Saturday, 17 May 2025
NewsFeed

เป็นเวลาเกือบ 1 ปี ที่ทั่วโลกต่างพยายามพัฒนาวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส Covid-19 ที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก ให้มนุษย์สามารถก้าวข้ามวิกฤตินี้ไปให้ได้ และอาจนับได้ว่าเป็นการพัฒนาวัคซีนด้วยระยะเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่เคยมีมา

จนในวันนี้โลกเราก็ประสบความสำเร็จ เริ่มผลิตวัคซีน Covid-19 ออกมาใช้งานได้จริง และมีผลสัมฤทธิ์เป็นที่น่าพอใจมาก จากตัวเลขการติดเชื้อที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดในหลายประเทศที่เริ่มโครงการวัคซีนไปแล้ว

แน่นอนว่าหนึ่งในทีมพัฒนาวัคซีนที่ประสบความสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชมอย่างมาก คือ ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด จับมือร่วมกับ AstraZeneca ซึ่งเป็นบริษัทยาชั้นนำที่ร่วมทุนกันระหว่างอังกฤษและสวีเดน

จุดเริ่มต้นโครงการพัฒนาวัคซีน Oxford/AstraZeneca ริเริ่มโดย ‘ด็อกเตอร์ แอนดี้ พอลลาร์ด’ และ ‘ด็อกเตอร์ ซาราห์ กิลเบิร์ท’ ที่ประจำอยู่ในศูนย์วิจัยวัคซีนของมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด หลังจากพบว่ามีเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดคร้้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ในประเทศจีนเมื่อช่วงปลายปี 2019 และเริ่มแพร่ระบาดในต่างประเทศได้ไม่นาน

ทีมวิจัยอ็อกซฟอร์ดได้เริ่มต้นโครงการพัฒนาวัคซีน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2020 จากข้อมูลของเชื้อไวรัสของ ‘ด็อกเตอร์ จาง หย่งเจิน’ นักไวรัสวิทยาจากสถาบันวิจัยเซี่ยงไฮ้ที่ได้ถอนรหัสโครงสร้างพันธุกรรมของ Covid-19 ได้เป็นครั้งแรก

และด้วยประสบการณ์ที่เคยทำงานวิจัยวัคซีนป้องกัน ‘ไวรัสอีโบร่า’ และ ‘ไวรัสเมอร์ส’ ที่เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ของไวรัสโคโรน่าเช่นเดียวกัน จึงเป็นเหมือนทุนความรู้เดิมที่ช่วยให้ทีมงานรู้ขั้นตอนในการพัฒนาวัคซีนเป็นอย่างดี

แต่การแพร่ระบาดไปไกลกว่าที่ทีมวิจัยได้คาดคิดไว้มาก ด็อกเตอร์พอลลาร์ด เล่าว่า การแพร่ระบาดที่ขยายวงกว้างและรุนแรงเป็นข่าวร้ายของทีมวิจัยที่ต้องทำงานแข่งกับเวลายิ่งกว่าเดิม และต้องเปลี่ยนแผนการทำงานที่เคยวางไว้ เช่น การเพิ่มบุคลากรในทีม การร่นเวลาในการทดลองในแต่ละเฟส การขยายกลุ่มอาสาสมัครที่มากกว่าเดิม และนั่นก็หมายความว่าทีมงานต้องใช้ทุนวิจัยมากกว่าเดิมหลายเท่า

และก็ได้บริษัทยา AstraZeneca เข้ามาร่วมทุนสนับสนุน ที่ทำให้ทีมงานของทั้ง 2 ด็อกเตอร์จากสถาบันวัคซีนแห่งอ็อกซฟอร์ด สามารถเดินหน้าโครงการวิจัยได้ในที่สุด

ด็อกเตอร์พอลลาร์ดยอมรับว่าการทำงานแข่งกับเวลา และแรงเสียดทานจากกลุ่มคนผู้ไม่หวังดี สร้างแรงกดดัน และบั่นทอนกำลังใจทีมงานอยู่หลายครั้ง เช่นเมื่อคราวที่ทางทีมงานได้เริ่มทดลองฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครกลุ่มแรก เพียงไม่กี่วัน หลังจากนั้นก็มีข่าวปลอมกระจายทั่วออนไลน์ว่ามีกลุ่มทดลองเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนจากทีมของอ็อกซฟอร์ด

ถึงแม้จะเป็นข่าวปลอม แต่ก็สร้างความกดดันให้กับทีมงาน และกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนชุดแรกไปแล้วไม่น้อย ทางทีมวิจัยต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย ทั้งยังต้องเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง และต้องทำความเข้าใจกับสื่อมวลชนให้รายงานข่าวได้อย่างถูกต้อง

ปัญหาของกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน ก็สร้างความปวดหัวให้กับทีมวิจัยเช่นกัน ด็อกเตอร์พอลลาร์ดได้กล่าวว่า ค่อนข้างเป็นกังวลกับกลุ่มที่ต่อต้านการฉีดวัคซีน อาจจะด้วยความไม่เข้าใจ ไม่เชื่อมั่น หรือ ไปเชื่อข้อมูลแปลกๆ ที่ทำให้คิดว่าการฉีดวัคซีนเป็นอันตราย และยังไม่ป้องกันตัวเอง ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ทำให้เชื้อไวรัสยังคงแพร่กระจายอยู่ ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของทีมวิจัยที่ต้องเร่งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับผู้คนกลุ่มนี้

