Friday, 16 May 2025
NewsFeed

รัฐบาล อุ้มประกันรายได้ข้าว ปรับเพิ่มวงเงินปี 63/64 รอบที่ 1 เพิ่มอีก 3,838 ล้านบาท รวมเป็น 50,646 ล้าน พร้อมเร่งหาตลาดส่งออกข้าวเพิ่ม แก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาด

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบการปรับเพิ่มวงเงินงบประมาณโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2563/64 รอบที่ 1 จาก 46,807.35 ล้านบาท

โดยเห็นชอบปรับเพิ่มอีก 3,838.92 ล้านบาท รวมเป็น 50,646.27 ล้านบาท และมอบหมาย ธ.ก.ส. และกระทรวงพาณิชย์ จัดทำรายละเอียด และงบประมาณตาม พรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และให้กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ นบข. นำเสนอครม.ต่อไป

"นายกฯ ย้ำในที่ประชุมว่า สำหรับภาระงบประมาณที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หารือแนวทางปฏิรูป ขับเคลื่อนภาคการเกษตรเน้นสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรกรโดยตรง แทนตัวสินค้าเกษตร มีแนวทางการพัฒนาอาชีพ โดยต้องมี Roadmap และ Action Plan ที่ชัดเจน"

อีกทั้งยังสั่งให้หารือถึงแนวทางการส่งออกข้าวไทยที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศผู้ส่งออกที่สำคัญว่า ให้ดูปัจจัยที่ทำให้ราคาข้าวผกผันเพื่อแก้ปัญหาให้ถูกวิธี กำหนดกรอบข้าวแต่ละประเภทเพื่อไม่ให้ผลผลิตล้นตลาด ทั้งประเภทพันธุ์ ราคา สัดส่วนชนิดข้าวที่ผลิต

ขณะที่ตลาดส่งออกข้าวไทยทั้งทวิภาคีและการขายตรงไปแต่ละประเทศ ให้พิจารณาเพิ่มตลาดกลางในกลุ่มประเทศต่าง ๆ เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคอื่น ๆ เรื่องการปัญหาการขาดแคลนตู้ขนส่งสินค้า ได้สั่งการทั้งกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ให้แก้ปัญหาเรื่องตู้ขนส่งสินค้า ขณะนี้ปลดล็อกหลายอย่างแล้ว จึงขอให้ติดตามด้วยว่ามีจำนวนเพียงพอหรือไม่ โดยในส่วนของข้าวตลาดหลัก ข้าวตลาดเฉพาะในประเทศ ข้าวเพื่อสุขภาพ ข้าวอินทรีย์ ข้าวพื้นนุ่ม ต้องมีรายละเอียดที่ชัดเจน

‘หมอยง ภู่วรวรรณ’ เผยสัญญาณสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มดีขึ้น ชี้ทั่วโลกได้ผ่านพ้นจากหุบเหว และกำลังวิ่งขึ้น หลังพบตัวเลขการติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง จากวันละ 7 แสนราย เหลือ 3 แสนราย

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ (หมอยง) หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสเฟซบุ๊ก (Yong Poovorawan) ถึงสถานการณ์โควิดล่าสุด โดยระบุว่า

โควิด-19 ทั่วโลกกำลังโผล่จากหุบเหว

จากการฟันผ่ากับโควิด-19 มาเป็นเวลา 1 ปี ได้ผ่านพ้นจากหุบเหว และกำลังจะวิ่งขึ้นแล้ว หลังจากที่มาตรการในการควบคุมโรคด้วยวิถีชีวิตใหม่ และมีวัคซีนมาเสริม ตัวเลขของผู้ป่วยทั่วโลกได้สูงสุดในเดือนธันวาคม ก่อนปีใหม่ มีการป่วยสูงสุดวันละ 7 แสนราย ขณะนี้ผู้ป่วยต่อวันได้ลดลงมาก ตัวเลขผู้ป่วยต่อวันเหลือเพียง 3 แสนกว่าแล้ว แต่ของประเทศไทยอย่าให้เป็นขาขึ้นก็แล้วกัน

