Wednesday, 14 May 2025
NewsFeed

คนไทยในสวิตฯ แชร์!! น้ำพระราชหฤทัยในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงส่งเครื่องรับกลับสยาม แบบไม่ต้องให้จ่ายเงินสักบาท

น่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่อง ที่คนไทยน้อยคนนักจะทราบว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 ของเราได้ทรงช่วยเหลือราษฎรของพระองค์ที่ต้องการกลับสู่แผ่นดินสยาม เพื่อหลีกหนีจากการแพร่ระบาดอย่างหนักของเชื้อโควิด-19 ในแถบประเทศยุโรปอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ออกตัว จนกว่าจะรู้อีกทีก็ได้ลัดฟ้าคืนสู่รั้วสยามประเทศอย่างปลอดภัย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้ใช้ TikTok ในชื่อ Geniusgirl ได้เผยประสบการณ์ของคนไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และเล่าถึงเหตุการณ์สุดประทับใจจากน้ำพระราชหฤทัยของในหลวงรัชกาลที่ 10 ว่า...

ชาติเดียวในโลก #Thailand Only

ยังจำได้มั้ย? เครื่องบินพระราชทาน รับคนไทยในต่างแดนกลับบ้าน ในช่วง #โควิดระบาดทั่วโลก

รัฐบาล #ลุงตู่ พาคนไทยนับแสน กลับ #บ้านเกิดเมืองนอน อย่างปลอดภัย แล้ว....กลับมา #กักตัว #รักษา ฟรี!!!

บินมาประเทศไทย เพื่อย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทยเมื่อ 13 สิงหาคม 2020 ที่บินมาด้วยเครื่องบินฟรี

เป็นเที่ยวบินที่ 'พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว' ส่งไปรับคนไทยที่อยู่ยุโรปกลับมา และไม่เคยมีใครบอก

จนกำลังจะขึ้นเครื่อง...

ประสานงานกับเจ้าหน้าที่สถานทูตที่โน่น (สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น สวิตเซอร์แลนด์)

คือจำได้ไม่เคยลืม เพราะมันกลับมายากมาก ตอนนั้นมันเริ่มมีโควิดใช่มั้ยคะ

เจ้าหน้าที่บอกแค่ "ให้เตรียมเงินสดมาจ่ายที่เคาน์เตอร์สนามบินซูริก"

ไปถึงสนามบินซูริก กว่าจะเข้าเรื่องกันนานมากนะฮะ เราก็ถาม คืออยากรู้ว่า "ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่" เพราะตอนนั้นทุกอย่างแพงหมดเลย

เรามากัน 4 คนนะ ลูกเทวี...ถูกต้องถือสัญชาติไทยด้วย ถือสัญชาติสวิสด้วย แต่สามีเทวี สวิส 100% พาสปอร์ตเป็นสวิส 100% คือเป็นฝรั่ง 100% น่ะ

เจ้าหน้าที่สถานทูตบอกว่า....

‘พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ ทรงอนุญาตให้พวกเราบินฟรีด้วยกันได้ คือคนไทยที่มีครอบครัวอยู่ต่างประเทศ รวมถึงครอบครัวของเรา

ก็คือฝรั่งที่เป็นสามีบินฟรีกลับมาด้วย

แค่นั้นไม่พอนะคะ มันซาบซึ้งใจมาก คือไม่เคยมีใครมาบอกป่าวประกาศโป้งๆๆๆๆ

และพอมา กลับมาถึงเมืองไทย โดนกักตัวนะคะ

ขอโทษ...เทวีและลูกชาย 2 คน ได้ห้องพักที่โรงแรมที่พัทยา 3 ห้อง ที่เป็นห้องสตูดิโอ มีห้องนอน 2 ห้อง ห้องนั่งเล่น 1 ห้อง ทุกอย่างฟรีหมด

โรงแรมอย่างดี ข้าวฟรีทุกมื้อ จะจ่ายเงิน เขาก็ไม่ให้จ่าย แต่คุณสามีเทวี ไปอยู่โรงแรมห้องเล็กๆ