หลังจากผ่านการทดลองมาหลายขั้นตอน ในที่สุดทีม Oxford/AstraZeneca ก็สามารถบรรลุการทดลองเฟสที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย ที่ได้ประสิทธิภาพในระดับที่น่าพอใจที่จะเริ่มฉีดให้กับคนทั่วไปได้แล้ว แต่งานของทีมวิจัยยังไม่จบเพียงแค่นี้

การได้รับการรับรองจากรัฐบาล และองค์กรสากล เป็นสิ่งที่การันตีความน่าเชื่อถือของวัคซีน ซึ่งที่ผ่านมาวัคซีน Oxford/AstraZeneca ก็เคยได้รับผลตอบในแง่ที่ไม่ดีบ้าง แม้แต่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส แอมานูเอล มาครง เคยตั้งข้อสงสัยถึงประสิทธิภาพของตัววัคซีนจากอังกฤษนี้ แต่ในที่สุดวันนี้ วัคซีน Oxford/ AstraZeneca ก็ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากองค์การอนามัยโลกเรียบร้อยแล้ว

ด็อกเตอร์พอลลาร์ดกล่าวว่า ทีมงานของเขามีเป้าหมายชัดเจนในการพัฒนาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ ในราคาไม่สูง บริหารจัดการได้ง่าย ทั้งการจัดเก็บ และการขนส่ง ที่จะทำให้วัคซีนของเราสามารถเข้าถึงได้กับประชาชนทั่วทุกมุมโลก และก็ได้วัคซีนที่ตอบโจทย์ตรงตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ

ปัจจุบันอังกฤษได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วถึง 14 ล้านคน ทั้งจากวัคซีนของอ็อกซฟอร์ด และ Pfizer นับเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในโครงการฉีดวัคซีนเป็นอันดับต้นๆของโลก

แต่นั่นยังไม่ทำให้ทีมวิจัยจากอ็อกซฟอร์ดพอใจ เพราะโอกาสที่จะเกิดโรคระบาดครั้งใหม่จากเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายในอากาศมีความเป็นไปได้ในอนาคต และยังมีเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่เรายังไม่ค้นพบอีกมากมาย

ด็อกเตอร์กิลเบิร์ท จึงได้ผลักดันให้เกิดศูนย์วิจัยนวัตกรรมวัคซีนแห่งชาติขึ้นในอ็อกซฟอร์ดไชร์น ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลอังกฤษถึง 158 ล้านปอนด์ (ประมาณ 6,320 ล้านบาท) เพื่อสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขให้กับประเทศอังกฤษในการป้องกันภัยจากโรคระบาดชนิดใหม่ คาดว่าศูนย์วิจัยแห่งใหม่นี้จะสร้างเสร็จภายในสิ้นปี 2021 นี้


อ้างอิง:

https://www.theguardian.com/world/2021/feb/14/life-savers-story-oxford-astrazeneca-coronavirus-vaccine-scientists

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า อาจมีปัญหาเรื่องเวลาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจมีปัญหา จึงไม่แน่ใจว่าการอภิปรายจะเสร็จทันหรือไม่ ส่วนคืนนี้คาดว่าจะจบกันอภิปรายในเวลาเที่ยงคืนเศษ ซึ่งก็ประเมินไว้ตั้งแต่ต้นว่าอาจมีการต่อเวลา

เมื่อถามถึงการประท้วงในการอภิปรายที่ฝ่ายค้านโจมตีว่ารัฐบาลบางคนตอบไม่ตรงคำถาม ประธานสภาฯ กล่าวว่า ความจริงแล้วไม่เหมือนกระทู้ถาม ที่ต้องคาดคั้นให้ตอบได้ ยิ่งไม่ตอบก็แสดงว่ารัฐมนตรี ไม่สามารถตอบคำถามได้ ไม่จำเป็นต้องไปคาดคั้น ถ้าไม่ตอบเลยประชาชนก็จะเห็นว่ารัฐมนตรีตอบไม่ได้ ความผิดพลาดก็จะอยู่ที่รัฐมนตรีเอง เขาไม่ตอบก็เป็นสิทธิ์ของเขา

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีรู้สึกผิดหวังกับการอภิปรายในสภา ที่มีการเสียดสี ดูถูก เหยียดหยาม มากขึ้น นายชวน กล่าวว่า เข้าใจว่าเป็นความรู้สึกของนายกฯ ก็เห็นว่าวิธีการอภิปรายบางคน มีถ้อยคำ ก้าวร้าว รุนแรงดูถูกเหยียดหยาม ก็มีมูลความจริงอยู่ สำหรับบางคน ไม่ใช่ทั้งหมด ต้องยอมรับว่าเหมือนบางคนมีเจตนาจะมาแข่งกัน ใช้ถ้อยคำที่แรงกว่ากัน ก็ดีที่ว่าห้ามแล้วฟัง แต่คำเหล่านั้นก็บันทึกอยู่ในที่ประชุมสภาว่าคำใดไม่เหมาะสม

ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย อย่างไรก็ตาม ขออย่ามองว่าส.สในสภาจะเหมือนกันทุกคน พื้นฐานแต่ละคนก็ต่างกัน นิสัยใจคอ กิริยา มารยาท ก็ต่างกัน บางอย่างคุมไม่ได้ ระเบียบข้อบังคับคุมได้ แต่กิริยามารยาทคุมไม่ได้


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/221265

ผศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พี่สาวของ จอห์น วิญญู พิธีกรชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊กระบุข้อความว่า...

