Friday, 6 June 2025
GoodVoice

รายงานชี้ ONE ทำรายได้กว่า 1.6 หมื่นล้านต่อปี ดันเศรษฐกิจไทยพุ่งแรง พร้อมยกระดับ Soft Power

(16 พ.ค. 68) รายงานล่าสุดของสถาบัน Nielsen เผยว่า วัน แชมเปียนชิพ (ONE) องค์กรศิลปะการต่อสู้ระดับโลก มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 1.6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผ่านการแข่งขันในหลายประเภท โดยเฉพาะรายการ ONE ลุมพินี ที่กลายเป็นจุดหมายใหม่ด้านการท่องเที่ยวเชิงกีฬา

ผลการสำรวจพบว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 82% ที่เข้าชมการแข่งขัน ONE เดินทางมาไทยโดยเฉพาะ และมากกว่า 80% เลือกพักในกรุงเทพฯ อย่างน้อย 3 คืน ขณะที่ 65% ขยายการเดินทางไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทำให้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปสูงขึ้นและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง

โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักมาจากประเทศออสเตรเลีย สหรัฐฯ อังกฤษ ฝรั่งเศส และแคนาดา ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะในการเดินทางระยะไกล ทั้งนี้ ONE ยังช่วยยกระดับ Soft Power ไทย ด้วยการถ่ายทอดสดไปยังกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ทำให้มวยไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Nielsen ประเมินว่าแต่ละอีเวนต์ของ ONE สร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 238–721 ล้านบาท โดยเฉพาะศึก ONE ลุมพินี และ ONE Fight Night ซึ่งจัดประจำทุกสัปดาห์และทุกเดือนตามลำดับ การเติบโตของ ONE จึงไม่เพียงสะท้อนความสำเร็จของอุตสาหกรรมบันเทิงด้านกีฬา แต่ยังตอกย้ำบทบาทของไทยในเวทีโลกในฐานะผู้นำด้านศิลปะการต่อสู้และจุดหมายปลายทางของแฟนกีฬาทั่วโลก

นายกฯ เตรียมไลฟ์ขายทุเรียน ส่งตรงจากจันทบุรี หวังดัน Soft Power เกษตรไทย-ช่วยชาวสวนในพื้นที่

(16 พ.ค. 68) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมร่วมไลฟ์สดขายทุเรียนกับกลุ่ม Young Smart Farmer ณ สวนรักตะวัน จ.จันทบุรี วันที่ 17 พฤษภาคมนี้ เพื่อส่งเสริมผลไม้ไทยและกระตุ้นการตลาดช่วงฤดูทุเรียน พร้อมรณรงค์การบริโภคผลไม้ตามฤดูกาล และชมบูธร้านอาหารที่ได้รับเครื่องหมาย Thai SELECT

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีจะรับฟังปัญหาของเกษตรกรภาคตะวันออกทั้งเรื่องต้นทุน การผลิต และการส่งออก พร้อมให้นโยบายกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับการสนับสนุนภาคเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องร่วมคณะลงพื้นที่ด้วย

โดยในช่วงบ่าย นายกรัฐมนตรีจะเยี่ยมชมขั้นตอนการส่งออกผลไม้ ณ บริษัท ดรากอน เฟรช ฟรุท อ.มะขาม จ.จันทบุรี และชมการคัดแยก แพ็กกิ้งทุเรียนมังคุด รวมถึงโมเดลความร่วมมือกับสายการบินแอร์เอเชีย ในการนำเมนูผลไม้ขึ้นให้บริการบนเครื่องบิน

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันเดินหน้าสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในฤดูทุเรียนและผลไม้อื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้ให้เกษตรกร กระจายตลาดสู่เมืองหลัก-เมืองรอง และผลักดันให้ 'ผลไม้ไทย' เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่คนทั่วโลกต้องรู้จักและจดจำ

’กรณ์‘ มอง 'G-token' หวังดัน digital asset ในไทย แนะรัฐบาลป้องกันหวั่นกลายเป็น ’เงินตรานอกระบบ’

เมื่อวันที่ (15 พ.ค.68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ โพสต์เฟซบุ๊ก 'นายกรณ์ จาติกวณิช - Korn Chatikavanij' ระบุ  ว่าด้วยเรื่อง G-token: good or bad?

