Saturday, 17 May 2025
GoodsVoice

'ก.ต่างประเทศ' จ่อลงนาม ฟรีวีซ่าถาวร 'ไทย-คาซัคสถาน'  ช่วยหนุนนักท่องเที่ยวเข้าไทยปีนี้เพิ่มอีกกว่า 2 แสนคน

เมื่อไม่นานมานี้ นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เปิดเผยภายหลังการจัดงาน ‘Amazing Thailand Roadshow To Almaty’ ณ เมืองอัลมาตี ประเทศคาซัคสถาน จัดโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ กต. ว่า จากการเดินทางมาร่วมกิจกรรมสำรวจลู่ทางการค้าและการลงทุนในประเทศคาซัคสถานรอบนี้ ทาง กต.ได้เริ่มกระบวนการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตรา (ยกเว้นวีซ่า : Visa-Free) ซึ่งกันและกันอย่างถาวรระหว่างไทยกับคาซัคสถานแล้ว

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องเอกสารระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลคาซัคสถาน ทำให้ต้องชะลอการลงนามฯ ไปก่อน

“ตามที่ทางนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้มีการเชิญนายมูรัท นูร์ตลิว รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของคาซัคสถาน เยือนไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) ในเดือน เม.ย. 2567 เราตั้งเป้าว่าน่าจะเห็นการลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่าอย่างถาวรระหว่างไทยกับคาซัคสถานอย่างแน่นอน”

หลังจากล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าเพื่อการท่องเที่ยว ให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. - 31 ส.ค. 2567 ต่อเนื่องจากมติ ครม. ก่อนหน้านี้ที่ประกาศยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานในช่วงระหว่างวันที่ 25 ก.ย. 2566 - 29 ก.พ. 2567

“นี่เป็นเหตุผลที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้ ครม.มีมติขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคาซัคสถานอีก 6 เดือนจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. 2567 เพื่อให้มั่นใจว่าจะครอบคลุมช่วงเวลาดำเนินการจัดทำความตกลงระหว่าง ไทย กับ คาซัคสถาน ในการยกเว้นวีซ่าซึ่งกันและกันอย่างถาวร”

นอกจากนี้ ได้หารือร่วมกับผู้บริหารสายการบินแอร์ อัสตานา (Air Astana) พร้อมแจ้งข่าวดีเรื่องการดำเนินการจัดทำความตกลง ไทย-คาซัคสถาน ยกเว้นวีซ่าระหว่างกันอย่างถาวรอีกด้วย

“ทางตัวแทนผู้บริหารแอร์อัสตานาดีใจมาก จริง ๆ เขาดีใจตั้งแต่รัฐบาลไทยประกาศยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวคาซัคสถานตั้งแต่รอบแรกแล้ว ยิ่งต่อรอบที่ 2 ก็ยิ่งดีใจ เพราะในมุมนักธุรกิจเขาขอแค่ภาครัฐกำหนดแผนงานให้ชัดเจน แน่นอน ที่เหลือเขาไปทำการบ้านต่อเอง”

'รมว.ปุ้ย' กางผลลัพธ์ส่งออก 'ฮาลาลไทย' แตะ 216,698 ล้านบาท โต 2.6% เชื่อ!! ยังไปได้อีกไกล หลัง 'ก.อุตฯ' เปิดฉากรุกตลาดกำลังซื้อสูงต่อเนื่อง

(27 ก.พ. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, นางอรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการสถาบันอาหาร, นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร, นายชาญชัย สิริเกษมเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ, นายพิตรพิบูล ธีร์จันทึก ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พร้อมทั้งผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมเข้าร่วมกิจกรรมประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ศักยภาพอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยแก่คณะรัฐมนตรี ณ บริเวณตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล เพื่อกระตุ้นการรับรู้ความสำคัญของอุตสาหกรรมฮาลาลไทย พร้อมนำเสนอสินค้าตัวอย่างความร่วมมือในเครือข่ายฮาลาลหวังส่งเสริมและขยายตลาดฮาลาลให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค

นางสาวพิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า กิจกรรมครั้งนี้จัดขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ศักยภาพอุตสาหกรรม ฮาลาลแก่คณะรัฐมนตรี รวมถึงเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้แก่ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ทั้งนี้เนื่องจากอุตสาหกรรมฮาลาลในตลาดโลก ยังเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ โดยในตลาดโลกมีมูลค่าสูงถึง 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จนถึงปี 2567 ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มมีส่วนแบ่งอยู่ที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งหมด ซึ่งคาดว่าในปี 2567 การเติบโตของตลาดอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งหมด จะขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.5 โดยในส่วนของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 7.1

