Friday, 16 May 2025
NewsFeed

‘หมอชลน่าน’ ชู 2 เสาหลักสร้าง ศก.ดิจิทัล ตั้งเป้าปี 2570 สร้างคนดิจิทัล 2 ล้านคน

(22 ธ.ค. 65) นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แสดงวิสัยทัศน์ในงานสัมมนา ‘NEXT STEP THAILAND 2023 ทิศทางแห่งอนาคต’ จัดโดยสปริงนิวส์ เนชั่นทีวี และโพสต์ทูเดย์ โดยในโอกาสนี้นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เข้าร่วมงานสัมมนาด้วย

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว กล่าวว่า ภายในปี 2570 พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยต้องเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค คนไทยต้องรู้เท่าทัน รู้การเปลี่ยนแปลง และก้าวไปได้ทันกับเศรษฐกิจดิจิทัล เพราะเศรษฐกิจดิจิทัล มีทั้งโอกาสและอันตรายซ่อนอยู่ คือ เค้กชิ้นใหญ่ที่ทุกฝ่ายอยากไขว่คว้ามาแบ่งกัน ปัญหาคือประเทศไทยไม่มีคนผลิตเค้ก พรรคเพื่อไทยจึงต้องตอก 2 เสาหลัก เพื่อวางอนาคตด้านเศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่

1. โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ซึ่งคือเครื่องผลิตเค้ก พรรคเพื่อไทยไม่ได้หยุดอยู่ที่อินเทอร์เน็ตฟรีทุกหมู่บ้าน หรือแท็ปเล็ตฟรีทุกครอบครัว แต่พรรคเพื่อไทยต้องการวางโครงสร้างระบบการเงินของประเทศด้วย Central Bank Digital Currency (CBDC) ให้คนไทยทุกคนมีกระเป๋าสตางค์ดิจิทัล มี digital ID ของตนเอง ทลายกำแพงการชำระเงินข้ามพรมแดนด้วย Blockchain สัญชาติไทย รวมทั้งการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

พรรคเพื่อไทยประกาศเปิดเขตธุรกิจใหม่ 4 แห่ง เชียงใหม่ กรุงเทพ ขอนแก่น หาดใหญ่ เพื่อสร้างกฎหมายธุรกิจใหม่ ดึงดูดการลงทุนต่างชาติด้านดิจิทัล และธุรกิจในโลกยุคใหม่ เขตธุรกิจใหม่นี้จะสร้างและเชื่อมเอสเอ็มอีที่มีตลาดในมือ กับ สตาร์ตอัปที่มีไอเดียและเทคโนโลยี และยังดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างชาติเข้าทำงานระยะยาวในไทย

‘สุชาติ’ จัดเต็ม มอบของขวัญปีใหม่ 2566 'ให้ ฟรี ลด แรงงานสุขใจ'

วันที่ 22 ธันวาคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานแถลงข่าวของขวัญปีใหม่กระทรวงแรงงาน ปี 2566 โดยมี นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ บริเวณชั้นล่างอาคารกระทรวงแรงงาน 

นายสุชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานทุกคน ทุกกลุ่ม และได้สั่งการให้ทุกกระทรวงพิจารณาของขวัญที่จะมอบให้ประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเป็นกำลังใจแก่ประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.65 ได้เห็นชอบมาตรการมอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน ซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงานนั้นในปีนี้มีของขวัญปีใหม่ จำนวน 6 ชิ้น ภายใต้เคมเปญ 'ให้ ฟรี ลด แรงงานสุขใจ' เพื่อมอบความสุขแก่พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ดังนี้ 

