Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ชำแหละการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม หนุนใช้ ‘เกณฑ์เดิม’ ดีกว่า ‘เกณฑ์ใหม่’ เพราะเป็นโครงการที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชน โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte’ โดยระบุว่า

ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม

เกณฑ์เดิม "ดีกว่า" เกณฑ์ใหม่

คาดว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะใช้เกณฑ์ใหม่ในการประมูลคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งใหม่แทนการประมูลเดิมที่ถูก รฟม.ยกเลิกไป แต่ผมมั่นใจว่าเกณฑ์ใหม่สู้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เพราะอะไร?

รฟม.อ้างว่าเหตุที่ต้องใช้เกณฑ์ใหม่เพราะการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เนื่องจากจะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่ยังคงเปิดให้บริการ จะต้องตัดเสาเข็มสะพานลอยโดยไม่ปิดการจราจร และที่สำคัญ จะต้องก่อสร้างอุโมงค์ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ถือว่าเป็นการก่อสร้างที่ซับซ้อน มีความเสี่ยงสูง จะใช้เกณฑ์เดิมไม่ได้

เกณฑ์เดิมไม่ดีจริงหรือ?

ตามเกณฑ์เดิมเอกชนจะยื่นข้อเสนอ 4 ซอง ดังนี้

ซองที่ 1 ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ

คณะกรรมการคัดเลือกจะประเมินข้อเสนอด้านคุณสมบัติว่ามีครบถ้วน ถูกต้องหรือไม่ จะให้ผ่านหรือไม่ผ่าน หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 2 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 2 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 2 ข้อเสนอด้านเทคนิค

มีคะแนนเต็ม 100% แบ่งเป็น 5 หมวด ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้คะแนนในแต่ละหมวดไม่น้อยกว่า 80% และจะต้องได้คะแนนรวมของทุกหมวดไม่น้อยกว่า 85% หากไม่ผ่านก็ไม่ต้องเปิดซองที่ 3 แต่หากผ่านก็ต้องเปิดซองที่ 3 เพื่อพิจารณาต่อไป

ซองที่ 3 ข้อเสนอด้านผลตอบแทน

ผู้ยื่นข้อเสนอที่เสนอผลตอบแทนให้แก่ รฟม.มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะการประมูล แล้วจึงเปิดซองที่ 4 ของผู้ชนะการประมูลต่อไป

ซองที่ 4 ข้อเสนออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อ รฟม.

แต่หลังจากปิดการขายเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชน (RFP) แล้ว รฟม.ประกาศเปลี่ยนการใช้เกณฑ์ประเมินเป็นเกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าเกณฑ์เดิมคัดเลือกผู้ชนะโดยการดูเฉพาะคะแนนผลตอบแทนเท่านั้น หากเอกชนรายใดรายหนึ่งเสนอผลตอบแทนให้ รฟม.ต่ำกว่าอีกรายเพียงเล็กน้อย

แต่เอกชนรายนั้นได้คะแนนด้านเทคนิคสูงกว่า จะทำให้ รฟม.เสียโอกาสในการได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่มีเส้นทางใต้ดินผ่านศูนย์การค้าขนาดใหญ่ พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

แต่ผมไม่เห็นด้วย เนื่องจากเกณฑ์เดิมได้ให้ความสำคัญด้านเทคนิคไว้สูงสุดแล้ว เพราะให้คะแนนไว้เต็ม 100% พร้อมทั้งกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้ 85% นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 85% จึงจะสอบผ่าน และจะต้องได้คะแนนในหมวดย่อยอีก 5 หมวด หมวดละไม่น้อยกว่า 80% ผู้ยื่นข้อเสนอที่สอบผ่านถือว่ามีความสามารถด้านเทคนิคสูงมาก สามารถทำการก่อสร้างงานประเภทไหนก็ได้

การกำหนดคะแนนรวมด้านเทคนิคไว้ 85% ถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายจากหัวลำโพง-ท่าพระ มีเส้นทางผ่านเยาวราชซึ่งเป็นย่านธุรกิจที่สำคัญ และต้องลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา แต่ รฟม.กำหนดคะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 70% เท่านั้น แม้กำหนดคะแนนสอบผ่านด้านเทคนิคไว้เพียง 70% แต่ผู้รับเหมาที่ชนะการประมูลก็สามารถทำการก่อสร้างได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงฟันธงว่าเกณฑ์เดิมดีมากอยู่แล้ว รฟม.ไม่ควรยกเลิกแล้วเปลี่ยนไปใช้เกณฑ์ใหม่

เกณฑ์ใหม่ดีจริงหรือ?