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า สำหรับประเทศไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าอาหารฮาลาลในปี 2566 (ม.ค.-พ.ย.) จำนวน 216,698 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอาหารฮาลาล โดยธรรมชาติ เช่น ข้าว ธัญพืช น้ำตาลทราย ฯลฯ และมีผู้ผลิตอาหารฮาลาลกว่า 15,043 ราย มีร้านอาหารฮาลาลมากกว่า 3,500 ร้าน ซึ่งยังมีโอกาสเพิ่มสัดส่วนการส่งออกอาหารฮาลาลไปยังตลาดที่มีกำลังซื้อสูงได้อีกมาก

ทั้งนี้ กิจกรรมประชาสัมพันธ์ดังกล่าว จะเป็นการกระตุ้นการรับรู้ความสำคัญของอุตสาหกรรมฮาลาลไทยพร้อมนำเสนอสินค้าตัวอย่างความร่วมมือในเครือข่ายฮาลาล และมุ่งหวังการส่งเสริมและขยายตลาดฮาลาลให้ไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมฮาลาลในภูมิภาค โดยรูปแบบการจัดงาน ประกอบด้วยการจัดคูหาเพื่อแสดงตัวอย่างแสดงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาล อาทิ อาหาร, เครื่องสำอาง, เครื่องนุ่งหุ่ม, เสื้อผ้ามุสลิม, การจัดแสดงสาธิตการทำอาหาร 'เนื้อไทยแองกัสสิชล ฮาลาล ย่างซอสคั่วกลิ้งและใบเหลียงผัดกระเทียม' โดยเชฟชุมพล (นายชุมพล แจ้งไพร) ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านอาหาร ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ การจัดแสดงอาหารบนเครื่องบินจาก TG Inflight Catering Halal Food Center โดย ครัวการบิน การบินไทย รวมถึงการให้ข้อมูลที่สำคัญของโครงการศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลไทย (Thai Halal Industry Center)

'ตลท.' เตือนนักลงทุนเทรด 'หุ้นมิสแกรนด์' หลังถูกพักซื้อขายไปเมื่อ 23 ก.พ. ชี้!! หากจะลงทุน ต้องศึกษาข้อมูลเท็จจริง ที่สอดรับกับปัจจัยพื้นฐานก่อน

(27 ก.พ. 67) รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ภายหลังหลักทรัพย์บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ถูกหยุดพักการซื้อขายเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นเวลา 1 วัน เนื่องจากมีสภาพการซื้อขายเปลี่ยนแปลงไปไม่สอดรับปัจจัยพื้นฐาน โดยกลับมาซื้อขายได้ตั้งแต่ในภาคเช้าของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 เป็นต้นไปนั้น

ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลโดยเฉพาะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงและมีพื้นฐานประกอบ (material information) ก่อนเข้าซื้อ MGI เนื่องจากปัจจุบันค่า P/E และ P/BV อยู่ในระดับ 88.05 เท่า และ 22.64 เท่า ตามลำดับ (ปรับด้วยผลการดำเนินงานงวดปี 2566 แล้ว) โดยเช้าวันนี้ MGI แจ้งสารสนเทศการเปิดตัวงานแกรนด์คอนเสิร์ต อิน ยูเอสเอ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจปกติของบริษัทที่ดำเนินการอยู่แล้วในส่วนของธุรกิจสื่อและบันเทิง

สำหรับสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ หากพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่สอดรับปัจจัยพื้นฐานอีก หลักทรัพย์ MGI จะถูกหยุดพักการซื้อขายอีกเป็นเวลา 1 วัน ตามหลักการของมาตรการกำกับการซื้อขายระดับ 3 (ระดับสูงสุด) ซึ่งในปัจจุบัน MGI ยังคงอยู่ในมาตรการระดับนี้

สรุปสภาพการซื้อขายหลักทรัพย์ MGI โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 6-22 กุมภาพันธ์ 2567 (13 วันทำการ)

- การซื้อขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในเวลาอันสั้น เกินปัจจัยพื้นฐานของบริษัท แม้จะอยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย
- ราคาเพิ่มขึ้น 74% จาก 28.75 บาท มาเป็น 50 บาท (All Time New High)
- มูลค่าการซื้อขายในช่วงก่อนเข้ามาตรการระดับสูงสุด สูงอยู่ใน 3 ลำดับแรกของ mai
- เข้ามาตรการกำกับการซื้อขาย 3 ครั้ง (เข้ามาตรการระดับสูงสุด 2 ครั้ง)