ปัจจุบันรัฐบาลสามารถกู้จากประชาชนได้ผ่านการขายพันธบัตรในแอปเป๋าตังที่คนไทยกว่า 40 ล้านคนมีในโทรศัพท์

ประชาชนสามารถลงทุนได้ด้วยเงินเพียงแค่ 100 บาท คิดจะขายก็ขายได้ ต้นทุนของรัฐบาลในการออกพันธบัตรผ่านช่องทางนี้ต่ำมาก ไม่น่าจะมีช่องทางไหนที่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่านี้อีกแล้ว

คราวนี้รัฐบาลจะออกสิ่งที่เรียกว่า G-token แทน นั่นคือการกู้ผ่านการออกเหรียญคริปโตในระบบ blockchain นั่นเอง 

จริง ๆ ก็คือการ tokenise พันธบัตรรัฐบาลนั่นแหละ

ที่รัฐบาลบอกว่าไม่กระทบหนี้สาธารณะ ถ้าจะพูดให้ชัดขึ้นต้องบอกว่า ’ไม่กระทบมากกว่าถ้าออกเป็นพันธบัตร’ คือหนี้สาธารณะจะเพิ่มเท่ากัน นี่คือเพียงอีกวิธีที่จะกู้เงิน

ถามว่ากฎหมายให้ทำหรือไม่ รัฐบาลบอกว่าได้ มีบางคนออกมาบอกว่าไม่ได้ ส่วนตัวผมพูดได้แค่ว่ากฎหมายไม่ได้เขียนรองรับโดยตรงเพราะตอนร่างกฎหมายยังไม่มีคริปโต แต่ผมก็ไม่เห็นว่าทำไมจะทำไม่ได้ ตราบใดที่ G-token นี้มีสถานะเหมือนเป็นพันธบัตร ซึ่งซื้อขายได้ แต่ใช้ในการชำระเงินไม่ได้ 

ปัญหาคือ พอมันเป็นเหรียญ มันก็สามารถถูกเอาไปใช้ชำระเงินได้ง่ายขึ้น รัฐบาลก็ควรต้องอธิบายว่ามีมาตรการอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้คนไทยหรือต่างชาติใช้ G-token เสมือนเป็นเงินบาท (เพราะมีรัฐบาลคำ้ประกัน) สุดท้ายก็จะเป็นเงินอีกประเภทหนึ่งที่รัฐบาลเป็นคนออกหรือไม่? (หรือนั่นคือความตั้งใจ?)  ต้องฟังความเห็นของแบงก์ชาติในประเด็นนี้

ถามว่าการเข้าถึง G-token โดยประชาชนจะสะดวกกว่าการซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือไม่ คำตอบคือ ’ไม่‘  เพราะคนไทยยังคงจะมี digital wallet น้อยกว่าแอปเป๋าตัง

ถามว่าแล้วรัฐบาลทำไปเพื่ออะไร ผมเชื่อว่าเหตุผลหลักคือต้องการเพิ่มความนิยมใน digital asset ในประเทศไทย พวก crypto exchange เช่น Bitkub หรือ Binance ต้องชอบเพราะทำให้มีสินค้าในตลาดของตนมากขึ้น และลูกค้าใหม่ก็อาจจะหันมาสนใจลงทุนใน Bitcoin หรือ digital asset ตัวอื่น ๆ มากขึ้นในอนาคต รัฐบาลก่อนหน้านี้อยากให้ประชาชนมีแอปเป๋าตัง รัฐบาลนี้อยากให้มี digital wallet

ทั้งหมดนี้ดีหรือไม่ดีอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ค่ากับคริปโตแค่ไหน และรัฐบาลจะสามารถป้องกันไม่ให้ G-token กลายเป็นเงินตรา ‘นอกระบบ’ หรือไม่

‘อพท.’ ผลักดัน!! ชุมชนท่องเที่ยว ในพื้นที่พิเศษ ชวนออฟฟิศ ยกทีมนอกกรอบ ไปรอบเมืองไทย