เกณฑ์ใหม่พิจารณาซองที่ 1 (คุณสมบัติ) เช่นเดียวกับเกณฑ์เดิม แต่พิจารณาซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) และซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) พร้อมๆกัน โดยให้คะแนนรวมซองที่ 2 และซองที่ 3 เท่ากับ 100% แบ่งเป็นคะแนนซองที่ 2 (ด้านเทคนิค) 30% และคะแนนซองที่ 3 (ด้านผลตอบแทน) 70% สำหรับคะแนนด้านเทคนิคนั้น รฟม.ไม่ได้กำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้

นั่นหมายความว่าผู้ยื่นข้อเสนอจะได้คะแนนด้านเทคนิคต่ำเพียงใดก็ถือว่าสอบผ่าน อีกทั้ง การให้คะแนนด้านเทคนิคไว้เพียง 30% เป็นการลดความสำคัญด้านเทคนิคลงมา ซึ่งขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของ รฟม.ที่ต้องการใช้เกณฑ์ใหม่ โดยอ้างว่าจะทำให้ได้ผู้ยื่นข้อเสนอที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูง เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่มีความซับซ้อน ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องใช้เป็นเกณฑ์ที่ รฟม.เคยใช้มาแล้วในอดีตนานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ รฟม.คงเห็นว่าไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างที่ซับซ้อน จึงทำให้ รฟม.เลิกใช้เกณฑ์นี้หันมาใช้เกณฑ์เดิม (แยกซองเทคนิคออกจากซองผลตอบแทน) หรือเกณฑ์ที่ประกาศใช้ในการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มครั้งแรก

สรุป

เกณฑ์ใหม่ที่ รฟม.ต้องการใช้ไม่เหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟาสายสีส้มที่มีเส้นทางส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน วิ่งผ่านใต้สะพานลอย (ต้องตัดเสาเข็มที่รองรับสะพานลอย) ใต้ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใต้พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และใต้แม่น้ำเจ้าพระยา

เกณฑ์เดิมจะทำให้ รฟม.คัดเลือกได้เอกชนที่มีความสามารถด้านเทคนิคสูงเหมาะสมกับงานก่อสร้างโครงการนี้ และจะทำให้ รฟม.ได้รับผลตอบแทนสูงสุดที่ควรจะได้อีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ รฟม.จึงควรพิจารณาใช้เกณฑ์เดิมในการเปิดประมูลครั้งใหม่


ที่มา : https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdrhttp://https://www.facebook.com/232025966942314/posts/2282528178558739/?sfnsn=mo&_rdc=1&_rdr

สหรัฐอเมริกากำลังกลับมาสวมบทบาทตำรวจโลกอีกครั้ง หลังจากเบาบางลงในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ โดย นันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

สถานการณ์ในพม่าจะออกหัวออกก้อยยังไม่ชัดเจน แต่มิตรประเทศที่ดี คงได้แต่เอาใจช่วยให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และมิตรประเทศที่ดีต้องไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

แต่ฝ่ายบริหารใหม่ของสหรัฐฯ เริ่มทำตัวเป็น ‘ตำรวจโลก’ ทันที โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตสหรัฐในพม่า ประกาศชัดเจนว่าจะขอยืนเคียงข้างประชานชาวพม่า ซึ่งต่อต้านทหารพม่าที่ยึดอำนาจ ประกาศสนับสนุนการชุมนุมอย่างสันติ

สหรัฐฯ ใช้สองมาตรฐาน ทีคนอเมริกันชุมนุมคัดค้านการทารุณกรรมที่ตำรวจกระทำต่อคนผิวสีจนเสียชีวิต และตามด้วยสโลแกน Black life matter ที่ดังไปทั่วโลกและตามด้วยการคัดค้านผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอเมริกันถืออาวุธเดินขบวนชุมนุม ทางการสหรัฐประกาศฉุกเฉิน ใช้กำลังทหารและรถหุ้มเกราะติดอาวุธป้องกันสถานที่ราชการ และใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม

...แต่ไม่มีชาติใดไปสั่งให้รัฐบาลสหรัฐฯ รับฟังเสียงประชาชนเลย!!

สหรัฐฯ อาจจะอินกับบทตำรวจโลกมาก จนนางแมร์เคิล นายกเยอรมัน พูดเมื่อ 26 มกราคมที่ผ่านมาว่า การทูตของไบเดนคือ สงครามเย็นแห่งพันธมิตร และระบุด้วยว่า สหรัฐไม่มีสิทธิที่จะบีบบังคับประเทศอื่นๆ ให้ปฏิบัติตามในการรับใช้สหรัฐ

และนางแมร์เคิลยังเน้นว่า ประเทศอื่นๆ อย่าเข้าร่วมในการครองความเป็นเจ้า Hegemonic ของสหรัฐฯ

พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่ามากมาย ฝรั่งจ้องตาเป็นมัน ‘อยากได้’ แต่ผู้นำพม่าขายให้จีนไม่ใช่ฝรั่ง ถ้าจะได้ทรัพยากรที่สำคัญต้องเปลี่ยนผู้นำประเทศจากทหาร

หนทางเดียว คือ ให้พลเรือนอย่าง นางอองซาน เป็นผู้นำประเทศ ที่ต้องพึ่งฝรั่งอย่างเดียว ทหารก็ไม่เอา ชนกลุ่มน้อยก็ไม่ไว้ใจ ขี่ง่ายกว่าเยอะ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีภาพ มันคือข้ออ้างในการเข้าแทรกแซง