มีการพัฒนาวัคซีนมาใช้มากกว่า 10 ตำรับ และมีอัตราการให้วัคซีนพุ่งเป็นก้าวกระโดด ตัวเลขผู้ป่วยในประเทศตะวันตก เริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะต้องสู้กับไวรัส ก็คือไวรัสพยายามหลีกหนี ภูมิต้านทานของวัคซีน จะเห็นได้ว่ามีสายพันธ์ใหม่เกิดขึ้น สายพันธุ์อังกฤษ แอฟริกาใต้ และบราซิล สายพันธุ์แอฟริกาใต้และบราซิลเก่งในการหลบหลีกวัคซีนได้ดี

ล่าสุดมีการศึกษาขนาดเล็กในแอฟริกาใต้ ออกมาว่าประสิทธิผลของวัคซีน AstraZeneca ลดลงเหลือต่ำมาก อย่าบอกตัวเลขเลยนะ เป็นเหตุให้แอฟริกาใต้ได้รับวัคซีนไปแล้ว ระงับการฉีดวัคซีนไปก่อน รอข้อมูลเพิ่มวัคซีนที่ผลิตจำนวนมาก ตอนนี้ถ้าไม่รีบขาย ต่อไปก็จะต้องรีบวิ่งมาหาเราเองแน่นอน


#หมอยง

https://www.facebook.com/108692177438990/posts/248447860130087/?sfnsn=mo

พรรคเพื่อไทย ชี้ ไทยเข้าสู่ 'ภาวะกบต้ม' เพราะ 'ประยุทธ์' ไม่ฟังคำเตือน แถมดำเนินคดีคนเตือน ห่วง SMEs เจ๊งเพิ่ม ว่างงานพุ่ง ทำคดีอาชญากรรมสูงขึ้น แนะดูเมียนมาเป็นตัวอย่าง เข็ดกับเผด็จการจึงต้องต่อสู้

ตรีชฎา ศรีธาดา คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เผย กังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทย หลังรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาผ่านบัตรคนจนวันแรกแต่ระบบแอปพลิเคชันเป๋าตังกลับใช้งานไม่ได้ชั่วคราว เคยเตือนให้รัฐบาลเปลี่ยนวิธีมาจ่ายเงินสดก่อนระบบล่มแต่รัฐบาลยืนยันไม่เปลี่ยน หนี้สาธารณะทะลุ 8.13 ล้านล้านบาท ลางบอกเหตุ เชื่อเหตุการณ์นำพาประชาชนคนไทยสู่ 'สภาพกบต้ม' คนตกงานล้น - อาชญากรรมเกลื่อนเมือง แนะรัฐบาล - ปรับแผนรับมือ ก่อนคนจะออกมาไล่รัฐบาลแบบประชาชนพม่าบ้าง

ตามที่อัยการไม่ฟ้อง พิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจในคดี 'กบต้ม' ตามที่ คสช.ส่งคนมาฟ้อง เพราะทฤษฎีกบต้มนี้ เป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่มีอยู่จริง โดยทฤษฎีอธิบายว่า ถ้าเอากบใส่เข้าไปในน้ำร้อน กบจะกระโดดออกทันที แต่ถ้านำกบใส่ในน้ำธรรมดาแล้วค่อย ๆ เร่งไฟ กบจะค่อย ๆ ปรับตัวตามความร้อนและเมื่อน้ำเดือดกบก็ตายโดยไม่ได้ทันกระโดดออก

จุดนี้เปรียบเหมือนกับ ‘ประเทศ’ หรือ ‘บริษัท’ ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แต่ทนอยู่ไปเรื่อย ๆ สุดท้าย ประเทศนั้นก็ต้องย่ำแย่หรือบริษัทนั้นก็ต้องแย่ไป

นี่เป็นคำเตือนที่พิชัย ได้เตือนไว้แล้วตั้งแต่ปี 2560 แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้า คสช. ในขณะนั้นไม่ยอมฟัง แถมยังส่งคนมาดำเนินคดีกับพิชัยเพราะกลัวความจริง

