Friday, 16 May 2025
NewsFeed

เป็นอีกความก้าวหน้าแห่งโลกวิทยาศาสตร์ครั้งใหญ่ เมื่อ NASA เตรียมหาวิธีการค้นหาสิ่งมีชีวิตต่างดาว ผ่านการวิเคราะห์ ‘มลพิษ’ ของดวงดาวนั้น ๆ โดยเพจ Environman ได้มีการรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า...

NASA ใช้มลพิษที่อยู่นอกโลกในการตามสิ่งมีชีวิตต่างดาวที่สามารถสร้างอารยธรรมได้

มลพิษในที่นี้ของ NASA คือ ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) มันเป็นก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ หรือหากเกิดโดยธรรมชาติ ก็เกิดในระดับน้อยมากจากสิ่งมีชีวิต ฟ้าผ่า และภูเขาไฟ

บนโลกเรา ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ 76% ล้วนมาจากแหล่งอุตสาหกรรม แต่จากการที่ NASA พบก๊าซนี้ในระดับสูง นั่นอาจหมายความว่า มันมีโอกาสที่บนดาวดวงนั้น จะมีสิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีสูงพอที่จะใช้พลังงานจากฟอสซิลบนดาวดวงนั้น

แล้ว NASA พบก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์นี้บนดาวดวงอื่นได้อย่างไร?

คำตอบคือ จากแสงที่สะท้อนกลับออกมา แต่ละอะตอม แต่ละโมเลกุล แต่ละธาตุในจักรวาลนี้ต่างสะท้อนแสงออกมาในคลื่นความยาวที่ต่างกัน โลกก็สะท้อนแสงออกไปนอกอวกาศเช่นกัน แสงที่สะท้อนออกไปจะเป็นแสงที่เกิดจากธาตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก

หรือเข้าใจ ก็เหมือนกับสิ่งของต่าง ๆ รอบตัวเราที่มีสีแตกต่างกัน เพราะมันสะท้อนแสงสีออกมาต่างกัน ธาตุแต่ละธาตุก็มีสีที่แตกต่างกันไป

แต่การมองแสงที่สะท้อนออกมาจากดาวที่อยู่ห่างไกลในระดับหลายปีแสง ก็เหมือนกับคุณอยู่บนสถานีอวกาศแล้วตามหาว่าผู้ชายคนไหนในเชียงใหม่กำลังใส่รองเท้าไนกี้รุ่น Air Force 1 React อยู่

และนั่นแหละคือความยาก!!

การตามหามลพิษบนต่างดาว น่าจะทำให้มนุษย์มีตัวเลือกมากขึ้นในการตามหาสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา เพื่อตอบคำถามที่ค้างคามานานแสนนานว่า...

‘มนุษย์’ อยู่ตามลำพังในจักรวาลจริงหรือ?


ที่มา:

https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3438874839574272/

https://www.nasa.gov/press.../goddard/2021/technosignature

ที่รัฐสภา สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ผู้นำฝ่ายค้านในสภา เผยว่า วันนี้เป็นวันที่จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพราะเป็นวันเริ่มต้นนับถอยหลังไปสู่จุดจบของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 4 วันนับจากนี้

การอภิปรายไม่ไว้วางใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะเปิดเผยความไร้ประสิทธิภาพ ขลาดเขลา เบาปัญญาของผู้บริหารประเทศอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จะเปิดโปงการทุจริตฉ้อฉลของ พล.อ.ประยุทธ์และคณะ และจะเปิดหน้ากากของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจเบ็ดเสร็จทำร้ายประเทศชาติบั่นทอนประชาธิปไตย และคุกคามเสรีภาพของประชาชน

“เวลา 6 ปี 8 เดือน 26 วัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์บริหารประเทศนี้ ทั้งในฐานะหัวหน้า คสช. เป็นนายกรัฐมนตรีหลังการรัฐประหาร และในฐานะนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ถูกออกแบบเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์และพวกพ้อง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศชาติพังพินาศ ประชาชนทุกข์ยากแสนเข็ญยิ่งกว่ารัฐบาลใดๆ ในรอบ 8 ทศวรรษ

“ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ธุรกิจใหญ่น้อยล้มละลายทั่วทุกหัวระแหง ยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งที่ผ่านมารวมกัน ประชาชนมีความทุกข์ยากอย่างถึงที่สุด อึดอัดคับข้องใจในชะตากรรมที่ต้องใช้ชีวิต ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์มากที่สุด และสุดท้าย ต้องตัดสินใจจบชีวิตตัวเองมากที่สุด

“ผู้ชายคนหนึ่งสิ้นหวังในชีวิตเพราะตกงาน จึงพาบุตรสาวตัวน้อยพเนจรไปพึ่งพาวัดธรรมนิยม ตำบลหัวรอ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และเมื่อทุกข์ที่สุดจนสุดจะทานทน ในวันที่ 19 เมษายน 2563 เขาตัดสินใจโดดน้ำเพื่อหนีไปให้พ้นจากชีวิตที่มืดมน แต่ยิ่งน่าเศร้าใจ เมื่อบุตรสาววัย 5 ขวบร้องว่า “พ่ออย่าทิ้งหนู” แล้วกระโดดน้ำตามพ่อของเธอลงไป ในที่สุดจมน้ำตายทั้งพ่อลูก

“ผมอยากรู้จริง ๆ ว่า ในใจ พล.อ.ประยุทธ์รู้สึกอย่างไร สะเทือนใจไปด้วยหรือไม่ ประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ทุกข์ยากเช่นนี้ เขานอนหลับลงในแต่ละคืนได้อย่างไร เขายังยิ้มแย้มสำเริงสำราญได้อย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยทำตามสัญญาที่เขาให้ไว้เมื่อเกือบ 7 ปีที่แล้ว ว่าจะคืนความสุขมาให้ประชาชน แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาประชาชนเป็นศูนย์กลาง เขากลับเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะแสวงหาทางออกในทุกปัญหา เขากลับตีโพย ตีพาย เห็นปัญหาในทุกทางออก

“แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะคิดเก่ง ทำเก่ง ดังเช่นที่เขาเคยโอ้อวดว่า การบริหารประเทศไม่เห็นยากเลย พล.อ.ประยุทธ์กลับบริหารประเทศแบบคิดไป ทำไป ไม่มีการวางแผน ไม่รอบคอบ ไม่รัดกุม กลับไปกลับมา และโยนความผิดให้ประชาชน ทำให้เมื่อเผชิญวิกฤตอย่างโรคโควิด -19 ประชาชนจึงทุกข์แสนสาหัส ธุรกิจใหญ่น้อยจึงทยอยล้มลง แม้ธุรกิจที่ยืนหยัดต้านทุกวิกฤตมาได้หลายสิบปี ก็ต้องปิดกิจการในยุคของ พล.อ.ประยุทธ์

“พล.อ.ประยุทธ์ ลืมไปว่า ประชาชน 67 ล้านคนจ่ายเงินเดือนให้เขามาทำงาน เพื่อทำให้ชีวิตประชาชนดีขึ้น ประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรีที่ห่วงใยประชาชน มากกว่าห่วงการรักษาอำนาจของตนเอง ประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรี ที่ทำสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่านายกรัฐมนตรีที่สนใจแต่ความนิยมในโพลที่ลิ่วล้อบริวารเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมา

“พล.อ.ประยุทธ์ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่สามารถรวมพลังผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติ ได้แต่อวดอ้างไปวันๆ ว่า ตนซื่อสัตย์ แต่กลับนิ่งดูดาย วางเฉยให้พวกพ้องและบริวารทุจริตฉ้อฉล รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นได้เพียง “รัฐบาลปรสิต” ที่กัดกร่อนอนาคตของประเทศและกลืนกินความฝันของประชาชน รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน” นายสมพงษ์ อภิปราย