ประกาศ: ขอความร่วมมือในการ call out ผู้บริหารมหาวิทยาลัย

ด้วยเหตุที่นับวันก็ยิ่งมีนิสิตนักศึกษาถูกหมายเรียก หมายจับ หมายศาล สารพัดหมายเรียกไม่ถูกอันเนื่องมาจากประมวลกฎหมายอาญา ม.112 มากขึ้น และเกิดความสงสัยไม่แน่ใจในจุดยืนของสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยควรเดินเรื่องประกันตัวหรือไม่ หรือเป็นหน้าที่ของคณะ หรือองค์กรเห็นด้วยกับ ม.112 จึงปล่อยให้อาจารย์ที่ไม่เห็นด้วยไปประกันในฐานะปัจเจกและค่อนข้างตามมีตามเกิด อิฉันจึงเห็นสมควรต้อง call out ผู้บริหารมหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย และทุกคณะให้ออกมาให้คำตอบกับสังคมว่า “เอา” หรือ “ไม่เอา” ม.112

คำถามนี้มีคำตอบให้เลือกแค่ 2 อย่างคือ “เอา” หรือ “ไม่เอา” ไม่ต้องมาบอกว่าองค์กรมีความหลากหลาย เพราะเราอยากรู้ว่าตัวอธิการบดีแต่ละมหาวิทยาลัย และคณบดีแต่ละคณะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” แค่นั้น และถ้าจะบอกว่า “เอา แต่ไม่อยากให้ใช้พร่ำเพรื่อ” สิ่งนี้ก็มีความหมายแค่เท่ากับ “เอา” หรือถ้าบอกว่า “ไม่เอาแต่ไม่ได้แปลว่าไม่รักเจ้า” ก็แค่แปลว่า “ไม่เอา” อยู่ดี เอาแค่นี้เบสิคมากไม่ต้องการคำอธิบาย แก้ตัว disclaimer เหยียดยาว เป็นถึงระดับผู้บริหารแล้วคำถามเบสิคแค่นี้ต้องตอบได้

เพราะเด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะต้องเลือกเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาทั้งหลายเขามีสิทธิที่จะรู้ เขาจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจ ถ้าเขาชอบ ม.112 เขาจะได้ไม่ไปเข้าที่ที่ผู้บริหารบอกว่า “ไม่เอา” ม.112 หรือถ้าเข้าไปแล้วผู้บริหารเกิดจะไปประกันนักศึกษาทีโดนคดี ม.112 เขาก็จะได้ไม่ต้องมาประท้วงโวยวายให้มันมากความเพราะได้บอกจุดยืนไว้อย่างชัดเจนแล้ว ในทางกลับกันเด็กที่ “ไม่เอา” ม.112 และรู้สึกว่าในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยอาจจะมีเหตุให้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนี้ก็จะได้เลือกเข้าได้ถูกคณะ หรือถ้าจำเป็นต้องเข้าคณะที่ผู้บริหาร “เอา” ม.112 ก็จะได้เตรียมหาลู่ทางที่จะไม่ต้องรบกวนผู้บริหารมาประกันตัวเวลาที่เขาเกิดมีคดีขึ้นมา เราคิดว่ามันแฟร์สำหรับทุกฝ่าย

และที่สำคัญ สำหรับเราซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์ เราอยากได้หลักฐานลายลักษณ์อักษรที่บ่งชี้จุดยืนต่อกฎหมายนี้จากปัญญาชนชั้นนำระดับผู้บริหารมหาวิทยาลัยในประเทศ ณ เวลานี้ เพราะมันจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยในยุคนี้ สำหรับนักประวัติศาสตร์ในอนาคตชั่วลูกสืบหลานแน่นอน

แน่นอนว่าสิ่งนี้เราทำเองไม่ได้ แต่เราคิดว่ามันเป็นแคมเปญที่จะมีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม เราจึงอยากชี้ชวนให้นิสิตนักศึกษา ศิษย์เก่า ศิษย์ปัจจุบัน ตลอดจนน้องๆ นักเรียนชั้นประถมมัธยมที่จะกลายเป็นนิสิตนักศึกษาในอนาคตทั่วประเทศช่วยกันออกมาผลักดัน call out ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ท่านรักหรือสนใจโดยพร้อมเพรียงกัน จักเป็นพระคุณยิ่ง


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93405

สพฐ.ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นระยะ เบื้องต้น ยังคงยืนยันการสอบรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามปฏิทินเดิม รับสมัคร 24 - 28 เม.ย. สอบ 1 - 2 พ.ค.