แต่วันนี้สถานการณ์ประเทศในปัจจุบันยิ่งกว่าสภาวะกบต้มเสียอีก เพราะเศรษฐกิจไทยทรุดหนักมาก ปีนี้บอกว่าฟื้น ก็ปรากฏว่าจะไม่ฟื้นได้มากอย่างที่คาดกัน โดยอาจจะฟื้นได้บ้างหรือไม่ฟื้นเลย คนจะลำบากกันอย่างมาก

บริษัทห้างร้านจะปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก หลังจากที่ปิดไปแล้ว ซึ่งหาก พล.อ.ประยุทธ์จะรับฟังคำเตือนของพิชัยและนำมาแก้ไขได้ทัน ประชาชนคงไม่เผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างที่เป็นอยู่นี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจถ้าเก่งจริงป่านนี้ก็คงไม่ตกสภาพเจ๊งขนาดนี้

"สภาวะกบต้มที่เกิดกับประเทศที่ชัดเจนที่สุดคือ เมียนมา เพราะหลังจากถูกทหารยึดอำนาจมานานเป็นสิบๆ ปี จากที่เคยมีศักยภาพกลับต้องถอยหลังสู่สภาพแย่ที่สุดในอาเซียน แต่พอเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยประเทศพม่าก็พัฒนาขึ้นมาเร็วได้ หนนี้เมื่อทหารปฏิวัติอีก ประชาชนเมียนมา จึงต้องออกมาประท้วงต้านเผด็จการทหารเพราะไม่อยากกลับไปอยู่อย่างเดิม

ขณะที่ประชาชนไทยตอนนี้ ก็คงได้รู้ซึ้งถึงความล้มเหลวของการบริหารประเทศของรัฐบาลทหารที่อยู่ยาว 6 - 7 ปีผ่านมาเป็นอย่างไรการพลาดจากเสือตัวที่ 5 มาเป็นแมวที่ 6 อาจถึงขีดสุดที่คนไทยต้องออกมาเรียกร้องไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทั้งประเทศบ้างจะได้ไม่อายเมียนมา" ตรีชฎา กล่าว.


ที่มา: https://www.voicetv.co.th/read/RdaRWAycn?fbclid=IwAR2O8QxSRxhkPhtnpzqEJsld-_1OjUGD_1Utfzt0kbkCtjsbyzm8_JVcnF4

‘พรรคก้าวไกล’ ส่งทีมงานยื่นฟ้อง ‘วรงค์ เดชกิจวิกรม’ และ ‘ณฐพร โตประยูร’ ฐานหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายคนละ 24 ล้านบาท พร้อมเรียกร้องให้ หยุดพฤติการณ์อันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอีก

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก และ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. โฆษกพรรคก้าวไกล เดินทางมาเป็นตัวแทนในนาม “พรรคก้าวไกล” เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดี 2 สำนวน สำนวนแรกฟ้องต่อ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้ก่อตั้งพรรคไทยภักดี เป็นจำเลย

ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา กับอีกสำนวนฟ้องต่อ นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นจำเลย ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และแจ้งหรือกล่าวหาอันเป็นความเท็จว่าพรรคการเมืองกระทำความผิดกฎหมายพรรคการเมือง ตามมาตรา 101 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า "คดีฟ้อง นพ.วรงค์ ฟ้องการกระทำเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 และเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2564 คือการแถลงข่าวและการโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว มีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายต่อพรรค พรรคจำเป็นต้องปกป้องสิทธิ เกียรติยศชื่อเสียงของพรรค และสมาชิกพรรคที่ได้รับผลกระทบจากการให้ข้อมูลดังกล่าว เราจะฟ้องเป็นคดีอาญา เรียกค่าเสียหายในทางแพ่ง จำนวนเงิน 24,062,475 บาท และเรียกร้องให้ นพ.วรงค์ หยุดพฤติการณ์อันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายอีก"

ส่วนคดีที่สอง ฟ้องนายณฐพรที่อ้างเคยเป็นที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหาพรรคก้าวไกลละเมิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานหมิ่นประมาท ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน

และข้อหาตามมาตรา 101 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง คือกล่าวหาพรรคการเมืองโดยรู้อยู่แล้วว่าข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ เราเรียกร้องให้หยุดการกระทำดังกล่าว และเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง จำนวนเงิน 24,062,475 เช่นเดียวกัน พรรคก้าวไกลฟ้องเป็นการปกป้องสิทธิของพรรค ไม่ให้บุคคลทั้งสองทำแบบนี้อีกกับบุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองอื่น อันเป็นการทำลายสถาบันทางการเมือง ไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่มีการติชมด้วยความเหมาะสม

ผู้สื่อข่าวถามว่าคำฟ้องเรียกร้องเฉพาะค่าเสียหายหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องของคดีอาญา ข้อหาทั้งหมดมีโทษจำคุกด้วย อย่างไรก็ตามเป็นขั้นตอนกระบวนการของศาล เรามีหน้าที่พิสูจน์ความเป็นจริงให้ศาลเห็นว่าเราได้รับผลกระทบเป็นผู้เสียหายอย่างไร ความผิดฐานหมิ่นประมาท เมื่อวานนี้ (10 ก.พ.) พรรคก้าวไกลยื่นแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะเรามองว่าการแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องเหมาะสมสามารถกระทำได้ แต่ต้องไม่ให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่น เมื่อมีกระบวนการของศาลแล้วในอนาคตเป็นเรื่องของศาล เราหวังเพียงว่าจะได้รับการคืนความเป็นธรรม

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีโจ โบเดน กำลังตั้งตาคอยพินิจพิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงรายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญนานาชาติองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (9 ก.พ.)

ซึ่งระบุว่าไวรัสโควิด-19 ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากห้องปฏิบัติการวิจัยในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จากการเปิดเผยของ เจน ซากี เลขานุการฝ่ายสื่อมวลชนของทำเนียบขาว

คณะผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบที่มาที่ไปของโควิด-19 ซึ่งนำโดยองค์การอนามัยโลก ระบุว่า ค้างคาวยังคงเป็นแหล่งต้นตอที่มีความเป็นไปได้ และมีความเป็นไปได้ที่ไวรัสแพร่กระจายเชื้อผ่านอาหารแช่แข็ง พร้อมปฏิเสธสมมติฐานที่ว่ามันหลุดจากห้องปฏิบัติการวิจัยหนึ่ง

ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเชื่อว่าโรคโควิด-19 ที่ล่าสุดทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 106 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 2.3 ล้านคนนั้น มีต้นกำเนิดมาจากค้างคาว และอาจมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอีกชนิดหนึ่งเป็นพาหะถ่ายทอดจากค้างคาวต่อมายังมนุษย์

เหลียง วานเหนียน ผู้เชี่ยวชาญจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุขของจีน หัวหน้าคณะสอบสวนของจีนที่ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก แถลงเมื่อวันอังคาร (9 ก.พ.) ว่า แม้แนวคิดดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นไปได้ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุโฮสต์กักตุน (reservoir host) สัตว์ที่เป็นแหล่งกักตุนเชื้อโรคตามธรรมชาติและสามารถแพร่เชื้อโรคไปยังสัตว์อื่นๆ และคนได้

เขาเสริมด้วยว่า ในอีกด้านหนึ่งผลศึกษาหลายฉบับแสดงให้เห็นว่า ไวรัสสามารถแพร่เชื้อไปไกลผ่านสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งเท่ากับมีความเป็นไปได้ว่าไวรัสโคโรนาอาจมาจากประเทศอื่น ทั้งนี้ ทฤษฎีดังกล่าวเป็นที่แพร่หลายอย่างมากในจีนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ขณะที่ด้าน ซากี บอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างแถลงสรุปในวันอังคาร (9 ก.พ.) ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้เกี่ยวข้องในการวางแผนหรือการดำเนินการสืบสวน และต้องการตรวจประเมินอิสระต่อสิ่งที่ค้นพบและข้อมูลแฝงต่างๆ โดยเธอกล่าวต่อว่า แม้รัฐบาลกลับเข้าร่วมองค์การอนามัยโลกแล้ว แต่มัน "เป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องมีคณะผู้เชี่ยวชาญของเราเองที่ภาคสนามในจีน"

