Thursday, 15 May 2025
NewsFeed

ผู้ว่าฯ​ สมุทรสาครเริ่มฟื้นตัวแล้ว!! 'หมอประสิทธิ์' เผยข่าวดี อาการผู้ว่าฯ สมุทรสาคร 'วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี' ดีขึ้น​ ปอดฟื้นกว่า​ 90% แต่ยังพูดไม่ได้

อาการผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ดีขึ้น แพทย์ปรับให้หายใจเองมากขึ้น ขณะที่ปอดฟื้นตัวกว่า 90%

ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุถึงความคืบหน้าอาการของ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครว่า ภาพรวม อาการ ดีขึ้น ปอดดีขึ้นเยอะ ตอนนี้ หยุดให้ยาปฏิชีวนะบางตัวแล้ว เนื่องจากการติดเชื้อไม่มีแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนจากยาฉีดเป็นยาที่เข้าทางระบบทางเดินอาหารแล้ว

ผลเอ็กซ์เรย์ปอดล่าสุด ดีขึ้น มีการปรับเครื่องช่วยหายใจ เริ่มให้ผู้ว่าฯ ฝึกการหายใจเอง การใช้เครื่องช่วยหายใจตอนนี้ ได้ปรับเป็นโหมดสนับสนุนให้ท่านได้หายใจเอง

ปกติปอดคนเราสีดำ แต่ปอดของผู้ว่าฯสมุทรสาคร ในช่วงแรกนั้น พบว่าเป็น​ 'ปื้นขาว'​ แสดงว่ามีน้ำ หรืออะไรบางอย่างเข้าไปอยู่ในปอดทำให้อากาศเข้าไปไม่ได้ ซึ่งตอนนี้ปอดกลับมาใกล้เคียงปกติ กว่าร้อยละ 90

ส่วนการให้ ออกซิเจนเริ่มลดลง ทำให้ออกซิเจนในกระแสเลือดยังดีอยู่ ทั้งการประเมินปอดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้มากน้อยขนาดไหน คือ การประเมินจากภาพเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ หลังจากการเอ็กซเรย์ปอดดีขึ้นเยอะ ดูระดับของแก๊สในกระแสเลือด เพื่อ ดูว่าปอดท่านดีพอว่าสามารถหายใจได้ตัวท่านเอง โดยไม่ใช้เครื่องช่วยหายใจ

คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เผยว่า ส่วนทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟู ได้เข้ากายภาพแล้ว โดยตอนนี้ ไม่ได้เร่งการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อจนเกินไป ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ เนื่องจากคนสูงอายุ เมื่อไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อก็จะหดตัว แผนตอนนี้คือ การถอยเครื่องช่วยหายใจ หลักฐานต่างๆ มีแนวโน้มดีขึ้น ถอยยาให้ผู้ว่าฯ ตื่นมากขึ้น

"ส่วนการรู้สึกตัว ตอนนี้ ผู้ว่าฯ ยังพูดไม่ได้ แต่ปฏิกิริยาของผู้ว่าฯ สื่อกับทีมแพทย์ได้ เช่น สั่งให้ทำอะไร ท่านทำได้" นพ.ประสิทธิ์ กล่าว


ที่มา: https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/141617

สาธารณสุขเตือน!! รวมตัวตรุษจีนระวังแพร่เชื้อ แนะแยกสำรับกินข้าว-งดเจอหน้า-โอนเงินแต๊ะเอียผ่านแอปฯ​ แทน ป้องคนแก่เสี่ยงติด

ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.เฉวตสรร นามวาท รักษาราชการแทนผอ.กองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยว่า สถานการณ์ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตัวเลขจากการค้นหาเชิงรุกทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นเลขสามหลักต่อเนื่องตลอดสองสัปดาห์ โดยจำนวนสูงสุดใน 1 วันอยู่ที่ 836 ราย จากนั้นก็มีจำนวนลดลง แต่ตนเชื่อมั่นว่าการค้นหาเชิงรุกและค้นพบในระบบจะทำให้ประชาชนเข้าใจและเห็นการจัดการปัญหาที่ดีขึ้น ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 115 ของโลก ทั้งนี้ยืนยันว่าการค้นหาเราตรวจเชิงรุกอย่างเข้มข้นเต็มที่ไม่มีย่อหย่อน