‘สุริยะ’ เผยความคืบหน้าปรับปรุง ‘หมอชิต 2’ คาด!! เมษายนนี้ดีขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรีโนเวท

(27 ก.พ.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าการปรับปรุงสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ หรือ หมอชิต 2 ว่า ขณะนี้ได้นำบันไดเลื่อนที่เชื่อมจากอาคารผู้โดยสารไปยังชานชาลาออก พร้อมปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยต่างๆ คาดว่าในช่วงเดือนเมษายนนี้จะดีขึ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรีโนเวท และกำลังจะจ้างที่ปรึกษา คาดว่าจะภายใน 1 ปีครึ่งจะสามารถทำให้แล้วเสร็จได้ 

นายสุริยะ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะย้ายหมอชิต 2 และสถานีขนส่งภาคตะวันออกกรุงเทพฯ (เอกมัย) ไปรวมกันที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) โดยจะสร้างเป็นตึกสูง และแต่ละชั้นจะแบ่งโซนภาคให้ชัดเจน รวมถึงจะทำศูนย์อาหารติดแอร์บริเวณโถงกลาง ซึ่งการเดินทางไปยังสถานีกลางบางซื่อนั้นสะดวก สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ทั้งหมดนี้คือแผนที่จะดำเนินการต่อไป 

‘มาคาเลียส’ จัดโปรฯ รับช่วงปิดเทอม คัดสรร 5 ที่พักสุดโดนใจ ลดสูงสุด 10%

เมื่อไม่นานมานี้ ‘มาคาเลียส’ แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย ขนที่พักอิงธรรมชาติ ภูเขา น้ำตก ทะเล จัดโปรโมชั่นรับลมร้อนให้ใจฟู พร้อมต้อนรับแฟมิลี่ช่วงปิดเทอม กับ 5 ที่พักโดนใจ ลดเลย 10% ได้แก่ 

-Sun Marina ชะอำ ติดทะเลชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ห้องพักราคาเริ่มต้น 1,399 บาท/คืน 
-Sonia Residence พัทยา ห้องพักพร้อมสวนน้ำราคาเริ่มต้น 949 บาท/คืน 
-Greenhills Resort ศรีราชา พร้อมสวนน้ำเปิดใหม่ พร้อมกิจกรรม ATV ห้องพักราคาเริ่มต้น 2,499 บาท/คืน 
-Golden Tulip Pattaya Beach Resort พัทยา ติดทะเลวิวสุงอลังการ ห้องพักราคาเริ่มต้น 1,999 บาท/คืน 
-Tomang O Vintage จังหวัดนครนายก ห้องพักราคาเริ่มต้น 1,999 บาท/คืน แถมฟรีกิจกรรมแอดเวนเจอน์ ให้เด็ก ๆ ไปเปิดประสบการณ์กันได้เต็มที่ 

ด่วน!!! วอร์เชอร์มีจำนวนจำกัด จองก่อนรับสิทธิ์ก่อนเฉพาะที่มาคาเลียสเท่านั้น www.makalius.co.th เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 จนครบสิทธิ์ตามจำนวน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่โทร. 02 821 5215 หรือ Line Official @makalius

'รมว.ปุ้ย' สั่งการ 'ดีพร้อม' เร่งยกระดับศักยภาพโกโก้ไทยสู่การเป็นโกโก้ฮับ พร้อมขานรับนโยบายนายกฯ เร่งผลักดันสระแก้วสู่โกโก้ฮับภาคตะวันออก

(27 ก.พ.67) นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การบริหารงานของ นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นในการผลักดันโกโก้ไทยสู่การเป็นโกโก้ฮับ (THAI COCOA HUB) และพืชเศรษฐกิจหลักของไทยทำให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ 

เนื่องจากโกโก้เป็นสินค้าที่มีความต้องการของตลาดโลกสูง มีการจําหน่ายและส่งออกไปยังหลายประเทศในทวีปยุโรป ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ รวมถึงแนวโน้มความต้องการและราคาในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นกว่า 5,800 ดอลล่าร์สหรัฐ หรือประมาณ 210,000 บาท ต่อตัน ขณะเดียวกันโกโก้ ยังเป็นพืชแห่งอนาคต (Future Crop) สามารถนำทุกส่วนของโกโก้มาแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อาทิ กลุ่มอาหารที่ให้ประโยชน์สูงต่อร่างกาย (Super Food) โกโก้ผง เนยโกโก้ ช็อกโกแลต เครื่องสําอาง นํ้าหอม จึงส่งผลให้พื้นที่เพาะปลูกโกโก้ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีความได้เปรียบด้านภูมิประเทศสามารถปลูกโกโก้ได้ครอบคลุมทุกภูมิภาค  

นับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ รมว.อุตสาหกรรม มุ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมโกโก้ของประเทศเติบโตสู่การเป็นโกโก้ฮับ (THAI COCOA HUB) และสามารถแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งสอดรับกับนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการยกระดับศักยภาพโกโก้จังหวัดสระแก้วให้เป็นโกโก้ฮับของภาคตะวันออก ที่มีศักยภาพการเพาะปลูกโกโก้และแปรรูปผลิตภัณฑ์โกโก้ที่มีคุณภาพในภาคตะวันออกของไทย 

ดังนั้น รมว.พิมพ์ภัทรา จึงมอบหมายให้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เร่งนำร่องในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ภายใต้นโยบายการดำเนินงานของดีพร้อม RESHAPE THE FUTURE : โลกเปลี่ยนอุตสาหกรรมปรับ พร้อมรับอนาคต ในบริบททางเศรษฐกิจและสังคมโลกยุคใหม่ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัด รับมือ และปรับตัวให้ทันต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง ตลอดจนมีศักยภาพในการแสวงหาโอกาสและผลประโยชน์จากความท้าทายต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น  

นายภาสกร กล่าวต่อว่า ดีพร้อม เร่งเดินหน้าบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วทุกภาคส่วนในการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโกโก้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยนำร่องให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคุ้มเพชรโกโก้ อำเภอเมือง ผ่านกิจกรรมยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมโกโก้จังหวัดสระแก้ว ด้วยพลังแนวคิดใหม่ให้ดีพร้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานระยะสั้น (Quick Win Plan) ในการขับเคลื่อนการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์โกโก้ของจังหวัดสระแก้วด้วยการยกระดับองค์ความรู้และทักษะด้านการพัฒนาเทคนิคการหมัก การแปรรูปโกโก้ให้ได้คุณภาพมาตรฐาน และการเพิ่มกลยุทธ์การตลาดด้วยเทคนิคการเล่าเรื่อง (Storytelling)

นอกจากนี้ ยังส่งเสริมองค์ความรู้สู่การพัฒนาเป็นพลังแนวคิดใหม่ในการประกอบธุรกิจการสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งด้านการผลิต การตลาด การบริหารจัดการในทุกๆ มิติ เพื่อให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนคุ้มเพชรโกโก้และผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมโกโก้สามารถนําองค์ความรู้ไปต่อยอดในการแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์โกโก้ อันจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในพื้นที่ สามารถขยายโอกาสรองรับกระแสการปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารในกลุ่มซุปเปอร์ฟู้ด (Super foods) ได้อย่างดีในอนาคต และคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 3 ล้านบาทต่อปี 

สำหรับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนคุ้มเพชรโกโก้ ทางดีพร้อมได้เข้าไปดำเนินการส่งเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและคุณภาพสินค้าเกษตรแปรรูป ด้วยการออกแบบและพัฒนาต้นแบบ 'เครื่องผ่าผลสดโกโก้' ซึ่งนวัตกรรมและการจัดการเกษตรอุตสาหกรรมสมัยใหม่มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผ่าผลสดโกโก้ จากเดิมใช้ระยะเวลาผ่าผลสด 20 วินาทีต่อลูก มาผ่าเป็นผลโกโก้ได้มากกว่า 1,440 ลูกต่อวัน แทน รวมถึงลดการเกิดข้อผิดพลาดจากการทำงานของคน ช่วยให้ลดต้นทุนการผลิตลงได้กว่า 2 ล้านบาทต่อปี และสร้างโอกาสในการขายได้กว่า 10 ล้านบาทต่อปี 

ขณะเดียวกัน ดีพร้อม ยังได้ปรับเปลี่ยนตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ด้วยการออกแบบและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าให้กับวิสาหกิจชุมชนคุ้มเพชรโกโก้ จังหวัดสระแก้ว โดยเน้นความร่วมสมัย แต่ยังคงรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับของเดิมเพื่อให้ลูกค้าสามารถเชื่อมโยงมายังตราสินค้าใหม่ได้ และปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ชาจากเปลือกเมล็ดโกโก้ โดยเลือกใช้ถุงอะลูมิเนียมฟรอยด์ทึบ 2 ด้าน มีซิปล็อกในตัว มีคุณสมบัติกันน้ำ กันออกซิเจน และกันแสงได้เป็นอย่างดี พร้อมออกแบบให้บรรจุภัณฑ์มีความน่าสนใจสื่อถึงผลิตภัณฑ์และสะดวกสำหรับการขนส่ง ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าได้กว่า 5 ล้านบาทต่อปี