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยว่า การสอบรับนักเรียนเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และมัธยมศึกษาปีที่ 4 ของโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ปีการศึกษา 2564 นั้น สพฐ.ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เป็นระยะ เบื้องต้น ยังคงยืนยันตามปฏิทินเดิม

คือ มัธยมศึกษาปีที่ 1 รับสมัครระหว่างวันที่ 24 - 28 เมษายน สอบคัดเลือกวันที่ 1 พฤษภาคม ประกาศผลวันที่ 5 พฤษภาคม มอบตัววันที่ 8 พฤษภาคม มัธยมศึกษาปีที่ 4 รับสมัครระหว่างวันที่ 24 - 28 เมษายน สอบคัดเลือกวันที่ 2 พฤษภาคม ประกาศผลวันที่ 6 พฤษภาคม มอบตัววันที่ 9 พฤษภาคม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา กทม. โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภูมิภาค ม.4 รับสมัครวันที่ 20 - 24 กุมภาพันธ์ สอบคัดเลือก 6 มีนาคม ประกาศผล 15 มีนาคม มอบตัววันที่ 18 มีนาคม ยกเว้นว่า จะมีเหตุการณ์ฉุกเฉินค่อยมาพิจารณาแก้ปัญหา

“ขณะนี้กำหนดการจัดสอบรับเด็กเพื่อเข้าเรียนม.1 และม.4 ยังเป็นไปตามปฏิทินเดิม แต่หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ปัญหาต่อไป แต่เท่าที่ดูขณะนี้คิดว่า ไม่น่าจะมีปัญหา โดยผมได้ย้ำให้เตรียมการจัดสอบ ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อาทิ มีการเว้นระยะห่าง ตรวจวัดอุณหภูมิ เตรียมเจลล้างมือแอลกอฮอล์ไว้ในห้องสอบ และสถานที่โดยรอบ เพื่อให้เด็กที่เข้าสอบได้ใช้ในการทำความสะอาดอย่างถูกต้อง ” นายอัมพร กล่าว

นายอัมพร กล่าวต่อว่า "ส่วนโรงเรียนที่ใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติหรือโอเน็ต เป็นองค์ประกอบในการเข้าเรียนต่อชั้น ม.1 และ ม.4 นั้น ก็ยกเลิกเช่นกัน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ออกประกาศเรื่อง นโยบายการใช้ผลสอบโอเน็ต เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการตัดสินผลการเรียน ของผู้ที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ตามนโยบายของนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการศธ. ที่ให้ยกเลิกการทดสอบโอเน็ตชั้น ป.6 และม.3 แต่ให้ถือเป็นสิทธิโดยส่วนตัวที่จะเข้าสอบโดยความสมัครใจ"

"อย่างไรก็ตาม อนาคตจำนวนนักเรียนต่อห้องต้องลดลง เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่า จำนวนต่อห้องซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ไม่เกิน 40 คน ต่อห้องนั้น เป็นไปตามหลักวิชาการ ดังนั้นจึงอาจยังไม่จำเป็นต้องมีการปรับ แต่หากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทางโรงเรียนก็ต้องปรับตัว จัดการเรียนการสอน ตามมาตรการป้องกันของสธ. อย่างเคร่งครัด"


ที่มา: https://www.matichon.co.th/education/news_2584606

ในขณะที่หลายประเทศในอาเซียนยังคงสงวนท่าทีต่อ “มาตรการตอบโต้การรัฐประหารในเมียนมา” หลังจากที่ทางสหรัฐฯได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าเตรียม “คว่ำบาตรพม่า” พร้อมเชิญชวนชาติพันธมิตรให้ร่วมทำตาม เพื่อตอบโต้การกระทำดังกล่าวของกองทัพ

สิงคโปร์ได้กลายเป็นชาติแรกของอาเซียนที่ออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนถึงเรื่องนี้ โดยรัฐบาลสิงคโปร์ได้ชี้ว่า “ผู้ที่ได้รับผลกระทบย่างแท้จริง" จากมาตรการคว่ำบาตรต่อเมียนมาคือประชาชนทั่วไป ซึ่งเราไม่ขอสนับสนุนแนวทางนี้

รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์กล่าวเมื่อวานนี้ว่า “แม้ว่าสถานการณ์ในเมียนมาจะเป็นที่น่าตกใจ แต่เราไม่สนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การรัฐประหารที่นั่น เพราะอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป”

วิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์กล่าวกับรัฐสภาว่า เขาหวังว่าผู้ถูกคุมขังรวมถึงอองซาน ซูจี จะได้รับการปล่อยตัว เพื่อให้พวกเขาสามารถเจรจากับทางทหารได้

สิงคโปร์ถือเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในเมียนมาร์ และเรามีความกังวลเกี่ยวกับการปะทะกันอย่างรุนแรงในการประท้วง รวมถึงการตัดอินเทอร์เน็ต และการใช้กองกำลังและรถหุ้มเกราะตามท้องถนนในเมือง

“เราหวังว่าพวกเขาจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อยุติสถานการณ์ที่บานปลาย ไม่ควรมีการใช้ความรุนแรงกับพลเรือนที่ไม่มีอาวุธ และเราหวังว่าจะมีการแก้ปัญหาอย่างสันติ”

“การใช้มาตรการคว่ำบาตรในวงกว้างจะส่งผลกระทบต่อประชากรในเมียนมาซึ่งยังมีความยากจนอยู่เต็มไปหมด” เขากล่าวเสริม

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ประกาศหรือขู่ว่าจะคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การรัฐประหารของเมียนมาร์ รวมถึงเชิญชวนนานาชาติให้มาคว่ำบาตรเมียนมาร่วมกัน

แต่เขากล่าวว่า “เราไม่ควรดำเนินมาตรการคว่ำบาตร เพราะคนที่จะได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดคือประชาชนคนธรรมดาในเมียนมา ไม่ใช่เหล่าผู้มีอำนาจ” เขากล่าวย้ำ

คำกล่าวของเขาเป็นหนึ่งในคำกล่าวจากรัฐมนตรีของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีนโยบายไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิก


Source : เพจ Thailand State

https://www.reuters.com/.../us-myanmar-politics-singapore...