จับตาบทบาท ‘ตำรวจโลก’ อย่ากระพริบตา


ที่มา: https://www.facebook.com/100005279737218/posts/1558571360995507/

‘รังสิมันต์ โรม’ เปิดหลักฐาน อัด ‘สิระ’ บิดเบือนข้อเท็จจริง ให้ข้อมูลเท็จ ปมกล่าวหาตนบุกรุก ‘เกาะงำ’ ทำร้ายประชาชน เตรียมฟ้องกลับฐานหมิ่นประมาท ซัดหวังดิสเครดิตก้าวไกล ก่อนอภิปรายไม่วางใจหรือไม่

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เเถลงข่าวต่อสื่อมวลชน พร้อมเปิดหลักฐานภาพถ่ายในการลงพื้นที่ จากกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส. ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมแถลงข่าวว่ามีประชาชนที่เกาะงำ จ.ภูเก็ต มาร้องเรียนว่าถูกผมข่มขู่ให้ออกจากพื้นที่นั้น

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนได้ลงพื้นที่เกาะงำ 2 ครั้งด้วยกัน คือช่วงเดือนมกราคม 2562 และ เดือนกันยายน 2562 ตอนที่ลงพื้นที่ดังกล่าวครั้งแรก เป็นช่วงการหาเสียง ที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านพารา ซึ่งอยู่ฝั่งของเกาะภูเก็ต ว่าชาวบ้านไม่สามารถไปเยือนเกาะดังกล่าวได้ เพราะเมื่อเดินทางไปแล้ว มีการใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า ข่มขู่ว่าจะทำร้าย ซึ่งชาวบ้านพารามีความกังวลว่า อาจจะมีกระบวนการให้นายทุนมายึดครองเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัว ตนจึงถือโอกาสนั้นลงพื้นที่ดังกล่าว พบว่าเป็นเกาะที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ไม่พบเห็นใครอยู่ในเกาะดังกล่าว

โดยหลังจากนั้นตนลงพื้นที่เกาะงำอีกครั้ง คือเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2562 ซึ่งชาวบ้านบ้านพารา ยืนยันกับผมว่าอีกครั้งว่ามีความพยายามเอาเกาะงำนี้เป็นเกาะส่วนตัวจริง จึงมาร้องยังผมเพื่อขอให้ช่วย ผมลงจึงลงพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งการลงครั้งนี้เป็นการลงร่วมกับทางป่าไม้ เหตุที่ลงพร้อมกับป่าไม้ เพราะตนทราบว่า ทางชาวบ้านน่าจะประสานลงพื้นที่กับทางป่าไม้มาอีกทางหนึ่ง จึงได้มีการลงพื้นที่ร่วมกัน เพราะมีชาวบ้านมาร้องเรียนว่ามีคนบุกรุกพื้นที่เกาะ มีอาวุธปืนยิงไล่คนที่เข้าใกล้ ตนจึงลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น จึงได้พบกับครอบครัวดังกล่าว ทางป่าไม้ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าไม้จริง มีการปลูกบ้านอยู่อาศัย ทางป่าไม้จึงแจ้งกับทางครอบครัวดังกล่าวให้ออกจากพื้นที่ภายในเวลาที่กำหนด โดยไม่มีการข่มขู่แต่อย่างใด

โดยตนขอยืนยันว่าตัวผมไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับที่ดินบนเกาะงำเลยแม้แต่น้อย และภายหลังจากที่ลงพื้นที่ครั้งนั้น ตนก็ยังไม่เคยได้ไปที่เกาะแห่งนั้นอีก ในการที่ลงพื้นที่นั้น เบื้องต้นมีการกล่าวว่าจะมีการเอาเกาะนี้เป็นเกาะส่วนตัวจากนายทุน สิ่งที่ผมทำคือการแก้ไขปัญหาความขัดเเย้งเพื่อไม่ให้เกิดความรุนเเรง อีกทั้งกรณีนี้ต่างจากเรื่องสิทธิชุมชนในพื้นที่ป่าหรือกลุ่มชาติพันธ์ที่อยู่อาศัยมาก่อนการประกาศเขตป่า

ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่ามีการคุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยวเด็ก ตนขอยืนยันว่าไม่ได้มีการแตะเนื้อต้องตัวเด็กแม้แต่น้อย ตนเองคงไม่มีความสามารถทำแบบนั้น ณ เวลานั้นตนเป็น ส.ส. ได้เพียง 6 เดือน ที่สำคัญเป็น ส.ส. ฝ่ายค้าน จะเอาเด็กไปขังไว้สำนักงานป่าไม้ ข้าราชการที่ไหนเขาจะยอมให้ตนทำเช่นนั้น โดยตนมั่นใจว่าการลงพื้นที่ในครั้งนั้นในบ้านของชาวบ้านมีกล้องวงจรปิด หากมีหลักฐานที่ตนกระทำอย่างที่นายสิระ เเละนายชัยยันต์ กล่าวหาจริง ผมขอให้นำภาพหลักฐานมาชี้เเจง

นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สุดท้ายนี้ ไม่ว่าการหยิบเรื่องดังกล่าวมาโจมตีผมในจังหวะเวลานี้จะเป็นไปด้วยมูลเหตุจูงใจอะไรก็ตาม ตนพร้อมที่จะยืนยันข้อเท็จจริงในทุกประเด็น ทุกกระบวนการ และหากว่านี่คือขบวนการใส่ร้ายป้ายสีตน นั้นเพราะว่ารัฐบาลกังวลใจในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน เเละคิดว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อไม่ได้ กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการดิสเครดิตพรรคร่วมฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ผมผิดหวังจากใจจริงว่าคนที่ยืนข้างคุณสิระ คือคุณชัยยันต์ ผลสุวรรณ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ผู้ร่วมทำงานด้านอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมกับกัน โดยตนจะดำเนินคดีการทางกฎหมายกลับอย่างแน่นอน พร้อมมั่นใจว่าตนไม่มีประโยชน์ส่วนได้เสียกับคดีเกาะงำ และหวังให้ยุติขบวนการยึดครองเกาะของนายทุนเป็นพื้นที่ส่วนตัว

 

VietJet สายการบินราคาประหยัดของเวียดนาม เผยรายได้ปี 2020 มีกำไรหลังหักภาษีแล้ว 90 ล้านบาท โชว์ศักยภาพสายการบินเพียงไม่กี่แห่งบนโลกที่มีกำไร และไม่ต้องปรับลดพนักงานในช่วงวิกฤติโควิด-19

แม้ในปีที่ผ่านมา VietJet จะเปิดให้บริการเที่ยวบินได้เพียง 78,462 เที่ยว ซึ่งลดลงจากปี 2019 ที่ให้บริการ 139,000 เที่ยว แต่ VietJet ก็ยังทำกำไรได้ถึง 3 ล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า 90 ล้านบาท ขณะที่สายการบินอื่นๆ ตกอยู่ในภาวะขาดทุนหรือต้องปิดกิจการ

กุญแจสำคัญของ VietJet อยู่ตรงไหน?

ในปีที่ผ่านมา รายได้เสริมของVietJet คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินขนส่งสินค้า ซึ่งอันที่จริงแล้ว VietJet ไม่มีเครื่องบินบรรทุกสินค้าเป็นของตัวเอง จึงต้องดัดแปลงเครื่องบินโดยสารเพื่อรองรับการขนส่งสินค้า โดยการถอดที่นั่งออกและยึดสินค้าด้วยตาข่าย

จากนั้นก็ได้ทำข้อตกลงร่วมกับบริษัทอื่นๆ ทำให้สามารถขยายเครือข่ายการขนส่งสินค้าไปยังยุโรปและสหรัฐฯ อาทิ บริษัทขนส่งสินค้ายูพีเอส โดยในปี 2020 VietJet เป็นสายการบินแห่งแรกของเวียดนามที่ได้รับอนุมัติให้ขนส่งสินค้าในห้องโดยสาร (CIPC) สามารถขนส่งสินค้าไปทั่วโลกได้กว่า 6 หมื่นตัน ทำให้รายได้จากการขนส่งสินค้าพุ่งขึ้น 75% ในไตรมาส 4/2020 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนเติบโตขึ้นเพียง 16% และถือเป็นการทำธุรกิจขนส่งสินค้าที่ไปไกลได้ถึงทวีปอเมริกาและยุโรปครั้งแรก ทั้งที่เดิมเป็นแผนที่วางไว้ในอนาคต ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามของสายการบินที่ส่งเสริมการขายสินค้าและบริการเพื่อชดเชยรายได้จากการจำหน่ายตั๋วโดยสารที่ลดลง

ไม่เพียงแต่การปรับธุรกิจเป็นเครื่องบินขนส่ง แต่ในช่วงปีที่ผ่านมา VietJet ยังเปิดตัว VietJet Ground Services Center (VJGS) ณ ท่าอากาศยานนานาชาติโหน่ยบ่าย (ฮานอย) ซึ่งมีส่วนช่วยในการจัดการต้นทุนสายการบินและช่วยปรับปรุงการรับรู้แบรนด์และคุณภาพการให้บริการของสายการบินดีขึ้น แถมยังเปิดตัวสินค้าและบริการใหม่ๆ ที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร อาทิ บัตรกำนัลพาวเวอร์พาส (Power Pass) และบัตรกำนัลพาวเวอร์พาสสำหรับชั้นโดยสารสกายบอส (Power Pass Skyboss)

ในส่วนของการลดค่าใช้จ่าย VietJet ก็ได้บริหารจัดสรรฝูงบินใหม่ ซึ่งทำให้ลดค่าใช้จ่ายได้ 10% ผ่านการเจรจาขอส่วนลด 20-25% จากผู้ผลิต พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปได้ 10% โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2020 ยังประสบความสำเร็จจากการประกันความเสี่ยงราคาเชื้อเพลิง ทำให้ลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงได้ 25% เมื่อเทียบกับราคาตลาด

นอกจากนี้ ยังมีรายได้เพิ่มเติมจากการเปิดศูนย์บริการพิเศษภาคพื้นดินที่สนามบินนานาชาติโหน่ยบาย ในฮานอย รวมถึงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ค่อนข้างน้อย ทำให้ไม่มีมาตรการที่ขัดขวางการเดินทางโดยเครื่องบินภายในประเทศ และยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยการลดภาษี ขยายระยะเวลาการชำระภาษี ลดค่าธรรมเนียมการขึ้น-ลงเครื่องบินและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ตลอดจนได้รับการพิจารณาข้อเสนอความช่วยเหลือทางการเงินของรัฐบาลสำหรับสายการบินท้องถิ่น