ชิ้นที่ 1 ให้ สินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อผู้ประกันตนดอกเบี้ยต่ำ ส่งเสริมที่อยู่อาศัยให้กับผู้ประกันตน เพื่อไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่นๆ และลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในบัญชีเงินกู้ที่กู้อยู่กับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ วงเงินโครงการไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยของผู้ประกันตนลดลง ตลอดระยะเวลาการกู้ประมาณ 8,472 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน สามารถใช้สิทธิในการลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ปีที่ 1-5 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.99 % ต่อปี คงที่ 5 ปี ปีที่ 6–8 อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.00 % ต่อปี และปีที่ 9 เป็นต้นไปจนถึงตลอดอายุสัญญา อัตราดอกเบี้ย MRR – 0.50 % ต่อปี ปล่อยกู้ไม่เกินรายละ 2 ล้านบาท 

ชิ้นที่ 2 ให้ เข้าถึงสิทธิการรักษา 5 โรคตามที่โรงพยาบาลกำหนด ได้แก่ โรคมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่มดลูก โรคนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงการรักษา จำนวน 7,500 คน ตั้งแต่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 โดย MOU ระหว่างสำนักงานประกันสังคมและสถานพยาบาลเฉพาะทางที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด เพื่อให้ผู้ประกันตนเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ ลดการรอคอยการผ่าตัด โดยสำนักงานประกันสังคมจ่ายค่าบริการทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลที่ดำเนินการผ่าตัดโดยตรง 

ชิ้นที่ 3 ให้ งานทำ 'ต้องการทำงาน ต้องได้ทำงาน' ประชาชนที่ต้องการมีงานทำ ได้มีโอกาสเลือกสมัครงานที่ตรงกับความรู้ความสามารถ และความถนัดของตนเอง ได้มีงานทำ มีรายได้ เลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กรมการจัดหางานได้เตรียมตำแหน่งงานว่างที่หลากหลายไว้ให้บริการ จำนวน 613,784 อัตรา เป็นตำแหน่งงานว่างในประเทศ 563,784 อัตรา และต่างประเทศ 50,000 อัตรา ผู้สนใจติดต่อสมัครงานผ่านระบบ E –Service ที่เว็บไซต์ www.ไทยมีงานทำ.com สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 และรถโมบายจัดหางานเคลื่อนที่ 

ชิ้นที่ 4 ฟรี ค้นหาความเสี่ยง โรคหลอดเลือดและโรคหัวใจในสถานประกอบการใน 7 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ สมุทรปราการ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี ระยอง พระนครศรีอยุธยา และสมุทรสาคร เป้าหมายผู้ประกันตน 300,000 คน เน้นการค้นหาความเสี่ยงโรคหลอดเลือดและหัวใจ แบ่งกลุ่มตามความเสี่ยง เสี่ยงสูง ปานกลาง น้อย โรงพยาบาลนัดหมายประเมินเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรายบุคคล ระยะเวลา 6 เดือน ติดตามผล ระบบ Telemedicine และดำเนินการปรับพฤติกรรม ตรวจประเทมินคัดกรองความเสี่ยง และดำเนินการบันทึกข้อมูลด้วยระบบ IT จะทำให้ผู้ประกันตนได้รับการประเมินสภาวะสุขภาพ โดยเฉพาะโอกาสการเสียชีวิตโรคหัวใจและหลอดเลือด และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ เกิดเป็นต้นแบบด้านการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในสถานประกอบการ ซึ่งโครงการนี้เริ่มตั้งแต่มกราคม 2566 เป็นต้นไป 

ชิ้นที่ 5 ฟรี อบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับเทคนิคขั้นสูงและระดับวิชาชีพ จำนวน 10,000 คน หลักสูตรกฎหมายความปลอดภัยฯ ทักษะการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยและลูกจ้างได้รับการดูแลเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ลดค่าใช้จ่ายให้กับนายจ้าง ในการส่งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับเทคนิค ระดับเทคนิคขั้นสูง และระดับวิชาชีพ เข้ารับการฝึกอบรมกับหน่วยงานฝึกอบรม โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม - มีนาคม 2566 

‘บิ๊กตู่’ เตรียมเยี่ยมครอบครัวผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต จากเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอับปาง

‘บิ๊กตู่’ ลงพื้นที่ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยเรือหลวงสุโขทัยอับปาง อ.บางสะพาน ให้กำลังใจครอบครัวผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตพรุ่งนี้เช้า