นพ.เฉวตสรร กล่าวต่อว่า ขณะนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีน การพบผู้ใหญ่ในครอบครัวเป็นเรื่องที่ดี แต่ในภาวะวิถีใหม่นิวนอมอล์ต้องยังคงรักษาระยะห่าง แม้ผู้สูงอายุจะไม่มีโรคประจำตัว แต่เราก็ต้องระมัดระวังเพื่อป้องกันโรคให้ผู้อาวุโสภายในบ้านให้ดีที่สุด เวลาเราออกนอกบ้านกลับเข้ามาควรรีบอาบน้ำ และสวมหน้ากากให้เป็นประจำที่สุด แม้จะอยู่ในบ้าน แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี

การรับประทานอาหารร่วมกัน​ ก็ควรแยกสำรับ พยายามรักษาระยะห่างให้ได้ หากจะพูดคุยก็ควรสวมหน้ากาก หรือใช้การสื่อสารผ่านแอพพลิเคชั่นแบบเห็นหน้ากันได้ เพื่อลดการสัมผัสและการแพร่กระจายเชื้อ ส่วนลูกจ้าง ที่สำคัญคนเข้าออกบ้านที่เป็นลูกจ้างแรงงานต่างด้าวหรือคนไทยด้วยกันเองก็ควรระมัดระวัง เพราะโควิด-19 ยังไม่จบ ต่อให้เรามีวัคซีนมาก็ยังคงต้องดูกันต่อไปอีก  

นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องวัคซีนนั้น กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้ติดตามเรื่องนี้และเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดียให้เห็นเรื่องการฉีดวัคซีนที่ตอนนี้ทั่วโลกมีจำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนเท่าๆกับจำนวนผู้ติดเชื้อแล้ว โดยทั่วโลกมีผู้ได้รับวัคซีนแล้ว 104 ล้านคนในระยะเวลา 57 วัน 

ดังนั้นข้อกังวลว่าวัคซีนต่างๆ​ จะมีอันตรายหรือไม่ ตนขอย้ำว่าโอกาสที่จะเกิดอาการไม่พึ่งประสงค์เล็กน้อยเป็นได้ทุกวัคซีน แม้แต่วัคซีนที่ฉีดประจำและเป็นมาตรฐานต้องฉีดตามช่วงอายุให้ลูกหลาน ในส่วนของวัคซีนใหม่กว่าจะออกมาขึ้นทะเบียนได้เรื่องความปลอดภัยต้องเป็นเรื่องแรก ซึ่งอาการไม่พึ่งประสงค์และอาการข้างเคียงเล็กน้อยสามารถเกิดขึ้นได้ ที่ผ่านมาต่างประเทศฉีดกันไปมากมาย แต่ยังไม่มีประเทศใดเกิดความกังวลจนต้องหยุดฉีด 

ดังนั้นขอให้มั่นใจการเลือกวัคซีนของประเทศไทยที่มีการอิงความรู้หลักฐานวิชาการจากผู้เชี่ยวชาญให้ความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา และยินดีฉีดวัคซีนด้วยตนเอง ขอให้ทุกคนมั่นใจ 

อย่างไรก็ตามยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขเองก็ไม่ได้มองเรื่องสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่พยายามดูเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งการท่องเที่ยว การผลิตสินค้า และการให้บริการต่างๆมาตลอด อะไรที่พอจะสามารถผ่อนคลายได้ก็อยากให้ผ่อนคลาย 

ด้านนพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า สัปดาห์หน้าเข้าสู่เทศกาลตรุษจีนที่ตามธรรมเนียมจะมีการรวมตัวของญาติพี่น้องและมีความใกล้ชิดกัน อาจเกิดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่เชื้อในครอบครัวได้ กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันตนเอง รวมถึงวันจ่ายที่จะต้องไปซื้อของในตลาดขอให้สวมหน้ากากอนามัยและล้างมือทุกครั้งที่มีการสัมผัสสิ่งของที่ไปจ่ายตลาด 

ทั้งนี้ผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวเสี่ยงที่จะติดโรคได้ง่ายและเกิดอาการรุนแรงแนะนำขอให้อยู่บ้าน โดยให้ลูกหลานไปจ่ายตลาดแทน อีกทั้งตอนนี้สามารถจ่ายตลาดออนไลน์ได้ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจที่สามารถซื้อของได้ทั้งของแห้งและของสด ซึ่งควรเลือกซื้อกับผู้ประกอบการที่เชื่อถือได้เท่านั้น มีการรับรองคุณภาพสินค้าจากผู้ประกอบการ เมื่อรับสินค้าแล้วควรตรวจเช็คว่าอยู่ในบรรจุภัณฑ์มิดชิดหรือไม่ และต้องระบุวันหมดอายุที่ชัดเจน ไม่มีกลิ่นหรือสีผิดปกติ 