ต้องจ่ายเงินเอง เพราะเขาไม่ใช่คนไทย

"มัน..มัน...ปลื้มใจมาก"

ไม่ได้จ่ายตังค์สักบาท เรามีตังค์ เราอยากจ่ายตังค์ เขาบอกไม่เป็นไร เราเป็นคนไทย

'แจ็ค หม่า' มาไทย!! แวะชิมอาหารไทย ‘ร้านเจ๊ไฝ’ พร้อมเปรียบมวย ‘บัวขาว’ ที่ราชดำเนิน

‘แจ๊ค หม่า’ มาประเทศไทยอีกครั้งช่วงปีใหม่ พร้อมถ่ายรูปคู่ ‘เจ๊ไฝ’ และไปชมมวยที่ราชดำเนิน ก่อนทำท่าออกหมดเปรียบมวยกับ ‘บัวขาว’ เป็นที่ฮือฮาแก่ผู้พบเห็น 

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ มีคนดังจากต่างแดนมาเยือนเมืองไทยกันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ‘แจ๊ค หม่า’ มหาเศรษฐีชื่อดังชาวจีน ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง โดยมีภาพปรากฏว่าได้เดินทางไปที่ ร้านเจ๊ไฝ ร้านอาหารชื่อดังระดับมิชลินของไทยพร้อมถ่ายรูปคู่กับ ‘เจ๊ไฝ’ เจ้าของร้าน

ขณะที่เจ๊ไฝได้โพสต์ภาพของแจ๊ค หม่า พร้อมด้วย สุภกิต และมาริษา เจียรวนนท์ พร้อมแคปชั่นว่า “มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ต้อนรับคุณและครอบครัวที่ร้านเจ๊ไฝ”

นอกจากนี้สื่อ lifestyleasia ได้ระบุว่า แจ๊ค หม่า ได้เข้าไปชมมวยไทยที่สนามมวยราชดำเนินในโซนวีไอพี รวมถึงได้เจอกับ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ นักชกมวยไทยชื่อดังระดับโลก โดยแจ๊ค หม่า ได้ตั้งท่าออกหมัดเปรียบมวยกับบัวขาว จนเป็นที่ฮือฮาของผู้พบเห็น 

ตรวจสอบได้!! เปิดงบดนตรีในสวนยุค 'ชัชชาติ' 52 ครั้ง เกือบ 9 ล้าน จ้าง 'อินฟลูฯ-ซื้อสื่อ' 8 หมื่น

เผยงบจัดงานดนตรีในสวน กทม.ยุคชัชชาติ 52 ครั้ง 8.9 ล้าน จ้างวงดนตรี 4 วง 1 แสน แสงสีเสียง 4 หมื่น เช่าเครื่องปั่นไฟ 2 เครื่อง 3 หมื่น ซื้อสื่อออนไลน์-จ้างอินฟลูเอนเซอร์ 4 ครั้ง 8 หมื่น จ้างผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน 4.5 หมื่น พบโยงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 

(7 ม.ค.66) จากกรณีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการเดินเรือคลองผดุงกรุงเกษมซึ่งได้หยุดเดินเรือไปก่อนหน้านี้ ในการแถลงข่าวที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ที่ผ่านมามีผู้โดยสารน้อยมาก แต่ค่าจ้างเดินเรือยังมีอยู่ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2.4 ล้านบาทต่อเดือน มีผู้ใช้บริการเพียง14,000 คนต่อเดือน ค่าบริการต่อคนค่อนข้างสูงมาก ประมาณ 171 บาทต่อคน จะมีการพิจารณาว่าจะทำต่อไหม ถ้าทำต่อจะคุ้มค่าไหม หรือเอาเงินที่จ่ายไปทำอย่างอื่นที่คุ้มค่ากว่านี้ อาจเป็นรูปแบบใหม่ที่กระตุ้นให้คนใช้บริการมากขึ้น เช่น Shuttle Bus หรือทำเรื่องท่องเที่ยว