(22 ธ.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงาน จากทำเนียบรัฐบาลว่า ในวันที่ 23 ธ.ค.เวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ยกเลิกกำหนดการเป็นประธานในพิธีมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ ‘เที่ยวชุมชน ยลวิถี’ ประจำปี 2565 ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาลแทน โดยได้มอบหมายนายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม เป็นประธานแทน

‘บิ๊กป้อม’ ต้อนรับ ‘เอกอัครราชทูตจีน’ พร้อมฝากชวนคนจีนมาลงทุน - ท่องเที่ยวไทยเพิ่ม

พล.อ.ประวิตร ต้อนรับ นาย หาน จื้อเฉียง เยี่ยมคำนับ สานสัมพันธ์ไทย-จีน ยืนยันความร่วมมือทุกมิติ ให้ก้าวหน้า เชิญชวน คนจีนร่วมลงทุน/ท่องเที่ยว ส่งเสริม ศก.ประเทศไทย

วันนี้ (22 ธ.ค. 65) เวลา14.00 น. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้ให้การต้อนรับ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ณ ห้องสีเหลือง ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวแสดงความยินดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ดำเนินมาอย่างยาวนาน และเข้มแข็ง แม้ในสถานการณ์ โควิด-19 และยืนยันว่ารัฐบาลไทย มีความมุ่งมั่นที่จะสานต่อ และร่วมมือกับรัฐบาลจีนเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือในทุกมิติ ให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และเป็นรูปธรรม

ทัพเรือภาค 2 ช่วยเหลือลูกเรือประมง จากเรืออับปาง พบรอด 1 คน ใช้เชือกผูกร่างผู้เสียชีวิต 3 รายกันศพหาย

ทัพเรือภาค 2 นำเรือเข้าช่วยลูกเรือประมงที่ประสบเหตุ 'อับปางกลางทะเล' ขึ้นฝั่งที่ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาคที่ 2 โดยมีลูกเรือรอดชีวิต 1 คน เสียชีวิต 3 คน และสูญหาย 1 คน โดยนำตัวลูกเรือที่รอดชีวิตส่งโรงพยาบาล เนื่องจากมีอาการอ่อนเพลีย เพราะต้องลอยคออยู่ในทะเลนานกว่า 30 ชั่วโมง

วันที่ (21 ธ.ค. 65) เวลา 19.00 น. ที่ท่าเทียบเรือฐานทัพเรือสงขลา ทัพเรือภาค 2 อ.เมือง จ.สงขลา เรือ ต.992 ได้นำศพพร้อมด้วยลูกเรือประมง 'ทรัพย์สุนัน' ที่ชื่อรอดชีวิตจากอุบัติเหตุเรืออับปาง หลังจากถูกคลื่นซัดระหว่างเกิดพายุในบริเวณทะเลอ่าวไทย ห่างจากฝั่ง จ.สงขลา ประมาณ 30 ไมล์ทะเล ซึ่งจากการสอบถามเบื้องต้น เรือประมงลำดังกล่าวได้ออกจากท่าเรือประมง จว.ปัตตานี เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ก่อนที่จะโดนพายุและอับปางลงเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้ลูกเรือเสียชีวิต 3 ศพ ประกอบด้วย นายสมหมาย เสี่ยงโชค (ไต๋เรือ) นายสาโรจน์ มินโด (ชาวอำเภอเมืองสงขลา) นายลีโบรง รน(ชาวกัมพูชา) ส่วนลูกเรือรอดชีวิต 1 คน คือนายเซียะ ซอย (ชาวกัมพูชา) และยังมีนายวิจิตร เสี่ยงโชค (ชาวอำเภอเมืองสงขลา) ที่สูญหายซึ่งขณะนี้ยังค้นหาไม่พบ

‘โครงสร้างพื้นฐาน - เขต EEC’ จุดเปลี่ยนประเทศ ดูดนักลงทุนต่างชาติทุ่มเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท

ต้องบอกว่า ปีนี้ประเทศไทยเนื้อหอมมากจริง ๆ เนื่องจากนักลงทุนหลาย ๆ เจ้ากำลังทยอยเข้ามาปักหลักปักธงทำธุรกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็น BYD ที่ได้ลงหลักในเขต EEC ไปแล้ว ที่จะตามมาคือ MG, เกรท วอลล์ มอเตอร์ (GWM) หรือข่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศซาอุดีอาระเบียที่ก็เล็ง ๆ ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเช่นกัน ขอบอกเลยว่าไทยมีเสน่ห์สุด ๆ แถมยังสามารถดูดเงินลงทุนได้มาถึงแสนล้านบาทเลย

แต่ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ นักลงทุนทั้งต่างชาติและจีน ที่เคยลงทุนในจีนนั้นกำลังเตรียมแผนย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อไปลงทุนในประเทศอื่นแทน จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าเพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้จีนได้รับฉายาว่า ‘โรงงานของโลก’ เชียวนะ

สำหรับเรื่องนี้ ช่องยูทูบ ‘Property Expert Live’ ของคุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ ได้อธิบายไว้อย่างน่าสนใจ โดยสามารถสรุปใจความได้ว่า…

ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมองหาฐานการผลิตนอกประเทศจีน ได้แก่

1. สงครามการค้า หรือ Trade War ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จึงทำให้การลงทุนในจีนแล้วส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั่นมีอุปสรรคในด้านกำแพงภาษี รวมถึงสหรัฐฯ มีนโยบายกีดกันทางด้านเทคโนโลยีและการลงทุนในประเทศจีน จึงเป็นจุดที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกไม่ปลอดภัยหากยังลงทุนในจีนต่อไป ไม่เพียงแต่นักลงทุนต่างชาติเท่านั้น แต่นักลงทุนจีนก็มองหาทางหนีทีไล่ไว้เช่นกัน

2. ราคาค่าแรง จากเดิมค่าแรงในจีนถูก จึงเป็ดจุดเด่นดึงดูดนักลงทุน แต่มีเศรษฐกิจขยายใหญ่ขึ้น มีรายได้มากขึ้น ค่าแรงก็เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย 

3. นโยบาย Zero Covid-19 ที่เข้มงวด

4. นโยบายควบคุมด้านเศรษฐกิจ ที่มีวลีเท่ๆ ว่า ‘มั่งคั่งทั่วกัน’ ทว่านโยบายเหล่านี้ไม่ส่งเสริมด้านการลงทุน จึงทำให้บริษัทต่อชาติที่อยู่ในจีนทยอยปิด และออกมาลงทุนนอกประเทศจีน เช่น Apple ที่ก่อนหน้ามีฐานการผลิตที่จีน แต่ก็ย้ายฐานไปที่เวียดนามและอินเดียแทน รวมถึงบริษัทสัญชาติจีนก็ย้ายออกเช่นกัน

Thai Smile Happy Gift : Start to Connect ส่งความสุขปีกระต่ายทอง จากไทยสมายล์ กรุ๊ป