อย่างไรก็ตามหากมีการนำไปเซ่นไหว้แล้วหลัง 4 ชั่วโมงหากจะรับประทานควรนำไปอุ่นร้อนก่อนทุกครั้ง ขณะที่เรื่องการให้แต๊ะเอียหรือการแจกอั่งเปา หากใช้ระบบออนไลน์ก็จะลดความเสี่ยงได้ เพื่อลดการสัมผัสซองหรือเงินสด หากมีการวมญาติเพื่อรับประทาน ขอให้เว้นระยะห่าง ถ้าใครมีอาการเจ็บป่วยก็ไม่ควรมาร่วมรับประทานอาหาร สิ่งสำคัญควรเลี่ยงการดื่มสุรา ลดการกอดหอมผู้สูงอายุ ส่วนวันเที่ยวนั้นขอให้หลีกเลี่ยงการเที่ยวในสถานที่แออัด เมื่อไปแล้วขอให้เว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง 

นพ.เอกชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ขณะนี้ยังมีปัญหาเรื่องฝุ่นละออง​ PM2.5 ทั้งในกทม.และภาคเหนือกรณีที่มีการใช้ธูปจุดไหว้และการเผากระดาษเงินกระดาษทองปริมาณมากๆก็จะเป็นการเพิ่มมลภาวะและเกิดอันตรายกับผู้สูงอายุและผู้ที่เป็นโรคหอบหืด แนะนำให้ใช้ธูปก้านสั้นแทน และเผากระดาษเงินกระดาษทองในบริเวณที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก อย่าให้ฟุ้งกระจายไปในอากาศ จากนั้นควรล้างมือให้สะอาด พร้อมสวมใส่หน้ากากป้องกันตนเองด้วย  
 

'อนุทิน'​ ยกย่องฝีมือทีมสาธารณสุข​ จัดการโควิดอยู่​ พร้อมย้ำ!! เรื่องวัคซีนโควิด-19 ไทย ต้องมีแนวทางชัดเจน และต้องผลิตได้ในประเทศ 

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อสงสัยเรื่องการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ของไทย ว่า 

ตนและกระทรวงสาธารณสุข มองเรื่องความมั่นคงด้านสุขภาพเป็นสำคัญ โจทย์ของไทย คือ ต้องหาทางเข้าไปเป็นผู้ผลิตให้ได้ หรือต้องสามารถผลิตได้ในประเทศ ให้มี Supply Chain ที่มั่นคง และเราเลือกทางนี้มาตั้งแต่ต้น โดยได้รับการช่วยเหลือผลักดันจากทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุข ซึ่งประเทศไทย มีคนเก่งในด้านนี้มากมาย เป็นเรื่องน่ายินดี 

ที่ผ่านมา ประเทศไทย จัดการการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระหว่างที่เรากำลังจัดการสถานการณ์ปัจจุบัน นานาชาติ ก็ยกให้ไทย มีระบบการควบคุมโรคติดอันต้นๆ ของโลก เพราะทีมสาธารณสุขไทยเข้มแข็ง และได้รับความช่วยเหลือจากหลายภาคส่วน 

ประเทศไทย ทำได้ดีมากแล้ว เราคุมโรคได้ดี และได้สิทธิ์ ผลิตวัคซีนเอง ไทยคือผู้นำด้านสุขภาพ แต่ก็มีบางฝ่ายพยายามเปรียบเทียบให้ไทยล้าหลัง เป็นผู้ตาม ในขณะที่ทั้งโลกยกย่องไทย 

อยากให้คนไทยลองมองกันให้ดี ว่าการสาธารณสุขไทย เราแย่กว่าตรงไหน จำนวนผู้ติดเชื้อ ไทย ก็น้อยกว่า จำนวนการรักษาหาย ไทยก็ดีกว่า จำนวนผู้เสียชีวิต ก็น้อยกว่า นี่คือประสิทธิภาพที่เกิดจากทีมสาธารณสุขไทย 

"แพทย์ พยาบาล อสม. ภาคส่วนต่างๆ ทำงานหนักมาก และต้องการกำลังใจ มากกว่าการที่ต้องมานั่งฟังการวิจารณ์ การเปรียบเทียบ มันบั่นทอนความรู้สึก ที่สุดแล้ว ขอให้คนไทย รับรู้ รับทราบ ความเก่งกาจของทีมแพทย์ไทย

"ทำไม ไม่คิดว่าไทยต้องเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเปรียบเทียบ ไม่ใช่ไปเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะในเรื่องการแพทย์และการสาธารณสุขให้รู้สึกว่า ไทยคือผู้นำ ให้เกิดความภูมิใจ ให้คนทำงานมีกำลังใจ อย่าคิดว่าเราด้อยกว่าผู้อื่นในเรื่องของการแพทย์และการสาธารณสุข"

