Tuesday, 13 May 2025
NewsFeed

‘เพื่อไทย’ ไม่ให้ค่า ‘ประยุทธ์’ เปิดตัวกับ รทสช. เหน็บ!! ไม่สำนึกทำปชช. เอือมระอาตลอด 8 ปี

(10 ม.ค. 66) น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เปิดตัวสมัครเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ปัง พรรคใหม่ของพล.อ.ประยุทธ์มีนักการเมืองหลายคนที่เคยเป็น กปปส.เป่านกหวีดเรียกร้องการรัฐประหาร วันนี้ผู้เคยเรียกร้องการรัฐประหารกับหัวหน้าคณะรัฐประหารมาทำงานร่วมกันอีก การเปิดตัวของพล.อ.ประยุทธ์ พรรคเพื่อไทยไม่หวั่นไหว ส่วนตัวไม่ให้ราคา ขอให้มาสู้กันในสนามเลือกตั้งให้พี่น้องประชาชนตัดสิน ทั้งนี้ ตนมีข้อสังเกตดังนี้ 

1. พล.อ.ประยุทธ์กระทำผิดมารยาททางการเมืองอย่างร้ายแรง เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่ไปประกาศเปิดตัวอย่างเอิกเกริก สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดทางการเมือง ไม่มีใครทำเหมือนพล.อ.ประยุทธ์มาก่อน แต่จะคาดหวังจากคนที่เคยยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำที่เป็นกบฏ ก็คงเป็นความคาดหมายที่สูงเกินไป พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ พปชร. มีความสำนึกต่อพี่น้องประชาชนที่เลือก พปชร.หรือไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร นโยบายที่ พปชร.หาเสียงไว้แต่ทำไม่สำเร็จ จะรับผิดชอบอย่างไร 

2. พล.อ.ประยุทธ์มีพฤติกรรมย้อนแย้งจนหยดสุดท้าย เคยบอกว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง แต่คนไทยรู้แล้วว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่อวานประกาศว่าไม่ต้องการอำนาจ แต่กลับมีพฤติกรรมเสพติดอำนาจ อยู่มา 8 ปีและยังกระเสือกกระสนจะอยู่ต่ออีก 2 ปี อ้างว่าเคารพกระบวนการประชาธิปไตย แต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่อำนาจ คือในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน บอกความสงบจบที่ลุงตู่ ตอนนี้เป็นอย่างไร

กาชาดกาฬสินธุ์เชิญชวน 'บริจาคโลหิต' มงคลชีวิต กุศลยิ่งใหญ่ ถวายเจ้าฟ้าหญิง

เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2566 ที่หอประชุมโรงเรียนกมลาไสย อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ นางธนวัน อุ่นเพชรวรากร รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดกาฬสินธุ์ พร้อมคณะกรรมการเหล่ากาชาด นำทีมแพทย์พยาบาล ออกรับบริจาคโลหิตจากข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น พ่อค้าประชาชน เพื่อถวายเป็นพระราชกุลศลแด่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชราชธิดา โดยมี นายเตชิต ทรงบุญศาสตร์ นายอำเภอกลาไสยให้การต้อนรับ

การบริจาคครั้งนี้นอกจากประชาชนยังมีจิตอาสาพระราชทาน มาร่วมบริจาค ประชาชนทุกคนพร้อมใจบริจาคเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ภา ส่วนหนึ่งเพื่อนำโลหิตไปเก็บไว้ในธนาคารเลือดจังหวัดกาฬสินธุ์ ให้ผู้ป่วยได้ใช้ ที่สามารถรับบริจาคได้จำนวน 241 คน จำนวนโลหิต 84,350 ซีซี ทั้งนี้ยังมีประชาชน บริจาคดวงตาและอวัยะ จำนวน 2 ราย 

‘คำสาป-อาถรรพ์’ ของ ‘วังหน้า’ สมัยรัตนโกสินทร์ สู่ปัจฉิมบท ยกเลิก ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’