‘วอนเดอร์’ สตาร์ทอัพสายการการศึกษาของไทย นำบทเรียนที่ยากและน่าเบื่อ มาพัฒนาเป็นเกมตอบคำถาม นักเรียนสวมบทบาทเป็นตัวละคร ตอบคำถามโจมตีคู่ต่อสู้ เสียงตอบรับดีเยี่ยม เผยมีครู-นักเรียนเข้ามาใช้บริการเพียบ!

ที่บริษัท อะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (สำนักงานใหญ่) อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ นายชิน วังแก้วหิรัญ กรรมการผู้บริหาร บริษัทวอนเดอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ให้สัมภาษณ์ในหัวข้อ "Edtech Ecosystem and Development in Thailand" แนวคิดและมุมมองในการพัฒนาแพลตฟอร์ม ความสำคัญในการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมของ "เอ็ดเทคสตาร์ทอัพ" ในประเทศไทย ว่า

วอนเดอร์ (Vonder) คือ สตาร์ทอัพสายการศึกษาในประเทศไทยและเป็นสมาชิกของ AWS EdStart โดยทางวอนเดอร์ได้พัฒนาเนื้อหาที่ยาก และน่าเบื่อของบทเรียนในระบบการศึกษาของไทยให้เป็นบทเรียนสั้นๆ ในรูปแบบของการเล่นเกม โดยจะเป็นเกมตอบคำถามแบบโต้ตอบ ซึ่งจะใช้เวลาไม่กี่นาทีในการตอบคำถาม และทดสอบความสามารถในการตอบสนองของผู้เรียน โดยครูสามารถเป็นผู้สร้างเกม ใส่คำถาม จากนั้นให้นักเรียนมาร่วมตอบคำถามผ่านเกมที่สร้างขึ้น

ซึ่งนักเรียนเมื่อลงทะเบียนเข้ามาแล้วจะได้สวมบทบาทเป็นตัวละครในเกม หากตอบคำถามถูกก็จะสามารถโจมตีศัตรูในเกมได้ แต่เมื่อตอบคำถามผิดก็จะโดนศัตรูโจมตี ทั้งนี้ ในแต่ละด่านจะมีหัวหน้า ซึ่งจะใช้สำหรับคำถามที่ยากที่สุดด้วย และเมื่อเล่นจบเกมจะมีการสรุปสถิติคะแนนของแต่ละคนให้ด้วย

โดยหลังจากที่เปิดให้ทดลองใช้พบว่ามีผู้สนใจเข้ามาใช้เป็นจำนวนมาก จากสถิติที่ทาง วอนเดอร์ตรวจสอบมาล่าสุดพบว่า มีนักเรียนเข้ามาตอบคำถามผ่านเกมที่มีครูเข้ามาสร้างขึ้นแล้วกว่า 150,000 คน โดยต่อไปทางวอนเดอร์กำลังพัฒนาการให้การบ้านเป็นเกมด้วย คาดว่าจะเสร็จประมาณเดือนเมษายนนี้ สำหรับครูหรือสถานศึกษาที่สนใจสามารถเข้าไปดูได้ที่ www.vonder.co.th หรือ เฟซบุ๊ก @vonderofficial

สำหรับ AWS EdStart เป็นโครงการส่งเสริมสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีการศึกษาของ Amazon Web Services (AWS) โดยออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าสตาร์ทอัพด้านการศึกษามีทรัพยากรที่จำเป็นในการเริ่มต้นการใช้งานบน AWS อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โปรแกรมนี้จะช่วยผู้ประกอบการสามารถสร้างการเรียนรู้ออนไลน์ การวิเคราะห์ และโซลูชั่นการจัดการสถานศึกษาในอนาคตบน AWS Cloud โดย AWS EdStart ม่งเน้นไปที่เทคโนโลยีการเรียนการสอนที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ที่สร้างผลลัพธ์ของผู้เรียนในเชิงบวก โปรแกรมนี้จะช่วยให้เทคโนโลยีการศึกษาในช่วงเริ่มต้น สามารถเข้าถึงทรัพยากรและความสัมพันธ์ที่ต้องการเพื่อให้ประสบความสำเร็จ แล้วยังเป็นชุมชนของผู้คนและบริษัทจากทั่วโลกที่มีจุดประสงค์เดียวกันในการแก้ปัญหาทางการศึกษาที่ซับซ้อน

ทั้งนี้สตาร์ทอัพด้านการศึกษาสามารถสมัครเข้าร่วม AWS EdStart ได้ หากองค์กรมีการก่อตั้งน้อยกว่า 5 ปี อยู่ในตลาดที่ AWS Region อนุมัติ และสร้างรายได้ต่อปีน้อยกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใบสมัครจะต้องระบุแผนงานสำหรับโซลูชั่นที่เป็นนวัตกรรมสำหรับผู้เรียน ผู้สอน หรือผู้ดูแลระบบ ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาด้านการศึกษาในปัจจุบัน โดย AWS EdStart มีให้บริการในสหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชีย สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ The AWS EdStart program page (https://aws.amazon.com/th/education/edstart/)