 

อย่าเล่นกับกับมังกรผยอง!! ปักกิ่งเตรียมฟาด BBC อังกฤษ >> หลังเดือด​จัด!! เหตุ BBC เล่นข่าวจีนแบบมีอคติ​ พร้อมเปิดศึกสงครามสื่อแบบดุเดือดชนิดเกลือจิ้มเกลือ 

รัฐบาลจีนออกโรง เปิดหน้าท้าชนสื่อยักษ์ใหญ่จากฝั่งอังกฤษอย่าง BBC หลังนำเสนอข่าวบิดเบือนโจมตีรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่องมานาน และอาจถึงขั้นพิจารณาถอนใบอนุญาตเผยแพร่ข่าวในประเทศจีนด้วย

กลายเป็นประเด็นที่โต้เถียงกันอย่างดุเดือดมาก  เนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศของจีนได้ออกมาประนามสื่อ BBC ว่า​ จงใจเผยแพร่ข่าวสารที่ไม่เป็นกลาง และเป็นอคติต่อรัฐบาลจีน ไม่ว่าจะด้วยภาพ วิดีโอ เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอในมุมของสำนักข่าวที่เชื่อได้ว่าเป็นการครอบงำความคิดของผู้ชมอย่างเป็นระบบ​ โดยมีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง 

นอกจากนี้ทางจีนยังกล่าวหาว่า BBC ปักกิ่งนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ Covid-19 ที่เข้าข่าย "Fake News" โหมกระแสว่าจีนมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ซึ่งทางการจีนเรียกร้องให้สำนักข่าว BBC ออกแถลงการขอโทษอย่างเป็นทางการด้วย 

เมื่อทางรัฐบาลจีนแถลงข่าวออกมาเช่นนี้ ทาง BBC ก็ไม่รอช้า สวนกลับทันทีว่าไม่เป็นความจริง และยืนยันว่านำเสนอข่าวตามความจริง อย่างไม่มีอคติมาโดยตลอด

แต่ทั้งนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่า ท่าทีที่แข็งกร้าวของรัฐบาลจีนที่มีต่อสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของอังกฤษนี้ เป็นการตอบโต้รัฐบาลอังกฤษโดยตรง หลังจากที่ได้ถอนใบอนุญาตการเผยแพร่ข่าวจากสำนักข่าว CGTN ข่าวภาคภาษาอังกฤษของจีนที่มีสำนักงานอยู่ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

เบื้องหลังของการถอนใบอนุญาตของ CGTN เริ่มมีประเด็นมาตั้งแต่รัฐบาลจีน และ อังกฤษ ตอบโต้กันในประเด็นการประท้วงในฮ่องกง หลังจากที่จีนได้ผ่านร่างกฏหมายความมั่นคงใหม่ที่บังคับใช้ในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง 

ทางรัฐบาลอังกฤษ​ ก็ได้ออกกฏหมายการเข้าเมืองให้สิทธิ์ชาวฮ่องกงที่ถือหนังสือเดินทาง British National (Overseas) สามารถลี้ภัยไปอยู่ที่อังกฤษได้ถึง 3 ล้านสิทธิ์ ซึ่งทางการจีนก็ได้ตอบโต้อังกฤษ​ ด้วยการยกเลิกการรับรองสถานะของหนังสือเดินทาง BN(O) ของชาวฮ่องกง ไม่นับเป็นเอกสารราชการของจีนอีกต่อไป จะใช้เป็นพาสปอร์ตเดินทางออกจากต่างประเทศก็ไม่ได้ด้วย 

หลังจากที่แลกหมัดกันมานานในเรื่องกฏหมายสิทธิพลเมือง ก็ย้ายมาฟาดกันต่อที่สนามสื่อ เมื่อ Ofcom หรือ กสทช ของอังกฤษ​ ได้เพิกถอนใบอนุญาตการแพร่ภาพของสำนักข่าวภาคภาษาอังกฤษของจีน CGTN เมื่อไม่นานมานี้ โดยอ้างว่า CGTN ทำผิดกฏหมายด้านสื่อมวลชนในอังกฤษ ที่ไม่อนุญาตให้สื่อได้รับการสนับสนุนทั้งทางตรง และทางอ้อมจากคนของฝ่ายการเมือง

ซึ่ง CGTN เป็นสำนักข่าวลูกของ CCTV หรือ China Central Television ที่มีสำนักงานใหญ่ที่กรุงปักกิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน ส่วนสำนักงานของ CGTN ในอังกฤษเพิ่งเปิดเมื่อปี 2019 และถือใบอนุญาตในนามบริษัทเอกชนชื่อ Star China Media 