‘วังหน้า’ หรือ ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ เป็นชื่อสถานที่และตำแหน่งสำคัญของบ้านเมืองจนกระทั่งรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงยกเลิกตำแหน่งสำคัญนี้ เนื่องจากกรณีขัดแย้งและไม่เหมาะสมกับยุคสมัย เป็นเครื่องมือให้ฝรั่งชาตินักล่าอาณานิคมมาใช้ในการครอบงำและวุ่นวายในสยาม แต่กระนั้นเรื่องราวของ ‘วังหน้า’ ก็มีความน่าสนใจ ซึ่งผมจะขอนำมาเล่าสู่กันอ่านและผมขออนุญาตเล่าเรื่องราวเฉพาะ ‘วังหน้า’ ในสมัยรัตนโกสินทร์ดังนี้นะครับ 

“...ของเหล่านี้ กูอุตส่าห์ทำด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา หวังจะอยู่ชมนานๆ ก็ไม่ได้ชม ของใหญ่ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข...” คำสาปแช่งนี้เป็นคำเล่าลือว่าออกมาจากพระโอษฐ์ของ ‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ วังหน้าพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีนัยยะสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ มีพระนามเดิมว่า ‘บุญมา’ ประสูติแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยรับราชการอยู่ใน ‘กรมมหาดเล็ก’ ตำแหน่ง ‘นายสุจินดาหุ้มแพร’ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตก ทรงหนีภัยสงครามไปร่วมทัพกับ ‘สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช’ ร่วมกอบกู้บ้านเมืองจนได้เอกราช พระองค์ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารเอกและมีบารมีมาก แถมเป็นผู้ชักนำพี่ชายของตนคือ “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ซึ่งขณะนั้นเป็นยกกระบัตรเมืองราชบุรี มาเข้าร่วมกองทัพจนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในกาลต่อมาได้ เรียกว่า ‘มีบารมีจนพี่ชายต้องเกรงใจ’

เมื่อได้รับการสถาปนาพระองค์ได้รับพระราชทานที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศเหนือของวัดมหาธาตุ ขึ้นไปจนถึงคูเมือง เพื่อสร้างเป็น ‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ และพระองค์ยังทรงขอพื้นที่บางส่วนของวัดมหาธาตุ มาผนวกเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังอีกด้วย ถ้าเทียบขนาด ‘วังหลวง’ กับ ‘วังหน้า’ ในตอนนั้นต้องบอกว่า ‘ใหญ่’ เกือบจะเท่ากัน แล้วคุณรู้ไหม ? ว่าทำไม ? วังหน้าถึงต้องอยู่หน้าวังหลวง ว่ากันว่าการวางตำแหน่งแบบนี้ยึดตามหลักพิชัยสงครามเมื่อไปออกศึก ที่จะแบ่งเป็นทัพหน้า ทัพหลวง โดยเมื่อข้าศึกมาประชิด ทัพหน้าจะเป็นด่านแรกที่ปะทะดังนั้นบทบาทของผู้ครองวังหน้าจึงยิ่งใหญ่และสำคัญมาก ๆ (เหมาะกับนักรบอย่าง ‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ มาก ๆ ) 

‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ ทรงสร้าง ‘พระบวรราชวัง’ นี้อย่างยิ่งใหญ่และประณีตบรรจง ด้วยหวังจะได้ทรงอยู่อย่างเป็นสุขในบั้นปลายพระชนม์ชีพ แต่หลังจากดำรงพระยศกรมพระราชวังบวรฯ ได้ 21 ปี ก็ด้วยประชวรพระโรคนิ่ว เล่ากันว่าทรงทั้งห่วงและหวงพระบวรราชวังที่โปรดเกล้า ฯ ให้สร้าง เล่ากันว่าในวันที่พระองค์ ทรงใกล้จะเสด็จสวรรคต ทรงใคร่อยากชมพระราชวังบวรฯ ให้สบายพระทัย จึงโปรดให้เชิญพระองค์ขึ้นเสลี่ยงบรรทมพิงพระเขนย เชิญเสด็จรอบพระราชมณเฑียร และได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานต่อรัชกาลที่ 1 ให้พระโอรสธิดาของพระองค์ได้ประทับอยู่ในวังหน้าต่อไป แต่ไม่ทราบคำขอนั้นเป็นอย่างไร จึงได้เกิดคำสาปแช่งที่เป็นเรื่องเล่าตามที่ผมได้กล่าวไว้ในข้างต้น 

‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ สวรรคตขณะพระชนมายุ 60 พรรษา ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช’ รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้า ฯ ตั้ง ‘สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร’ (กาลต่อมาคือ ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย’) พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระองค์ที่สอง