ที่มา: https://www.prachachat.net/politics/news-614491

การบินไทย เผย กระทรวงสาธารณสุข มอบหมายขนส่งวัคซีนโควิด ‘ซิโนแวก’ ล็อตแรก 2 แสนโดส จากจีนมาไทย 24 ก.พ.นี้ จัดเครื่อง Cargo พร้อมตู้คอนเทนเนอร์พิเศษ

พลอากาศเอก ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ประธานในที่ประชุมคณะผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ บมจ.การบินไทย เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขมอบหมายให้บริษัทปฏิบัติภารกิจขนส่งวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ล็อตแรก 200,000 โดส จาก บริษัท ซิโนแวก ไบโอเทค จำกัด สาธารณรัฐประชาชนจีนมายังประเทศไทยด้วยเที่ยวบินขนส่งสินค้า (Cargo) ทีจี 675 ปักกิ่ง-กรุงเทพฯ ด้วยเครื่องบินแบบแอร์บัส A350-900 ออกเดินทางจากจีนในวันที่ 24 ก.พ.64 เวลา 06.50 น. (เวลาท้องถิ่น) ถึงกรุงเทพฯ เวลา 11.05 น. ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

บริษัทพร้อมปฏิบัติภารกิจสำคัญนี้อย่างครอบคลุมทุกด้าน โดยได้จัดเตรียมเครื่องบินลำตัวกว้าง สำหรับขนส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ด้วยตู้คอนเทนเนอร์ชนิดปรับควบคุมอุณหภูมิเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งตู้คอนเทนเนอร์ควบคุมอุณหภูมิดังกล่าว สามารถขนส่งสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิได้ระหว่าง -20 องศาเซลเซียส ถึง +20 องศาเซลเซียส รวมถึงอุปกรณ์บริการภาคพื้นเพื่อสนับสนุนเที่ยวบินขนส่งวัคซีน และพื้นที่คลังสินค้าปรับอากาศขนาดใหญ่ ที่มีความสะดวกในการ ส่งต่อวัคซีน ซึ่งจะช่วยปกป้องวัคซีนไม่ให้สัมผัสกับสภาวะอุณหภูมิสูงในระหว่างการส่งต่อ

นอกจากนี้ บุคลากรของบริษัท ยังมีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการขนส่งและดูแลผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสินค้าประเภทที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิเพื่อรักษาคุณภาพของสินค้า เช่น วัคซีน เวชภัณฑ์ เป็นอย่างดี และได้รับการรับรองมาตรฐาน GDP(Good Distribution Practice) ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก โดยบริษัท SGS (Thailand) เป็นผู้ทำการตรวจสอบ และรับรอง

‘เสรีพิศุทธ์’ รื้อผลงานเก่า โชว์ฝีมือจับพนันกลางสภา สอนเชิง ‘นายกฯ’ นำไปแก้ปัญหา เจอฝ่ายรัฐบาลลุกประท้วงวุ่น

ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่า การที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีร้อยนายกฯ ก็แก้ปัญหาบ่อนไม่ได้ เป็นการดูถูกอดีตนายกฯ ทำไมการพนันถึงอยู่ยั่งยืนยง เพราะเป็นการขอจับ

ซึ่งเป็นข้อตกลงกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกับบ่อนการพนัน จับเฉพาะนักการพนัน แต่เจ้าของบ่อนไม่ถูกจับ แล้วก็มีการจัดฉาก บ่อนประตูน้ำอยู่มา 30 ปีไม่เคยถูกจับ แต่สมัยตนสามารถทำได้ แค่เป็นนายพันยังทำได้ แต่ทำไมระดับนายพลถึงทำไม่ได้ สิ่งที่ตนพูดเพื่อให้นายกฯ ไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อภิปรายเกี่ยวกับบ่อนการพนัน ได้มี ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ อาทิ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.ประท้วงว่าพูดวกวนซ้ำซาก น่าเบื่อหน่าย ไม่ต้องเอาอดีตมาอวดอ้าง ทำเก่ง ใครก็รู้ทำไมถึงปราบเฉพาะบ่อนประตูน้ำ แต่ไม่ปราบบ่อนกิ่งเพชร เพราะอะไรใครก็ทราบ เพราะเป็นเพื่อนภรรยาท่านหรือไม่ รวมทั้ง นส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ อภิปรายไม่ตรงประเด็น และขอให้พูดเลยว่านายกฯ ทำผิดอะไร