ด้าน ปีเตอร์ เบน เอ็มบาเรค หัวหน้าคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ลงพื้นที่เมืองอู่ฮั่นมานานเกือบ 1 เดือน ดินแดนที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรกที่ตลาดอาหารทะเลแห่งหนึ่งในช่วงปลายปี 2019 บอกว่าการทำงานของคณะผู้เชี่ยวชาญนั้นครอบคลุมข้อมูลใหม่ ๆ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากมายใด ๆ ในมุมมองของพวกเขาที่มีต่อโรคระบาดใหญ่

เอ็มบาเรค บอกว่า การระบุเส้นทางที่ไวรัสนี้ผ่านจากสัตว์มาสู่มนุษย์นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนการทำงาน ความเห็นที่สนับสนุนคำกล่าวของเหลียง และยังปฏิเสธทฤษฎีที่ว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หลุดออกมาจากห้องปฏิบัติการทดลอง "ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง" และบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำการศึกษาเพิ่มเติม

เมื่อถูกสอบถามถึงผลการค้นพบขององค์การอนามัยโลก เนด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า เขาไม่อาจสรุปได้ว่าคณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่จากจีน

"ผมคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป มันชัดเจนว่าอย่างน้อยๆ ก่อนหน้านี้จีนไม่ได้มอบความโปร่งใสที่จำเป็นตามที่เราต้องการ" ไพรซ์กล่าว พร้อมระบุว่าสหรัฐฯ จะทำการสรุปบนพื้นฐานของข้อมูลองค์การอนามัยโลกและข่าวกรองของตนเอง


ที่มา: https://sondhitalk.com/detail/9640000013262?fbclid=IwAR2O8QxSRxhkPhtnpzqEJsld-_1OjUGD_1Utfzt0kbkCtjsbyzm8_JVcnF4

หญิงสาวรายหนึ่งในจีนที่ไม่อาจก้าวพ้นช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวด ตัดสินใจแสดงความโกรธแค้นที่มีต่ออดีตคนรัก ด้วยการจ้าง ‘คนส่งอาหาร’ (ฟู้ดไรเดอร์) พร้อมกับคำสั่งพิเศษถึงผู้รับ และดูเหมือนว่าฟู้ดไรเดอร์จะทำหน้าที่ของเขาได้อย่างซื่อตรงสุด ๆ

ตามรายงานของ ออเรียนทัล เดลี สื่อมวลชนท้องถิ่น ระบุเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่มณฑลซานตง ประเทศจีน โดยฟู้ดไรเดอร์รายหนึ่งได้รับคำขอเพิ่มเติมจากคำสั่งซื้อเดิมของลูกค้า ซึ่งเป็นคำขอที่ต่างจากออเดอร์ธรรมดา ๆ ทั่วไป

คำสั่งพิเศษดังกล่าวของหญิงสาวรายนี้ก็คือ ขอให้ฟู้ดไรเดอร์นำชาไปส่งให้แฟนเก่าของเธอ แล้วสาดมันใส่หน้าของเขา

"ไม่จำเป็นต้องทำดีกับไอ้สารเลวคนนี้ แค่สาดชาเข้าใส่หน้าเขาก็พอ" ลูกค้าหญิงเขียน

วิดีโอของเหตุการณ์ พบเห็นฟู้ดไรเดอร์รายดังกล่าวทำตามคำขอของลูกค้าอย่างซื่อตรง และหลังจากสาดชาใส่แฟนเก่าของลูกค้าแล้ว ฟู้ดไรเดอร์ก็ได้ยื่นใบสั่งซื้อให้ชายคนดังกล่าวดู เพื่อยืนยันว่ามันเป็นคำสั่งของแฟนเก่าของเขา พร้อมกับกล่าวขอโทษ

"ขอโทษครับ ผมแค่ทำตามคำสั่งของลูกค้า" จากนั้นก็ยื่นกระดาษชำระให้และขอโทษซ้ำอีกรอบ

