Friday, 16 May 2025
NewsFeed

สาธารณสุข จับตาใกล้ชิด "โควิดกลายพันธุ์" อังกฤษ - แอฟริกาใต้ - บราซิล หวั่นกระทบประสิทธิภาพวัคซีน เผยเชื้อโควิดจะกลายพันธุ์ทุก 2 เดือน ชี้เชื้อระบาดในไทยระลอกใหม่เป็นสายพันธุ์เมียนมา แต่หากควบคุมไม่ได้จะกลายเป็นสายพันธุ์ไทยแทน

รศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก รพ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยถึงกรณีการพบคนไทยรายแรกติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์แอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ว่า ในปัจจุบันได้มีคำแนะนำให้มีการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของไวรัสใน 3 สายพันธุ์ ประกอบด้วย

สายพันธุ์ B.1.1.7 ที่ระบาดอยู่ในอังกฤษ โดยไวรัสตัวนี้สามารถจับกับเซลส์มนุษย์ได้ดีขึ้น และแบ่งตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดการแพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว

สายพันธุ์ B.1.351 ที่ระบาดอยู่ในแอฟริกาใต้ โดยไวรัสตัวนี้สามารถหนีภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น และอาจมีผลต่อการใช้วัคซีนที่พัฒนาโดยสายพันธุ์ดั้งเดิม

สายพันธุ์ P.1 ที่ระบาดอยู่ในบราซิล ซึ่งพลาสม่าหรือระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จับกับไวรัสนี้ได้น้อยลง เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

"ผู้ป่วยชายไทยรายนี้ เดินทางมาจากประเทศแทนซาเนีย ต่อเครื่องที่เอธิโอเปีย พอถึงไทยได้เข้าพักใน Local Quarantine หลังจากนั้นมีอาการไอ ไข้ต่ำ ๆ จึงถูกย้ายไปที่ รพ.รัฐบาลแห่งหนึ่ง พอ 4 ก.พ.ตรวจ PCR พบว่าติดโควิด-19 และปอดอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยเดินทางมาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยง จึงนำไวรัสไปตรวจที่ศูนย์โรคอุบัติใหม่เพื่อหาสายพันธุ์ และพบว่าเป็นสายพันธุ์แอฟริกาใต้ที่มีการกลายพันธุ์"

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับแล้วหลังได้รับยาต้านไวรัส ซึ่ง รพ.จุฬาฯ ได้มีการเฝ้าระวังไวรัสกลายพันธุ์ที่อาจจะเจอได้ในประเทศไทย โดยได้มีการตรวจหาไวรัสสายพันธุ์ต่างๆ ในผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศที่อาจจะเป็นแหล่งระบาดในสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น แอฟริกาใต้ อังกฤษ และบราซิล

ซึ่งเป็นมาตรการที่ รพ.จุฬาฯ ทำร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้คนไทยมีโอกาสติดเชื้อไวรัสที่มีการกลายพันธุ์ ซึ่งอาจจะมีผลต่อการใช้วัคซีนในอนาคตได้

ทั้งนี้ นับตั้งแต่มีการระบาดในประเทศไทย ในรอบแรกจะพบว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์ทุก 2 เดือน โดยจับได้ 3 สายพันธุ์ ส่วนการระบาดในรอบใหม่นี้ ยังเป็นสายพันธุ์ที่มาจากเมียนมาเป็นหลัก และหากไม่สามารถยับยั้งการระบาดจากคนสู่คนได้ ก็อาจจะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นสายพันธุ์ของไทยเอง

ดังนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดไม่ให้ไวรัสกลายพันธุ์ คือพยายามหยุดการระบาด โดยการหมั่นล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ทั้งนี้ เพื่อยับยั้งโอกาสไม่ให้ไวรัสเข้ามาอยู่ในตัวคน เพราะเมื่อไวรัสเข้ามาอยู่ในตัวคนแล้ว จะมีกระบวนการแบ่งเซลล์ที่อาจทำให้เกิดโอกาสการกลายพันธุ์ได้ และอีกวิธีในการช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดได้ คือการใช้วัคซีน

นายกหญิงคนแรก “ตู่ นันทิดา แก้วบัวสาย” พร้อมคณะผู้บริหาร นับหนึ่งนั่งเก้าอี้นายกอบจ. หลังผวจ.สมุทรปราการ เปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการครั้งแรก