ขณะเดียวกันส.ส.ฝ่ายค้าน อาทิ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย นายวิรัตน์ วรศสิริน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายเรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย ประท้วงว่าสิ่งที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ เป็นการชี้ให้เห็นว่าว่าการแก้ไขปัญหาบ่อนควรทำอย่างไร เพื่อสอนให้นายกฯ ดู จะได้แก้ไขปัญหาได้ถูก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เปิดคลิปการจับกุมบ่อนประตูน้ำ และบ่อนลอยฟ้า จึงทำให้ถูกประท้วงจาก ส.ส.รัฐบาล และประธานในการประชุม ตักเตือนหลายรอบให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เข้าประเด็นว่านายกฯ ทำผิดอะไร และเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 ไม่เกี่ยวกับนายกฯ แต่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังยืนยันที่จะพูด โดยอ้างว่านายกฯ ไม่มีความรู้ความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้

หลังจากนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ก็ให้นายวิรัตน์ นำเอกสารไปให้นายกฯ ไปศึกษาวิธีปราบบ่อนควรจะทำอย่างไร ต่อมาพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เปิดคลิปเกี่ยวกับการจับบ่อนการพนันที่พระราม 3 ทั้งจากการแถลงข่าวของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย และภาพข่าว รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า ขอบคุณ ส.ส.ยุทธพงศ์ที่เปิดโปง แต่ตำรวจก็เป็นใหญ่เป็นโตและยังเสวยสุขอยู่


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/220508

สำนักงาน ก.พ. เปิดรับสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป หรือ ภาค ก. แบบ Paper & Pencil ประจำปี 2564

สำนักงาน ก.พ. เปิดรับสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป หรือ ภาค ก. แบบ Paper & Pencil ประจำปี 2564

คุณสมบัติผู้สมัคร

- ผู้ที่สำเร็จการศึกษาแล้ว หรือผู้ที่กำลังจะสำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2564 ในระดับ ปวช. , ปวท. , ปวส. , ปริญญาตรี และปริญญาโท

สมัครสอบระหว่างวันที่ 3 - 24 กุมภาพันธ์ 2564 ที่

https://ocsc9.thaijobjob.com

ชำระค่าธรรมเนียมสอบระหว่างวันที่ 3 - 25 กุมภาพันธ์ 2564

จำนวน 800,000 ที่นั่งสอบ

สอบ 20 มิถุนายน และ 4 กรกฎาคม 2564

สำนักข่าวซินหัวรายงาน หรรษ วรรธน รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกลางของอินเดีย เปิดเผยว่า ขณะนี้มีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่อยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกระยะต่างๆ อย่างน้อย 18 - 19 ตัว

“มีการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในขั้นตอนต่างๆ ราว 18-19 ตัว” วรรธนกล่าว โดยบรรดาวัคซีนตัวใหม่อยู่ในขั้นตอนการทดลองก่อนทดสอบในมนุษย์ การทดลองทางคลินิก และการทดลองขั้นสูง

อินเดียอนุมัติการใช้งานฉุกเฉินแก่วัคซีน 2 ตัว ได้แก่ วัคซีนโควาซิน (Covaxin) ที่พัฒนาโดยภารัต ไบโอเทค (Bharat Biotech) และวัคซีนโควิชีลด์ (Covishield) จากออกซ์ฟอร์ด-แอสตราเซเนกา (Oxford University-AstraZeneca) ที่ผลิตโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (SII)

วรรธน เน้นย้ำว่า การฉีดวัคซีนให้บุคลากรด้านการดูแลสุขภาพและบุคลากรแนวหน้านั้นเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยมีผู้รับวัคซีนแล้ว 8,285,295 คน ตามจุดรับวัคซีน 173,729 แห่งทั่วประเทศ เมื่อนับถึงเช้าวันจันทร์ (15 ก.พ.)