ปัจจัยเหล่านี้ทำให้สายการบิน VietJet ไม่จำเป็นต้องปรับลดพนักงานลง แถมยังทำให้เกิดกำไรสวนทางกับสายการบินอื่นๆ ในโลก

ปัจจุบันสินทรัพย์ของ VietJet มีมูลค่ารวม 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้บริการเที่ยวบินในปี 2020 ที่ 78,462 เที่ยวบิน มีชั่วโมงบินรวม 120,093 ชั่วโมง รองรับผู้โดยสารกว่า 15 ล้านคน อัตราความน่าเชื่อถือทางเทคนิคของ VietJet สูงถึง 99.64% ได้รับการจัดอันดับความปลอดภัยระดับ 7 ดาว เป็นระดับสูงสุดและได้รับการจัดอันดับจาก Airline ratings อยู่ใน 10 อันดับสายการบินโลว์คอสต์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดในโลกประจำปี 2020 และตอนนี้ VietJet กลับมาให้บริการเส้นทางบินในประเทศเวียดนามแล้วกว่า 47 เส้นทาง


ที่มา:

https://www.posttoday.com/world/644433

https://brandinside.asia/vietjet-income-and-profit-in-2020/?fbclid=IwAR1SYc8XVnZMKVQIDX8jf56IPij-5sEYJ1egqdkAH9WKYTJWkOBA_y__R1E

ทีมแฮคเกอร์เกาหลีเหนือสุดแสบ แอบเจาะข้อมูลขโมยทรัพย์สินออนไลน์ ระดมเงินให้ ‘รัฐบาลคิม’ สร้างขีปนาวุธนิวเคลียร์ 2 ปี ได้ไปกว่า 300 ล้านเหรียญ

สำนักข่าว CNN ได้อ้างอิงเอกสารลับจากองค์การสหประชาชาติ เปิดเผยว่า ทีมแฮ็คเกอร์ของกองทัพเกาหลีเหนือได้เจาะข้อมูลดูดเงิน และทรัพย์สินในระบบออนไลน์รวมมูลค่าถึง 316.4 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2019 - 2020 ที่ผ่านมา เชื่อว่าส่งไปให้รัฐบาลคิม จอง-อึน ใช้พัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์ในประเทศ

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักรบไซเบอร์ของเกาหลีเหนือ ถูกจับตามานานแล้วทั้งทีมสืบสวนพิเศษของสหประชาชาติ (UN) และ หน่วยข่าวกรองด้านความมั่นคงของสหรัฐ และ เกาหลีใต้ ที่เชื่อได้ว่าเกาหลีเหนือกลับมาพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์อีกครั้ง แต่ไม่อาจยืนยันได้ว่ากำลังพัฒนาขีปนาวุธในพิสัยยิงไกลระดับใด และคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว

และสอดคล้องกับถ้อยแถลงของคิม จอง-อึน ที่เคยประกาศว่า เกาหลีเหนือจะรื้อฟื้นโครงการพัฒนาขีปนาวุธขึ้นมาใหม่ เพื่อป้องกันตนเองจากภัยคุกคามของสหรัฐอเมริกา แม้ในสมัยของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะมีความพยายามที่จะดึงเกาหลีเหนือสู่โต๊ะเจรจาในการปลดอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทว่าไม่สามารถตกลงกันได้เนื่องจาก ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการยุติการคว่ำบาตรต่อเกาหลีเหนือ แม้ว่ารัฐบาลคิม จอง-อึน จะเผยแพร่ภาพการทำลายฐานทดสอบนิวเคลียร์ให้โลกเห็นแล้วก็ตาม

และท่ามกลางวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัส Covid -19 ทั่วโลก ที่บีบให้เกาหลีเหนือตัดสินใจปิดพรมแดน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 เข้ามาในประเทศ นั่นหมายถึงการระงับการส่งออกถ่านหินไปยังประเทศจีน ที่เป็นคู่ค้าสำคัญ และเป็นรายได้หลักเพียงไม่กี่อย่างของเกาหลีเหนือ

และยังถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าทุนสำรองในประเทศของเกาหลีเหนืออาจแทบไม่เหลือแล้ว และอาจเลวร้ายถึงขั้นเศรษฐกิจล่มสลายในไม่ช้า ดังนั้นการหารายได้เสริมจากหน่วยรบไซเบอร์ จึงกลายเป็นช่องทางการเงินเพียงอย่างเดียว ที่จะทำให้เกาหลีเหนือเข้าถึงเงินตราต่างประเทศได้

ซึ่งข้อมูลที่ทางฝ่ายสืบสวนของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้รับอาจมีเพียงแค่ส่วนเดียว เพราะเป็นที่รู้กันนานแล้วว่า เกาหลีเหนือมีหน่วยงานด้านการทหารที่ฝึกนักรบไซเบอร์โดยเฉพาะที่เรียกว่า Bureau 121 ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮ็คเกอร์ในต่างประเทศ ที่เคยโจมตีเว็บไซต์ของกระทรวงรวมประเทศของเกาหลีใต้ เพื่อเจาะฐานข้อมูลชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ การปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของหน่วยงานราชการในสหรัฐอเมริกามาแล้ว

