้างคนดี เพราะคนดีเท่านั้นที่จะได้รับการตอบรับต่อทุกงานที่ทำ สมมติว่าคุณอยู่ที่ทำงาน คุณจะสังเกตเห็นคำพูด เฮ้ย คนนี้เป็นคนดี ซึ่งนั่นคือคนที่คุณต้องการอยากทำงานด้วย อยากอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะไอ้นี่มันเก่ง เลยอยากทำงานด้วยกันกับมัน ไม่ มันเก่งแต่เฮงซวย นิสัยไม่ดี คุณต้องการอยู่กับคนดี จริง ๆ มนุษย์ต้องการอยู่กับคนดี แต่คุณกำลังพยายามทำให้ทุกคนเป็นคนเก่ง ถ้าเป็นของ ๆ คุณ แต่ความจริงคนเก่งไม่ได้เป็นที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นเท่ากับคนดี" สัญญา คุณากร กล่าว

จากประเด็นนี้เองทำให้อดีตผู้สมัครจาก 'พรรคก้าวไกล' กลุ่มการเมืองซึ่งมักมีความเห็นแย้งต่อทุกอย่าง โดยเฉพาะกับเรื่องความดีงาม ออกมาทวิตตอบโต้ผ่านบัญชีทวิตเตอร์ส่วนตัว @Petchy66 แทบทันที

"...ขอเห็นต่างกับพี่ดู๋นะครับ คนดีมันไม่มีเครื่องวัดครับ วันนี้ดีพรุ่งนี้เลวก็มีถมไป ดีต่อหน้าลับหลังโคตรชั่วก็ไม่น้อย เราจึงต้องการคนเก่งมาทำงาน มาแก้ปัญหา และมาสร้างวิธีที่สามารถตรวจสอบทั้งคนดีและคนชั่ว ไม่ให้ทุจริต ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนกับคนอื่นครับ"

ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเผยแพร่ข้อความนี้ออกไปก็สะสมยอดเข้าชมมากกว่าสองแสนวิว และยอดรีทวิตเกิน 6,000 ครั้ง พร้อมความคิดเห็นอีกบางส่วน

อันที่จริง ผมก็ไม่มีเจตนาให้เกิดความแตกแยก แค่อยากนำเสนอข่าวที่เป็นจริงเท่านั้น เพียงแต่เมื่อนายกรุณพลได้สื่อสารความคิดเห็นของตนสู่สื่อสาธารณะ ความคิดนั้นก็ย่อมกลายเป็นความคิดเห็นสาธารณะ เพราะฉะนั้นผมก็เลยขออนุญาตเห็นแย้ง (ภาษาพวกคุณก็ "เห็นต่าง" นั่นแหละ) จากคุณเพชรอีกที เป็นข้อ ๆ ไป ตามมารยาทอันควรปรากฏบนพื้นที่สาธารณะ

"...ขอเห็นต่างกับพี่ดู๋นะครับ" (ตอบ) เอาเข้าจริงแล้วประโยคทำนองนี้มันเหมือนกับคำขึ้นต้นจดหมาย ซึ่งคล้ายเป็นมารยาทบังคับ แต่ผมเชื่อว่าคุณเพชรไม่มีสิ่งที่ว่านั้น คำขึ้นต้นทวิตนี้จึงเป็นเพียงเพื่อแสดงความ 'อ่อนแอ' และ 'ขาดกลัว' ต่อบุคคลชื่อ 'สัญญา คุณากร' หรือ 'พี่ดู๋' รุ่นพี่ในวงการของคุณนั่นเอง โดยอาศัยจั่วหัวแบบสุภาพปกปิดกมลสันดาน

"...คนดีมันไม่มีเครื่องวัดครับ" (ตอบ) ความเชื่อเรื่องเครื่องวัดอะไรนี่ คงเกิดจากที่คุณเพชรพาตัวไปเกลือกกลั้วกับสังคม 'โสมมคติ' นานเกินควรนั่นเอง เพราะหากลืมตามองหาผู้รู้สักนิด คุณก็อาจเคยได้ยินว่า "ศีล คือ เครื่องวัดความดีของคน" ที่หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี พระอริยเจ้ากล่าวเทศนาสอนมนุษย์ไว้ และท่านยังอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดถึง "...ผู้ไม่มีศีลนั้น เปรียบอุปมามนุษย์เหมือนกับสัตว์ธรรมดา ถ้ามีศีลจึงเรียกว่า มนุษย์แท้"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top