ในรายงานของออเรียนทัล เดลี ระบุว่า ทางบริษัทต้นสังกัดของฟู้ดไรเดอร์รายดังกล่าวจะทำการสืบสวนในประเด็นนี้ พร้อมชี้แจงว่าฟู้ดไรเดอร์สามารถปฏิเสธคำสั่งได้ หากคิดว่าคำสั่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล

อย่างไรก็ตามบรรดาผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์เขียนแซวกันอย่างสนุกสนานว่า ฟู้ดไรเดอร์รายนี้ควรได้คะแนน 5 ดาว เนื่องจากเขาอาจหาญกล้าทำตามคำสั่งยากๆ ของลูกค้า


ที่มา: https://www.facebook.com/119425428118611/posts/3886568724737577/

https://worldofbuzz.com/food-delivery-rider-in-china-fulfils-customers-request-to-splash-milk-tea-on-ex-boyfriend/

สมบัติ ทองย้อย หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวระบายความอึดอัดในใจ เกี่ยวกับกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายรักในประชาธิปไตย โดยมีเนื้อหาระบุว่า...

ช่วงหลัง ๆ มานี้ยอมรับเลยสลิ่มในเฟสเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้อะไรมากเขาเข้ามาด้วยสาเหตุใดก็ตามแต่ไม่ว่ากัน แต่เชื่อไหมบรรดาสลิ่มเหล่านั้นเวลามาเม้นท์ผม น้อยคนมากที่จะด่าด้วยคำด่าที่หยาบคาย บางคนจากเกลียดกลายเป็นมาพูดดีกับผมเรียกลุงเรียกน้าเรียกพี่

ผมไม่รู้ว่าเขาหวังอะไรจากผม เพราะจริง ๆ ผมก็ไม่มีอะไรจะให้เขา แต่ผมสิกลับโดนพวกเดียวกันเองด่าแบบสาดเสียเทเสียไม่ให้เกียรติกัน ไม่เคารพกัน ไม่นับถือกัน ซึ่งผมก็ไม่ได้โกรธ หรือโทษใครนอกจากตัวผมเองที่ผมทำตัวผมเอง

แต่แค่งงใจว่าพวกเดียวกันเองทำไมต้องด่ากันจนถึงขนาดนั้น เพียงเพราะคิดต่างกับพวกคุณ บางทีคนเสื้อแดงเพลงคนฝั่งประชาธิปไตยก็ไม่ได้น่ารักอย่างที่คิดเสียทุกคน หรือบางคนอาจจะเผด็จการทางความคิดเสียด้วยซ้ำ


ที่มา:

https://www.facebook.com/336295587309275/posts/758955375043292/

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=406579140643344&id=100038737831788

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานว่า ตำรวจชุดสืบสวน ได้ร่วมกับชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมาน กองบังคับการปราบปราม นำกำลังเข้าจับกุมตัว นายสมชาย จุติกิติ์เดช หรือ ‘หลงจู๊’ ผู้ถูกกล่าวหาเจ้าของบ่อนพนันหลายแห่งใน ภาคตะวันออก

สำหรับ ‘หลงจู๊สมชาย’ เป็นนักธุรกิจสีเทาระดับประเทศ เป็นเจ้าพ่อบ่อนการพนันหลายแห่ง ทั้งในจังหวัดระยองและรวมถึงภาคตะวันออก และอีสานบางส่วน เริ่มต้นชีวิตจากศูนย์ จนโด่งดังในยุทธจักรบ่อนพนัน และโด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อกลายเป็นต้นเหตุการระบาดของโควิด-19 ล่าสุด

หลงจู๊สมชาย ถูกกล่าวขานมาเป็นเวลานานในฐานะนักพนัน ตั้งแต่เริ่มต้นจากศูนย์ คนในวงการมักเปรียบว่ามาจาก ‘ผี’ เพราะไม่มีอะไร แต่ด้วยความเป็นนักพนันใจถึง มีผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัดระยองสนับสนุน จึงค่อยๆ เติบโตจากคนเดินโพยหวย ขยับมาเป็นเจ้ามือหวย เป็นเจ้าของสถานบริการในเมืองระยอง ทั้งนวดแผนโบราณ คาราโอเกะ ต่อมาเข้าไปพัวพันกับแก๊ง ‘ล็อกหวย’ ที่มีด้วยกัน 3 คน คือ ‘กลม บางกรวย - ชัย โคกสำโรง’ และตัวเขาเองที่ได้เจ้าของฉายา ‘ชาย ระยอง’ หรือ ‘ชาย บ้านค่าย’