(22 ธ.ค. 65) ณ ท่าเทียบเรือท่าช้าง นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Thai Smile Happy Gift : Start to Connect ส่งความสุขปีกระต่ายทอง จากไทยสมายล์กรุ๊ป ในงานนี้ นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด ได้ประกาศความสำเร็จของบริษัทในปี 2565 ว่า บริษัทและบริษัทในกลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ปสามารถเปิดให้บริการรถโดยสารประจำทางแล้วกว่า 120 เส้นทาง หรือกว่า 1,250 คัน และยังทำระบบเชื่อมโยงการเดินทางและการชำระค่าโดยสารของรถโดยสารพลังงานไฟฟ้ากับเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าของไทยสมายล์กรุ๊ปทั้งหมดเข้าด้วยกัน ด้วยระบบโครงข่ายเดียว (Single Network) จนมีศักยภาพที่จะรองรับความต้องการเดินทางของประชาชนได้มากกว่า 3 ล้านคน อีกทั้งมีแผนขยายการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตเพื่อจัดรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกจนมีจำนวนรวมไม่น้อยกว่า 3,500 คัน ด้วยงบประมาณ การลงทุนสูงถึงกว่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นการลงทุนเพื่อให้บริการอย่างเต็มที่แก่ผู้โดยสารในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว ยังช่วยสร้างงาน สร้างอาชีพ ให้กับพี่น้องประชาชน มากกว่า 7,500 ตำแหน่งอีกด้วย และนับเป็นโอกาสอันดีที่ไทยสมายล์กรุ๊ปมีความพร้อมในการนำระบบการชำระค่าโดยสารด้วยบัตรฮ๊อบ หรือ Hop card ผ่านเครื่อง E60 มาเริ่มใช้งานจริงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เป็นการอำนวยความสะดวกด้วยระบบสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) โดยไทยสมายล์กรุ๊ปมีของขวัญมอบให้กับผู้โดยสารในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2 แพ็คเกจ คือ 

(1) ผู้เดินทางด้วยรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าในโครงข่ายของไทยสมายล์กรุ๊ปกว่า 120 เส้นทาง คิดราคาค่าโดยสารไม่เกิน 40 บาทต่อวัน (Daily max fare) โดยไม่จำกัดสาย และไม่จำกัดจำนวนเที่ยวต่อวัน (2) ผู้เดินทางด้วยรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า คิดราคาค่าโดยสารสูงสุด 50 บาทต่อวัน โดยไม่จำกัดสาย และไม่จำกัดจำนวนเที่ยวต่อวัน

กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจเยี่ยมติดตามผลงาน นวัตกรรมการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่

พร้อมจัดสัมมนาเตรียมความพร้อมผู้สนใจรับทุนฯ ครั้งที่ 2 (ภาคเหนือ) จังหวัดเชียงใหม่ กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เยี่ยมชมและติดตามผลงานนวัตกรรมการแพทย์จากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมจัดสัมมนา คลินิกกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ภาคเหนือ) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-23 ธันวาคม พ.ศ. 2565 จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม 2565 คุณสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมคณะจากกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าเยี่ยมชมและติดตามผลงานนวัตกรรมด้านการแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ภายใต้กองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดย ผศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย ผศ.นพ.กฤษณ์ ขวัญเงิน รองคณบดีด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ผศ.ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และรศ.ดร.พญ.ศิริอนงค์ นามวงศ์พรหม ผู้ช่วยคณบดีด้านนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมให้การต้อนรับและหารือแนวทางการต่อยอดผลงานนวัตกรรมการแพทย์ดิจิทัล เพื่อต่อยอดการใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยี และก่อให้เกิดการพัฒนาดิจิทัลของประเทศที่ครอบคลุมในทุกด้าน โดยกองทุนฯ ได้เยี่ยมชมและติดตามผลงานโครงการที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน 3 โครงการ ได้แก่

1. โครงการจัดตั้งศูนย์บริการทางการแพทย์ทางไกลเพื่อขยายการเข้าถึงการให้บริการประชาชน
2. โครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ สำหรับให้บริการประชาชน(5G District) จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการ 5G smart health)
3. โครงการนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะสมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสันด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะผ่านการกระตุ้นสมอง ซึ่งปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในวงการแพทย์มากขึ้น เพื่อตอบยุทธศาสตร์ของชาติในการใช้เทคโนโลยี 5G มาพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศไทย และเป็นตัวอย่างในการสร้างระบบสาธารณสุขด้านเทเลเม็ดดิซีนแพลตฟอร์ต (telemedicine platform) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงทำโครงการขนาดใหญ่ร่วมกัน 2 โครงการ คือ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการทางการแพทย์ทางไกลเพื่อขยายการเข้าถึงการให้บริการประชาชน และโครงการนำร่องการพัฒนาย่านเทคโนโลยี 5G ต้นแบบ สำหรับให้บริการประชาชน (5G District) จังหวัดเชียงใหม่ (โครงการ 5G Smart Health)

ปัจจุบันโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ที่มีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยประชาชนส่วนใหญ่ที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลอาศัยในเขตจังหวัดภาคเหนือ ซึ่งส่วนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเดินทางจำนวนมาก ประกอบกับสถานการณ์การระบาดของ โควิด-19 ดังนั้น โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ จึงนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้ในการส่งเสริมบริการการแพทย์ฉุกเฉิน ด้วยเทคโนโลยีจำลองภาพเสมือนจริงสามมิติด้วยรถพยาบาล อัจริยะ (AR technology with Smart ambulance) พร้อมบูรณาการแว่นตาอัจฉริยะ (AR consulting glasses) ผ่านเครือข่าย 5G ในการให้คำปรึกษาและรักษาผู้ป่วยบนรถ Smart ambulance แบบ real time ระหว่างโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด และโรงพยาบาลประจำอำเภอ ในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนบนที่ร่วมโครงการ จำนวน 20 แห่ง ทำให้ผู้ป่วยสามารถรับคำปรึกษาจากแพทย์ผ่าน Web Application ได้อย่างครบวงจรโดยไม่จำเป็นต้องเดินทางมารักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

โดยผลลัพธ์ของทั้ง 2 โครงการจะเป็นการสร้าง telemedicine platform ที่บูรณาการระหว่างระบบการแพทย์ทางไกลของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด และโรงพยาบาลประจำอำเภอในเขตจังหวัดภาคเหนือตอนบน และมีการนำ AR technology และ 5G เทคโนโลยี มาเพิ่มประสิทธิภาพรถพยาบาลฉุกเฉิน  ทำให้บุคลากรทางการแพทย์บนรถพยาบาลฉุกเฉินสามารถปรึกษาและรักษาผู้ป่วยบนรถพยาบาลฉุกเฉินขณะส่งตัวผู้ป่วย ร่วมกับแพทย์เฉพาะทาง ที่ประจำอยู่ ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ส่งผลให้โรคฉุกเฉินและโรควิกฤติ เช่น โรคหัวใจขาดเลือด โรคเส้นเลือดสมองตีบ เป็นต้น สามารถได้รับการรักษาได้ทันทีโดยแพทย์เฉพาะทางในแต่ละโรค ระหว่างส่งตัวผู้ป่วยทำให้ลดอัตราการตาย และภาวะแทรกซ้อน

โครงการนี้สำเร็จจะเป็นระบบต้นแบบที่ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด กล่าวคือการเข้ารับการรักษาภาวะฉุกเฉินใน โรงพยาบาลใดในจังหวัดเชียงใหม่ และหรือโรงพยาบาลในภาคเหนือตอนบน (ที่ร่วมโครงการ) ผู้ป่วยทุกท่านจะได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางเฉพาะโรค ผ่านระบบที่เชื่อมต่อกันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งทำให้ผลการรักษาพยาบาลมีความปลอดภัยมากขึ้น

ส่วนโครงการนวัตกรรมฟื้นฟูภาวะสมองเสื่อมจากโรคพาร์กินสันด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะผ่านการกระตุ้นสมอง เกิดจากการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่างคณะผู้วิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ ภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้ชื่อ “MoveAlong” เป็นการพัฒนานวัตกรรมช่วยเหลือการเดินในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันที่มีภาวะการเดินลำบาก ไม่สามารถช่วยได้ด้วยยา และการรักษาอื่นๆ ทีมนักวิจัยได้มีการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยเหลือการเดินที่สร้างเสียงจังหวะกระตุ้นการก้าวขาสำหรับผู้ป่วยพาร์กินสันที่มีปัญหาในการเดิน สามารถเชื่อมต่อระบบปฏิบัติการผ่าน Application บนสมาร์ทโฟน โดยมีการออกแบบอัลกอลิทึมให้สามารถบันทึกสัญญาณจากเซ็นเซอร์ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจจับสภาวะการเดินของผู้ป่วยเพื่อผลิตจังหวะเสียง (Tempo) ให้สอดคล้องกับจังหวะการเดินของผู้ป่วย ซึ่งสามารถปรับจังหวะการเดินเฉพาะตัวของผู้ป่วยได้ พกพาง่าย ติดตัวได้ตลอด เบื้องต้นมีการใช้งานจริงกับผู้ป่วยที่ศูนย์โรคสมองภาคเหนือ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคลินิกเอกชนชีวาแคร์ (ศูนย์เวชศาสตร์ดูแลและฟื้นฟูผู้สูงอายุ) เพื่อเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์และปรับปรุงพัฒนาระบบให้สะดวกต่อพฤติกรรมการใช้งานของผู้ป่วยได้มากที่สุด ซึ่งในอนาคตเทคโนโลยีนี้ก็จะถูกนำไปเชื่อมโยงกับระบบการให้บริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามยุทธศาสตร์ในการมุ่งสู่การเป็น Digital Hospital เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ป่วยและประชาชนในอนาคต 