เรื่องดังกล่าวเรียกเสียงวิจารณ์จากโลกโซเชียลฯ เหราะเห็นว่าการเดินเรือคลองผดุงกรุงเกษมของอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนก่อนทำไว้ดีอยู่แล้วกลับยกเลิก ขณะเดียวกัน ยังหยิบยกกรณีที่กรุงเทพมหานครเพิ่มงบโครงการสัมมนาพาคนไปเที่ยวในหลายสำนักงานเขต มีถึง 72 โครงการ ใน 26 เขต รวมวงเงินสูงกว่า 111 ล้านบาท ที่มีผู้ร้องเรียนต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก่อนหน้านี้ ภายหลังนายชัชชาติอ้างว่าทำต่อ แต่ต้องประเมินสถานการณ์ เพราะค่าใช้จ่ายต่อหัวแพงมาก จึงต้องประเมินทางเลือกอื่นที่ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลง

ล่าสุดเฟซบุ๊กเพจ ‘ซึ่งต้องพิสูจน์’ โพสต์ข้อความระบุว่า "เปิดเอกสาร งบจัดงานดนตรีในสวน กทม.ยุคชัชชาติ 52 ครั้ง8.9 ล้าน เป็นค่าออกแแบบ จัดทำเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ทางสังคมออนไลน์ เช่น ทีวีออนไลน์ หนังสือพิมพ์ออนไลน์เว็บ อินฟลูเอนเซอร์ ไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง 8 หมื่นบาท นอกจากนี้ ยังมีค่าตอบแทนวงดนตรี 100,000 จำนวน 52 ครั้ง5.2 ล้าน ค่าตอบแทนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 3 ท่าน ท่านละ 15,000 บาท 3 ท่าน 45,000 บาท ค่าอุปกรณ์ จัดการแสดงไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง 40,000 บาท จำนวน 52 ครั้ง 2 ล้าน" พร้อมแนบ http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER9/DRAWER020/GENERAL/DATA0004/00004427.PDF

เมื่อผู้สื่อข่าวพิจารณาเอกสาร พบว่า ระบุชื่อโครงการ ‘ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมดนตรีในสวนกรุงเทพมหานคร’ หน่วยงานที่รับผิดชอบ กองการสังคีต สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ปีงบประมาณ 2566 โดยพบว่าค่าใช้จ่ายในการจ้างเหมาจัดกิจกรรมดนตรีในสวนกรุงเทพมหานคร จำนวนเงิน 8,965,000 บาท จำนวน 52 ครั้ง ประกอบด้วย

1. ค่าออกแบบ จัดทำ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ กิจกรรมสู่กลุ่มเป้าหมายทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ทีวีออนไลน์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เว็บไซต์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น ที่ได้รับความนิยม หรือมีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 500,000 คนจำนวนไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง (20,000 บาท x 4 ครั้ง) รวม 80,000 บาท

2. ค่าตอบแทนวงดนตรี เช่น วงสตริงคอมโบ้ วงแจ๊ซ วงบราสควินเต็ท วงเครื่องสาย วงออร์เคสตรา วงซิมโฟนิกแบนด์วงวนด์อองซอมเบิล วงสตริงอองซอมเบิล หรือวงดนตรีที่เหมาะสม จำนวนไม่น้อยกว่า 4 วงต่อครั้ง จำนวน 52 ครั้ง(100,000 บาท x 52 ครั้ง) รวม 5,200,000 บาท

3. ค่าตอบแทนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน (15,000 บาท x 3 ท่าน) รวม 45,000 บาท

4. ค่าจัดหาระบบแสงพร้อมอุปกรณ์ไฟแอลอีดี ไฟซูเปอร์สแกน ไฟส่องสว่าง โครงสร้างสำหรับติดตั้งไฟ สายเมนไฟเครื่องควบคุมและเครื่องสำรองไฟฉุกเฉินให้เพียงพอกับการใช้งานในสถานที่แสดงและบรรยากาศโดยรอบ จำนวน52 ครั้ง โดยจะต้องติดตั้งและทดสอบให้เสร็จก่อนการจัดแสดงไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง (40,000 บาท x 52 ครั้ง) รวม2,080,000 บาท