ครั้งนั้น ‘เจ้าคุณจอมแว่น พระสนมเอก’ ได้กราบฯ ทูลขอให้เชิญเสด็จฯ กรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ไปประทับ ณ พระบวรราชวังแทน แต่รัชกาลที่ 1 ไม่ทรงเห็นด้วย อาจเพราะทรงรำลึกถึงคำสาปแช่ง จึงมีพระราชดำรัสว่า “ไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขา เขาแช่งเขาชักไว้เป็นหนักเป็นหนา” จึงโปรดเกล้า ให้ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิม จนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์เป็นกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์เดียวที่ไม่ได้เสด็จฯประทับอยู่ที่วังหน้า และเป็นเพียงพระองค์เดียวอีกเช่นกันที่ได้สืบราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์คือ ‘พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย’ รัชกาลที่ 2 

‘พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย’ รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ‘สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์’ เป็น ‘กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์’ และทรงมีพระราชดำริว่าควรย้ายไปประทับที่พระราชวังบวรสถานมงคล ด้วยเป็นพระราชวังสำหรับพระมหาอุปราช ซึ่งในช่วงรัชกาลที่ 2 นี้ บรรยากาศและสภาพการณ์ต่างๆ ระหว่าง ‘วังหลวง’ และ ‘วังหน้า’ เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะทั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ 2 และ วังหน้าพระองค์นี้ ทรงสนิทกันมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ วังหน้าเองก็เสด็จฯ เข้าวังหลวง เพื่อทรงปฏิบัติข้อราชการและเข้าเฝ้าฯ ไม่ได้ขาด ‘กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์’ ดำรงพระยศอยู่ 8 ปี ก็สวรรคตในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2360 โดยมีพระชนมายุเพียง 44 พรรษา รัชกาลที่ 2 ไม่ทรงสถาปนาผู้ใดขึ้นมาดำรงตำแหน่งนี้ในรัชสมัยของพระองค์อีก

‘พระราชวังบวรสถานมงคล’ ว่างเว้นเจ้าของมา 7 ปี กระทั่ง ‘พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 3 ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2367 จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ‘กรมหมื่นศักดิพลเสพ’ (พระองค์เจ้าอรุโณทัย) พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 และมีศักดิ์เป็นสมเด็จอา (เป็นอารุ่นเล็กที่อายุพอ ๆ กัน) บวรราชาภิเษกเป็น ‘สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ’ ครองวังหน้าต่อ สำหรับคำสาปแช่งที่หวาดกลัวกันนั้น น่าจะไม่เป็นปัญหาต่อกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์นี้ ด้วยพระองค์ทรงอภิเษกกับ ‘พระองค์เจ้าดาราวดี’ พระราชธิดาใน ‘กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท’ ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย แต่กระนั้นก็ทรงอยู่ในตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้เพียง 8 ปี ก็เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้เพียง 47 พรรษา และมิได้มีพระราชวงศ์พระองค์ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ จนสิ้นรัชกาลที่ 3 

‘สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ’ ได้ทรงซ่อมแซมพระวิมานทั้ง 3 หลัง โดยมีการถือปูนเสริมไม้และทรงสร้างพระที่นั่งเป็นท้องพระโรงใหม่อีก 1 องค์ ถ่ายแบบอย่างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง ทรงขนานนามว่า ‘พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย’ ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นที่จัดแสดงของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร 

ครั้นในรัชสมัย ‘พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว’ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช ‘เจ้าฟ้าจุฑามณีกรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ เป็น ‘วังหน้า’ แต่แตกต่างด้วยการแก้เคล็ดก่อนตั้งด้วยว่า ‘กรมขุนอิศเรศรังสรรค์’ มี ‘พระชะตากล้า’ จึงโปรดเกล้า ฯ ให้เฉลิมพระเกียรติยศเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งและมี ‘พระราชพิธีบวรราชาภิเษก’ ขึ้นเป็น ‘พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว’  (ซึ่งผมจะนำมาเล่าแยกในบทความลำดับต่อ ๆ ไปนะครับ) 

'อนาคตเด็ก อนาคตประเทศไทย' ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดหนักจัดเต็ม 'เปิดงานสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติ' เน้นกิจกรรมให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชน ซึ่งจะเป็นอนาคตของชาติ ระหว่างวันที่ 10 - 14 มกราคม นี้