ที่ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ โดยนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานในการเปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นครั้งแรกของการเปิดประชุมหลังจากที่ได้มีการประกาศผลการเลือกตั้งนายก อบจ.โดยมีนางนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และเป็นนายกหญิงคนแรกของ อบจ.สมุทรปราการ ที่ได้เข้ามาทำหน้าที่บริหารงานในครั้งนี้

พร้อมด้วยนายธนวัตน์ กล่ำพรหมราช รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ รักษาราชการแทน ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ทั้ง 36 คน เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพียง

ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม ได้มีการประกาศรายชื่อรองนายก อบจ.สมุทรปราการ และเลขานุการ นายก อบจ. สมุทรปราการ ประกอบไปด้วย นายสุนทร ปานแสงทอง เป็นรองนายก อบจ.สมุทรปราการ ลำดับที่ 1 นายพิริยะ โตสกุลวงศ์ เป็นรองนายก อบจ.สมุทรปราการ ลำดับที่ 2 และนายสมลักษณ์ ควรสงวน เป็นรองนายก อบจ.สมุทรปราการ ลำดับที่ 3

พร้อมด้วย นายนิคม สมบุญมาก เลขานุการ นายก อบจ.สมุทรปราการ นายมนัส บุญอารีย์ เลขานุการ นายก อบจ.สมุทรปราการ และนายรัชชานนท์ ทองอร่าม เลขานุการ นายก อบจ.สมุทรปราการ

จากนั้นได้เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม ครั้งที่ 1 ในที่ประชุมได้เสนอชื่อนายสมศักดิ์ เอี่ยมสะอาด สมาชิกสภา อบจ.เขต 7 อ.เมืองฯ เป็นประธานสภาชั่วคราว เพื่อคัดเลือกประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ และในที่ประชุมได้มีการเสนอชื่อ นายสมควร ชูไสว สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 15 อ.เมืองฯ เป็นประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ

โดยมี นายนิมิต เม่นมิ่ง สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 4 อ.พระประแดง เป็นรองประธานสภา ลำดับที่ 1 นายชนะ หงวนงามศรี สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 12 อ.เมืองฯ เป็นรองประธานสภา ลำดับที่ 2 นอกจากนี้ยังได้เสนอชื่อนางสาววลัยพร บานแย้ม สมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ เขต 6 อ.บางพลี เป็นเลขานุการสภา อบจ.สมุทรปราการ อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในการเปิดประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ ครั้งแรก ทั้ง 5 วาระ โดยในที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ในทุกระเบียบวาระ..


คิว - ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

หลาย ๆ ประเทศทางฝั่งตะวันตก ยังคงประสบปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างหนัก แต่ยังดีที่ทางรัฐบาลต่างในประเทศต่าง ๆ เริ่มกวดเข้มมาตรการแบบถึงลูกถึงคน (แต่มักไม่มีข่าวเปิดเผย)

ทั้งนี้ก็เพื่อหวังที่จะคุมการแพร่ระบาด ฃให้ได้มากที่สุด และรอความหวังอย่างวัคซีนให้เข้ามายังประเทศของตนให้ไวที่สุด เพราะตอนนี้หลายๆ ประเทศที่แท้จะร่ำรวย ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้ เหตุเพราะไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีนได้เอง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณทาม CEO ร้านผัดไท ในเนเธอร์แลนด์ เจ้าของเฟซบุ๊ก Tham Prawattree ได้โพสต์แชร์ให้เห็นถึงภาพตัวเขาที่ต้องอยู่ในประเทศนี้ ว่า..

#Goodnews #ข่าวดีๆ กันบ้าง

#สถานการณ์โรคระบาด

#อัพเดทข่าวสาร บ้านเมืองของประเทศที่ผมอยู่ หรือ ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตอนนี้ถือได้ว่ากำลังผจญกับเชื้อโควิด-19 อย่างสาหัสสากัน แต่เราก็ไม่หวั่นครับ มีสติ เพราะยังมีเงิน เงินหมด สติกระเจิง

ครับ!! นี่ขนาดเราเป็นประเทศที่บินแค่ 45 นาที ก็ถึงสหราชอาณาจักรละ เรายังมีวัคซีนอันน้อยนิด และก็ถือว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยนะครับ ยังได้นิดเดียว ที่อังกฤษโน่นฉีดกันไป 15 ล้านเข็มละ (แหมผลิตได้เองเนาะ)