(17 พ.ค. 68) นายศิริปกรณ์ เชี่ยวสมุทร ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ได้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “ยกทีมประชุม รุมรักเมืองไทย ซีซั่น 2 ชวนชาวออฟฟิศ ยกทีมนอกกรอบ ไปรอบเมืองไทย” และกล่าวถึงประโยชน์ของการจัดงานในครั้งนี้ว่า ในฐานะที่ อพท. เป็นองค์กรกลางในการประสาน ส่งเสริมและพัฒนาให้ชุมชนท้องถิ่นและพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวมีศักยภาพและมีการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรในแคมเปญฯ ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการต่อเนื่องมาจากปี 2567 ซึ่งได้นำชุมชนในพื้นที่พิเศษที่มีศักยภาพเข้าร่วมแคมเปญถึง 25 ชุมชน สำหรับในซีซั่น 2 ในปี 2568 นี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ อพท. ได้ประชาสัมพันธ์และเชิญชวนนักเดินทางคุณภาพกลุ่มไมซ์ ให้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่จากการเดินทางท่องเที่ยวโดยชุมชนที่มีเสน่ห์และอัตลักษณ์โดดเด่น ผ่านภูมิปัญญา เรื่องเล่าและได้ทดลองกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของชุมชน โดย อพท. ได้คัดสรรชุมชนที่มีศักยภาพเข้าร่วมแคมเปญเพิ่มขึ้นเป็น 32 ชุมชน และสนับสนุนค่าจัดกิจกรรมขององค์กรใน ชุมชนมูลค่า 10,000 บาทต่อกลุ่ม ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดมูลค่าสูง และเปิดโอกาสให้ชุมชนได้แสดงศักยภาพ อัตลักษณ์ สินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ พร้อมได้ประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ของชุมชน นำมาสู่การสร้างและกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น และเชื่อว่า “การท่องเที่ยวโดยชุมชน จะเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจในการจัดกิจกรรมองค์กรให้กับทุกๆ คน”

ความร่วมมือดังกล่าวนั้นตอบโจทย์การดำเนินงานของ อพท. ซึ่งเป็นองค์กรกลางในการประสาน ส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในเชิงบูรณาการ ตลอดจนการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้มีศักยภาพตามมาตรฐานการท่องเที่ยวโดยชุมชน (CBT Thailand) สามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง และพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Creative Tourism) ที่นำเสนออัตลักษณ์ที่โดดเด่นและเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยวสู่ตลาดมูลค่าสูง นำมาสู่การสร้างและกระจายรายได้มาสู่ท้องถิ่นต่อไป  

‘แพทองธาร – นายกฯ เวียดนาม’ ร่วมเปิดงานใหญ่ แสดงวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ในทุกระดับ

(17 พ.ค. 68) นายฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม พร้อมด้วยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ได้เข้าร่วมงาน Vietnam–Thailand Business Forum 2025 พร้อมทั้งแสดงวิสัยทัศน์ มุ่งเน้นเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศในทุกระดับ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ นโยบาย และประชาชน ณ โรงแรม Melia กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวานนี้ (16 พ.ค. 68) 

ทั้งนี้ คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ SVP & General Manager ธนาคารกรุงเทพ สาขาเวียดนาม ได้รับเกียรติให้เป็นผู้ดำเนินรายการในช่วงเสวนา ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูง ตัวแทนภาคเอกชนจากทั้งประเทศไทย และเวียดนาม อาทิ WHA Amata FPT และ Vietjet มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิสัยทัศน์ และแนวทางการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว เพื่อร่วมกันยกระดับเศรษฐกิจไทย–เวียดนาม สู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน

‘โอ๋-ฐิติภัสร์‘ ลุยตรวจ บ.ลอบนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ พบเป็นลักษณะโรงงานศูนย์เหรียญ เร่งส่งกลับประเทศต้นทาง

(21 พ.ค.68) นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โพสต์เฟซบุ๊กว่า …ประเทศไทยคุ้มมั้ย???

ทีมสุดซอย ร่วมกับ กรมศุลกากร และมูลนิธิบูรณะนิเวศ ร่วมเปิดตู้สินค้านำเข้าจากอเมริกาที่ท่าเรือแหลมฉบัง สำแดงเป็นเศษอลูมิเนียม แต่เครือข่ายมูลนิธิบูรณะนิเวศที่ต่างประเทศ แจ้งว่ามีการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์

กรมศุลกากรสกัดกั้น และเปิดตู้สินค้าจำนวน 6 ตู้ พบเป็นเศษอลูมิเนียมปนเปื้อนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ประมาณ 118 ตัน จัดเป็นของเสียอันตรายห้ามนำเข้าเป็นอันขาด 

กรมโรงงานอุตสาหกรรมแจ้งให้ผลักดันกลับประเทศต้นทางภายใน 30 วัน 

กรมศุลกากรดำเนินคดีบริษัท เอ็ม เอช ซี กรุ๊ป ฟรีโซน จำกัด ในฐานะผู้นำเข้าข้อหาลักลอบนำเข้าของเสียวัตถุอันตราย