ช่วงแรกแก๊งหวยล็อกจะเดินสายกระจายแทงเจ้ามือใหญ่ในหัวเมืองต่างๆ และไปสะดุดตอที่เจ้าพ่ออีสาน โดย ‘เป๊กตั๊ก’ เจ้าพ่อหวยเมืองสุรินทร์ เห็นว่าถูกลูกค้านิรนามกินติดต่อกันหลายงวด และสงสัยกลุ่ม ‘ชาย ระยอง’ หรือ ‘หลงจู๊สมชาย’ ในปัจจุบัน จะเป็นตัวการ จึงเข้าแจ้งต่อกองปราบปราม และเป็นที่มาของการเปิดโปงขบวนการ ‘หวยล็อก’ ต่อมามีการดำเนินคดี...แต่ ‘หลงจู๊ สมชาย’ รอดมาได้

หลังข่าวคราวหวยล็อกเงียบไป ชื่อเสียงของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ก็โด่งดังในยุทธจักรบ่อนพนัน และกิจการตู้ม้า ตู้สลอต โดยว่ากันว่าเขาได้รับการสนับสนุนจาก ‘นักการเมืองคนดัง’ ของจังหวัดนครราชสีมา และนายตำรวจระดับ พล.ต.ต.คนหนึ่งแถวภาคอีสาน ให้สัมปทานบ่อน ตู้ม้า ในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภาค 3 ทั้ง จ.นครราชสีมา จ.อุบลราชธานี และอื่นๆ อีกหลายแห่ง

เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ จ.อุบลราชธานี เงินจำนวน 1 ล้านบาท ของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ก็ถูกนำไปสร้างบารมี สร้างฐานสีเทาให้แก่ตัวเอง โดยมีลูกน้องคนสนิทซึ่งแท้จริงเป็นคนโปรโมตบ่อน สวมบทเป็นผู้ใจบุญบริจาค

ด้วยความใจถึง อีกทั้งระยะหลังมักมีข่าวว่า ‘หลงจู๊สมชาย’ มีอาการเพี้ยน เนื่องจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางอย่าง และอาจเป็นคนใจถึงอยู่แล้ว อีกทั้งมีแรงหนุนจาก ‘นักการเมืองคนดังภาคอีสาน’ ที่ทำงานติดตัวเบอร์ต้น ๆ ของขั้วอำนาจในรัฐบาล ‘หลงจู๊สมชาย’ จึงบ่ายหน้าเข้าสู่วงการบู๊ลิ้มเมืองหลวง

ระยะแรกสร้างความปั่นป่วนไม่น้อย เพราะการปล่อยสมุนมือขวาออกป่วน แต่ในที่สุดไปไม่รอด ต้องกลับไปดูแลฐานเดิมคือ ภาคตะวันออกในหลายพื้นที่ของภาค 2 ภาค 3 จนช่วงหนึ่งถูกระดมปราบปรามจากชุดเฉพาะกิจกรมการปกครองอย่างหนักหน่วง จากปฏิบัติการทะลายบ่อน RJ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง ซึ่งทราบกันดีว่าบ่อนแห่งนี้เป็นของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ปรากฏเป็นข่าวครึกโครม

แต่ด้วยเส้นสาย และ ‘นักการเมืองดังอีสานคนใกล้ตัวขั้วอำนาจ’ ทำให้ในที่สุด ‘หลงจู๊สมชาย’ รอดตัวเช่นเคย แต่ฝ่ายมั่นคงก็เตรียมเชือดต่อ โดยส่งชุดปฏิบัติการของดีเอสไอ เพื่อตั้งเป้าขยายผลเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งหลายคนเชื่อว่านี่คือปฏิบัติการเชือดไก่เพื่อปิดตำนานความยิ่งใหญ่ของ ‘เจ้าพ่อธุรกิจสีเทา’ อย่างแน่นอน

แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ความไม่ชอบมาพากลก็เกิดขึ้น โดยคอลัมนิสต์สื่อหลักเริ่มเขียนแขวะปฏิบัติการนี้ และให้เหตุผลว่าบ่อนพนันเป็นหน้าที่ของตำรวจก็พอแล้ว ไม่เห็นจำเป็นต้องให้ถึงมือ ‘กรมสอบสวนคดีพิเศษ’ เพราะควรไปใช้กับคดีต่างๆ ที่มีความสลับซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม หปฏิบัติการสยบเจ้าพ่อตะวันออกก็กลายเป็นหมัน ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ‘หลงจู๊สมชาย’ ต่อมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดฝีแตก จากกรณีบ่อนระยอง ที่กลายเป็นแหล่งแพร่โควิด-19 ในครั้งนี้ จึงถึงจุดจบของ ‘หลงจู๊สมชาย’ ในที่สุด!!

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาความเชื่อมโยงของความสามารถทาง ‘ปัญญา’ กับ ‘อคติ’ ที่มีต่อ ‘กลุ่มคนรักร่วมเพศ’ โดยพบว่า 'คนที่เกลียดกลัวการรักร่วมเพศ' มักจะมีสติปัญญาที่ต่ำกว่าคนในกลุ่มอื่น

ทีมวิจัยได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างชาวออสเตรเลียจำนวน 11,564 คน ด้วยแบบสอบถามสำหรับการวิเคราะห์ในเรื่องของระดับสติปัญญา ซึ่งในแบบสอบถามดังกล่าวจะมีคำถามบางส่วนสอดแทรกไปในลักษณะที่ว่า เห็นด้วยหรือไม่กับประโยคที่ว่า

ในแบบสอบถามดังกล่าว จะมีคำถามบางส่วนสอดแทรกไปในลักษณะที่ว่า เห็นด้วยหรือไม่กับประโยคที่ว่า “กลุ่มคนรักร่วมเพศ (ชาย-ชาย / หญิง-หญิง) ควรมีสิทธิเท่าเทียมกับกลุ่มคนรักต่างเพศ (ชาย-หญิง)” โดยจะให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกว่าเห็นด้วยกับประโยคดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน ตั้งแต่ 1 (ไม่เห็นด้วยเลย) ไปถึง 7 (เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง)

ทั้งนี้ทางทีมวิจัยได้นำแบบสอบถามทั้งหมดมาวิเคราะห์ และพบว่า ยิ่งไม่เห็นด้วยกับประโยคในลักษณะนี้มากเท่าไหร่ สติปัญญาของคนเหล่านั้นก็จะยิ่งต่ำกว่าคนอื่นตามไปด้วย ก็ยิ่งแสดงถึงความเชื่อมโยงกันของทั้งสองสิ่งนี้

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบด้วยว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น จะส่งผลรุนแรงอย่างมากในส่วนของทักษะการใช้คำพูด หรือก็คือ คนที่มีอคติกับกลุ่มรักร่วมเพศ มักจะเป็นคนที่ขาดการใช้สติปัญญาในการแสดงออกทางวาจานั่นเอง

งานวิจัยดังกล่าว ถือว่าช่วยสนับสนุนผลงานวิจัยอื่นๆ ก่อนหน้านี้ในสหรัฐอเมริกา ที่เคยมีการพบว่าผู้ที่มีอคติต่อกลุ่มรักร่วมเพศหรือกลุ่ม LGBTQ นั้น จะมีระดับสติปัญญาต่ำเช่นเดียวกัน


ที่มา

https://www.catdumb.tv/homophobia-research-339/?fbclid=IwAR0f76JLJyj1HjXnJvbEPObSdCGUZPafDq2K7Rc2SGtuIRKTEb6Ds5mKLQA

https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0160289617303628

https://www.unilad.co.uk/science/homophobia-and-low-intelligence-are-linked-study-finds/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top