ประเทศเนเธอร์แลนด์ นี่จัดเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และเก็บทุกแบบทุกอนู #ภาษีเงินได้อัตราสูงสุดที่ผมก็เสีย 49.5% ส่วน VAT เหรอครับ อิอิ 9% และ 21% เทียบกับสิงค์โปร์ที่เคยอยู่มา ทำให้ต้องถามตัวเองว่า #มาทามมัยยยยยย

ไม่ต้องไปถามไทยแลนด์ ดินแดนเก็บภาษีไม่ครบ และช่วยกันเลี่ยง คือเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง และชอบมาอ้างว่า #เงินภาษีของประชาชน

#อะมาดู

ตอนนี้เราเพิ่งฉีดวัคซีนได้แค่ 783,606 คน เรามี ประชาการ 17.9 ล้าน โดยประมาณ อันนี้ถือว่าช้านิดนึง แต่รัฐก็ทำเต็มที่ละ ทำไงได้ไปซื้อเค้า ไม่ได้ทำเอง

แต่ตัวเลขอื่นๆ ก็ดูดีขึ้นครับ เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อมีอัตราลดลงที่ดี คือติดน้อยลง #ยอดสะสมก็ลดลง #จำนวนคนเสียชีวิตก็ลดลง

และตัวเลข R Zero หรือ R 0 หรือ #Reproduction number ก็ต่ำกว่าหนึ่ง ซึ่งถือว่าดี อันนี้เทียบว่าคนหนึ่งคนสามารถแพร่เชื้อไปได้แค่ไหน เท่าไหร่ ซึ่งดี น่าใจชื้น

#ที่มันลด ก็เพราะมาตรการห้ามฝรั่งออกมามั่วสุม สุมหัวและเมาส์มอยกัน หรือ #เคอฟิวส์

พอเค้าห้ามออกมา ก็ออกมา #ประท้วง ทำลายข้าวของ เรียกร้องหาอิสระเสรีภาพ ผิดที่ ผิดเวลา ไม่รู้จักดู เค้าให้ประท้วงแค่นี้ จะเอาแบบนี้ จริงเค้าประท้วงสองหัวข้อคือเรื่องรัฐบาลและมาตรการ

พอโดนจับ ปรับ ลงโทษ แบบไม่ไว้หน้า แบบ fully law enforcement ที่นี้ละหายไปเลย ไม่เห็นจะเก่งเหมือนที่เมืองไทย ที่นี่ปรับ จับ ริบ ยึด ตี ฟาด (ตำรวจนี่แหละฟาดประชาชนจริงๆ ถ้าทำผิด เห็นละผมยังแขยง)

อดทน อดทน เดี๋ยวก็จบ

อิจฉา #ควีนอาลิซเบท ของอังกฤษ ที่ได้รับวัคซีนไปเรียบร้อยละ (ตั้งนานละด้วย)


ที่มา:

คุณทาม CEO แห่งร้านผัดไท เนเธอร์แลนด์

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3853876497968900&id=100000397626019

รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ เสนอต่อสู้กับรัฐอำนาจนิยม ด้วยการ “นัดหยุดงานทั่วประเทศ” รวมทั้งการไม่สมาคม (กิจกรรมทางสังคม - เศรษฐกิจ) บอยคอตเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง มั่นใจสู้ได้ ทำแล้วได้ผลดูพม่าเป็นตัวอย่าง

ก่อนหน้านี้ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์ประจำวิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก “Sustarum Thammaboosadee” ว่า “วิธีที่จะรับลูกต่อจากการต่อต้านเผด็จการ และรัฐอำนาจนิยมจากการใช้ความรุนแรงเมื่อคืน (13 ก.พ. 64) ที่ง่าย สันติ และใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด คือ

“การนัดหยุดงานทั่วประเทศ” และการไม่สมาคม (กิจกรรมทางสังคม-เศรษฐกิจ) กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง (ตำรวจ ทหาร ราชทัณฑ์ ตุลาการ) เรื่องนี้เหมือนยากแต่ง่ายมาก เพราะอำนาจการจัดการจะย้อนกลับสู่พวกเราเอง

ประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างเมียนมา พิสูจน์แล้วว่าเรื่องนี้ทำได้ ในสภาพที่เศรษฐกิจเปราะบางกว่าไทยหลายเท่า

สลิ่ม หรือชนชั้นกลางอนุรักษนิยม ผมมองว่ามีทุกที่ในโลก อังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก พม่า ก็มี และสัดส่วนก็ครึ่ง ๆ ทุกที่ทั่วโลกเช่นกันครับ

ผมมองว่า เราสามารถสู้ได้ รัฐบาลอำนาจนิยม และสลิ่มบ้านเราก็ไม่ได้พิเศษกว่า สลิ่มโลกแน่นอน”

ต่อมาเพจ “เยาวชนปลดแอก-Free YOUTH” ได้นำข้อความไปเผยแพร่ พร้อมระบุว่า การนัดหยุดงาน/นัดหยุดเรียน (Strike) เป็นสิ่งที่ทำกันมาตลอดในการประท้วงที่ต่างประเทศ หากแต่ประเทศไทยเรายังไม่เคยมีประวัติศาสตร์ถึงการนัดหยุดงานพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง

และทรงพลังมาก่อน แม้สภาพเศรษฐกิจของไทยเข้าขั้นเปราะบาง และความเหลื่อมล้ำสูงอย่างถึงที่สุด แต่หากทุกคนพร้อมใจกัน นั่นย่อมหมายถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ในการต่อสู้


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000014775

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ยกให้ปี 64 เป็นปีแห่งการเดินหน้ายกระดับภาษาอังกฤษ วางแผนให้ครูมีสมรรถนะความรู้ด้านภาษาอังกฤษ สอดแทรกภาษาอังกฤษในทุกกลุ่มการเรียนรู้วิชาหลัก

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวถึงแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการยกระดับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ว่า ในปี 2564 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะยกให้เป็นปีแห่งการเดินหน้ายกระดับภาษาอังกฤษ ของข้าราชการและบุคลากรทางการศึกษาและนักเรียนสังกัด สพฐ. โดยในส่วนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษานั้น ขณะนี้ สพฐ.ได้กำหนดกรอบสมรรถนะไว้ ว่า

ครูผู้สอนจะต้องมีพื้นฐานความรู้ภาษาอังกฤษอยู่ในระดับ A และเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานความรู้ภาษาอังกฤษจะต้องอยู่ในระดับ B ตามตัววัดมาตรฐานสากล หรือ The Common European Framework of Reference for Languages (CEFR)

โดยขณะนี้ สพฐ.อยู่ระหว่างการวางแผนให้ครูมีสมรรถนะความรู้ด้านภาษาอังกฤษ เพื่อให้เข้ารับการพัฒนาหลักสูตรผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งจะมีกระบวนการทดสอบสมรรถนะให้แก่ข้าราชการครู จากนั้นจะมีการไต่ระดับสมรรถนะด้านภาษา รวมถึงจะนำภาษาอังกฤษมากำหนดเป็นค่าคะแนนให้ครูใช้เลื่อนวิทยฐานะด้วย เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ด้านภาษาให้แก่ครูมากขึ้น ดังนั้นต่อไปนี้ครูทุกคนจะต้องมีทักษะภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น

"ส่วนตัวผู้เรียนจะเริ่มฝึกการเรียนรู้วิชาภาษาอังกฤษ ตั้งแต่ระดับปฐมวัยด้วยการสื่อสารภาษาคำศัพท์ที่เข้าใจง่าย เพราะต้องยอมรับว่าโลกยุคนี้คงไม่สามารถเรียนรู้ภาษาไทยได้เพียงภาษาเดียวแล้ว ดังนั้นครูผู้สอนจะต้องส่งเสริมการสื่อสารภาษาอังกฤษในโรงเรียนให้มากขึ้น ซึ่งผมจะกำหนดให้โรงเรียนขับเคลื่อนการสื่อสารภาษาอังกฤษในโรงเรียนอย่างเข้มข้น อีกทั้งครูผู้สอนจะต้องสอดแทรกภาษาอังกฤษในทุกกลุ่มการเรียนรู้วิชาหลักด้วย"เลขาฯ กพฐ.กล่าว


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/93107?fbclid=IwAR3G4kD5MLmbw6MfoLL7c7gpVk2vE11BM5rRq---tBTDjBgf1k-D61x5CoU