แต่ทั้งนี้ ทางอังกฤษมองว่าผู้ประกอบการปัจจุบันเป็นเพียงบริษัทบังหน้า ที่เบื้องหลังของ CGTN ก็ยังถูกควบคุมโดยรัฐบาลจีน และใช้เป็นช่องทางกระจายข่าวสารของรัฐบาลจีน เล็งๆมานานแล้ว มามาได้จังหวะในช่วงนี้ อังกฤษจึงจัดการถอนใบอนุญาตสื่อจีนเสียเลย 

แล้วรัฐบาลจีนก็ยอมเสียที่ไหน เตรียมจัดการเล่นงานสำนักข่าว BBC สื่ออังกฤษเป็นการตอบโต้ ที่ทางจีนเชื่อว่ารายงานข่าวตามใบสั่งรัฐบาลอังกฤษเช่นกัน และหากบานปลายก็มีสิทธิ์ที่ BBC ปักกิ่งจะจอดำได้

ส่วนชาวโซเชียลจีน​ ก็ฟาดแรงไม่แพ้กัน ต่างวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารจาก BBC อย่างเผ็ดร้อน บางคนก็ตั้งชื่อให้สำนักข่าว BBC ว่าเป็น Biased Broadcasting Corporation และโจมตีสำนักข่าวดังของตะวันตกว่า "อย่าเป็นมนุษย์ CNN อย่ารายงานข่าวอย่าง BBC" 

ก็กลายเป็นการฟาดมา ฟาดกลับไม่โกง ระหว่าง  'มังกรผยอง'​ และ 'สิงโตคำราม'​ ที่พร้อมไล่บี้กันทุกสนาม แบบไม่มีใครกลัวใครทีเดียว


อ้างอิง:
https://www.globaltimes.cn/page/202102/1215082.shtml

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/china-takes-aim-at-bbc-as-dispute-with-britain-intensifies

 

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ พบส่วนใหญ่หนุนเปิดบ่อนพนันถูกกฎหมาย แม้ไม่สนใจเล่น ชี้ผลดีการเก็บภาษี ผลเสียเป็นหนี้ คนไม่ทำงาน ภาระสังคม

จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 หลายครั้งพบว่าบ่อนพนันเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ของการแพร่เชื้อ ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหลากหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นควรกวดขันไม่ให้มีบ่อนผิดกฎหมาย หรือควรมีการเปิดบ่อนอย่างถูกกฎหมาย เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชน 

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ กรณี ‘การเปิดบ่อนพนัน’ ในหัวข้อ ‘คนไทยคิดอย่างไรกับการเปิดบ่อนพนัน’ จำนวน 1,929 คน สำรวจวันที่ 27 ม.ค. – 5 ก.พ. 2564 พบว่า จากกรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามสถานที่ต่าง ๆ ประชาชนให้ความสำคัญกับกรณีการแพร่ระบาดจากการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานเถื่อนมากที่สุด ร้อยละ 92.55 รองลงมาคือ การแพร่ระบาดจากบ่อนการพนันผิดกฎหมาย ร้อยละ 86.30 

โดยมองว่าการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายนั้นไม่ช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโรคต่าง ๆ ได้ ร้อยละ 51.63 และเห็นว่าช่วยได้ ร้อยละ 30.12 ผลดีของการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมาย คือ ทำให้รัฐมีรายได้จากการจัดเก็บภาษี ร้อยละ 81.97 ผลเสียคือ เป็นหนี้ คนไม่ทำงาน เป็นภาระให้ครอบครัว ร้อยละ 69.22  ภาพรวมเห็นด้วยหากจะมีการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย ร้อยละ 50.70 แต่ไม่สนใจไปใช้บริการ ร้อยละ 83.14 

เป็นกระแสที่ถกเถียงกันในสังคมมาช้านานสำหรับประเด็นการเปิดบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทย แม้ผลสำรวจจะเห็นด้วยกับการเปิดบ่อนการพนันอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ต้องมีการศึกษาผลกระทบอย่างรอบคอบ คำนึงถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นก็อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตามแก้กันอีกในอนาคต   

