Sunday, 18 May 2025
NewsFeed

อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน เปิดโต๊ะเจรจา 5 ตัวแทนชาวกระหร่าง กรณี ยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ด้านชาวกระหร่างยื่น 7 ข้อเสนอ พร้อมยืนยันขออยู่ที่เดิม

นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายประกิต วงศ์ศรีวัฒนกุล รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นายณัฐวุฒิ เพ็ชร์พรหมศร รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี พร้อมด้วย นายพิชัย วัชรวงษ์ ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่3 และ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี​ ตั้งโต๊ะเจรจาและรับฟังปัญหาการบุกรุกป่าจากชาวกระหร่างบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน ที่บริเวณศาลาพอละจี บ้านบางกลอย หมู่ที่​ 1 ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

ทั้งนี้​ มีนายประเสริฐ พร้อมด้วยตัวแทนชาวหร่างอีก 4 คน และ มีนายนิรันด์ พงษ์เทศ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่​ 1 บ้านบางกลอง และชาวบ้าน ร่วมเจรจา โดยมีฝ่ายปกครอง ภาคีเครือข่าย และสื่อมวลชน ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายจงคล้าย เผยว่า จากการที่คณะทำงานแก้ไขปัญหากรณีบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน ที่นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งขึ้น ลงพื้นที่ทำงานหาข้อมูลข้อเท็จจริงในพื้นที่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา และเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ตรวจสอบพื้นที่จากทางอากาศและได้บันทึกภาพไว้ และเมื่อนำมาประเมินเบื้องต้นพบว่า มีการบุกรุกป่าบริเวณ บ้านบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน เพิ่มมากขึ้น ทั้งที่มีการลงนามบันทึกข้อตกลง เพื่อแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวกันแล้ว

แต่พบว่า มีพื้นที่ป่าถูกบุกรุกป่าด้วยการแผ้วถาง และเผาป่า กว่า 120 ไร่ และเห็นที่ชัดที่สุดคือ ตามซอกเขา หลายจุด จุดละประมาณ 15 ไร่เศษ จากนั้นเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายได้เปิดยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชร ระหว่างวันที่ 22 - 24 ก.พ. โดยเจ้าหน้าที่สนธิกำลังกว่า 80 นาย ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปลงจุดบุกรุกป่าต้นน้ำบางกลอยบน - ใจแผ่นดิน พร้อมเข้าร่วมเจรจาโดยใช้หลักละมุนละม่อม ปราศจากความรุนแรงโน้มน้าวให้ชาวกระหร่างลงมาที่บริเวณบ้านบางกลอยล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐจัดสรรพื้นที่ไว้ให้ชาวกระหร่างทำกิน เพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่า

นายจงคล้าย วรพงศธร ผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ เผยว่า การเดินทางมาเจรจาในครั้งนี้ เบื้องต้นเพื่อมารับฟังปัญหาและความต้องการที่ชาวกระหร่าง ร้องขอ หากการร้องขอนั้นสามารถทำได้เลยก็จะทำ แต่สิ่งไหนที่ไม่สามารถรับปากในวันนี้ได้ก็จะนำไปรายงานให้คณะทำงานได้ประชุมหาทางแก้ไขเพื่อให้ปัญหายุติลง ขณะที่ ตัวแทนชาวกระหร่าง ได้ยื่นหนังสือข้อเจรจาให้กับเจ้าหน้าที่โดยมีวัตถุประสงค์ 7 ข้อ คือ

1.) พวกเราชาวบ้านบางกลอยขอยืนยันที่จะอยู่พื้นที่เดิมที่เคยอยู่มาก่อน

2.) คนที่ไม่มีความประสงค์จะกลับขึ้นไป ขอให้ช่วยเหลือเรื่องพื้นที่ทำกิน

3.) การปฏิบัติยุทธการพิทักษ์ป่าต้นน้ำเพชรที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการเมื่อวันที่ 22 - 23 ก.พ.ที่ผ่านมา สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเนื่องจากอุปกรณ์ส่องสว่างได้รับความเสียหาย

4.) ขอให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติการในช่วงนี้ จนกว่ากระทรวงทรัพยากรฯจะส่งคณะทำงานมา

5.) ขอให้เจ้าหน้าที่ และบางสื่อเสนอข่าว กล่าวหาว่า พวกเราไม่ใช่คนไทย

6.) ให้มีกระบวนการพิสูจน์สิทธิทั้งภาครัฐและนักวิชาการ กรณี เรื่องการทำไร่หมุนเวียน

7.) จะรอจนกว่าคณะทำงานที่ส่งมาจากกระทรวง ซึ่งอาจจะได้ข้อยุติ

ข้อเรียกร้องดังกล่าว นายจงคล้าย ยืนยันว่า จะนำเสนอให้กับคณะทำงานได้รับทราบและนำไปปฏิบัติเพื่อลดปัญหาการบุกรุกป่าต้นน้ำเพชร ต่อไป

ขณะเดียวกันประธานองค์กรอนาคตเพชรบุรี และภาคีเซฟแก่งกระจานป่าของโลกได้เดินทางไปยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ. แก่งกระจานกล่าวหาว่า...