ตอนนี้หลายฝ่ายกำลังจับตามองท่าทีของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด ว่าจะมีนโยบายต่อเกาหลีเหนืออย่างไร ส่วนทางเกาหลีเหนือยังไม่ได้ออกมาตอบโต้รายงานข่าวเรื่องการจารกรรมทรัพย์สินโดยทีมแฮ็คเกอร์ของเกาหลีเหนือในครั้งนี้


อ้างอิง

https://edition.cnn.com/2021/02/08/asia/north-korea-united-nations-report-intl-hnk/index.html

https://www.cnbc.com/2019/09/13/treasury-department-sanctions-north-korean-hackers-over-cyberattacks-of-critical-infrastructure.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Bureau_121

‘บิ๊กตู่’ แจง ครม. ย้ำจองวัคซีนโควิดแล้ว 63 ล้านโดส เพียงพอให้ประชาชนไทยครึ่งประเทศได้ฉีด เผยบางส่วนผ่านการรับรองจาก อย.แล้ว

นายอนุชา บูรพไชยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม แจ้งให้ที่ประชุมครม.รับทราบ นโยบายการให้วัคซีนแก่ประชาชนคนไทย

โดยผลการประชุมของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ข้อสรุปว่า ไทยจะได้วัคซีนของบริษัทซิโนแวค จำนวน 2 ล้านโดส จากบริษัท แอสตราเซเนก้า อีก 26 ล้านโดส และมีการจองเพิ่มอีก 35 ล้านโดส รวม 63 ล้านโดส โดยจะทยอยฉีดให้กับประชาชนคนไทยเพื่อให้ครอบคลุมประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนประชากรทั้งหมด

แบ่งการฉีดเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก จะฉีดให้กับ 5 กลุ่ม ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน ประชาชนที่มีโรคประจำตัว ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย และแรงงานในพื้นที่ที่มีการระบาด

ระยะที่สองจะฉีดให้กับประชาชน 7 กลุ่ม คือ ประชาชนทั่วไป แรงงานภาคอุตสาหกรรม ผู้ประกอบอาชีพด้านการท่องเที่ยว ผู้เดินทางระหว่างประเทศ นักธุรกิจระหว่างประเทศ นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ และกลุ่มเป้าหมายในระยะที่หนึ่งในส่วนที่เหลือ ซึ่งวัคซีนจะทยอยเข้ามา โดยบางส่วนได้ผ่านการขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยา (อย.) แล้ว

องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เตรียมทบทวนประสิทธิภาพวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าใหม่ หลังพบป้องกันโควิดกลายพันธุ์ได้น้อยลง

นายแพทย์ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของ WHO ได้ประชุมกันเมื่อวานนี้ เพื่อทบทวนประสิทธิภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดยบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าและมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด หลังผลศึกษาแสดงให้เห็นว่า วัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพน้อยลงในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่

สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในแอฟริกาใต้ซึ่งมีการค้นพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.351 นั้น ได้ประกาศระงับการนำเข้าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้าไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ข้อมูลประสิทธิภาพทางคลินิกเพิ่มขึ้น

นายแพทย์ทีโดรส กล่าวว่า "แม้ว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของออกซ์ฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า จะเป็นหนึ่งในวัคซีนหลายตัวที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการรุนแรง ลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ได้ แต่การค้นพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ก็ได้เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนเช่นกัน"

"เมื่อพิจารณาหลักฐานจากการทดลองวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนหลายครั้ง ก็เป็นที่ชัดเจนว่าประสิทธิภาพของวัคซีนต่ออาการป่วยรุนแรง การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล และการเสียชีวิต แตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19" ดร.เคท โอ’เบรียน ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิคุ้มกัน วัคซีนและชีววิทยาของ WHO กล่าว

ขณะเดียวกัน ยังมีสัญญาณบ่งชี้บางอย่างถึงประสิทธิภาพที่ลดลงของวัคซีน โดยบางตัวมากกว่าเดิม บางตัวน้อยกว่าเดิม ขึ้นอยู่กับว่าเป็นไวรัสสายพันธุ์ใด ประชากรกลุ่มใด รวมถึงการตอบสนองของแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ (neutralizing antibody) ด้วย


Cr : http://www.xinhuanet.com/english/2021-02/09/c_139732313.htm

ประธานทีดีอาร์ไอ ‘ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์’ วิเคราะห์โควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ ส่อเค้าลากยาว แนะรัฐทำงานเชิงรุก ซัดทำงานเช้าชามเย็นชามแบบราชการ ไม่เหมาะรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน

ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(TDRI) โพสต์เฟซบุ๊ก Somkiat Tangkitvanich Page ระบุว่า