(10 ม.ค. 66) นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานเปิดงานสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติ ภายใต้แนวคิด 'อนาคตเด็ก อนาคตประเทศไทย' โดยกล่าวถึงการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ว่า เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญและความต้องการของเด็ก รวมถึงให้เด็ก ๆ ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของตน เกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ที่มีต่อตนเองและสังคม โดยปลูกฝังให้เด็กมีส่วนร่วมในสังคม พัฒนาตนเองรอบด้านและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับวัยให้มีความพร้อมในศตวรรษที่ 21 เตรียมความพร้อมเพื่อเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ทั้งนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) กำหนดจัดงานสัปดาห์วันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด 'อนาคตเด็ก อนาคตประเทศไทย' ระหว่างวันที่ 10 - 14 มกราคม 2566 โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ 

- การเสวนา หัวข้อ 'เด็กไทยยุคใหม่ ตระหนักภัยออนไลน์' โดยมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย โครงการฮัก ประเทศไทย และสภาเด็กและเยาวชน

สุโขทัย-อบจ.จัดแถลงข่าวงานวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย

วันที่ 10 มกราคม 2566 ที่บริเวณลานพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดงานแถลงข่าวการจัดงานวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2566 ซึ่งจัดระหว่างวันที่ 17 – 19 มกราคม 2563 

โดยมีนายสุชาติ ทีคะสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย ดร.มนู พุกประเสริฐ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุโขทัย พล.ต.ต.อมรศักดิ์ เกษมก์สิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุโขทัย ผศ.เกษร เอมโอด ผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย นางธาดา สังข์ทอง ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดยมี หัวหน้าส่วนราชการ และสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวเป็นจำนวนมาก

สำหรับในปีนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ กิจกรรมเทิดพระเกียรติพ่อขุนรามคำแหงมหาราช กิจกรรมลูกหลานสุโขทัยกราบไหว้พ่อขุน การประกวดลูกหลานพ่อขุน การแสดงหมากรุกคน การแสดงแสง-เสียง ชุด “อานุภาพพ่อขุนรามคำแหงมหาราช” การแสดงมหรสพชุดพิเศษ พบกับ น้าโย่ง น้าพวง น้านงค์ จากรายการคุณพระช่วย การแสดงโขนรามเกียรติ์ ตอนศึกแสงอาทิตย์ อินทรชิตแผลงศรพรหมมาสตร์ โดย วิทยาลัยนาฏศิลปสุโขทัย การแสดงลิเก เรื่อง ขโมยที่รัก จากคณะน้องจอย และรวมดาวศิษย์นาฏศิลปะสุโขทัย และชิมช็อบ ตลาดโบราณ อุดหนุนสินค้า OTOP สินค้าสหกรณ์ 4 ภาค 

ทั้งนี้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 ในราชวงศ์พระร่วงแห่งราชอาณาจักรสุโขทัย เสวยราชย์ประมาณปี พ.ศ.1822 ถึงประมาณปี พ.ศ.1841 พระองค์ทรงรวบรวมอาณาจักรไทยจนเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง และได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้น ทำให้ชาติไทยได้สะสมความรู้ทางศิลปวัฒนธรรม และวิชาการต่างๆ สืบทอดกันมากว่า 700 ปี และ เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2376 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงค้นพบแท่นศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแห่งมหาราชที่เนินปราสาท จ.สุโขทัย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อชาวไทยนานัปการ ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้ว่า “ถ้าไม่มีสุโขทัย คงไม่มีประเทศไทยจนทุกวันนี้”

ย้อนอดีต!! จุดเริ่มต้นโครงการอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก 'องค์ภาฯ' ขอพระราชทานคำแนะนำช่วยชาวประชาจาก 'ทูลหม่อมปู่'

ในค่ำของวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2538 ไม่มีใครคาดคิดว่า 'พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา' #จะเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ ไปเฝ้าฯ 'ทูลหม่อมปู่' พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทานคำแนะนำและพระบรมราโชบายเกี่ยวกับเรื่องน้ำท่วมและการป้องกัน รวมทั้งขอพระราชทานคำปรึกษาเรื่องการปฏิบัติพระองค์และการพูดคุยกับราษฎรที่กำลังอยู่ในภาวะเครียด