นายกรัฐมนตรีเปิดนิทรรศการ 'ของขวัญปีใหม่ จากตำรวจไทยสู่ประชาชน' พ.ศ.2566 ผ่าน 9 โครงการ

(22 ธ.ค. 65) เวลา 14.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดนิทรรศการ 'ของขวัญปีใหม่ จากตำรวจไทยสู่ประชาชน' พ.ศ. 2566 โดยมี พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร.และข้าราชการตำรวจ เข้าร่วม โดยปีใหม่ 2566 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบของขวัญแก่พี่น้องประชาชน และข้าราชการตำรวจ ตามนโยบายรัฐบาล 9 โครงการ ประกอบด้วย 

1. โครงการประชาอุ่นใจ ตำรวจเข้มแข็ง เน้นการป้องกันอาชญากรรม ให้ประชาชน เกิดความเชื่อมั่นอุ่นใจ เช่น โครงการฝากบ้าน 4.0 เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยบ้านและทรัพย์สินของประชาชนที่ไม่มีผู้อยู่ในอาศัยในช่วงเทศกาล โดยลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน 'ฝากบ้าน 4.0' หรือ โทรศัพท์หรือแจ้งด้วยตนเองกับสถานีตำรวจในพื้นที่, โครงการเพื่อนบ้านเตือนภัย สร้างความร่วมมือจากประชาชน ในการช่วยกันดูแลความปลอดภัยให้แก่กันและกัน, โครงการ Stop Walk & Talk เก็บข้อมูลจากการพูดคุยกับประชาชน แล้วนำข้อมูลไปใช้ในการป้องกันอาชญากรรม, โครงการ 1 ตำรวจ 1 ชุมชน เป็นการเปิดช่องทางในการรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชน สู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน 
2. โครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติด แบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ 
ได้ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 2,966 หมู่บ้าน/ชุมชน และในปี พ.ศ. 2566 จะดำเนินการอีกจำนวน 
1,483 หมู่บ้าน/ชุมชน นำผู้เสพยาเสพติดสู่การบำบัดรักษาโดยการมีส่วนร่วมของชุมชน CBTx , โครงการค้นหาผู้ใช้ ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติด ผู้มีอาการทางจิต และผู้ป่วยจิตเวช เพื่อนำเข้าสู่การบำบัดรักษา และมาตรการเชิงรุก ได้ปิดล้อมตรวจค้นชุมชนเพื่อระงับยับยั้งการแพร่ระบาด ตรวจสถานบริการ สถานบันเทิง เพื่อลดการแพร่ระบาดยาเสพติดลงให้ได้เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2566 ให้แก่พี่น้องประชาชน
3. โครงการเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันภัยออนไลน์ ผลิตตำรวจทุกสถานีตำรวจ ข้าราชการและประชาชน 4,584 คน ให้เป็น 'ครูวัคซีนไซเบอร์' เผยแพร่ประชาสัมพันธ์สื่อไซเบอร์วัคซีน หรือกลโกงของคนร้ายที่ใช้ในการหลอกลวงเหยื่อบนโลกออนไลน์ ให้ประชาชนรับทราบ และไม่ตกเหยื่อ , มีการทำ MOU ระหว่าง ตร.กับหน่วยงานต่างๆ ได้ดำเนินการกับสมาคมธนาคารไทย และบริษัทไปรษณีย์ไทย ไปแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการกับ กสทช.