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/education/826203

นักทวีตปั่นราคาเหรียญดิจิทัลสกุล MarsCoin (MARS) กันสุดมันส์ หลังจาก Elon Musk ได้ออกมากล่าวถึงเหรียญตัวนี้ จนส่งผลทำให้ราคาของเหรียญ MarsCoin ที่มีอยู่ในตลาด ราคาพุ่งขึ้นกว่า 1,000%

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปในปี 2014 เหรียญดิจิทัล Marscoin ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์อิสระนามว่า Lennart Lopin มีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บนดาวอังคาร เพื่อให้มนุษย์อาศัยและเจริญรุ่งเรืองนอกโลก อีกทั้งยังให้ความช่วยเหลือโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ

โดยจะมีการนำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้บนดาวอังคารไม่ว่าจะเป็น ระบบการเงิน การสื่อสาร การลงคะแนนโหวต การใช้ Smart contract เป็นต้น ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะตอบสนองความต้องการตั้งถิ่นฐานใหม่ของมนุษย์บนดาวอังคาร ที่สำคัญอาจมีการนำ MarsCoin ไปเป็นสกุลเงินดิจิทัลแรกบนดาวอังคาร

ทว่าเหรียญดังกล่าวก็ยังไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก จนกระทั่งเกิดแรงปั่นจากผู้รวยที่สุดในโลกอย่างนาย ‘Elon Musk’ ผู้ก่อตั้ง SpaceX ที่มีความมุ่งมั่นจะนำพามวลมนุษยชาติไปดาวอังคาร หลังจากได้มีการทวิตเตอร์บทสนทนาระหว่าง CEO ของ Binance นาย Changpeng Zhao กับนายElon Musk ซึ่งนาย Zhao ได้ถามนาย Musk ว่าจะมีเหรียญดิจิทัลที่ถูกนำไปใช้บนดาวอังคารหรือไม่ หรือมันอาจจะถูกเรียกว่าเหรียญ MarsCoin

ภายหลังจากนั้นไม่นาน Musk ก็ตอบกลับว่า...“มันจะต้องมีเหรียญ MarsCoin แน่นอน”

ทวิตฯ ดังกล่าวทำให้เหรียญ Marscoin ที่อยู่ในตลาดมาแล้วตั้งแต่ปี 2014 และมีราคาซื้อขายอยู่ต่ำกว่า 0.2 ดอลลาร์มาเป็นเวลาหลายปี ได้พุ่งไปแตะ 2.5 ดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา ก่อนที่จะร่วงกลับไปอยู่ที่ 1.02 ดอลลาร์

ทีมนักพัฒนาเหรียญ Marscoin นั้นดูเหมือนว่าจะมีเป้าหมายเดียวกับ Musk คือช่วยให้ทุนแก่มนุษย์ที่ไปตั้งรกรากบนดาวอังคาร โดยมีการเสนอให้ผู้คนทำการขุดเหรียญ Marscoin บนโลกนี้ก่อน และเมื่อมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมแล้ว ก็จะมีการส่งตัวสำเนา Blockchain ของ Marscoin ไปยังดาวอังคาร

อย่างไรก็ตาม Elon Musk ก็ไม่ได้มีเกียวข้องกับเหรียญดาวอังคารอย่าง Marscoin แต่อย่างใด เพียงแต่การกล่าวถึงเหรียญดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาทำให้ผู้คนและนักวิเคราะห์คาดการณ์กันไปต่างๆ นาๆ ว่าเป็นผู้สร้างเหรียญบ้าง เป็นผู้ถือเหรียญบ้าง และส่งผลให้ราคามีการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อเขาออกมาพูดถึงนั่นเอง


ที่มา: https://siamblockchain.com/2021/02/17/marscoin-elon-musk-tweet/?fbclid=IwAR0GOSWghr_VwdGplH93o_vDTrMjSUrpc6GAyiZ5swgbyGnhmSGiU7SxOiU

https://siamblockchain.com/2021/02/17/is-elon-musk-behind-marcois/

‘อันวาร์’ ส่งคลิปเข้าไลน์กลุ่ม ปชป.กระตุกเพื่อน ส.ส.โหวตข้างประชาชน ไม่ต้องสนมารยาททางการเมือง ยัน ‘จุรินทร์’ รู้แล้ว

นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ทำจดหมายเปิดผนึกแสดงจุดยืนเกี่ยวกับการลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ว่าไม่ควรเอาคำว่ามารยาททางการเมืองมาผูกมัดการตัดสินใจโหวต และควรตัดสินตามอุดมการณ์ในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอย่างที่ควรจะเป็น โดยนายอันวาร์ได้ส่งจดหมายในไลน์กลุ่มของพรรค ซึ่งมีทั้ง ส.ส.และอดีต ส.ส.อยู่ด้วย จนทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคบางส่วนเกิดความกังวลต่อการเคลื่อนไหวของนายอันวาร์ว่า เหตุใดจึงออกมาช่วงนี้

รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า เมื่อช่วงเย็นวาน (18 ก.พ.) นายอันวาร์ได้ส่งไฟล์คลิปวิดีโอในไลน์กลุ่มพรรค ที่มีเนื้อหาตอกย้ำแนวทางของตัวเอง รวมถึงให้ข้อคิดแก่เพื่อน ส.ส.ว่า...