อันเนื่องมาจาก 'องค์ภาฯ' ทรงตัดสินพระทัยว่าจะเสด็จไปเยี่ยมราษฎรริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา #ที่ประสบภัยน้ำท่วม ด้วยพระองค์เอง โดยเฉพาะในเขตธนบุรี เขตคลองสาน และเขตบางพลัด เป็นระยะเวลาถึง 2 เดือน จากเหตุฝนตกหนักด้วยอิทธิพลของพายุโอลิส ตั้งแต่เดือนกันยายนปี พ.ศ. 2538 

ดังนั้น ในวันต่อมา (วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2538) ในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ 'พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยา' #เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปทรงเยี่ยมราษฎรที่ประสบภัยน้ำท่วม โดยพระองค์ทรงออกไปรับน้ำใจของประชาชนที่ไม่ถูกน้ำท่วม แล้วนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแบบ #เพื่อนพึ่งพาซึ่งกันและกัน

นักท่องเที่ยวติดใจรสชาติ ‘น้ำมะพร้าวไทย’ ยกให้เป็นเบอร์ 1 เมื่อเทียบ 'อินโดฯ-เวียดนาม'

นักท่องเที่ยวต่างชาติรายหนึ่ง ยกนิ้วให้น้ำมะพร้าวจากประเทศไทย พร้อมยกให้เป็นนัมเบอร์วัน เมื่อเทียบกับอีกสองชาติเพื่อนบ้านเรา เพราะด้วยความหอมหวาน ลูกมะพร้าวสวยงาม และกินเนื้อมะพร้าวได้ง่าย

ของกินในเมืองไทย ถูกเลือกให้ติดอันดับโลกในหลาย ๆ ครั้ง ทั้งอาหารคาว-หวาน รวมถึงผลไม้ ที่มีเสียงชื่นชมจากนักท่องเที่ยวหลายคนที่เดินทางมาลองชิมที่เมืองไทย ล่าสุดนี้ ผู้ใช้ Tiktok รายหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า @dineandwander ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติท่านหนึ่ง ได้โพสคลิปที่เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และประเทศไทย โดยในแต่ละประเทศ เธอได้ทดลองชิมน้ำมะพร้าวจากลูกมะพร้าว และได้รีวิวให้คะแนนน้ำมะพร้าวจากชาติต่าง ๆ ดังนี้

อินโดนีเซีย - ให้ 5/10 คะแนน โดยมีรูปลักษณ์ภายนอกสวยงาม แต่ด้านในน้ำมะพร้าวมีรสเปรี้ยว

เวียดนาม - ให้ 8/10 คะแนน ลูกมะพร้าวด้านนอกไม่สวย แต่ด้านในน้ำมะพร้าวอร่อยและสดชื่น

ไทย - ให้ 10/10 คะแนน ลูกมะพร้าวสวยงาม มีความหอมหวานรสกลมกล่อม แถมเนื้อมะพร้าวใช้ช้อนตักมากินได้ง่าย

รู้จัก 'เบิร์ดปากแดง' สุดยอดหนุ่มใจบุญ ซ่อมจักรยานมือสองแจกเด็กใน 'วันเด็ก' ทุกปี

'เบิร์ดปากแดง' หนุ่มอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ใจบุญขี่รถพ่วงข้างเก็บขยะของเก่าขายมากว่า 20 ปี ไปพร้อม ๆ กับซ่อมจักรยานมือสองให้กับเด็ก ๆ ที่ยากจนและขาดแคลนและร่วมส่งมอบให้เด็กนักเรียนในวันเด็กแห่งชาติทุกปี

นายเสกสรร มากศรทรง หรือ เบิร์ดปากแดง อายุ 35 ปี เป็นชาวบ้านคลองคล้า หมู่ 11 ตำบลมะต้อง อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก มีอาชีพรับซื้อของเก่ามากว่า 20 ปี ซึ่งเป็นอาชีพของครอบครัวที่ออกไปรับซื้อของเก่าตามบ้านเรือนประชาชนแล้วนำมาขายต่อ