สำหรับระยะถัดไปของโครงการฉีดวัคซีนขนานใหญ่ รัฐบาลอินเดียจะฉีดให้ผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไปในเดือนมีนาคม โดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดวัคซีนจะหารือวิธีชำระเงินค่าวัคซีนสำหรับประชาชนกลุ่มดังกล่าว

อินเดียเปิดตัวโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 16 ม.ค. โดยระยะแรกจะฉีดให้บุคลากรด้านการดูแลสุขภาพและบุคลากรแนวหน้าราว 30 ล้านคน ตามด้วยผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป และผู้มีอายุต่ำกว่า 50 ปีที่มีโรคร่วม ซึ่งมีจำนวนราว 270 ล้านคน

ทั้งนี้ เมื่อเช้าวันจันทร์ (15 ก.พ.) กระทรวงฯ รายงานว่าอินเดียมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รวมอยู่ที่ 10,916,589 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 155,732 ราย


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/553103

กลายเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ เบอร์ 1 ของ Clubhouse อย่างไม่เป็นทางการไปแล้ว สำหรับ อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อ SpaceX ตั้งแต่เขาได้เข้าไปให้สัมภาษณ์ในห้อง Good Time Club บนแอพ Clubhouse เมื่อปลายเดือนมกราคม 2021

ล่าสุด อีลอน มัสค์ ก็ยังสนุกต่อเนื่อง ถึงกับโพสต์ทวิตเตอร์ชวนประธานาธิบดีแห่งรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน มาร่วมวงสนทนาใน Clubhouse ด้วยกัน

โดย อีลอน ได้แท็กถึง @KremlinRussia_E ซึ่งเป็นแอคเคาท์อย่างเป็นทางการของฝ่ายทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียบน Twitter ชวนกันแบบตรงๆ ว่า “ท่านประธานาธิบดี สนใจมาร่วมวงสนทนากับผมบน Clubhouse ไหมครับ”

แถมยังทวิตย้ำเป็นภาษารัสเซียตามมาด้วยว่า “การได้มีโอกาสสนทนากับท่านจะเป็นเกียรติมากๆ เลย”

และยิ่งกลายเป็นที่ฮือฮาไปอีก เมื่อโฆษกประจำทำเนียบ เครมลิน ดมิตี้ เพสคอฟ ถึงกับออกมาแถลงข่าวว่า การได้ร่วมสนทนากับคนระดับเจ้าพ่อ SpaceX เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่ทางรัฐบาลรัสเซียต้องพิจารณาดูก่อนว่า ปูตินจะร่วมสนทนาผ่านแอพโซเชียลมีเดียอย่าง Clubhouse ได้หรือไม่

เพราะอย่างที่รู้กัน ปูตินไม่เล่นโซเชียลมีเดีย และไม่ได้เปิดบัญชีส่วนตัวในแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียที่ไหน เนื่องจากปูตินเชื่อว่าเครือข่ายโซเชียลมีเดีย เป็นโปรเจ็กต์ที่สนับสนุนโดย CIA ของสหรัฐอเมริกา ใช้เพื่อสอดส่อง ตามรอย เก็บข้อมูลส่วนตัวบุคคลเป้าหมายได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นการที่ปูตินจะใช้โซเชียลมีเดีย ก็ต้องใช้ผ่านแอคเคาท์กลางที่จะมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด และก็ต้องรู้ถึงจึงประสงค์ว่าการชวนสนทนาของอีลอน มัสค์ ต้องการจะคุยเรื่องอะไรบ้าง

แต่ทั้งนี้ทางเครมลิน ก็ไม่ได้บอกปัดคำเชิญของ อีลอน มัสก์ เสียทีเดียว และยังเห็นว่าเป็นไอเดียที่ดี

Clubhouse เป็นแอพโซเชียลมีเดีย พัฒนาโดย Alpha Exploration Co. ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2020 บนแพลตฟอร์ม iOS ของ Apple เท่านั้น

โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมเป็นกลุ่มสนทนาทางเสียง เหมือนห้องสนทนา แต่การเข้าร่วมจะต้องผ่านการเชิญจากสมาชิกเก่า หรือลงทะเบียนรอคิวบนเว็บไซต์ของทางแอปพลิเคชัน

และกลายเป็นช่องทางโซเชียลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 600,000 บัญชี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกหลายเท่า หากในอนาคตจะเปิดให้ผู้ที่ใช้ระบบ Android สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้พรีเซนเตอร์ระดับแม่เหล็ก อย่างอีลอน มัสก์ มาเชียร์ด้วยตัวเอง จึงทำให้กระแสของ Clubhouse ฮิตติดลมบน แม้แต่ในประเทศไทยก็มีการขยายตัวของกลุ่มผู้ใช้งานอย่างรวดเร็วเช่นกัน

แต่ทางรัฐบาลจีนออกคำสั่งแบน Clubhouse ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา เนื่องจากพบว่ามีห้องสนทนาที่พูดถึงประเด็นที่อ่อนไหวในจีน โดยเฉพาะ ประเด็นการเมืองที่เกิดขึ้นในฮ่องกง


ที่มา:

https://www.cnbc.com/2021/02/15/russia-elon-musks-offer-of-clubhouse-chat-with-putin-is-interesting.html

https://www.theguardian.com/technology/2021/feb/15/clubhouse-app-invite-what-is-it-how-to-get-audio-chat-elon-musk

https://en.wikipedia.org/wiki/Clubhouse (app)

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงกระทำการฝึกกระโดดร่ม ครั้งแรก First Jump เมื่อวานนี้

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานอ้างข้อมูลจาก เว็บไซต์ลับลวงพรางแชนแนล ซึ่งเผยแพร่ข่าวสารทางทหาร ระบุว่า พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา ทรงกระทำการฝึกกระโดดร่ม ครั้งแรก First Jump สำหรับการฝึกหลักสูตรแทรกซึมทางอากาศเบื้องสูงทางยุทธวิธี ที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) จ.ลพบุรี แล้ว เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.)

เว็บไซต์ลับลวงพรางฯ รายงานว่า “พระองค์ภา” ทรง First Jump แล้ว เมื่อเช้าวานนี้ (15 ก.พ.) ในการฝึกแบบ HALO ดิ่งพสุธา ด้วยเครื่องบิน Mi-17 และร่ม MC-5 และ ทรงกระโดด อีกครั้งช่วงบ่าย โดยจะทรงกระทำการกระโดดร่ม วันละ 2 จั้มพ์ ให้ครบ 26 จั้มพ์ จึงจะครบทั้งหลักสูตร แทรกซึมทางอากาศเบื้องสูงทางยุทธวิธี ที่มีทั้ง HALO และ HAHO หากจบการฝึก พระองค์จะเป็น นายทหารหญิง พระองค์แรก ที่จบ HAHO ติดอาร์ม “พรานเวหา”

พลเอกหญิง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา “เสนาธิการกองบัญชาการทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์” ทรงเข้ารับการฝึกหลักสูตรแทรกซึมทางอากาศเบื้องสูงทางยุทธวิธี เป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ที่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสค.) จ.ลพบุรี

โดยเริ่มการฝึก ในอุโมงค์ลม ที่ศูนย์สงครามพิเศษ เพื่อฝึกท่าทาง เวลาเหินอยู่กลางอากาศ การบังคับทิศทาง ของตนเอง เมื่อ 14 ก.พ.2564

ก่อนที่ วันที่ 15 ก.พ.2564 เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงกระทำการฝึกกระโดดร่ ครั้งแรก First Jump สำหรับการฝึกหลักสูตรนี้ ด้วยการใช้ร่มแบบกระตุกเอง Free Fall

โดยทรงทำการฝึก วันละ 2 จั้มพ์ ในช่วงเช้า 1 จั้ม และบ่ายอีก 1 จั้ม โดยพระองค์ จะทรงทำการฝึกรวมทั้งหมด 26 จั้มพ์