ทีมสุดซอย ร่วมกับ กรมศุลกากรตรวจสอบบริษัท เอ็ม เอช ซี กรุ๊ป ฟรีโซน จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

ภายในพื้นที่มีโกดังจำนวน 4 หลัง และกำลังก่อสร้างอีก 2 โกดัง แต่ละโกดังแบ่งพื้นที่สำหรับทำคลังสินค้าและโรงงาน

สอบถามผู้ดูแลแจ้งว่า เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลอดอากรจึงให้บริการเป็นพื้นที่ลักษณะคลังพักสินค้าจากจีน เพื่อรอส่งต่อไปอเมริกา

บางครั้งก็พักสินค้าให้กับมณฑลหนึ่งของจีน เพื่อรอส่งต่อไปยังอีกมณฑลหนึ่งของจีน เพราะถ้าทำแบบนี้ภาษีจะถูกกว่า

บางโกดังขออนุญาตจัดตั้งเป็นโรงงานผลิตอลูมิเนียมระบายความร้อนทีวี บางโรงงานฉีดพลาสติกขึ้นรูปบานพับ บางโรงงานบดย่อยและรีดแผ่นยางส่งออก แต่เครื่องจักร วัสดุ อลูมิเนียม เม็ดพลาสติก ยางนำเข้าจากจีน ทำเสร็จแล้วรอส่งประเทศจีนหรืออเมริกา หรือส่งให้โรงงานอื่นที่อยู่ในเขตปลอดอากรเช่นกัน ลักษณะการประกอบกิจการศูนย์เหรียญ!!! อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประเทศไทยมียอดการส่งออกสูง

กระทรวงอุตสาหกรรม รมว. เอกนัฏ สั่งให้จัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ เพราะถือเป็นโรคร้ายกัดกินระบบเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมภายในประเทศ

ทีมสุดซอยร่วมกับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ตรวจสอบโรงงานภายในพื้นที่ทั้งหมด 4 โรงงาน มีใบอนุญาตโรงงาน 3 ใบ 3 โกดัง ออกเมื่อช่วงต้นปี 2567 พบมีการขยายเครื่องจักรเกินโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 2 โรงงานและพบมีการตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 2 โรงงาน  เจ้าหน้าที่สั่งให้หยุดและดำเนินคดีตาม พรบ.โรงงาน

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมศุลกากรที่ตรวจสอบโรงงานในพื้นที่ปลอดอากร (Free Zone) ร่วมกัน หลังจากนี้จะมีความร่วมมือในการตรวจสอบในพื้นที่อื่น ๆ และจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดนำเสนอไปยังผู้บริหารกระทรวง ที่อาจจะต้องทบทวนมาตรการ การกำกับดูแล รวมถึงการอนุญาตให้ตั้งโรงงานในพื้นที่ปลอดอากรด้วยค่ะ

#โอ๋สุดซอย #ทีมสุดซอย #ปฏิรูปอุตสาหกรรม

รฟท. ผุดแผนรถไฟสายใหม่ 68 กม. สู่สนามบินกระบี่ เชื่อมอันดามัน–ภูเก็ต–กระบี่ กระตุ้นท่องเที่ยวไทย

(22 พ.ค. 68) การรถไฟแห่งประเทศไทยเตรียมบรรจุเส้นทางรถไฟสายใหม่ 'ทับปุด-กระบี่-สนามบินกระบี่' เข้าสู่แผนการก่อสร้าง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาและออกแบบ เบื้องต้นมีระยะทางกว่า 68 กิโลเมตร มุ่งเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยวฝั่งอันดามันและสนามบินกระบี่ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและเป็นอีกทางเลือกทดแทนสนามบินภูเก็ต

เส้นทางเริ่มต้นจากสถานีทับปุด ในโครงการรถไฟสายสุราษฎร์ธานี-พังงา-ภูเก็ต แล้วแยกลงใต้เลียบทางหลวง 4 ผ่านอ่าวลึก คลองหิน เขาคราม เข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ และจบที่สนามบินกระบี่ มีสถานีหลัก 5 แห่ง โดยออกแบบอาคารสถานีให้สอดคล้องกับศิลปะท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่