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต พบนักศึกษาแพทย์ ติดเชื้อโควิด-19 แนะเลี่ยงเดินทางใกล้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์

วัน 16 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำ เมื่อวานนี้ (15 ก.พ.) ที่เฟซบุ๊กเพจ Thammasat TODAY ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความระบุว่า นักศึกษาแพทย์ มธ. ศูนย์รังสิต ติดเชื้อโควิด-19 โดยได้รับการยืนยันแล้วว่า “ติดจริง”

ทั้งนี้ หากมีข้อมูลเพิ่มเติมทางเพจจะอัพเดตให้ทราบอีกครั้ง

เวลาต่อมา ทางเพจได้โพสต์ข้อความระบุว่า “คุณหมอ inbox แจ้งเตือนมาว่า คนไข้ที่มีความเสี่ยงติดโควิดสูง มา รพ. เยอะมาก โปรดหลีกเลี่ยงการเดินทางมาใกล้ รพ.มธ.”


ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10159141286018814&id=182927663813

รมช. ศึกษาธิการ เร่งสตาร์ท "โครงการวิทย์พลังสิบ" หลัง ครม.อนุมัติ มุ่งสร้างโอกาสเด็กไทยเข้าถึงการเรียนวิทยาศาสตร์แนวใหม่ ลดเนื้อหา เพิ่มการปฏิบัติ สร้างความเท่าเทียมองค์ความรู้พื้นฐาน

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เห็นชอบโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบ ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการระยะ 10 ปี ใช้งบประมาณทั้งหมด 9,000 ล้านบาทว่า จะเริ่มดำเนินโครงการทันทีในปีงบประมาณ 2564 โดยจะใช้งบประมาณ จำนวน 200 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาครูในการเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กไทยได้เข้าถึงวิทยศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างทั่วถึง รวมทั้งเป็นการเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์รูปแบบใหม่ลดเนื้อหาด้านวิชาการ และเน้นการเรียนแบบปฏิบัติมากขึ้น เพื่อให้เด็กนำไปใช้ชีวิตประจำวันได้จริง

เนื่องจากในอนาคตการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมีบทบาทมากขึ้น อีกทั้งยังมีบทบาทต่อวงการอุตสาหกรรม และการเกษตรอย่างก้าวกระโดด จึงริเริ่มโครงการวิทยาศาสตร์พลังสิบนี้ขึ้น โดยโครงการนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้คนไทยทั้งประเทศ ได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ได้ตั้งแต่เด็กเล็ก โดยการเพิ่มพลังวิทยาศาสตร์ จาก 10 คน เป็น 100 คน และจาก 100 คน เป็น 1,000 คน

นอกจากนี้ โครงการนี้ถือเป็นการเพิ่มพลังความรู้ด้านวิทยาศาสตร์แบบต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายให้คนไทยได้มีพื้นฐานความคิดอย่างเป็นระบบ คิดแบบวิธีวิทยาศาสตร์ ดังนั้น จะมีการต่อยอดเพิ่มการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตั้งแต่ชั้น ป.4 – ม.6 โดยมีภาคีเครือข่ายจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) และโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย มาช่วยเติมเต็มการอบรมให้แก่ครูทั่วประเทศให้สอนในเรื่องนี้ได้ เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการเรียนรู้ของเด็กด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมในอนาคต

“เบื้องต้นยังไม่สามารถดำเนินการได้ทั่วประเทศ เนื่องจากต้องมีการพัฒนาครู ซึ่งจะเริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้มีครูที่เชี่ยวชาญเพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในรูปแบบใหม่ ที่วิชาเรียนจะน้อยลง เน้นการปฏิบัติมากขึ้น และเพิ่มเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน สามารถนำไปปรับใช้ในอนาคตทั้งการทำงาน และการใช้ชีวิต ที่ประชุม ครม. ขอให้พิจารณาดำเนินการทุกอย่างให้รอบคอบมากที่สุด” รมช. ศึกษาธิการ กล่าว

ปลื้มใจเหมือนถูกรางวัลที่ 1!! หนุ่มรถบรรทุกดวงเฮง การันตีผล ‘มุกเมโล’ ที่เจอ ของแท้100% เผยเตรียมขายเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก่อนไปใช้ชีวิตบั้นปลายกับครอบครัว