ผมได้ติดตามปัญหาการระบาดของโควิด-19 ที่สมุทรสาครและในประเทศไทยมาโดยตลอด โดยพยายามหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากบุคลากรทางการแพทย์ ข้าราชการและฝ่ายการเมืองเพื่อให้ทราบสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่พบว่าทำได้ไม่ง่ายนัก เพราะแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ไม่ครบถ้วน และให้ภาพที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การสื่อสารของรัฐก็ยังไม่เป็นระบบและให้ข้อมูลที่ละเอียดมากพอ ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่า ภาพรวมของสถานการณ์ที่แท้จริงคืออะไร และการรับมือของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเพียงพอแล้วหรือไม่

ผมพยายามกลั่นกรองจากข้อมูลต่าง ๆ ที่ไม่สมบูรณ์ดังกล่าว และเชื่อว่า การระบาดในสมุทรสาครน่าจะยังอยู่ในขาขึ้น ไม่ใช่ขาลงอย่างที่เข้าใจกัน และน่าจะใช้เวลาอีกหลายเดือนในการควบคุม เพราะแม้แต่กรณีของสิงคโปร์ ซึ่งเคยมีการระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวจำนวนน้อยกว่าในประเทศไทย ก็ยังต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือนในการแก้ปัญหา ทั้งที่มีการลงทุนต่างๆ มากมายเช่น การสร้างหอพักใหม่ให้แรงงานต่างด้าวอยู่

การระบาดในวงกว้างของโควิด-19 ที่สมุทรสาครน่าจะทำให้การควบคุมการระบาดในประเทศไทยโดยรวมต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนมาก และยากที่คนไทยจะกลับมาใช้ชีวิตในลักษณะใกล้เคียงกับความเป็นปกติ และสามารถเปิดการเดินทางกับต่างประเทศได้ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าจะเลวร้ายกว่าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนที่ผมได้พบเชื่อกัน ถึงจุดนี้ ผมเชื่อว่า ยากที่เราจะสามารถควบคุมการระบาดในวงกว้างครั้งนี้ ด้วยวิธีการตรวจสอบและคัดแยกผู้ติดเชื้อแบบเดิม ที่เคยประสบความสำเร็จในการระบาดรอบแรก โดยทางออกในการแก้ปัญหา น่าจะหนีไม่พ้นการใช้ตัวช่วยที่สำคัญคือ วัคซีน

ผมมีความเห็นว่า การบริหารจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยในปัจจุบัน ยังมีลักษณะเหมือนการบริหารราชการปกติ (business as usual) มากกว่าการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์เร่งด่วน เช่น ศบค. ก็ประชุมกันเพียง 2 สัปดาห์ต่อครั้ง

ผมอยากเห็นรัฐบาลตื่นตัวมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยดำเนินการดังต่อไปนี้

- เร่งตรวจสอบและคัดแยกผู้ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาคร ด้วยความเร็วที่มากกว่านี้ โดยขอความร่วมมือจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในวงกว้าง หากเห็นว่าเกินกว่าขีดความสามารถของภาครัฐจะดำเนินการได้เองโดยลำพัง เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปมาก

- สื่อสารอย่างชัดเจนเป็นระบบ เช่น แสดงแผนที่การตรวจและการระบาดในสมุทรสาครทุกวัน โดยแจ้งจำนวนการตรวจ และอัตราการพบผู้ติดเชื้อ และอธิบายแนวทางในการจัดการเมื่อพบผู้ติดเชื้อแล้ว

- จัดทำและประกาศ Road Map ในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยโดยรวม เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ทราบสถานการณ์ตามความเป็นจริง และทราบแนวทางในการร่วมกันแก้ไขปัญหา ซึ่งจะทำให้ภาคธุรกิจและภาคประชาสังคมที่ทำงานกับแรงงานต่างด้าวสามารถช่วยรัฐบาลแก้ปัญหาได้มากขึ้น ที่สำคัญ เมื่อภาคธุรกิจและประชาชนได้ทราบ Road Map และจังหวะเวลาในการแก้ไขปัญหาแล้ว ก็จะสามารถวางแผนธุรกิจและวางแผนชีวิตของตนได้ดีขึ้น

- เร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม นอกเหนือจากส่วนที่ได้สั่งจองไปแล้ว ซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศได้ และแน่นอนว่าไม่เพียงพอต่อการทำให้ทุกคนได้รับการป้องกันและมีความอุ่นใจที่จะดำเนินชีวิตตามปกติ โดยควรตั้งเป้าให้สามารถฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนและผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยครบทั้งหมดภายในปี 2564 นี้

- เร่งจัดทำแผนในการฉีดวัคซีนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว โดยจัดลำดับว่าจะฉีดให้แก่กลุ่มใดก่อน (นอกเหนือจากบุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง) ในประเด็นนี้ ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของบางฝ่ายที่ว่า ควรเร่งฉีดในจังหวัดที่มีการติดเชื้อในระดับสูง เช่น สมุทรสาคร ก่อน โดยฉีดให้แก่แรงงานไทยและแรงงานต่างด้าว โดยในกรณีของแรงงานต่างด้าว รัฐบาลอาจให้นายจ้างช่วยออกค่าใช้จ่ายในการจัดหาวัคซีนบางส่วนด้วยก็ได้