โดยวันนี้ ทรงทำการฝึกครั้งแรกในหลักสูตร HALO ดิ่งพสุธา ด้วยเครื่องบิน Mi-17 และร่ม MC-5 ที่วันแรกนี้ ครูฝึกจะยังดูแลอย่างใกล้ชิด

โดยเมื่อทำการ First Jump แล้ว จะทรงกลับเข้าไปฝึกในอุโมงค์ลม เรื่องการปรับท่าทางต่าง ๆ

ทั้งนี้ จะทรงฝึกโดดร่มจากเครื่องบิน 3 แบบ ที่ความสูงและความเร็วแตกต่างกัน ทั้งเครื่องบิน Mi-17, C295 W และ C-130

ในหลักสูตรแทรกซึมทางอากาศเบื้องสูงทางยุทธวิธีนี้ พระองค์จะทรงทำการฝึกแบบ HALO (High Altitude Low Opening) เป็นการโดดร่มบบโดดสูง และเปิดร่มต่ำ หรือ ดิ่งพสุธา ก่อน อันเป็นการกระโดด ณ ตำบลเหนือพื้นที่ของข้าศึก เพื่อปฏิบัติการทางยุทธวิธีภาคพื้นดิน

จากนั้นจะทรงทำการฝึก HAHO (High Altitude High Opening) ที่เป็นการโดดร่มแบบโดดสูงและเปิดร่มสูง เป็นยุทธวิธีของการแทรกซึมเบื้องสูงทางทหาร เป็นการโดดนอกพื้นที่ของข้าศึก แต่ลงไปในพื้นที่หรือแนวหลังของข้าศึก เพื่อปฏิบัติการทางยุทธวิธีภาคพื้นดิน ที่จะเป็นหลักสูตรขั้นสูงสุดของหน่วยรบพิเศษ

หากพระองค์จบการฝึกหลักสูตร HAHO นี้ จะถือว่าพระองค์เป็นนายทหารหญิงชั้นนายพล ชั้นพลเอกหญิง พระองค์แรก ที่จบหลักสูตรนี้อย่างเป็นทางการ และจะทรงเป็น “พรานเวหา” ได้รับเครื่องหมาย HAHO และพรานเวหา ประดับเครื่องแบบ

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระบรมราโชบายว่า การประดับเครื่องหมายใด ทหารผู้นั้นจะต้องผ่านการฝึกด้วยตนเองจริง ๆ ไม่ใช่ได้แบบกิตติมศักดิ์

โดยที่ผ่านมา ทหารพลร่มหญิงของหน่วยรบพิเศษมักจะทำการฝึกอบรมหลักสูตร HALO ดิ่งพสุธาเท่านั้น เพื่อใช้ในการแข่งกีฬาโดดร่ม

ที่สำคัญจะถือเป็นเกียรติยศอันสูงสุด และความปลาบปลื้มแก่หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และทหารรบพิเศษ ชาวหมวกแบเร่ต์แดงทั้งปวง ที่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ทรงเข้ารับการฝึกกับหน่วยรบพิเศษในหลักสูตรนี้

อันจะสะท้อนความเป็นเจ้าฟ้านักรบพิเศษหญิงที่แข็งแกร่ง กล้าหาญ และพระปรีชาสามารถ ประหนึ่งทหารที่เป็นบุรุษ

หลังจากที่ทรงโอนย้ายจากอัยการมาเป็นนายทหารหญิงแล้ว ในยามนี้พระองค์ทรงเป็นนายทหารหญิงอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว

ทรงพระเจริญ


ที่มา :

https://www.prachachat.net/royal-house/news-614248

https://www.llpch.news/2021/02/15/66743/?fbclid=IwAR39SEFgGMD3FqkYOdtznqz3qpsqVCUiEzvqXmZQmztXjI8Y14lKvTvkjuw