'เบิร์ดปากแดง' ชายหนุ่มที่มีเอกลักษณ์ปากจะแดง เนื่องจากใช้ครีมทาหน้ายี่ห้อหนึ่งตั้งแต่วัยรุ่น ส่งผลให้ปากแดงตลอดเวลา แต่ที่เป็นรู้จักกันดีเนื่องจาก ‘เบิร์ดปากแดง’ จะรับซื้อของเก่าในช่วงกลางวันนำไปขาย นำเงินส่วนหนึ่งมาซ่อมจักรยานเก่า ๆ ในช่วงกลางคืนเพื่อนำจักรยานไปมอบให้แก่เด็ก ๆ ที่ยากจน ไม่มีจักรยานใช้และต้องการจักรยานไปใช้ในชีวิตประจำวันและช่วงวันเด็ก เบิร์ดปากแดงจะนำจักรยานที่ซ่อมไปมอบให้แก่เด็กตามโรงเรียนต่าง ๆ จนเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของอำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก อย่างมาก

สวนเบญจกิติ สยบดรามา 'น้ำเน่า-หญ้าแห้ง' ชี้!! หน้าแล้งหญ้าแห้งตายเป็นเรื่องปกติ

(11 ม.ค. 66) เพจ 'สวนเบญจกิติ' ได้โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีหญ้าแห้งตายไว้ว่า...

Season Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

ช่วงนี้มีประเด็นที่ร้อนมาก ๆ เกี่ยวกับสวนเบญจกิติ จึงอยากมาชี้แจงเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันสักนิด ขออนุญาตเจ้าของภาพ แอดอยากสื่อสารให้ชัดเจนจึงขอนำภาพของท่านมาประกอบ

ในภาพเราจะเห็นว่าในแต่ละเกาะที่ปลูกหญ้ามีทั้งหญ้าที่งอกอยู่ และที่แห้งตายไป นั่นเป็นเพราะหญ้าที่ปลูกบนเกาะเป็นหญ้ารูซี่ ใครที่เลี้ยงสัตว์เคี้ยวเอื้องน่าจะรู้จักกัน เพราะเป็นหญ้าที่มีอายุหลายปี ต้นกึ่งเลื้อยกึ่งตั้ง สามารถเจริญเติบโตในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำได้ ขึ้นได้ดีในพื้นที่ดอน ดินมีการระบายน้ำดี ทนแล้งพอสมควร ทนต่อการเหยียบย่ำของสัตว์ ไม่ทนน้ำท่วมขัง นิยมปลูกเพื่อเลี้ยงสัตว์ดังกล่าว ซึ่งในสภาพปลูกในสวนเราไม่มีการเก็บเกี่ยว เราปล่อยให้น้องออกดอกติดเมล็ดเพื่อเป็นอาหารของนก เมื่อหญ้าติดเมล็ดต้นก็จะโทรมและตายไป ปล่อยเมล็ดที่ร่วงหล่นได้งอกขึ้นมาใหม่ตามวัฎจักรของธรรมชาติ

‘กรณ์’ นำทีม ‘ชาติพัฒนากล้า’ ล่องใต้ เปิดที่ทำการพรรค ‘ภูเก็ต - ชุมพร’ เตรียมเลือกตั้ง

‘กรณ์ จาติกวณิช’ นำทัพ ‘ชาติพัฒนากล้า’ ลงใต้ เปิดที่ทำการพรรคจังหวัดภูเก็ต - ชุมพร เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

เปิดปีใหม่ ก็ลุยเปิดตัวแทนเขตเลย นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นำทัพลงใต้ เปิดตัวแทนเขตและที่ทำการ ณ จังหวัดภูเก็ต โดยมี 2 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภูเก็ต เทมส์ ไกรทัศน์ อรทัย เกิดทรัพย์ และ จังหวัดชุมพร มีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร ลิขิต ศรีชาติ เข้าร่วมการประชุมจัดตั้งตัวแทนเขตในครั้งนี้ด้วย 

เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2566 นายกรณ์ พร้อมด้วยทีมงาน ได้ร่วมเปิดที่ทำการและจัดตั้งตัวแทนพรรคชาติพัฒนากล้า เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ณ โรงแรม ตูร์ เดอ ภูเก็ต โดยมี อรทัย เกิดทรัพย์, เทมส์ ไกรทัศน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดภูเก็ต มาร่วมกันจัดประชุมจัดตั้งตัวแทน พร้อมกับรับฟังปัญหาและความคิดเห็นของสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้าในพื้นที่ด้วย 

สำหรับโดยที่ทำการตั้งอยู่ ณ เลขที่ 237/10 หมู่ 3 ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 83110


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top