5. ค่าจัดหาเครื่องปั่นไฟ ขนาด 100 เควีเอ จำนวนไม่น้อยกว่า 2 เครื่อง พร้อมน้ำมันให้เพียงพอสำหรับการจัดการแสดง และการซ้อมก่อนการแสดง จำนวน 52 ครั้ง (30,000 บาท x 52 ครั้ง) รวม 1,560,000 บาท

สำหรับหลักการและเหตุผล ระบุว่า นโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) 9 มิติ ที่ต้องการให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน มุ่งเน้นให้คนกรุงเทพฯ มีชีวิตที่มีความปลอดภัย เป็นสุข สุขภาพกายใจดี ได้แก่ ปลอดภัยดี เดินทางดี สุขภาพดี สร้างสรรค์ดี สิ่งแวดล้อมดี โครงสร้างดี บริหารจัดการดี เรียนดี และเศรษฐกิจดี และโดยเฉพาะด้านสร้างสรรค์ดี มีนโยบายในการเปิดพื้นที่ในสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร สร้างความสุขให้กับประชาชนได้รับความสุนทรีย์จากการชมการแสดงดนตรี

กองการสังคีต สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว พิจารณาเห็นว่าการนำกิจกรรมดนตรีในสวนมาเป็นสื่อสร้างความสุขในวันหยุดของคนเมือง พร้อมเปิดให้ชมฟรี ร่วมสร้างบรรยากาศและเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวซึ่งกิจกรรมดนตรีในสวนเป็นหนึ่งในนโยบาย 214 ข้อด้านสร้างสรรค์ดี คือ กรุงเทพฯ พื้นที่แห่งดนตรีและศิลปะการแสดง เป็นส่วนหนึ่งของการบริการสังคมของกรุงเทพมหานคร ที่ประชาชนจะได้เข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายในสวนอันร่มรื่น ได้ชมดนตรีในบรรยากาศที่อบอุ่นในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยไม่ต้องเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจร่าเริงและชื่นชอบในดนตรี เป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้น

‘ศาลฎีกา’ สั่ง ‘อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์’ พ้น ส.ส.เพื่อไทย พร้อมเพิกถอนสิทธิ์สมัคร ส.ส. ตลอดชีวิต ปมรับเงิน 5 ล้าน

เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.66) ‘ศาลฏีกา’ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีสำคัญ ซึ่งมีนักการเมืองที่กำลังเตรียมลงทำศึก ‘เลือกตั้ง66’ ติดบ่วงรอฟังคำตัดสินคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องต่อศาลว่า ‘นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์’ ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีการเรียกรับเงินจำนวน 5 ล้านบาท จาก ‘นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์’ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ
.
‘ศาลฎีกา’ มีคำพิพากษาว่านายอนุรักษ์ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยให้พ้นจากตำแหน่งส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ ให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ และเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี   

.

'บิ๊กตู่' หนุน 6 โครงการลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ดูแล 'เด็ก-เยาวชน' ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อวันที่ 7 ม.ค.66 น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้ความสำคัญกับพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นอกจากการดูแลสวัสดิการในทุกช่วงวัยแล้ว ยังมุ่งให้เด็กและเยาวชน ได้รับการศึกษาที่ดีมีมาตรฐาน ได้รับโอกาสทั่วถึง เท่าเทียมและทันสมัยก้าวทันความเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วยปัตตานี นราธิวาส และยะลา ที่มีรายงานของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าภาคใต้เป็นภูมิภาคที่มีอัตราส่วนเด็กยากจนที่ขัดสนด้านการเรียนรู้ ในช่วงอายุ 5-17 ปี มากที่สุดร้อยละ 7.21 พล.อ.ประยุทธ์จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา ผ่านกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ กสศ. ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วใน 6 โครงการ ดังนี้

1. หลักประกันการเข้าถึงโอกาสการศึกษา เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ให้สามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและคงอยู่ในระบบการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนจบการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) โดยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ มีจำนวนนักเรียนทุนเสมอภาค จำนวน 123,309 คน

2. โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาสายอาชีพที่สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความต้องการแรงงานฝีมือใน 10 สาขาวิชาหลัก ที่เป็นเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ สร้างโอกาสทางการศึกษาให้แก่เยาวชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์หรือด้อยโอกาสในพื้นที่ให้เข้าถึงการศึกษาสายอาชีพในระดับระกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือ ปวช. และ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือปวส. จำนวน 521 คน 

3. โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น สร้างโอกาสให้แก่เยาวชนยากจนหรือด้อยโอกาสที่มีศักยภาพสูงและมีใจรักอยากเป็นครู ได้ศึกษาจนสำเร็จระดับปริญญาตรีในคณะครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ และได้รับการบรรจุเป็นครูรุ่นใหม่ในโรงเรียนพื้นที่ห่างไกลซึ่งเป็นชุมชนบ้านเกิด ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ไม่อาจยุบหรือควบรวมได้ (Protected School) ในสังกัด สพฐ. ปัจจุบันมีนักศึกษาครูรักษ์ถิ่นรวม 3 รุ่น (ปีการศึกษา 2563-2564-2565) ที่เมื่อจบการศึกษาจะได้รับการบรรจุจำนวน 156 คน ในโรงเรียนปลายทาง 137 แห่ง 

'พิธา' เปิดตัว 'หมิว สิริลภัส' ว่าที่ผู้สมัครส.ส. บางกะปิ พร้อมตั้งเป้า!! เลือกตั้งหนนี้ กรุงเทพฯ เป็นสีส้มทุกพื้นที่

(7 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 08.30 น. ที่ตลาดเคหะคลองจั่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลงพื้นที่เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ โดยได้พูดคุยทักทายประชาชนที่มาออกกำลังกายในตอนเช้า บริเวณสนามกีฬาคลองจั่น รวมถึงประชาชนและผู้ค้าขายในตลาดเช้าเคหะคลองจั่น พร้อมทั้งแจกแผ่นพับแนะนำนโยบายและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขตบางกะปิ คือ นางสาวสิริลภัส กองตระการ หรือ 'หมิว' รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ นายเฉลิมชัย กุลาเลิศ หรือ 'หมอออย' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตห้วยขวาง-วังทองหลาง, นายธนเดช เพ็งสุข หรือ 'ภูมิ' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตลาดพร้าว-วังทองหลาง, นางสาว สุภกร ตันติไพบูลย์ธนะ หรือ 'กิ๊ฟ' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตสวนหลวง-ประเวศ และ นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ หรือ 'คุง' ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตประเวศ-สะพานสูง 

โดยนายพิธา กล่าวถึงความพร้อมของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้ง ส.ส. พื้นที่กรุงเทพฯ ว่า การลงพื้นที่วันนี้เพื่อถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ประชาชน และแนะนำ นางสาวสิริลภัส ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางกะปิ ซึ่งเป็นที่รู้จักของสังคมจากการเป็นอดีตนักแสดงและเป็นกระบอกเสียงของประชาชนมาตลอด 2 ปี ในช่วงโควิด วันนี้ตัดสินใจลงสมัครเป็นผู้แทนราษฎรในนามพรรคก้าวไกล 

'กรณ์' ชูนโยบาย 'ยกเลิกแบล็กลิสต์-รื้อระบบสินเชื่อ' หวังช่วยผู้ประกอบการรายย่อย-SME ให้เดินหน้าธุรกิจต่อได้