พบเห็นการกระทำความผิดอาญาโดยมีนายนอแอ๊ มีมิลูก นายคออี้ พร้อมพวก กลับขึ้นไปบุกรุกพื้นที่พิพาท ณ.ปัจจุบันซึ่งเป็นพื้นที่ที่ศาลปกครองกลางและศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาแล้วว่า เป็นพื้นที่ของ อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน อาจเป็นการละเมิดมาตรา 16 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2504

ซึ่งถือเป็นการกระทำความผิดทางอาญา จึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวนและ ดำเนินคดีต่อ กลุ่มบุคคลดังกล่าวซึ่งมีทั้งตัวการและ ผู้สนับสนุน การกระทำความผิด โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอันเป็นความผิด ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ 2562


ที่มา: https://mgronline.com/local/detail/9640000019019

ศาลอาญาเตรียมพร้อมอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้ประกันสุเทพกับพวกหรือไม่ เช้านี้ ทนายรุดติดตาม

เมื่อเวลาเวลา 8.30 น.วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 64 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสวัสดิ์ เจริญผล ทีมทนายความ เดินทางมาติดตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภายหลังศาบอาญามีคำพิพากษาจำคุกเเกนนำ กปปส.เเละส่งคำร้องให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประกัน ว่าในวันนี้ทางทนายจะไม่มีการดำเนินการยื่นเอกสารใดๆแล้วเพียงแต่อยู่ในขั้นของการรอฟังคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จะมีการปล่อยตัวจำเลยทั้ง 8​ คน ซึ่งมีการถูกควบคุมตัวมาแล้ว 2 วัน

นายสวัสดิ์ กล่าวว่า ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สมควรแล้วที่ทางศาลจะมีคำสั่งปล่อยตัวจำเลยทั้ง 8 คน เพราะการถูกพิพากษาในครั้งนี้เป็นผลจากการชุมนุมตั้งแต่ปีพ.ศ 2556 และสิ้นสุดการชุมนุมเมื่อปีพ.ศ.2557 พฤติการณ์ทั้งหมดของผู้ที่ถูกตัดสินถือเป็นการต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมือง มาโดยตลอดจนกระทั่งวันที่ศาลมีคำสั่งพิพากษาตัดสินให้จำเลยมีความผิด

สำหรับหลักการที่จะไม่มีการปล่อยตัวศาลจะพิจารณาจากหลัก​ 4​ ข้อประกอบด้วย

1.) จำเลยมีการพยายามหลบหนีหรือไม่

2.) มีการยุ่งเกี่ยวกับพยานหรือไม่

3.) มีการทำผิดในเรื่องอื่นหรือไม่

และ 4.) หลักประกันมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ซึ่งที่ผ่านมาหลักประกันที่ทางทนายยื่นไปประกอบไปด้วยเงินสด

ซึ่งจากที่ทีมทนายได้มีการวิเคราะห์ร่วมกันกับจำเลยทั้ง 8 คน สรุปว่าที่ผ่านมาทั้งหมดไม่เคยมีใครมีพฤติการณ์หลบหนี ทุกคนมีการมาพบเจ้าหน้าที่ตามนัด ทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมีหลักประกันที่น่าเชื่อถือและไม่เคยมีใครปฏิเสธอำนาจของศาล

ฉะนั้นแล้วทั้งหมดจึงอยู่ในข่ายที่สมควรได้รับการประกันตัว ถึงแม้วันนี้จะยังไม่ทราบว่าศาลจะพิจารณาคำสั่งอนุญาตประกันเมื่อใด แต่ถ้าศาลมีการอนุญาตให้ประกันแล้วขั้นตอนต่อไปก็จะเป็นในส่วนของ การให้หมายปล่อยและราชทัณฑ์จะมีการตรวจสอบ การใช้เวลาน้อยหรือมากขึ้นอยู่ที่ขั้นตอนของทั้งสองส่วนซึ่งทางทนายไม่อาจละเมิดได้ ส่วนคำตอบจะเป็นอย่างไร ทนายและจำเลยก็ยินดีน้อมรับ

ส่วนเหตุการณ์เมื่อวานนี้​ (25 ก.พ.) ที่ศาลไม่มีคำสั่งให้ประกันทางทนายไม่ มีการพูดคุยกับจำเลยทั้ง 8 คนเนื่องจากเลยเวลาเข้าเยี่ยมของราชทัณฑ์แล้วเพียงแต่โทรศัพท์แจ้งทางญาติที่เฝ้ารออย่างมีความหวัง