Cr : ภาพ เพจ เรารัก สมเด็จเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา : Our Beloved HRH Princess Bajrakitiyabha

https://www.facebook.com/photo?fbid=271744247642921&set=a.208675790616434

โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โต้ ‘สมพงษ์’ ปม‘รัฐบาลปรสิต’ แจง รัฐบาลไม่ใช่ปรสิต แต่คิดทำเพื่อชาติ ผิดกับบางรัฐบาล ที่ออกนโยบายเชิงคิดทุจริตล่วงหน้า ทำประเทศเสียหายหลายแสนล้าน จากโครงการจำนำข้าว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า จากการอภิปรายของ นายสมพงษ์อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ที่กล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลปรสิตนั้น เป็นการกล่าวหาที่เกินไป สวนทางกับความเป็นจริง เพราะรัฐบาลคิดทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศมาตลอดระยะเวลา ในความเป็นจริงไม่มีสิ่งใดที่ถูกใจใครไปทั้งหมด

เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่มองออกว่าประโยชน์ที่ประชาชนได้รับมีอะไรบ้าง เกษตรกรได้รับการดูแลให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีโครงการประกันรายได้ พื้นดินแห้งแล้ง ไม่มีแหล่งน้ำ รัฐบาลช่วยเหลือให้ดีขึ้น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม และการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของรัฐ การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุขและสุขภาพของประชาชน การเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีหลักการชัดเจน คือการปกป้องและเชิดชู สถาบันพระมหากษัตริย์

มีนโยบายอีกมากมายที่เกิดประโยชน์กับประชาชน ถ้าเป็นรัฐบาลปรสิต คงสูบกินประเทศจนเหลือแต่กระดูกเหมือนที่บางรัฐบาลทำ ที่กัดกร่อนหาประโยชน์จากนโยบายและประเทศ

นายราเมศ กล่าวต่อว่า "คำว่ารัฐบาลปรสิต จะเหมาะสมกับรัฐบาลที่ทุจริตมากกว่า ที่มีการออกนโยบายในเชิงคิดทุจริตไว้ล่วงหน้า นำไปสู่การโกงประเทศอย่างเป็นระบบ เช่นรัฐบาลหนึ่งที่ทุจริตในโครงการจำนำข้าว ที่ประเทศมีความเสียหายเกือบล้านล้านบาท

ฝ่ายค้านคงเข้าใจผิดไปเลยพูดกล่าวหาผิดรัฐบาล ประเด็นนี้ของฝ่ายค้านประชาชนตัดสินได้เลยว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ใช่รัฐบาลปรสิตแต่เป็นรัฐบาลที่คิดทำเพื่อชาติ เพื่อประชาชน และที่สำคัญเป็นรัฐบาลที่ทำงานโดยยึด ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นที่ตั้งในการทำงาน"

ที่ห้องพิจารณา 916 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง

นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และนางปุนิกา หรืออร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้ อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือ ปืนอาก้า

ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2560 พิพากษาว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และนายปรีชา จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72,78 ให้จำคุกคนละ 8 ปี และฐานพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 2 ปี รวมจำคุกคนละ 10 ปี ส่วนจำเลยที่ 3 - 5 พิพากษายกฟ้อง

ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2563 ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกจำเลยที่ 1 - 2 คนละ 10 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 3-5 แต่ให้ขังไว้ระหว่างฎีกา

โดยวันนี้ ศาลอ่านคำพิพากษาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 ฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ส่วนจำเลยอื่นไม่ได้ยื่นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาได้บรรยายพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบโดยละเอียด บางส่วนของคำพิพากษาอธิบายถึงบันทึกถ้อยคำให้การ ซึ่งมีลักษณะลอกเลียนกันมาเกือบเหมือนกันทุกถ้อยคำ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งบรรยายถึงพยานโจทก์ที่ระบุเห็นผู้ตะโกนด่าพยานจากรถตู้เป็นจำเลยที่ 1

ซึ่งปกติความสามารถในการจดจำบุคคลจะลดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป แต่พยานเบิกความในคดีไต่สวนการตายของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ พยานกลับจำตำหนิรูปพรรณของชายบนรถตู้ไม่ได้ ต่างกับที่เบิกความว่าเป็นจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักน้อย

พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีความสงสัยตามสมควร ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้ศาลอาญาออกหมายปล่อย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top