จากกรณีที่นายมลเทียร จันสุข อายุ 40 ปี อาชีพขับรถหัวลากพักอาศัยอยู่ที่แคมป์พักคนงานขับหัวลากในซอยชุมชนในชาก หมู่ 5 ต.บึง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้ซื้อหอยกระโจงโดงเหลือง จากสะพานปลาแหลมฉบังมาในราคา 50 บาท ต้มกินแล้วเจอเม็ดมุกสีส้มขนาดใหญ่ฝังอยู่ในเนื้อหอย คาดว่าเป็นมุกเมโล ของหายากราคาแพงตามที่ได้นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปติดตามความคืบหน้าในกรณีดังกล่าว พบนายมลเทียร พร้อมด้วย น.ส.วาสนา แสงจันทร์ อายุ 44 ปี และครอบครัว เปิดเผยว่า ภายหลังจาก เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ได้นำเม็ดมุกที่เจอในหอยกระโจงโดงไปตรวจที่สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ(องค์กรมหาชน) สำนักงานใหญ่ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นมุกจริงหรือไม่แล้ว

นายมลเทียร เผยด้วยความดีใจว่า จากการตรวจสอบผลออกมาว่ามุกที่เจอเป็นมุกเมโลจริง ๆ ของแท้เกิดจากธรรมชาติในหอยหายาก 100 % มีน้ำหนัก 65.57 กะรัต ทางศูนย์จึงออกใบรับรองมาให้เพื่อเป็นการยืนยัน และหลังจากผลตรวจยืนยันแล้วว่าเป็นมุกเมโลของแท้ จึงได้นำไปฝากไว้ในตู้เซฟธนาคารเพื่อความปลอดภัยแล้ว เนื่องจากทราบมาว่ามีราคาหลักล้านบาทเลยทีเดียว หากมีผู้ติดต่อขอซื้อมาค่อยมาตกลงราคากัน

ทำให้ตนและครอบครัวรู้สึกดีใจเหมือนถูกรางวัลใหญ่สลากกินแบ่งรัฐบาลเลย หากขายได้ราคาดีตามที่รู้มาจะนำเงินที่ได้ไปใช้หนี้สินให้หมด จากนั้นก็คงทำงานขับรถหัวลากอีกสักพักก่อนไปใช้บั้นปลายชีวิตกับครอบครัวที่บ้านเกิด

กระทรวงพลังงาน เผย 31 มี.ค. นี้ หมดเวลาตรึงราคา ‘ก๊าซหุงต้ม’ ลุ้นอีกเฮือก ฝั่งยุโรปผ่านพ้นฤดูหนาว อาจทำให้ราคาก๊าซในตลาดโลกลดลง

พร้อมเผยกองทุนน้ำมัน อุ้มก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือน 318 บาทต่อถัง 15 กก. เป็นวงเงินถึง 10,277 ล้านบาท

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานได้ติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ตลาดโลกใกล้ชิด เนื่องจากระดับราคาได้ปรับขึ้นต่อเนื่องหวังว่า ตั้งแต่เดือน มี.ค. จะผ่านพ้นฤดูหนาวไปแล้วราคาแอลพีจีโลกจะลดลง และมีผลทำให้ราคาคำนวณในไทยลดลงด้วย

"มาตรการดูแลแอลพีจีภาคครัวเรือนที่คงไว้ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม จะสิ้นสุด 31 มี.ค. 64 จากนั้นจะต้องสิ้นสุดการตรึงราคาส่วนจะมีการปรับขึ้นหรือตรึงต่อไปหรือไม่อย่างไรเรื่องนี้ยังมีเวลาในการพิจารณา"

ทั้งนี้ จากการติดตามสถานการณ์ล่าสุดพบว่า ราคาแอลพีจีตะวันออกกลาง อยู่ที่ระดับ 600 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบัญชีแอลพีจีต้องอุดหนุนราคาขายปลีกไม่เกิน 318 บาทต่อถัง 15 กก. เป็นวงเงินถึง 10,277 ล้านบาท ซึ่งยังคาดหวังว่า เดือนมี.ค.นี้ประเทศฝั่งตะวันตก จะผ่านพ้นฤดูหนาวที่ปกติจะทำให้ราคาแอลพีจีกลับมาลดลงได้อีกครั้ง และจะส่งผลให้การอุดหนุนราคาแอลพีจีลดลงตามไปด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top