“ส.ส.ประชาธิปัตย์ ควรจะยึดหลักเกณฑ์ในการโหวตว่ารัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายสามารถตอบคำถามได้ชัดเจนหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นข้อกล่าวเรื่องการบริหาร ปัญหาการทุจริต รวมถึงขอให้ฟังเสียงประชาชนข้างนอกเป็นหลัก เพราะประชาชนเป็นผู้เลือก ส.ส.เข้ามาทำหน้าที่และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ได้ด้วยเสียงประชาชน มาประกอบการตัดสินใจด้วย โดยไม่ต้องไปมองเรื่องมารยาททางการเมือง และความไม่มั่นคงของรัฐบาล จึงขอให้เพื่อน ส.ส.พิจารณาตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา”

ทั้งนี้ แกนนำพรรค โดยเฉพาะนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับทราบเรื่องและเห็นคลิปดังกล่าวแล้ว ขณะเดียวกัน ส.ส.พรรคมีการแบ่งแนวคิดเป็นสองฝ่าย โดย 1.) เห็นว่าควรให้ ส.ส.ตัดสินใจเอง และ 2.) เห็นว่าควรคำนึงเรื่องการเมือง และการอยู่ร่วมรัฐบาลต่อไป อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเรียกประชุม ส.ส.ก่อนวันลงมติเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจในการลงมติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ขณะที่ นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนได้เห็นจดหมายและคลิปวิดีโอของนายอันวาร์แล้ว ตนยอมรับแนวคิดของนายอันวาร์ เพราะตนยังยึดมั่นอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์ และการจะลงมติดังกล่าวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังการชี้แจงของรัฐมนตรี และการตัดสินใจของ ส.ส.ถือเป็นเอกสิทธิ์ส่วนตัว ขณะเดียวกันตนก็เชื่อว่าไม่มี ส.ส.ของพรรคคนไหนที่กระทำการขัดมติพรรค แต่ก็ต้องรักษาจุดยืน อะไรผิดก็คือผิด เพราะเราทุกคนต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเอง ทั้งนี้ ส่วนตัวขอดูข้อมูลของฝ่ายค้านและการชี้แจงของรัฐมนตรีทุกคนเสียก่อน โดยขณะนี้ ส.ส.และผู้ใหญ่ของพรรคยังไม่มีการพูดคุยกันว่าจะตัดสินใจอ่างไร ต้องรอประชุม ส.ส.อย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ นายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งข้อความโดยเป็นเอกสารผ่านไลน์กลุ่ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุถึงหลักเกณฑ์การตัดสินใจลงอภิปรายไม่ไว้วางใจขอยึดหลักถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด และอยากบอกเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์หลายท่านที่มาพูดคุยกับตนและมาปรึกษาเชิงด้วยความไม่สบายใจ ว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้พวกเราจะยกมืออย่างไร ตนก็ตอบไปว่าสำหรับตน ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากสื่อมวลชนและสังคมว่าครั้งที่แล้วเราถูกยกมือให้ไว้วางใจรัฐมนตรีบางคนทั้งๆ ที่ไม่น่าไว้วางใจ

นายอันวาร์ระบุต่อว่า ตนเชื่อว่าทุกท่านจำใจต้องลงมติสวนความรู้สึกของตนเอง เพราะผู้บริหารพรรคอ้างว่าเป็นมารยาททางการเมือง จึงทำให้นักการเมืองอย่างพวกเราถูกผูกมัดไว้ด้วยคำนี้ แต่วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ประกาศแล้วว่ามารยาททางการเมืองนั้นไม่มี เป็นประชาธิปไตย ที่จะต้องแข่งขันการทำประโยชน์เพื่อประชาชน มีคำถามว่าพวกเราพรรคประชาธิปัตย์จะยอมให้มีการถูกบังคับต่อหรือไม่นั้น ตนหวังว่าทุกท่านจะพิจารณาตัดสินใจในแนวทางที่รักษาระบอบประชาธิปไตย ที่ควรจะเป็นเพื่อรักษาภาพพจน์ของพรรคต่อไป


ที่มา: https://www.matichon.co.th/politics/news_2585757

เทพไท ระบุ เลือกตั้งซ่อมเมืองคอน ยังหงอย ชาวบ้านให้ความสนใจการอภิปรายไม่ไว้วางใจมากกว่า ชี้ กระแสนอกสภาเปลี่ยนการเมืองได้

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง บรรยากาศการเลือกตั้งซ่อมเขต3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ว่าการเลือกตั้งได้เดินมาถึงครึ่งทางแล้ว ผู้สมัครจาก 4 พรรคการเมือง ได้ลงพื้นที่แนะนำตัว กับประชาชนในตลาดนัดเป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่มีการจัดเวทีปราศรัยย่อย จึงทำให้บรรยากาศการหารเสียงยังไม่คึกคักเท่าที่ควร คงจะหลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะมี ส.ส.ของแต่ละพรรคการเมือง ระดมสมาชิกพรรคลงพื้นที่กันมากขึ้น

สำหรับตนในฐานะเจ้าของพื้นที่เดิม ยังลงพื้นที่พบปะประชาชนเหมือนเดิม และทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น วันละหลายพื้นที่ จนต้องทานอาหารบนรถยนต์ระหว่างเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้าน มีประชาชนติดตามการถ่ายทอดสดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างใกล้ชิด