และเครือเจริญโภคภัณฑ์ ทั้งยังได้รับข้อมูลในการสืบสวนกับเอกชน เช่น Lazada, Shopee เพื่อสร้างเครือข่ายในการป้องกันปราบปราม  และพัฒนาระบบการรับแจ้งความออนไลน์ ทางสายด่วน 1441, 081 866 3000 และมีระบบแชทบอทผ่าน application Line@police1441 , โครงการมายซิสบอท  ใช้สื่อสารกับผู้ใช้ผ่านโลกออนไลน์ เพื่อให้คำแนะนำและความรู้แก่เด็ก สตรี เมื่อต้องเผชิญกับความรุนแรงในครอบครัว รวมไปถึงการระบายให้บอทมายซิสฟัง ผ่านแพรตฟอร์มแมสเซนเจอร์ และเฟซบุ๊กในเพจ มายซิส MySis Bot
4. โครงการขับดี ปลอดภัย ใส่ใจทุกการเดินทาง จะมีโครงการสุภาพบุรุษจราจร ประชาชนสัญจรปลอดภัย เพื่อคัดเลือกตำรวจจรจรารที่ปฏิบัติงานดีเด่นในทุกสถานีตำรวจ ทำให้มีตำรวจราจรมืออาชีพในทุกสถานีที่จะดูแลและอำนวยการจราจรแก่ประชาชนอย่างเป็นมิตร , การพัฒนา Smart Platform สำหรับอำนวยความสะดวกประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลจราจรต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันขับดี และ เว็บ E-Ticket จะอำนวยความสะดวกประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านการจราจรต่างๆ , หน่วยบริการตำรวจทางหลวงที่สะดวกและทันสมัย จัดห้องพักฟรีที่หน่วยบริการทั่วประเทศ รวมจำนวน 205 หน่วย พร้อมเครื่องดื่มและขนม ห้องน้ำ สัญญาณอินเตอร์เน็ต โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
5. โครงการแก้ปัญหาหนี้สินของข้าราชการตำรวจ โดยใช้กลไกของสหกรณ์ออมทรัพย์รวมหนี้จากสถาบันการเงินต่าง ๆ มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 9,617 ราย แก้ไขสำเร็จ จำนวน 6,569 ราย คิดเป็นร้อยละ 68.3 ยอดเงินจำนวน 8,934,250,945 บาท และจัดให้มีโครงการ Money management and Investment ให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนทางการเงิน และการลงทุนให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานเพื่อประชาชนต่อไป

‘บิ๊กตู่’ ประกาศเป็นแคนดิเดตนายกฯ ‘รทสช.’ ยัน!! คุย ‘บิ๊กป้อม’ แล้ว สัมพันธ์พี่น้องไม่ขาด

‘ประยุทธ์’ ประกาศชัดเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรครวมไทยสร้างชาติ ยันคุย ‘พี่ป้อม’ เรียบร้อยแล้ว ชี้ไม่แตกหัก ‘ประวิตร’ สัมพันธ์พี่น้องทหาร ตัดกันไม่ขาด

(23 ธ.ค. 65) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติ 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ ‘เที่ยวชุมชน ยลวิถี’ ประจำปี 2565

โดยกล่าวว่าวันนี้ตัดสินใจเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติแล้ว (รทสช.) โดยเป็นแคนดิเดตนายกกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว

โดยได้มีการพูดคุยกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแล้วซึ่งท่านและผมก็มีความเข้าใจซึ่งกันและกันไม่ได้โกรธเคืองอะไรแต่เพื่อให้การเลือกตั้งมีความชัดเจนทางการเมืองขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top