นายยุธยา อยู่เย็น ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า จากปัญหาการลักลอบเล่นพนันในบ่อนต่าง ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในประเทศไทยนั้น ส่งผลให้สังคมไทยตื่นตัวและเฝ้าจับตามองการรายงานสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เป็นสิ่งที่ยากต่อการตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่าย เพราะผู้ติดเชื้อมักไม่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลเพราะกลัวความผิด ตลอดจนการตั้งข้อสงสัยต่อประสิทธิภาพการทำงานของหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ดังนั้น จึงเป็นที่มาของคำถามเดิมที่ว่า ถึงเวลาหรือยังที่ควรมีการเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมายในประเทศไทยเสียที 

ทั้งนี้ จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลในประเด็นดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความเห็นว่าควรเปิดบ่อนพนันที่ถูกกฎหมาย เนื่องจาก เป็นการสร้างรายได้แก่ประเทศในการจัดเก็บภาษี ลดปัญหาการทุจริต การเก็บส่วย หรือ มาเฟีย ตลอดจนทำให้ควบคุมได้ง่าย แต่อย่างไรก็ตาม ภาครัฐก็ยังคงต้องไขข้อข้องใจแก่ประชาชน ถึงมาตรการในการป้องกันผลกระทบที่จะตามมาภายหลัง อาทิเช่น ปัญหาหนี้สิน การมอมเมาประชาชน ตลอดจนการเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเยาวชน เป็นต้น

‘ธนกร’ โวลั่น ประชาชนปลื้มผลงานรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ ‘เราชนะ’ เยียวยา 41 ล้านคน เหน็บฝ่ายค้าน ซักฟอกอย่าดีแต่โม้ ไม่เอาประเภทสาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ ขอแบบเน้น ๆ และเนื้อหาสร้างสรรค์ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ ชี้แจงได้สบาย

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19นั้น ในโครงการเราชนะ รัฐบาลจะช่วยเหลือเยียวยาจำนวน 41 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.8 ล้านคน กลุ่มผู้ใช้แอพกระเป๋าตังค์จำนวน 17 ล้านคน และผู้ประกันตนตามมาตรา 33 อีก 9 ล้านคน รวมทั้งกลุ่มอื่นๆ อีก 1.2 ล้านคน สำหรับในส่วนผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐโอนเงินให้แล้วล็อตแรก สร้างความพอใจให้ประชาชนอย่างมาก
สำหรับทุกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และโครงการ ม.33 เรารักกัน จะสามารถช่วยเหลือเยียวยาประชาชนได้ เป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ ทำให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เกิดการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ฝากขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งมั่นช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่
นายธนกร กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านที่จะมีขึ้นในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านโหมโรงฉายหนังตัวอย่างกันอย่างเต็มที่ประเภทบู๊ล้างพลาญ โดยประกาศจะล้มรัฐบาลให้ได้ รัฐบาลก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกประเด็น โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์นั้นพร้อมมาก เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดอะไร และบริหารประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์ ส่วนกรณีที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า วางตัว 15 ส.ส.อภิปรายแบบจัดหนัก ข้อมูลแน่น หลักฐานชัดนั้น ขอให้ข้อมูลแน่นจริงๆ อย่าน้ำท่วมทุ่ง ขอให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์ อย่าอภิปรายแบบสาระไม่มี หน้าตาดีไปวันๆ รัฐบาลพร้อมชี้แจงทุกประเด็น จะได้ให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบ รวมไปถึงจะได้แสดงผลงานของรัฐบาลไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตนมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนเข้าใจในสิ่งที่รัฐบาลทำ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาโควิด-19

กว่า 1 ปีที่โลกเผชิญ ‘โควิด-19’ ไวรัสมรณะที่ทำให้โลกเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่โรคระบาดเกิดขึ้น ณ ‘เมืองอู่ฮั่น’ แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่สมัย ‘สามก๊ก’

โคโรน่าไวรัส​ &​ อูฮั่น​ &​ หูเป่ย​ &​ สามก๊ก
เล่าปี่ผู้รวบรวมแคว้นตะวันตก​ เกงจิ๋วและเฮ็กจิ๋วเป็น​ " สถาปนาจ๊กก๊ก"

ซุนกวน​ ผู้สอบทอดอำนาจจากพ่อและพี่ชาย​ สืบสานดินแดนด้านตะวันออก​เฉียงใต้​แห่งกังตั๋ง เป็นแคว้น​  "เป็นง่อก๊ก"
โจโฉ​ ผู้รวบรวมดินแดนทางเหนือ​กำราบเมืองต่างๆเป็นปึกแผ่น "สถาปนาวุยก๊ก"