ในบางพื้นที่ได้ติดตามรับฟังข้อมูลและประมวลผลการอภิปรายด้วย ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ส.ฝ่ายค้าน และการตอบของรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย เป็นการให้คะแนนของภาคประชาชนว่าจะขัดแย้งกับการลงมติไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ และยิ่งเป็นยุคโลกสังคมโซเชียลด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มาก

ฉะนั้นไม่ว่ามติในสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นเช่นใดก็ตาม แต่มติของประชาชนนอกสภา ก็มีความสำคัญไม่น้อยเช่นเดียวกัน กระแสการเมืองนอกสภา อาจมีผลทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของรัฐบาลได้

ก.คลัง เผยความคืบหน้าการเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ของกลุ่มประชาชนที่อยู่ในฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ พบผ่านคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ แล้ว จำนวน 10,544,909 คน

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าการเข้าร่วมโครงการเราชนะ (โครงการฯ) ของกลุ่มประชาชนที่อยู่ในฐานข้อมูลของแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ในโครงการเราเที่ยวด้วยกันและคนละครึ่ง และกลุ่มประชาชนทั่วไปที่ลงทะเบียนทางเว็บไซต์ www.เราชนะ.com ว่ามีผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติเบื้องต้นและยืนยันการใช้สิทธิ์ร่วมโครงการฯ ผ่านแถบ (Banner) โครงการ ‘เราชนะ’ ในแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ แล้ว จำนวน 10,544,909 คน (ข้อมูล ณ เวลา 17.00 น. วันที่ 18 ก.พ. 2564)

อย่างไรก็ดี เนื่องจาก มีผู้ประสงค์ยืนยันตัวตนเข้าโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ จำนวนมากจนส่งผลกระทบต่อระบบของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทางธนาคารฯ จึงปิดระบบดังกล่าวชั่วคราวจนถึงเวลา 20.00 น. และขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถทยอยดำเนินการยืนยันตัวตนได้ และจะได้รับวงเงินสิทธิ์ภายหลังจากการยืนยันตัวตน โดยจะได้รับวงเงินสิทธิ์เพิ่มเป็นรายสัปดาห์ทุกวันพฤหัสบดีจนวงเงินสิทธิ์ครบ 7,000 บาท โดยสามารถสะสมวงเงินสิทธิ์และใช้จ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการที่ร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีแอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ร้านค้าคนละครึ่งที่ตกลงยินยอมเข้าร่วมโครงการฯ รวมถึงผู้ประกอบการ / ร้านค้าและบริการรายย่อยที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2564

นอกจากนี้ โฆษกกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำถึงการเปิดจุดรับลงทะเบียน ณ สาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เช่น ไม่สามารถเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ต ไม่มีสมาร์ทโฟนทำให้ไม่สามารถใช้งานแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ได้ หรือผู้ที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนด้วยตนเองไม่สำเร็จเนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลไม่ถูกต้อง

โดยจากข้อมูลล่าสุดมีประชาชนกลุ่มดังกล่าวลงทะเบียนผ่านสาขาหรือจุดบริการเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทยแล้ว จำนวน 455,354 คน และกระทรวงการคลังจะมีการเปิดจุดรับลงทะเบียนโครงการฯ ผ่านสาขาของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารออมสิน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดำเนินการร่วมกับธนาคารทั้ง 3 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกในการลงพื้นที่รับลงทะเบียนให้แก่ประชาชนกลุ่มดังกล่าว

ที่ผ่านมากระทรวงการคลังพบว่ามีข่าวปลอม (Fake News) จากสังคมออนไลน์ (Social Media) เกี่ยวกับโครงการฯ ถูกเผยแพร่ออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทรวงการคลังได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวมาโดยตลอด ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของโครงการฯ โปรดอย่าหลงเชื่อข่าวปลอมจากช่องทางดังกล่าว และขอความร่วมมือประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการฯ จากช่องทางการสื่อสารที่เป็นทางการจากทางราชการ ได้แก่ www.เราชนะ.com / www.mof.go.th / www.fpo.go.th และ Facebook Fanpage ‘สถานีข่าวกระทรวงการคลัง’ และ ‘สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง: Fiscal Policy Office’

สุดท้ายนี้ กระทรวงการคลังพบว่ามีประชาชนหรือร้านค้าที่ใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ผิดวัตถุประสงค์ของโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระทรวงการคลังได้มีการประสานขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมายในประเด็นดังกล่าวแล้ว หากตรวจสอบพบว่ามีการกระทำผิดเงื่อนไขจริง จะระงับการใช้แอปพลิเคชัน ‘ถุงเงิน’ ของร้านค้าตลอดจนระงับการจ่ายเงินให้กับร้านค้าทันที รวมถึงระงับการใช้แอปพลิเคชั่น ‘เป๋าตัง’ ด้วย และจะดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป

กระทรวงการคลังจึงขอความร่วมมือประชาชนรักษาสิทธิ์ของตนเอง และขอให้ร้านค้าและประชาชนปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของโครงการฯ สำหรับประชาชนที่พบเห็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ สามารถแจ้งเบาะแสรวมถึงส่งหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดเงื่อนไขโครงการฯ ถึง “คณะทำงานพิจารณาตรวจสอบข้อมูลและเรื่องร้องเรียนสำหรับโครงการฯ” ทางไปรษณีย์มาได้ที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top