ส่วนเรื่องของโรคประจำตัวทางราชทัณฑ์การแจ้งผ่านทนายว่าสามารถมีการฝากยาไว้ให้จำเลยทั้ง 8 คนได้ แต่อย่างไรก็ตามในเรือนจำเองมีโรงพยาบาลที่จะคอยอำนวยความสะดวกในอาการเจ็บป่วยอยู่แล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า โดยเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาทางศาลอาญาได้มีการประสานทำความเข้าใจว่ากรณีการจำคุกนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กับพวกว่าที่ผ่านมาทางศาลอาญายังไม่มีคำสั่ง​ "ไม่ให้ประกันตัว" แต่มีคำสั่งว่า เห็นควรส่งศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจะให้ปล่อยตัวหรือไม่ ดังนั้นจะไม่ใช่การยื่นขอประกันใหม่ แต่เป็นการรอฟังผลการพิจารณาจากทางศาลอุทธรณ์เท่านั้น โดยขณะนี้มีรายงานว่าทางศาลอาญาเตรียมความพร้อมที่จะอ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในช่วงเช้านี้

'Bitcoin' หลบไป! 'ดิจิทัลรูปี' กำลังมา

ต้องยอมรับถึงความร้อนแรงของตลาดการเงินดิจิทัลตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ยิ่งมีข่าวการกระโดดเข้ามาร่วมทุนอย่างเต็มตัวของเจ้าพ่อ Tesla อย่าง อีลอน มัสก์ ที่ยอมเทกระเป๋าลงทุนใน Bitcoin ไปแล้วถึง 45,000 ล้านบาท ก็ยิ่งทำให้ Botcoin กลายเป็นที่สนใจ และทำราคาพุ่งทะลุ 5 หมื่นดอลลาร์/ บิทคอยน์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวในเวลาเพียง 2 เดือน

ด้วยความคึกคักของตลาดเงินดิจิทัล ทางรัฐบาลอินเดียยอมรับว่า มีนักลงทุนอินเดียจำนวนไม่น้อยออกไปลงทุนในตลาดเงินดิจิทอล ที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของเงินสกุลรูปีของประเทศในระยะยาว

แต่หากทิศทางของการทำธุรกรรมในอนาคตมีแนวโน้มไปทางโลกดิจิทัล รัฐบาลอินเดียคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อกระแสของเศรษฐกิจยุคใหม่ได้ และได้มีการพูดคุยกันถึงการผ่านร่างกฏหมายว่าด้วยเรื่องข้อกำหนดของเงินดิจิทัล และอีกประเด็นที่กำลังเป็นที่น่าจับตาก็คือ การออกเงินสกุล ดิจิทัล รูปี ของอินเดีย

แม้ตอนนี้เพิ่งอยู่ในขั้นตอนการถกประเด็นในสภา แต่การออกดิจิทัล รูปี เริ่มมีเสียงตอบรับและสนับสนุนจากภาคเอกชนบางส่วนในอินเดียที่เห็นด้วยว่า อินเดียควรมีเงินสกุลดิจิทัลเป็นของตัวเอง

นาย ราเคช จุนยุนวาลา อภิมหาเศรษฐีอินเดียที่ได้รับฉายาว่าเป็น วอเรน บัฟเฟตแห่งอินเดียให้ความเห็นว่า รัฐบาลอินเดียควรแบน Bitcoin เพื่อสร้างเงินสกุลดิจิทัล รูปีให้เกิดด้วยซ้ำไป

แต่ทั้งนี้รัฐบาลอินเดียยังไม่ได้พิจารณาถึงขั้นที่จะแบนเงินสกุลดิจิทัลอื่นๆ หรือไม่รับรองการซื้อขายเงินดิจิทอลในตลาดเงินอินเดีย แต่การสร้างเงิน ดิจิทัล รูปี มีโอกาสเกิดขึ้นจริงในเร็วๆ​ นี้ และอาจเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งด้วย หากพิจารณาจากศักยภาพของอินเดีย ประเทศที่มี GDP ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก

นอกจากจะมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ใหญ่มากๆ​ แล้ว อินเดียยังสามารถพัฒนาระบบและเทคโนโลยีเป็นของตัวเองได้ และประสบความสำเร็จมากๆ อย่างเช่น ระบบ UPI หรือ Unified Payments Interface ซึ่งเป็นระบบการโอนเงินแบบเรียลไทม์ ที่พัฒนาโดยทีมนักพัฒนาระบบของอินเดียปี 2016 และอยู่ภายใต้การดูแลโดยธนาคารกลางอินเดีย

หลังจากที่ใช้ระบบ UPI ผ่านมาแล้ว 4 ปี ก็พบว่ามีธนาคารมากถึง 207 แห่ง รวมทั้ง Amazon เว็บไซท์ e-Commerce ชื่อดังได้ใช้ระบบ UPI เป็นช่องทางการทำธุรกรรมการเงิน และมีปริมาณการใช้งานต่อเดือนมากกว่า 2,330 ล้านครั้ง คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยมากถึง 57,800 ล้านเหรียญสหรัฐในแต่ละเดือน

และหากธุรกรรมการเงินเหล่านี้ใช้เป็นเงินดิจิทัล รูปี ในการซื้อขาย สกุลเงินนี้จะแข็งแกร่งถึงขนาดไหน