ความตอนหนึ่ง​ จากการบันทึกจดหมายเหตุ​ของ โจโฉ​แพ้ทัพ​" ศึกผาแดง​ " ตามหนังดัง​สร้างโดย​ จอห์น​ ซู​ เรื่อง​  Red​ Cliff
เล่าปี่​ และซุนกวน​ ร่วมมือกันยัน​โจโฉ​ ที่เมือง​จีบี้​ (Chibi) ด้านล่างของเมือง​อูฮั่น​ มณฑลหูเป่ย​ จนโจโฉแตกทัพพ่ายแพ้ยับเยิน​ โจโฉอ้างว่าเพราะทหารติดโรคระบาดตายกันเป็นเบือ​ ที่เมืองอูฮั่น​ มณฑล​หูเป่ย

แต่ทางเล่าปี่ และซุนกวน​ บอกว่าแพ้เพราะการทหาร​ และกลยุทธ์
ดังนั้นเมืองอูฮั่น​ และเมืองรอบๆ​ ในมณฑลหูเป่ย​ กลางแผ่นดินจีน​ เคยมีโรคระบาด​ ประมาณ​ 2,000​ ปีที่แล้ว​ อาจจะไม่ใช่ครั้ง​แรก​ ของโรคระบาดที่เกิดขึ้นกลางแผ่นดินจีน



Cr : รายการคุยทุกเรื่องกับสนธิ
https://youtu.be/g8yGrer0RGY
.
https://youtu.be/pd0bqLQrtdE

รัฐบาล เผยคนแห่ลงทะเบียน ‘เราชนะ’ รับเงินเยียวยาแล้วเกือบ 10 ล้านคน ส่วนโครงการ ‘ม33 เรารักกัน’ ช่วยเหลือค่าครองชีพผู้ประกันตนมาตรา 33 คนละ 4,000บาท เข้าครม. 15 ก.พ.นี้

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า หลังจากโครงการเราชนะได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยา ผ่านเว็บไซต์เราชนะ ตั้งแต่วันที่ 29 ม.ค. ตัวเลขนับถึงวันที่ 5 ก.พ. มีผู้ลงทะเบียนแล้ว 9.54 ล้านคน ซึ่งการลงทะเบียนจะเปิดถึงวันที่ 12 ก.พ. สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ทางกระทรวงการคลัง ล่าสุดแจ้งว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา หรือหน่วยรับลงทะเบียนเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. เป็นต้นไป ยังไม่มีกำหนดปิดรับลงทะเบียน 

ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้วงเงินจากโครงการเราชนะได้กับร้านค้าที่เคยใช้อยู่บริการอยู่แล้ว เช่น ร้านธงฟ้า รวมถึงร้านค้าร่วมโครงการคนละครึ่งและโครงการเราชนะ ด้วยการสแกนบัตรฯผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน เริ่มแล้วเมื่อ 5 ก.พ. ส่วนกลุ่มที่มีแอปพลิเคชันเป๋าตัง จากโครงการคนละครึ่ง/เราเที่ยวด้วยกัน สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ. ขณะที่ กลุ่มที่ลงทะเบียนใหม่ สามารถตรวจสอบสิทธิได้ ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.

สำหรับการตรวจสอบสิทธิต้องเข้าไปที่เว็บไซด์เราชนะ กดที่ช่อง “ตรวจสอบสถานะผู้ได้รับสิทธิ” หากพบว่า “ไม่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติ” สามารถแสดงความประสงค์ขอทบทวนสิทธิได้ทางเว็บไซต์เราชนะ ตั้งแต่ 8 ก.พ. ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิ ทางกระทรวงการคลังจะโอนวงเงินให้ครั้งแรก 2,000 บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง เริ่มวันที่ 18 ก.พ. และจะทยอยโอนให้จนครบ 7,000 บาท ในปลายเดือนมี.ค. จึงขออย่าได้กังวลที่ตอนนี้ไม่มีวงเงินโอนไปถึงมือ

ขณะที่กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบการเยียวยา  ภายใต้โครงการ “ม33 เรารักกัน” โดยกระทรวงแรงงานให้ข้อมูลว่า ผู้ประกันตนฯจะได้รับการช่วยเหลือค่าครองชีพ คนละ 4,000บาท ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง มีเงื่อนไขคือ ต้องไม่มีเงินฝากในสถาบันการเงินรวมกันเกิน 5 แสนบาท ไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเปิดให้เริ่มลงลงทะเบียนช่วงกลางเดือนนี้ ที่  www.ม33เรารักกัน.com การโอนเงินจะแบ่งเป็น 4 ครั้ง ตั้งแต่มี.ค.- เม.ย. เรื่องนี้จะเสนอให้ครม. พิจารณา วันที่ 15 ก.พ. และสิทธิการใช้เงินของทุกกลุ่มมีถึงวันที่ 31 พ.ค. ใช้ไม่หมดในแต่ละงวดสามารถสะสมไว้ได้