(7 ม.ค.66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่อง 'แก้หนี้ ให้ชีวิตเดินหน้า' โดยระบุว่า ตนในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตระหนักดีว่าคำว่า 'หนี้' ไม่มีใครอยากเป็น แต่เวลาเป็นแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลุดจากวงจรนี้ ซึ่งนอกจากนโยบายหาเงินให้คนไทยแล้ว การแก้หนี้คือความเร่งรีบอันดับต้น ๆ ที่ตนต้องการแก้ และเคยทำมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะเป็น ปี 2552 แก้หนี้นอกระบบ 5 แสนราย ปี 2553 ปรับโครงสร้างหนี้กองทุนฟื้นฟู-เกษตรกร ปี 2554 ออกกฎหมาย 'กองทุนการออมแห่งชาติ' (กอช.) ปี 2559 ก่อตั้ง Refinn ช่วยคนไทยแก้หนี้ที่อยู่อาศัย ปี 2565 โครงการ 'กล้าปลดหนี้' ช่วยคนไทยเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และ ปี 2566 นโยบาย 'ยกเลิกแบล็กลิสต์' เสนอระบบ Credit Score

ส่วนกรณีที่มีบางคนระบุว่า คนที่เป็นหนี้คือคนที่ไม่มีวินัยทางการเงิน หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า อาจถูกส่วนหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นความจริงเสมอไป ในหลาย ๆ ครั้งเกิดจากวิกฤตที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น วิกฤตโควิด ที่ทำให้ผู้ประกอบการและ SME เป็นจำนวนมาก ชักหน้าไม่ถึงหลัง และการกู้ยืมในระบบทำได้ยาก ตนในฐานะนักการเงินไม่อยากให้เกิดที่สุด คือ การกู้หนี้นอกระบบ การช่วยเหลือและออกนโยบายต่าง ๆ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งนี้ เพราะอย่างที่รู้ ๆ กันว่าดอกเบี้ยโหดมาก และยากที่จะคืนเงินต้นได้ การติดแบล็กลิสต์ก็เช่นกัน ต่อให้ใช้หนี้ครบแล้วยังขึ้นจากเหวนี้ไม่ง่าย ตนจึงเสนอนโยบายปลดแบล็กลิสต์ แล้วใช้ระบบ Credit Scoring แทน ใครเครดิตดีก็กู้ได้มาก เครดิตไม่ดีก็กู้ได้น้อย นี่ก็เป็นวินัยทางการกู้รูปแบบหนึ่ง ที่ช่วยให้คนเป็นหนี้ขึ้นมาจากเหวได้ 

'เพื่อไทย' ซัด 'ประยุทธ์' 8 ปีปราบโกงแค่คำหลอกลวง ชี้!! คนใกล้ตัวมีข่าวเอี่ยวทุจริต แต่ยังเมินเฉยไม่ตรวจสอบ

(7 ม.ค. 66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ขณะนี้การทุจริตคอร์รัปชันกลายเป็นปัญหาพัวพันในทุกแวดวง ทั้งราชการ การเมืองและธุรกิจสีเทาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีท่าทีเมินเฉย ไม่เร่งรัดให้มีการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ซ้ำยังแสดงท่าทีฉุนเฉียวเมื่อถูกสื่อสอบถามกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดโปงข้อมูลโยงถึงหลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับทุนจีนสีเทานายตู้ห่าวอีกด้วย 

ที่ผ่านมาฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยพยายามเปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์อย่างต่อเนื่อง คู่ขนานไปกับความเข้มแข็งของภาคประชาชน ที่แฉข้อมูลกดดันให้กระบวนการตรวจสอบต้องเดินหน้า แต่หลายเรื่องเมื่อเข้าสู่กระบวนการของรัฐ กลับทำให้ประชาชนเกิดคำถามและข้อสงสัยว่าเหตุใดหน่วยงานด้านการตรวจสอบ ไม่กล้าทำหน้าที่เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น    

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์เคยให้คำมั่นต่อประชาชนว่าจะเข้ามาปราบโกง ขจัดนักการเมืองไม่ดีออกไป แต่จนถึงขณะนี้สถานการณ์ปราบโกงที่พล.อ.ประยุทธ์มุ่งมั่นจะทำกลับเลวร้ายลง ยืนยันได้จากดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2564 ไทยได้เพียง 35 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 110 ของโลกอันดับแย่ที่สุดนับตั้งแต่จัดอันดับมา 

เจ้าชายนักประดิษฐ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ ผู้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง

เมื่อช่วงปีใหม่ผมมีโอกาสได้ไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามวิถีของชาวพุทธ โดยได้ไปสักการะ 'พระพุทธอังคีรส' ประธานพระอุโบสถวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม คำว่า 'อังคีรส' มีความหมายว่า 'มีพระรัศมีเปล่งออกมาจากพระวรกาย'

พระพุทธรูปองค์นี้ หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ต่อต้นรัชกาลที่ 5 ด้วยกะไหล่ทองคำเนื้อแปดหนัก 180 บาท เป็นทองที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้เมื่อยังทรงพระเยาว์ เดิมพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จะทรงนำไปประดิษฐานที่พระปฐมเจดีย์ แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดราชบพิธ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2415 ซึ่งใต้ฐานบัลลังก์ของ 'พระพุทธอังคีรส' นั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมสรีรางคารของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

พุทธลักษณะของ 'พระพุทธอังคีรส' ประกอบด้วยพระพักตร์ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกศาเล็ก ไม่มีอุษณีษะ (ปุ่มด้านบนศรีษะ) มีพระรัศมีขนาดใหญ่เป็นเปลว พระกรรณสั้นเหมือนมนุษย์ปกติ ไม่ยาวเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป การครองจีวรห่มเฉียง มีริ้วแบบธรรมชาติ สังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่เหมือนผ้าสังฆาฏิที่ใช้จริงแบบพระสงฆ์ทั่วไป นักวิชาการให้ความเห็นกันไว้ว่านี่คือพระพุทธรูปที่มีลักษณะ 'เทวดาครึ่งมนุษย์' ที่งดงาม ไร้ที่ติ ถึงตรงนี้ใครกันหนอ ? คือผู้ปั้นและหล่อ 'พระพุทธอังคีรส' องค์นี้ 

'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' พระองค์คือช่างปั้นและช่างหล่อท่านที่ผมสงสัยนั่นเอง พระองค์ทรงเป็นพระโอรสของ 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์' ต้นราชสกุล 'ดวงจักร' เมื่อแรกประสูติ ทรงพระนามว่า 'หม่อมเจ้าดิศ' พระบิดาของพระองค์นั้น ทรงกำกับ 'กรมช่างหล่อ' (เป็น DNA จากพ่อสู่ลูกแน่ ๆ อันนี้ผมคิดเองนะ) ในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' โดย 'ช่างหล่อ' เป็นหนึ่งในกลุ่ม 'ช่างหลวง' ที่เรียกกันว่า 'ช่างสิบหมู่' 

โดย 'ช่างหล่อ' มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการหล่อโลหะ เช่น การหล่อกลองมโหระทึก หล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ การหล่อพระพุทธรูปโลหะทำได้โดยการใช้ขี้ผึ้งทำเป็นหุ่นแล้วละลายขี้ผึ้งจนเกิดที่ว่างในแม่พิมพ์ แล้วจึงเทโลหะหรือทองที่กำลังหลอมละลายเข้าแทนที่ จะได้เป็นรูปหล่อโลหะสำริด เรียกวิธีนี้ว่า 'ไล่ขี้ผึ้ง' ซึ่งก็คืองานวิจิตรศิลป ประเภทงานประติมากรรมนั่นเอง ซึ่งนับว่ามีความสำคัญมาก ๆ ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จึงเชื่อได้ว่า 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' คงจะได้เรียนรู้ ศึกษา และสั่งสมประสบการณ์ จาก 'พระบิดา' ของพระองค์นั่นเอง 

ผมคงไม่เล่าพระประวัติของพระองค์มากนัก แต่จะเล่าถึงความสามารถของพระองค์และงานปั้นที่พระองค์ได้ทรงปั้นไว้ดีกว่า 