แต่การสร้างระบบเงินดิจิทัล รูปี ของอินเดีย รัฐบาลจะต้องสร้างระบบบันทึกรายการธุรกรรมดิจิทัลเป็นของตัวเอง ที่จะเป็นคนละระบบกับเงินดิจิทัลต่างชาติ เพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมและตรวจสอบ แม้ว่าจะเป็นสิ่งจำเป็นในเรื่องเกี่ยวกับระบบจัดเก็บภาษี ที่อาจมีประเด็นตามมาในเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ที่คงไม่อยากให้รัฐบาลรู้เรื่องเงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่เรามีในกระเป๋า

และมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาจเป็นอุปสรรคของการสร้างเงินดิจิทัล รูปี ก็คือการเข้าถึงเทคโนโลยีเงินดิจิทอลในประเทศ

แม้ในอินเดียจะมีประชากรมากถึง 1,360 ล้านคน แต่ยังมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนไม่ถึง 40% ของประชากร หรือราวๆ 600 ล้านเครื่อง และในจำนวนนี้ มีบัญชีผู้ใช้งานในระบบ UPI หรือระบบโอนเงินดิจิทัลของอินเดียเพียง 100 ล้านบัญชีเท่านั้น การเข้าถึงระบบธุรกรรมดิจิทัลในอินเดียตามสัดส่วนของประชากรทั้งหมดยังถือว่าน้อย

หากต้องการให้เงินดิจิทัล รูปี กลายเป็นอีกหนึ่งเงินสกุลหลักสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ รัฐบาลอินเดียจะต้องพยายามให้ชาวอินเดียเข้าถึงการใช้งานได้ทุกกลุ่ม ในอุปกรณ์ที่หลากหลายกว่าสมาร์ทโฟน เช่น คอมพิวเตอร์แล็บท็อปทั่วไป หรือ บัตรสมาร์ทการ์ด เพื่อผลักดันการใช้เงินดิจิทอล รูปี ในระบบเงินของอินเดียให้ได้อย่างน้อย 12% ของ GDP จึงจะเรียกว่า "ติดตลาด" ได้

และเมื่อพูดถึงโครงการดิจิทัล รูปี ก็อดเทียบกับเงินดิจิทัลของอีกประเทศที่ได้เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ นั่นก็คือ ดิจิทัล หยวน

ในเวลานี้ ทางจีนได้มีการปล่อยเงินดิจิทัล หยวน ทดลองใช้ในตลาดจริงแล้วในบางเมือง เช่น เสิ่นเจิ้น และ ซูโจว ซึ่งชาวจีนก็มีความคุ้นเคยกับการใช้เงินดิจิทอลมาแล้วอย่างแพร่หลาย หากนับจากประชากรจีนที่มีพลเมืองใกล้เคียงกับอินเดีย แต่มีสัดส่วนของผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากถึง 64% ในปี 2020 และมีแนวโน้มว่าจะมีผู้ใช้สมาร์ทโฟนสูงเกิน 75% ในอีก 5 ปีข้างหน้า

ซึ่งสกุลเงินดิจิทัล หยวน ก็ยังอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารกลางจีน ที่ทำให้เงินมีความเสถียรสูง และมีความเสี่ยงต่ำ

แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคของการเติบโตของดิจิทอล หยวน ของจีน ไม่ใช่คู่แข่งจากเงินดิจิทอลจากต่างประเทศอย่าง Bitcoin แต่กลับเป็นบริษัทผู้ให้บริการทางการเงินเอกชนในประเทศ อย่าง Alipay ของ Alibaba และ WeChat ของ Tencent ที่กินส่วนแบ่งในตลาดธุรกรรมการเงินดิจิทอลในจีนมากถึง 95% ซึ่งกลายเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลจีนว่า จะทำอย่างไรให้คนจีนหันมาใช้ ดิจิทอล หยวน ให้แพร่หลายกว่านี้ และจะแข่งกับบริษัทเอกชนที่ครองตลาดอย่างเหนียวแน่น และเข้าถึงผู้ใช้ชาวจีนได้มากกว่าอย่างไร

นับเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ระหว่าง 2 ประเทศ ที่โอกาสของ ดิจิทัล รูปี ยังดูสดใสมากในแง่ของผู้แข่งขันในประเทศยังไม่เด่นชัด และชาวอินเดียเพิ่งเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทอล

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าจับตามองมาก หากอินเดียผลักดัน ดิจิทัล รูปี ของตนเองจนประสบความสำเร็จ ก็อาจใช้เป็นโมเดลการสร้างเงินดิจิทัลของประเทศอื่นๆได้เลย


อ้างอิง

https://theprint.in/opinion/govt-can-ban-bitcoin-but-for-digital-rupee-to-succeed-india-has-to-do-a-lot/608542/

https://news.bitcoin.com/indias-warren-buffett-ban-bitcoin-digital-rupee/

https://en.wikipedia.org/wiki/Unified_Payments_Interface

https://www.cnbc.com/2021/02/17/chinas-digital-yuan-needs-to-beat-alipay-wechat-pay-first-piie.html

https://www.statista.com/statistics/309015/china-mobile-phone-internet-user-penetration/