รูปแบบการเดินรถจะมีทั้งขบวนรถไฟด่วน เช่น รถไฟท่องเที่ยวเชื่อมภูเก็ต-กระบี่ และรถไฟโดยสารจากกรุงเทพฯ-กระบี่ รวมถึงขบวนท้องถิ่นจากสุราษฎร์ธานี-ทับปุด-กระบี่ หากโครงการนี้เดินหน้า จะช่วยกระจายผู้โดยสารจากสนามบินภูเก็ตสู่สนามบินกระบี่ และสร้างระบบ Airport Link ฝั่งอันดามันทันที

โครงการนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจ การเดินทาง และการท่องเที่ยวของภาคใต้ตอนล่าง โดยเฉพาะฝั่งอันดามัน ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก

‘พีระพันธุ์’ เดินหน้ารื้อสัญญาชั่วนิรันดร์ Adder - FiT พร้อมเร่งลดผลกระทบจากค่าไฟฟ้าให้ประชาชน

เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) นายกสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE 100) และคณะตัวแทนสมาคมฯ ได้เข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอหารือและรับทราบแนวทางเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ปัญหาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบมีค่า Adder และ Feed-in Tariff (FiT) ที่ต้องจ่ายให้กับกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดเล็กและเล็กมาก (Non-Firm SPP) แบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา หรือที่เรียกกันว่า 'สัญญาชั่วนิรันดร์' ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

ทั้งนี้ ระบบ Adder และ Feed-in Tariff เป็นนโยบายที่ภาครัฐให้เงินสนับสนุน หรือให้เงินส่วนเพิ่มจากอัตราค่าไฟปกติแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อจูงใจภาคเอกชนให้มาลงทุนในพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถต่อสัญญาขายไฟฟ้าได้เรื่อย ๆ ครั้งละ 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติแบบไม่มีวันหมดอายุสัญญา ตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระและทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น

ในการหารือครั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กในส่วนของสมาคมฯ ได้อธิบายถึงปัญหาข้อขัดข้องในอดีตซึ่งเป็นที่มาของสัญญาดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับทราบและเห็นด้วยกับแนวทางที่กระทรวงพลังงานกำลังดำเนินการในการปรับเปลี่ยนสัญญาให้ถูกต้องและเป็นธรรม โดยนายพีระพันธุ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ( กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการกำหนดอายุสัญญาการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Non-Firm เพื่อลดผลกระทบค่าไฟฟ้า และได้กำชับให้คณะอนุกรรมการดังกล่าวเร่งดำเนินการพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการพยายามแก้ปัญหาระบบ Adder และ Feed-in Tariff ที่สะสมมานาน โดยทางสมาคมฯ ยินดีที่จะให้ความร่วมมือกับทางรัฐบาลในการแก้ปัญหานี้ และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะลดผลกระทบที่มีต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน

BAFS เดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศเต็มสูบ เตรียมส่งรถเติมน้ำมันประจำการสนามบินกัมพูชา

BAFS รุกตลาด SEA ส่งมอบรถเติมน้ำมันอากาศยาน นวัตกรรมฝีมือคนไทย เตรียมพร้อมประจำการสนามบินนานาชาติแห่งใหม่กัมพูชา กลางปีนี้!!

ม.ล. ณัฐสิทธิ์ ดิศกุล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BAFS) เปิดเผยว่า บริษัท บาฟส์ อินเทค จำกัด (BAFS INTECH) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัทบาฟส์ (BAFS Group) ดำเนินธุรกิจให้บริการออกแบบ ผลิต และประกอบรถเติมน้ำมันอากาศยานรวมถึงรถให้บริการภาคพื้นภายในท่าอากาศยาน ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมวิศวกรและเทคนิคของ BAFS INTECH ผสานนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ากับเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูง พร้อมสมรรถนะที่โดดเด่น มีความทนทาน ตอบโจทย์ความต้องการผู้ให้บริการภาคพื้นอากาศยานในระดับภูมิภาค ล่าสุด เตรียมส่งมอบรถเติมน้ำมันอากาศยาน Hydrant Dispenser รถให้บริการภาคพื้นอากาศยาน และอุปกรณ์ให้บริการภาคพื้นประเภท Mobile Refueling Cart รวมทั้งสิ้นจำนวน 7 คัน ให้กับบริษัท Phnom Penh Aviation Fuel Service Co., Ltd. (PPAFS) ในเดือนพฤษภาคม 2568 สำหรับให้บริการ ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเตโช กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคมนี้ ถือเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนความเป็นผู้นำด้านบริการเติมน้ำมันอากาศยานแบบครบวงจรของ BAFS 

อุตสาหกรรมการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS INTECH เริ่มต้นจากองค์ความรู้และความชำนาญในการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยานของ BAFS ต่อยอดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และจุดเด่นในการออกแบบและผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของผู้ใช้งาน โดยสามารถเลือกขนาดและอัตราการไหล (Flow Rate) ของรถเติมน้ำมันอากาศยาน ให้รองรับกับขนาดและคุณสมบัติของเครื่องบินแต่ละประเภท รวมถึงสภาพแวดล้อมของท่าอากาศยานที่แตกต่างกัน ตอบโจทย์ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย และความเหมาะสมต่อการใช้งาน การันตีคุณภาพการผลิตที่สอดคล้องตามมาตรฐานการบริการน้ำมันอากาศยานระดับสากลของ Joint Inspection Group (JIG) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับระบบเติมน้ำมันอากาศยาน 

BAFS INTECH มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการเติมน้ำมันอากาศยาน ให้สามารถตอบสนองต่อการขยายตัวของอุตสาหกรรมการบินโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ซึ่งกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการเดินทางและโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค โดยที่ผ่านมา BAFS INTECH เริ่มต้นจากการผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยานให้กับ BAFS และลูกค้าในประเทศไทย ก่อนจะขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยในระยะ 4 ปีที่ผ่านมา BAFS INTECH ได้รับความไว้วางใจโดยได้รับเลือกให้เป็นผู้ออกแบบ และผลิตรถเติมน้ำมันอากาศยาน รวมถึงรถให้บริการภาคพื้นอากาศยาน ให้กับลูกค้าในประเทศเมียนมา และ สปป. ลาว

“จากประสบการณ์การดำเนินธุรกิจให้บริการน้ำมันอากาศยานด้วยมาตรฐานสากลยาวนานกว่า 40 ปี และความมุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการภาคพื้นอากาศยาน ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทย การส่งมอบรถในครั้งนี้ สะท้อนถึงศักยภาพและความพร้อมของ BAFS INTECH ในฐานะผู้นำในธุรกิจออกแบบและผลิตยานพาหนะภาคพื้นสำหรับท่าอากาศยาน สำหรับในปีนี้ เรายังมีรถที่อยู่ระหว่างการผลิตและรอการส่งมอบอีก 16 คัน โดยคาดว่าในปี 2568 จะมียอดสั่งซื้อจำนวน 17 คัน นอกจากนี้ BAFS INTECH วางแผนการดำเนินธุรกิจ รุกสู่ลูกค้าในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจุดขายในการผลิตรถสมรรถนะเยี่ยมที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนเอเชีย ตั้งเป้าขยายตลาดสู่ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ภายใน 5 ปี”

‘ดร.ปิติ’ มัดรวมประเด็นหารือประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 เรื่องสำคัญมุ่งรับมือสงครามการค้า-ขัดแย้งในเมียนมา-ทะเลจีนใต้

รศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการบริหาร มูลนิธิอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ผู้นำอาเซียนเขาคุยอะไรกันบ้างในการประชุมสุดยอดอาเซียน ปี 2025 ทั้งในการประชุมทางการและการประชุมแบบ Retreat

ผู้นำอาเซียนได้รวมตัวกันในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือและเสนอแนะแนวทางในการรับมือกับความท้าทายต่างๆ ที่ภูมิภาคกำลังเผชิญ รวมถึงสงครามการค้า ความขัดแย้งในเมียนมา ทะเลจีนใต้ การขยายขอบเขตการบูรณาการภูมิภาค และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของอาเซียน

1. สงครามการค้า

ผู้นำอาเซียนได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ และเรียกร้องให้มีการดำเนินการร่วมกันเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภูมิภาค

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ ชี้ว่าการที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากระบบพหุภาคีและหันไปใช้ข้อตกลงแบบทวิภาคีมากขึ้น ทำให้สถานการณ์มีความท้าทาย เขาเสนอแนวทาง 3 ประการ: 
- คงการมีส่วนร่วมกับสหรัฐฯ อย่างสร้างสรรค์ ทั้งในระดับประเทศและในนามอาเซียนโดยรวม
- เสริมสร้างความพยายามในการบูรณาการภายในอาเซียน โดยตั้งเป้าให้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ปลอดภาษี 100% (ปัจจุบัน 98.6%) พร้อมแก้ไขอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี เช่น ข้อกำหนดใบอนุญาตนำเข้าและขั้นตอนศุลกากรที่ซับซ้อน และขยายขอบเขตการค้าจากสินค้าไปสู่บริการ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงข้อตกลงทางเศรษฐกิจ 24 ฉบับที่ยังไม่ได้รับการดำเนินการซึ่งบางส่วนตกลงกันตั้งแต่ปี 2015 และต้องเร่งดำเนินการ

- เร่งการบูรณาการในพื้นที่การเติบโตใหม่ๆ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัลและการจัดตั้งโครงข่ายไฟฟ้าในภูมิภาค นอกจากนี้ ควรกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรภายนอกโดยการปรับปรุงข้อตกลงทางการค้าที่มีอยู่ และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเศรษฐกิจภูมิภาคอื่นๆ เช่น ความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป (EU) และคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC)

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย เน้นย้ำถึงความสำคัญของความสามัคคีและความยืดหยุ่นของอาเซียนในการรับมือกับภัยคุกคามจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยกล่าวว่าอาเซียนควรรักษาระบบพหุภาคีไว้ และให้แบบจำลองเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน-GCC-จีน มีบทบาทสำคัญในการสร้างอนาคตที่ครอบคลุมและยั่งยืน เขายังเปิดเผยว่าได้เขียนจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อขอความเข้าใจในการหารือเรื่องภาษีในที่ประชุมสหรัฐฯ-อาเซียน

นายกรัฐมนตรีฟาม มินห์ ชินห์ แห่งเวียดนาม เน้นย้ำว่าอาเซียนต้องปรับตัว 'อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ' ต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์โลก เขายังเรียกร้องให้ใช้เครือข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเร่งรัดการสรุปข้อตกลงการค้าเสรีกับพันธมิตรอย่างแคนาดา นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการยกระดับข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่กับจีนและอินเดียเพื่อช่วยกระจายตลาด ผลิตภัณฑ์ และห่วงโซ่อุปทาน

นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แห่งไทย เตือนถึง 'ผลกระทบสำคัญ' ของภาษีสหรัฐฯ และเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนเร่งประเมินกลยุทธ์ใหม่และเสริมสร้างความสามัคคีในภูมิภาค โดยเรียกร้องให้มีเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบบูรณาการ การบูรณาการภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และความร่วมมือใหม่ ๆ

2. ความขัดแย้งในเมียนมา
ผู้นำอาเซียนได้หารือถึงความจำเป็นในการแก้ไขวิกฤตการณ์ในเมียนมาอย่างสันติและมีมนุษยธรรม

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ แสดงความชื่นชมต่อความเป็นผู้นำของมาเลเซียในการรับมือกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมียนมา และสิงคโปร์พร้อมที่จะสนับสนุนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอาเซียน เขายังเรียกร้องให้มีการหยุดยิงที่ขยายออกไป ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งสู่การแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในเมียนมาระยะยาว นอกจากนี้ อาเซียนควรยึดมั่นในฉันทามติ 5 ข้อและการตัดสินใจเพื่อรักษาสถานะที่ไม่ใช่การเมืองของเมียนมาในการประชุมสุดยอดของกลุ่ม เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของอาเซียนกับพันธมิตรภายนอก

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย กล่าวถึงความก้าวหน้า 'อย่างมีนัยสำคัญ' ในการมีส่วนร่วมกับฝ่ายที่ขัดแย้งในเมียนมา และขอบคุณผู้นำอาเซียนที่อนุมัติการจัดตั้งกลุ่มที่ปรึกษาที่ไม่เป็นทางการ เขากล่าวว่า "การมีส่วนร่วมอย่างเงียบๆ มีความสำคัญ" และ "แม้แต่สะพานที่เปราะบางก็ยังดีกว่าช่องว่างที่กว้างขึ้น" มาเลเซียยังเสนอให้มีการตั้งผู้แทนอาเซียนในกิจการเมียนมาให้เป็นตำแหน่งถาวร 3 ปี ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เป็นวาระหมุนเวียนคราวละ 1 ปีตามประธานอาเซียน ทั้งนี้เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง

3. ทะเลจีนใต้
ผู้นำอาเซียนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและการรักษาสันติภาพในทะเลจีนใต้

ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ แห่งฟิลิปปินส์ เรียกร้องให้อาเซียนเร่งรัดการรับรองประมวลการปฏิบัติที่ผูกมัดทางกฎหมายในทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นแนวทางในการจัดการความตึงเครียด เขายังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและความร่วมมือทางทะเลเพื่อรักษาสันติภาพในภูมิภาค และเรียกร้องให้มีความร่วมมือในภูมิภาคที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในประเด็นท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่และข้ามพรมแดน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและอาชญากรรมข้ามชาติ

4. การขยายขอบเขตการบูรณาการภูมิภาค
ผู้นำอาเซียนได้หารือถึงแนวทางในการขยายและกระชับความร่วมมือทั้งในด้านสมาชิกภาพและเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรีลอเรนซ์ หว่อง แห่งสิงคโปร์ กล่าวว่าอาเซียนสามารถสำรวจความร่วมมือใหม่ๆ ในรูปแบบที่ยืดหยุ่นมากขึ้นได้ โดยอาจมีการมีส่วนร่วมในพื้นที่เฉพาะที่มีผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับประเทศที่ยังไม่พร้อมเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงคุณค่าของแพลตฟอร์มอาเซียนที่มีอยู่ และเสนอให้ดำเนินการตามแนวคิดอาเซียนว่าด้วยอินโด-แปซิฟิก (AOIP) ในทางปฏิบัติและเป็นรูปธรรม เขายังยินดีต้อนรับประเทศสมาชิกอาเซียนเพิ่มเติมให้เข้าร่วม CPTPP ซึ่งปัจจุบันมี 6 ประเทศอาเซียนยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้

ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียร์โต แห่งอินโดนีเซีย สนับสนุนการที่ติมอร์-เลสเตจะเป็นสมาชิกอาเซียนเต็มตัว 'โดยเร็วที่สุด' และเสนอให้ปาปัวนิวกินี 'เข้าร่วม' กลุ่มด้วย โดยชี้ว่ายิ่งอาเซียนแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับความเคารพในการเจรจาของมหาอำนาจ

นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย และผู้นำอาเซียนคนอื่นๆ ได้ลงนามใน ปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นเอกสารที่ชี้นำการพัฒนาและความร่วมมือของภูมิภาคในอีกสองทศวรรษข้างหน้า ปฏิญญาดังกล่าวแสดงถึงความมุ่งมั่นร่วมกันที่จะเสริมสร้างความสามัคคีในภูมิภาค ส่งเสริมการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืน และเสริมสร้างขีดความสามารถของสถาบันเพื่อตอบสนองต่อแนวโน้มขนาดใหญ่ที่มีอยู่และในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ยังได้หารือถึงประเด็นสำคัญอื่นๆ ที่ส่งผลต่ออนาคตของภูมิภาค

บริบทและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์: การประชุมจัดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น นายกรัฐมนตรีหว่องกล่าวว่าพหุภาคีและโลกาภิวัตน์กำลัง 'ถดถอย' พร้อมกับคำถามเกี่ยวกับ 'ระเบียบโลกใหม่จะเป็นอย่างไร' นายกรัฐมนตรีอันวาร์กล่าวว่าอาเซียนมี 'ความเข้มแข็งและยืนหยัด' ที่จะ 'ผ่านพ้นพายุ' แห่งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และเน้นย้ำถึง 'จิตวิญญาณแห่งความเป็นศูนย์กลางและความเป็นพี่น้อง' ในหมู่ประเทศสมาชิกอาเซียน และอาเซียนจะมีการจัดตั้งคณะทำงานด้านภูมิเศรษฐศาสตร์

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน: นายกรัฐมนตรีหว่องได้เป็นสักขีพยานในการลงนามในข้อตกลงการพัฒนาร่วมเพื่อสำรวจการส่งออกไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจากเวียดนามไปยังมาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างสายเคเบิลใต้น้ำใหม่

ความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก: อาเซียนจะจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีครั้งแรกกับจีนและคณะมนตรีความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) เพื่อพยายามลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษี

การปฏิรูปองค์กร: นายกรัฐมนตรีอันวาร์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิรูปองค์กรและเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอาเซียน เพื่อให้กลุ่มสามารถเผชิญกับความท้าทายจาก 'การปฏิวัติเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์' รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ นวัตกรรมดิจิทัล และเศรษฐกิจสีเขียวและสีน้ำเงิน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top