เริ่มต้นในรัชสมัยของ 'พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ 4 ซึ่งในช่วงนั้น ฝรั่งเศสและอังกฤษ พยายามหาทางจะยึดครองสยามให้ได้ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤติก็เกิดเหตุพลิกผันที่ทำให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้อย่างอัศจรรย์ พระองค์จึงทรงดำริว่า เป็นไปได้ว่าน่าจะมีเทพยดาคอยพิทักษ์รักษาสยามอยู่ จึงสมควรจะสร้างรูปสมมติของเทพยดาองค์นั้นขึ้นเพื่อสักการบูชา จึงได้มีพระบรมราชโองการ ให้ 'พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ' เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็น 'หม่อมเจ้าดิศ' รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ได้เป็นนายช่างเอกออกแบบเทพยดาองค์หนึ่ง ตามพระราชดำริของพระองค์ ซึ่งใช้คติ 'มเหศักดิ์' หรือเทวดาผู้คุ้มครองบ้านเมืองมาจินตนาการแล้วปั้นขึ้นเป็น 'เทวรูปยืน' ทรงเครื่องต้น พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระในท่าประทานพร มีขนาดสูง 8 นิ้ว หรือ 20 เซนติเมตร เป็นที่พอพระราชหฤทัยของ ร.4 เป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นแล้วถวายพระนามว่า 'พระสยามเทวาธิราช'

ปชป. กางยุทธศาสตร์ 3 ส. 'สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ' ย้ำ!! เจตนารมณ์พรรค 70 ปี มุ่งทำงานเพื่อชาติเป็นหลัก

ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ประกาศความพร้อมแบบ 'เต็มอัตราศึก' พร้อมลุยทุกสนามเลือกตั้ง ในทุกกระบวนท่า พร้อมทั้งในแง่นโยบาย ในแง่บุคลากร โดยจะส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกเขต 400 เขต และบัญชีรายชื่อ 100 คน ครบ 500 คน

การประกาศความพร้อมในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นความพยายามในการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ การคิดนโยบายใหม่ ๆ เพื่อสนองตอบต่อปัญหาของประชาชน

นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังได้ติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ อันเป็นการ 'ปูพรม' กับการเปิดยุทธศาสตร์ 3 ส. คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ

โดยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยการเตรียมการเลือกตั้ง อธิบายขยายความกับเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ 3 ส. ว่า นอกจากการเตรียมผู้สมัครในแต่ละเขตแล้ว เรื่องนโยบายที่ใช้หาเสียงก็เป็นเรื่องที่พรรคให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน ซึ่งการจัดทำนโยบายของพรรคนั้นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในทุก ๆ ด้าน ทั้งเรื่องความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ กรอบงบประมาณที่ต้องใช้ภายใต้นโยบายที่จัดทำ ระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่จะเกิดต่อประชาชน และประเทศชาติ ทั้งด้านการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ต้องดีขึ้น 

ซึ่งขณะนี้ หลักคิดเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจะเป็นทั้ง มาสเตอร์แพลน (Master plan) หรือแผนแม่บทของพรรคในการวางอนาคตของประเทศชาติและประชาชน ที่จะใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงครั้งนี้คือ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ โดยมีแนวทางที่สำคัญของทั้ง 3 ส. ดังนี้  

1.สร้างเงิน โดยการแยะเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ สร้างเงินให้ประเทศ และสร้างเงินให้ประชาชน

2.การสร้างคน ที่พรรคจะสนับสนุนและส่งเสริมดูแลคนตั้งแต่ในครรภ์มารดา จนส่งสู่เชิงตะกอน ทั้งสร้างสวัสดิการเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงขึ้น เพราะพรรคเชื่อว่าเมื่อเราสร้างคนให้มีความความรู้และความมั่นคงในชีวิต จะแปรเปลี่ยนพลังของประชาชนให้เป็นพลังในการสร้างประเทศชาติได้อย่างมั่นคง 

3.สร้างชาติ ด้วยระบบประชาธิปไตย ที่สุจริต ควบคู่ไปกับการกระจายอำนาจมุ่งสู่สร้างเมืองมหานคร พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมเพื่อเชื่อมประเทศไทยกับโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ มีความคืบหน้าจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งท่านหัวหน้าพรรค 'จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์' และท่านเลขาฯ จะแถลงเปิดนโยบายฯ อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมกราคมนี้ และในขณะนี้พรรคได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top