ทำไม 'กปปส.' ได้ประกันวันหยุด ? ระเบียบตีตราชัดไม่มีเส้นใหญ่ เพื่อคุ้มครองสิทธิ ผู้ต้องหา จำเลยได้รวดเร็ว

ไม่นานมานี้​ เจ้าของเฟซบุ๊ก​ Tanakorn​ Wongpanya ได้โพสต์ข้อมูลกรณีการได้ประกันตัวในช่วงวันหยุดของกลุ่มแกนนำ​ กปปส.​ ซึ่งอาจจะเกิดข้อสงสัยจากสังคมว่าสามารถทำได้ด้วยหรือไม่นั้นว่า... 

ทำไมได้ประกันวันหยุด

เรื่องนี้ ประธานศาลฎีกา สมัยไสลเกษ วัฒนพันธุ์ ได้ลงนามออกประกาศ "ระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรมว่าด้วยการเปิดทำการศาลและพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในวันหยุดราชการ พ.ศ.​ 2562 

กล่าวคือ ให้ศาลชั้นต้น-อุทธรณ์-ฎีกา เปิดสั่งประกันวันหยุดเพื่อประโยชน์ยุติธรรมที่โดนคดี 

เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา/จำเลยให้ได้รับการพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยเร็ว จึงวางระเบียบเกี่ยวกับการเปิดทำการศาลในวันหยุดราชการ 

1) กรณีที่มีวันหยุดราชการติดต่อกัน 2 วันให้เปิดทำการในวันหยุดราชการวันแรกเป็นอย่างน้อย 

(2) กรณีที่มีวันหยุดราชการติดต่อกัน 3 วัน ให้เปิดทำการในวันหยุดราชการวันที่ 2 เป็นหนึ่งวันเป็นอย่างน้อย 

(3) กรณีที่มีวันหยุดราชการติดต่อกันตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป ให้เปิดทำการในวันหยุดราชการวันแรกและวันที่สามเป็นอย่างน้อย แต่ต้องมีให้ศาลปิดทำการติดต่อกันถึง 2 วัน 

กับให้ศาลชั้นต้นเปิดทำการศาลในวันหยุดราชการทุกวันเพื่อพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งการพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวนั้นให้หมายความรวมถึงการรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและการอ่านคำสั่ง 

นอกจากนี้ยังให้ศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกาเปิดทำการศาลในวันหยุดราชการทุกวันด้วยเพื่อพิจารณาคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา หรือคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว 

วันนี้ 8 กปปส. ได้ประกัน โดยยื่นขอประกันตั้งแต่วันแรก และยื่นอีกครั้งเมื่อวาน แต่ศาลสั่งลงมาในวันหยุด

ส่วนเรื่องมาตรฐานในทางปฏิบัติ กับระเบียบก็ควรเป็นธรรมกับทุกเคส เช่นนั้นเอง


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10219748318165507&id=1445075492

ลุงกำนันพร้อมแกนนำกปปส.รอดนอนคุก​ หลังศาลมีคำสั่งพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คนได้ ชี้ที่ผ่านมาในศาลชั้นต้น จำเลยทุกคนไม่มีพฤติการณ์หลบหนี

ลุงกำนันพร้อมแกนนำกปปส.รอดนอนคุก​ หลังศาลมีคำสั่งพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คนได้ ชี้ที่ผ่านมาในศาลชั้นต้น จำเลยทุกคนไม่มีพฤติการณ์หลบหนี

26 ก.พ. เวลา 9.15 น.ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายสวัสดิ์ เจริญผล ทีมทนายความกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังขึ้นฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ในกรณีที่ทางทนายขอยื่นประกันตัวชั่วคราวกับนายสุเทพ และพวกแกนนำ กปปส.รวม​ 8 คน 

นายสวัสดิ์ กล่าวว่า​ ศาลมีคำสั่งพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 คนได้ เพราะที่ผ่านมาในศาลชั้นต้น จำเลยทุกคนไม่มีพฤติการณ์หลบหนีและเคยได้รับการประกันตัว​ ซึ่งเงื่อนไขที่เพิ่มเติม คือราคาประกัน ที่เพิ่มขึ้นเป็น 800,000 บาท และห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาต จากที่ศาลชั้นต้นตีราคาประกัน 600,000 บาท 

หลังจากนี้ศาลอาญาจะมีการออกหมายปล่อยตัวหลังจากที่มีการวางเงินประกันเพิ่มซึ่งทางราชทัณฑ์ก็จะมีการถือหมายการปล่อยตัวไปที่เรือนจำตามขั้นตอนต่อไป

สุดท้ายนายสวัสดิ์ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ศาลมีคำสั่งให้มีการประกันตัวชั่วคราว ขอขอบคุณพี่น้องที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด

รฟม.เตรียมเปิดประมูลรถไฟฟ้าสีส้มรอบใหม่ เปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อประกอบการจัดทำร่างเอกสารยื่นข้อเสนอโครงการ (RFP) 1 มี.ค. นี้

นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยระบุว่า ที่ประชุมได้สอบถามถึงความคืบหน้าของการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม งานโยธาช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - บางขุนนนท์ และงานติดตั้งระบบเดินรถทั้งเส้นทางมีนบุรี - บางขุนนนท์ ซึ่ง รฟม.ได้ชี้แจงถึงเหตุผลของการยกเลิกประกวดราคา เพื่อต้องการเร่งรัดให้โครงการสามารถเปิดบริการตามเป้าหมาย 

อย่างไรก็ตาม ในวันจันทร์ที่ 1 มี.ค.นี้ รฟม.จะเริ่มดำเนินการเปิดประกวดราคารอบใหม่ โดยจะประกาศเปิดรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อประกอบการจัดทำร่างเอกสารยื่นข้อเสนอโครงการ (RFP) โดยจะรับฟังความคิดเห็นเป็นการทั่วไป ในประเด็นอาทิ เงื่อนไขประมูล การแบ่งซองประมูล รวมไปถึงการคำนวณคะแนนเพื่อพิจารณาข้อเสนอคควรเป็นอย่างไร โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็น 15 วัน หลังจากนั้นจะเปิดให้เอกชนเสนอความเห็นอีก 3 วัน 

ทั้งนี้เบื้องต้นประเมินว่ากระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพื่อประกอบการจัดทำ RFP จะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค.นี้ หากไม่มีปัญหาติดขัด คาดว่าจะสามารถประกาศขายซองข้อเสนอได้ภายในเดือน เม.ย.2564 เข้าสู่กระบวนการพิจารณาข้อเสนอ แล้วเสร็จเพื่อเสนอผลประมูลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเดือน ส.ค.นี้ โดยหากการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้วเสร็จ รฟม.คาดว่าจะสามารถเร่งรัดให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้างทันทีภายในปีนี้ 

นายภคพงศ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้รฟม.ดำเนินการให้เช่าหรือให้สิทธิใดๆอสังหาริมทรัพย์ในโครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณสถานีพระนั่งเกล้า โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน-คลองบางไผ่ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อรถ ราง เรือ รวมทั้งเป็นการพัฒนาท่าเรือพระนั่งเกล้าฯโดยจะเสนอต่อกระทรวงคมนาคมพิจารณา และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 1 เดือน 

"ส่วนรูปแบบการให้เอกชนลงทุนโครงการฯ ขอดูรายละเอียดเพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนว่าเป็นอย่างไร ขณะที่อายุสัญญาขึ้นอยู่กับเอกชนที่ให้ความสนใจ คาดว่าก่อสร้างแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย.นี้ หลังจากนั้นจะเปิดให้บริการปลายเดือนเม.ย. - ต้นเดือน พ.ค.2564 หาก ครม.เห็นชอบในช่วงแรกจะเปิดให้บริการท่าเรือพระนั่งเกล้าไปก่อน หลังจากนั้นค่อยให้สิทธิเอกชนเข้ามาบริหารอาคารผู้โดยสารและพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เพื่อดำเนินการจัดทำสัญญาเช่าต่อไป"นายภคพงศ์ กล่าว 

สำหรับโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ดังกล่าว จำนวน 2,100 ตารางเมตร มูลค่า 33 ล้านบาท ประกอบด้วย ท่าเรือสะพานพระนั่งเกล้าฯ และพื้นที่บริเวณไทรม้า ทั้งนี้ตามพรบ.รฟม. มาตรา 75 (6) กำหนดว่าการให้เช่าหรือให้สิทธิใดๆ ของโครงการที่มีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท จำเป็นต้องเสนอให้ครม.เห็นชอบ 

ในส่วนของความคืบหน้าผลการเจรจาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเหลือง ช่วงแยกรัชดา - ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ระหว่าง รฟม. กับบริษัท อีสเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ EBM ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนโดยกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (บีทีเอส-ซิโนไทยฯ-ราชกรุ๊ป) เป็นผู้รับสัมปทานให้ที่ประชุมรับทราบ เนื่องจากทาง EBM ได้ทำหนังสือถึง รฟม. โดยยืนยันชัดเจนว่า ไม่สามารถรับภาระค่าชดเชยรายได้จากผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ตามที่บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทำหนังสือถึง รฟม. ขอให้เจรจากับ EBM 

"ที่ประชุมได้มอบหมายให้รฟม.ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องชดเชยเพิ่มเติมให้แก่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน MRT เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมบอร์ดในครั้งถัดไป. เราต้องประมาณการในส่วนที่ต้องรับภาระค่าชดเชยตามที่ BEM เรียกร้อง เพื่อประกอบการพิจารณา ส่วนจะมีการเจรจาเพิ่มเติมกับ EBM หรือไม่ขึ้นอยู่กับมติบอร์ดรฟม.เป็นผู้พิจารณา" นายภคพงศ กล่าว 