คิวต่อไป !! ‘ศรีสุวรรณ’ จ่อร้องผู้ว่าฯ กทม. สอบโครงการก่อสร้างแก้มลิงสวนเบญจกิติ 138 ล้าน มีพิรุธ หลังพบเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่ และไม่ทราบเอาดินซึ่งเป็นทรัพย์สินกทม. ไปกองไหว้ไหน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำได้ดำเนินโครงการพัฒนาพื้นที่รับน้ำขนาดใหญ่เพื่อปรับปรุงบึงน้ำบริเวณสวนเบญจกิติเพื่อจัดทำเป็นแก้มลิง เพื่อกักเก็บน้ำให้ได้ 137,000 ลบ.ม. โดยได้จัดทำ TOR และปิดประมูลโครงการและลงนามในสัญญาก่อสร้างกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ไปแล้วในมูลค่าโครงการ 138 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาในการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.62-10 ต.ค. 63 ที่ผ่านมานั้น ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดใน TOR และสัญญาว่าจ้างส่วนหนึ่งระบุว่า จะต้องขุดดินในบริเวณบึงรับน้ำตามแบบความลึกไล่ระดับตามที่กำหนด พร้อมขนย้ายดินออกไปทิ้ง ณ ที่กำหนด ฯลฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะต้องช่วยป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมบริเวณ ถ.รัชดาภิเษก ช่วง ถ.สุขุมวิท - ถ.พระราม 4 และบริเวณ ซ.สุขุมวิท 16 โดยสามารถรองรับน้ำส่วนเกินมากักเก็บไว้ให้ได้ 137,000 ลบ.ม. ตามสัญญา
“ แต่ปรากฏว่าขณะนี้ได้สิ้นสุดสัญญาว่าจ้างไปนานแล้ว แต่กลับยังไม่มีการส่งมอบงานโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งในช่วงแรกบริษัทผู้ได้งานมีการจ้างผู้รับเหมาช่วงในการขุดขนดินออกไปทิ้งนั้น คือ บ.ทรัพย์ทรายทอง จก. แต่กลับมีปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างกันขึ้นมา ผู้รับจ้างช่วงจึงนำข้อมูลมาร้องเรียนกับสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยว่า จำนวนดินที่จะต้องขุดลอกอาจไม่ได้ความลึกตามที่กำหนด หรือให้ได้ปริมาตรของการกักเก็บน้ำตามสัญญา และยังมีข้อพิรุธอีกหลายประการ หลังจากมีการเปลี่ยนผู้รับเหมาขุดขนดินรายใหม่เข้ามาแทนที่ โดยไม่มีใครทราบว่าดินเหล่านั้นเอาไปกองไว้ที่ใด เพราะดินเหล่านั้นถือเป็นทรัพย์สินของ กทม. จะนำไปขายให้เอกชนนำไปถมที่ไม่ได้ ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครอาจจะไม่รู้ก็ได้” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงจะนำความไปแจ้งและร้องเรียนต่อผู้ว่าฯ กทม. ให้ตรวจสอบปริมาตรดินและปริมาตรน้ำเป็นไปตามสัญญาจ้างครบ 100% หรือไม่  มีการแอบลักดินไปขายให้เอกชนหรือไม่ และได้มีการดำเนินการสั่งปรับตามเงื่อนไขการผิดสัญญาการส่งมอบงานไปแล้วหรือไม่ อย่างไร และหากพบว่ามีการเกี้ยเซียะหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้สั่งดำเนินการลงโทษต่อไป แต่หากผู้ว่าฯเพิกเฉย สมาคมฯจะนำความไปร้อง สตง. และ ป.ป.ช. ต่อไป
นอกจากนั้น จะได้นำชาวบ้านในซอยถาวรธวัช 1 ที่คัดค้านโครงการก่อสร้างปรับปรุงถนนและก่อสร้างทางยกระดับข้ามแยกถาวรธวัชและถนนซอยรามคำแหง 24 เขตบางกะปิ เนื่องจากถูกลิดรอนสิทธิการเวนคืนที่ดินจาก กทม. แต่จะเป็นโครงการที่ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรมากนัก แต่กลับสร้างความเสียหายให้กับชาวชุมชน ซึ่งขัดต่อกฎหมายและขัดต่อรัฐธรรมนูญ เดินทางไปยื่นคำร้องและคัดต้านโครงการดังกล่าวในวันจันทร์ที่ 8 ก.พ.เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานผู้ว่าฯ กทม. ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top