- เร่งขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว โดยเฉพาะส่วนที่ยังไม่มีนายจ้าง ซึ่งยังมีความคืบหน้าไม่มากนัก โดยยังน่าจะตกหล่นอยู่หลายแสนคน เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์และบริหารความเสี่ยงได้อย่างถูกต้อง

อย่างที่กล่าวมาแล้ว ความเข้าใจของผมต่อสถานการณ์ในปัจจุบันมาจากความพยายามติดตามข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ หากผมเข้าใจประเด็นใดผิด ผมก็หวังที่จะได้รับคำชี้แจง และหวังว่า อย่างน้อยภาครัฐจะได้ทราบถึงปัญหาในการสื่อสารและปรับปรุงให้ดีขึ้น


ที่มา : เพจ Somkiat Tangkitvanich

‘รมว.แรงงาน’ เคลียร์ชัดโครงการ ‘ม33เรารักกัน’ ทั้งเงื่อนไข ไทม์ไลน์ และขั้นตอน การลงทะเบียนผู้ประกันตน รับสิทธิ์เงินเยียวยา 4 พันบาท คาดมีคนเข้าข่ายได้รับเงินเยียวยา 9.27 ล้านคน วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความชัดเจนถึงคุณสมบัติ ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในโครงการ ม33 เรารักกัน เพื่อช่วยเหลือเยียวยาแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ของผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด - 19 โดยรัฐบาลจะจ่ายเยียวยา รายละ 4,000 บาท

พร้อมย้ำเงื่อนไขคุณสมบัติ คือ เป็นผู้มีสัญชาติไทย เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคม ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และไม่ได้รับสิทธิโครงการ “เราชนะ” และไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 500,000 บาท (ณ วันที่ 31 ธ.ค.63) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่มีคุณสมบัติ สามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.ม33เรารักกัน.com ได้ตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม 2564 ผู้ประกันตนสามารถยืนยันตัวตนผ่านช่องทางการให้บริการ Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2564

จากนั้น รัฐบาลจะเริ่มโอนเงินผ่าน Application “เป๋าตัง” ในทุกๆ วันจันทร์ที่ 22, 29 มีนาคม และ 5, 12 เมษายน 2564 ครั้งละ 1,000 บาท จนครบ 4,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ประกันตน สามารถเริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการกับร้านค้าภายใต้โครงการ “เราชนะ” ได้ในวันที่ 22 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2564

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีที่ผู้ประกันตนมาตรา 33 ไม่สามารถลงทะเบียนโครงการ ม33เรารักกัน ในรอบแรกได้ จะมีการเปิดให้ยื่นขอทบทวนสิทธิอีกครั้งผ่านทาง www.ม33เรารักกัน.com ได้ตั้งแต่ 15 – 28 มีนาคม 2564 และกดใช้งานและยืนยันตัวตนผ่าน Application “เป๋าตัง” ในวันที่ 5 – 11 เมษายน 2564 ซึ่งรัฐบาลจะโอนเงินเข้า Application “เป๋าตัง” ในวันจันทร์ที่ 12 และ 19 เมษายน 2564 จำนวน 2 ครั้งๆ ละ 2,000 บาท พร้อมให้ผู้ประกันตนเริ่มใช้จ่ายซื้อสินค้าภายใต้โครงการ “เราชนะ” ได้ในวันที่ 12 เมษายน - 31 พฤษภาคม 2564

ทั้งนี้ รอมติ ครม. พิจารณาให้ความเห็นชอบอย่างเป็นทางการอีกครั้ง อย่างไรก็ดีโครงการฯ ดังกล่าว คาดว่าจะมีผู้ประกันตนมาตรา 33 เข้าข่ายมีสิทธิได้รับเงินเยียวยาในครั้งนี้ 9.27 ล้านคน รัฐบาลใช้วงเงินประมาณ 37,100 ล้านบาท

“ตนได้กำชับไปยัง นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ให้รีบดำเนินการเตรียมความพร้อมรองรับ ในเรื่องของข้อมูลผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้เป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 อีกทั้งเป็นการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกันตน ในช่วงสถานการณ์ปัจจุบันให้ตรงจุด ได้รับสิทธิอย่างทันท่วงที”

'บิ๊กตู่' ขอบคุณผู้ว่าฯ กทม.- มหาดไทย ชะลอขึ้นค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว 104 บาท ช่วยเหลือประชาชน ลดค่าใช้จ่ายช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่าน เฟซบุ๊ก ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha’ โดยมีข้อความระบุว่า "ตามที่ทางกรุงเทพมหานครได้ออกประกาศ เลื่อนการเก็บค่าตั๋วรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว 104 บาทตลอดสายออกไปก่อน

หลังจากที่ได้รับนโยบายจากรัฐบาลให้พิจารณาทบทวนโดยให้คำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ผมขอขอบคุณกรุงเทพมหานคร ท่านผู้ว่าฯ รวมถึงกระทรวงมหาดไทย ที่ได้ช่วยกันใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิดอยู่ ณ ตอนนี้ ขอบคุณครับ #รวมไทยสร้างชาติ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top