สำหรับความคืบหน้าทำทางเชื่อมระหว่างสถานีกลางบางซื่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อ​ (สายสีแดง) โดยภายในเดือน มีนาคม นี้จะมีการทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) ซึ่งเป็นการทุบทางเชื่อม​ 2 จุด จุดละ 10 ล้านบาท รวม 20 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.นี้  โดยรฟม.จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก่อน จากนั้น รฟท. จะจัดหางบประมาณมาชำระคืนภายหลัง 

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับการก่อสร้างและเจาะกำแพงเชื่อมต่อโครงการดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 6 เดือน และแล้วเสร็จทันต่อการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ - ตลิ่งชัน มีกำหนดจะเปิดรอบปฐมฤกษ์ วันที่ 26 มี.ค. 64 ให้ประชาชนร่วมใช้บริการเป็นบางสถานีเป็นรอบ จากนั้นจะทดสอบเดินรถเสมือนจริง (trail run) และเปิดทดลองใช้ฟรี วันที่ 28 ก.ค.ถึงปลายเดือน พ.ย.64 
 

สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระคติธรรม เนื่องในวันมาฆบูชา ปี​ 2564 ให้ยึดหลักขันติธรรม

เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เผยแพร่คติธรรม สมเด็จพระสังฆราช เนื่องในวันมาฆบูชา 26 กุมภาพันธ์ 2564 ความว่า... 



เนื่องในวันมาฆบูชา 26 กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระคติธรรม ความว่า 

“ดิถีมาฆบูชาได้เวียนมาบรรจบอีกคำรบหนึ่งแล้ว ดิถีเช่นนี้ชวนให้พุทธบริษัททุกหมู่เหล่าน้อมระลึกถึงเหตุการณ์ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ อันมีหลักการสำคัญเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ 1. การไม่ทำบาปทั้งปวง 2. การบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อม และ 3. การชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ประทานแก่พระอรหันตสาวก 1,250 รูป ซึ่งล้วนอุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ณ ดิถีเพ็ญเดือน 3 เมื่อกว่า 2,600 ปีล่วงมาแล้ว อย่างไรก็ดี หากปีใดเป็นปีอธิกมาส วันมาฆบูชาจะตรงกับดิถีเพ็ญเดือน 4 ดังเช่นที่เกิดขึ้นปีนี้

สารัตถะประการหนึ่งในโอวาทปาติโมกข์นั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนหลักการแห่ง ‘ขันติธรรม’ เพื่อเป็นหลักเผยแผ่พระศาสนา และการดำรงตนของพุทธบริษัท ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา แปลว่า ‘ขันติ เป็นเครื่องเผาผลาญบาปธรรมอย่างยิ่ง’
‘ขันติ’ หมายถึง ‘ความอดทนอดกลั้น’ มีลักษณะ คือความข่ม มีรส คือความอดทนต่อสิ่งที่น่าพอใจและไม่น่าพอใจ มีสภาพที่ปรากฏ คือความอดกลั้นหรือความไม่โกรธ มีพื้นฐานคือความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง

ทุกชีวิตที่เกิดมาในโลกต่างมีสัญชาตญาณรักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น และก็เป็นธรรมดาที่ทุกชีวิตจำต้องเผชิญความทุกข์โทมนัส สลับกับความสุขโสมนัส หมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่เสมอ จะหาบุคคลผู้มิต้องประสบกับ ‘โลกธรรม 8’ กล่าวคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สรรเสริญ นินทา สุข และทุกข์ ในโลกนี้ เป็นอันมิมีเลย ผู้ตระหนักรู้ในความจริงเช่นนี้ จึงพึงสั่งสมบ่มเพาะกำลังแห่งขันติไว้สำหรับใช้ระงับยับยั้ง และต้านทานโลกธรรม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในท่ามกลางวิกฤติการณ์ ซึ่งรุมเร้าเข้าสู่บ้านเมืองและโลกของเราทุกวันนี้ ทั้งนี้ ก็เพื่อจะได้รักษาร่างกายและจิตใจให้ยังคงความผาสุก สามารถอดทนอดกลั้นต่อทุกขเวทนาทางกาย ถ้อยคำจาบจ้วงล่วงเกิน คำติฉินนินทาว่าร้าย และความเสื่อมลาภเสื่อมยศ ซึ่งหลงยึดถือไว้ว่าเป็นตัวเราของเราเสียได้ อย่างน้อยแม้จะเจ็บใจเพียงใด แต่ก็ไม่เผลอแสดงอาการหุนหันพลันแล่นออกมาทางกายหรือทางวาจาจนเสียกิริยาอาการอันดี

บุคคลผู้สามารถดำรงขันติธรรม คือความอดทนอดกลั้นไว้ได้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้เสงี่ยมงดงาม ถือธรรมะเป็นใหญ่ กิเลสตัณหาไม่อาจทำอันตราย เมื่อเป็นได้ดังนี้แล้ว ย่อมประสบความสงบร่มเย็น ระงับความดิ้นรนทะยานอยาก การที่สามารถดับเพลิงทุกข์เป็นคราวๆ ได้ เสมือนว่าได้ถึงพระนิพพานเป็นคราวๆ เป็นบทพิสูจน์ให้พุทธบริษัทรู้เห็นตามความเป็นจริงว่า พระนิพพานมิใช่ธรรมะอันสุดเอื้อม

แม้ว่าพระนิพพานจริงๆ คือความดับเพลิงทุกข์ได้โดยสิ้นเชิงอาจยังอยู่ไกล แต่พระนิพพานในปัจจุบันคือความดับกิเลสตัณหา ซึ่งบังเกิดขึ้นครอบงำจิตใจในขณะนี้ จึงอาจใช้ ‘ขันติธรรม’ คือความอดทนอดกลั้นนี้เอง เป็นเครื่องช่วยระงับดับได้ แม้เพียงคราวหนึ่ง ๆ ก็ยังดี ไม่เกินความสามารถที่ทุกคนจะปฏิบัติและเข้าถึงได้ เพื่อความสงบร่มเย็นซึ่งพึงบังเกิดมีขึ้นแก่ตนและแก่สังคมส่วนรวม สมความปรารถนาอันดีงามของคนไทย ที่ต่างหวังใจมุ่งหมายจะได้ประสบสันติสุขด้วยกันทุกคน

ขอพระสัทธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงดำรงมั่นคงอยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน และขอพุทธบริษัททั้งหลาย จงพร้อมเพรียงกันศึกษาพระสัทธรรมนั้น เพื่อบรรลุถึงความรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นสืบไป เทอญ


ที่มา: https://www.facebook.com/1739953572982206/posts/2751286205182266/
 

รับจ้างทำบุญ รีวิวรูปถ่ายและวีดีโอรายงานผล เหมือนทำบุญด้วยตัวเอง 

เดี๋ยวนี้ธุรกิจบุญแตกหน่อไปไกล​ ล่าสุดเพจ​ 'บุญบังใบ​ สังฆภัณฑ์'​ ได้เปิดรับบริการใหม่​ สำหรับสายบุญที่ไม่มีเวลา​ โดยโพสต์ว่า... 

•• รับจ้างตื่นมาตักบาตร ••

อยากตักบาตรแต่ไม่ชอบตื่น อยากตักบาตรแต่อยู่ต่างประเทศ อยากตักบาตรแต่ตื่นไม่ไหวเพราะเมาค้าง อยากตักบาตรแต่ธุรกิจรัดตัว อยากตักบาตรแต่แถวบ้านไม่มีวัด
อยากตักบาตรแต่ยังอยากหลับตาอยู่อย่างนั้น ทำอยู่อย่างนั้น ฝันถึงเทอเรื่อยปัยยย เพราะว่าความจริงไม่มีทางใด ทำให้เราได้รักกัน เอ้า!!! ร้องได้ช่วยกันร้องหน่อยค้าาาา ทางซ้ายหละ เอ้า ทางขวาบ้างงงง 

เพียงแค่คุณลูกค้าโอนเงินมา พร้อมแจ้งชื่อนามสกุล เรามีทีมงานที่พร้อมทำทุกอย่างให้
พร้อมรูปถ่ายและวีดีโอรายงานผล เห็นทุกสิ่งเหมือนไปตักด้วยตัวเอง เหลือแค่ตื่นมากรวดน้ำ 

ถ้าตื่นเองได้ ไปตักเองดีที่สุด
แต่ถ้าไม่สะดวกตื่น ทักค่อฟฟฟฟฟฟ !!!!

????ราคา : ชุดละ99บาท???? 
(อาหาร1อย่าง+ข้าวสวย+ขนม+น้ำ)
* เพิ่มดอกไม้ชุดละ9บาท เป็นชุดละ108บาท 
** ไม่มีขั้นต่ำ หนึ่งชุดก็รับ
*** แพคเกจ​ 3​ วัน​ 5​ วัน​ 10​ วันได้หมดค้าาา


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=190101016208436&id=100362425182296
 

'เยาวชนปลดแอก'​ นัดชุมนุมรอบใหม่ รวมพลอนุสาวรีย์ชัยฯ เคลื่อนไปบ้านพักนายกฯ ค่ายกรมทหารราบที่ 1 วันที่ 28 ก.พ.นี้

เฟซบุ๊กกลุ่มเยาวชนปลดแอก ประกาศจัดชุมนุมอีกครั้ง โดยนัดหมายเดินขบวนในวันอาทิตย์ที่ 28 ก.พ. เวลา​ 15.00 น. จากอนุสาวรีย์ชัยสมาภูมิ ไปยังบ้านพัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการระทรวงกลาโหมภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์

ทั้งนี้ ในเฟซบุ๊กเยาวชนปลดแอกยังได้ระบุว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้ มวลชนจะเป็นผู้ตัดสินใจร่วมกัน ไม่มีแกนนำ ไม่มีรถห้องน้ำ ไม่มีการ์ด ไม่มีรถเวที มีเพียงมวลชนที่ไม่ใครอาจหยุดกั้น


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/924667
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top