นายภาสกร กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในระยะถัดไป ดีพร้อมเตรียมต่อยอดพัฒนาหนังเทียมจากเปลือกโกโก้ให้มีคุณภาพให้กับวิสาหกิจชุมชนคุ้มเพชรโกโก้ จังหวัดสระแก้ว เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคปัจจุบันโดยนำนวัตกรรมและการออกแบบมาประยุกต์ใช้กับวัสดุทางทุนวัฒนธรรมของชุมชน ซึ่งคาดว่าระยะเริ่มต้นจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคตะวันออกได้กว่า 20 ล้านบาท และในระยะยาวจะดำเนินการจัดทำพิมพ์เขียวธุรกิจ (Business Blueprint) ของวิสาหกิจชุมชนคุ้มเพชรโกโก้ เพื่อเป็นแบบแปลนในการวางระบบให้องค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมเป็นต้นแบบขยายผลการขับเคลื่อนส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์โกโก้ในพื้นที่ทั่วประเทศต่อไป คาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้กว่า 8,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ดีพร้อมได้วางเป้าหมายขยายผลการดำเนินงานไปยังผู้ประกอบการพื้นที่ภาคตะวันออกในจังหวัดจันทบุรี ในการส่งเสริมและพัฒนายกระดับกลไกสนับสนุนการดำเนินธุรกิจด้วยเครือข่ายหน่วยงานและผู้ให้บริการธุรกิจอุตสาหกรรม (RISMEP) โดยเบื้องต้นได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้สังกัดดีพร้อม ร่วมบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในพื้นที่เข้าไปให้คำปรึกษาแนะนำในทุก ๆ มิติ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อาทิ การยกระดับศักยภาพให้แก่ผู้เพาะปลูก การตลาด การขออนุญาตจัดตั้งสถานที่ผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์โกโก้ การขอมาตรฐาน อย. และเทคนิคการปรับปรุงพัฒนาถังไม้หมัก/บ่มโกโก้ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโกโก้สู่เชิงพาณิชย์ต่อไป

'พีระพันธุ์' จี้!! แหล่งก๊าซเอราวัณให้ขุดได้ตามเป้า ตัวแปรสำคัญช่วยคงค่าไฟงวดหน้าไม่สูงกว่าเดิม 

(27 ก.พ.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้กล่าวถึงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2567 ว่า ตนเองไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้เพราะเป็นห่วงพี่น้องประชาชนตลอดเวลา ทั้งนี้หลังจากที่ตนและผู้บริหารกระทรวงพลังงานโดยเฉพาะปลัดกระทรวง นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรี (นายณอคุณ สิทธิพงษ์) และประธานคณะกรรมการ กกพ., นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ รวมทั้งคณะกรรมการ กกพ. และผู้เกี่ยวข้องทุกท่านได้ร่วมกันพยายามหาทางให้อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 ไม่สูงถึงหน่วยละ 4.68 บาท อย่างที่เคยเป็นข่าว 

แม้จะมีปัจจัยลบจำนวนมาก โดยเฉพาะปัญหาการขุดก๊าซจากอ่าวไทยที่ขาดหายไปเป็นจำนวนมากพอสมควร ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซที่มีราคาแพงมาชดเชยในช่วงเวลาดังกล่าว แต่เมื่อทุกฝ่ายช่วยกันบริหารจัดการปัจจัยต่าง ๆ อย่างจริงจังแล้ว ก็สามารถทำให้อัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่หน่วยละ 4.18 บาท และยืนอัตราหน่วยละ 3.99 บาทสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง ทำให้ประชาชนไม่เดือดร้อนจากอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงสี่เดือนแรกของปี 2567 มากนัก 

อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กกพ. จะมีการปรับค่าเอฟทีสำหรับการกำหนดค่าไฟฟ้าทุก 4 เดือน ดังนั้นอัตราค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.18 บาท ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนเมษายน 2567 นี้ ก็จะต้องมีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดต่อไปคือ งวดเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2567 กันใหม่อีกในเร็ว ๆ นี้ 

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า จะพยายามคงอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคม 2567 ไว้ในอัตราเดิม คือหน่วยละ 4.18 บาท ให้ได้มากที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นไปได้เพราะทาง ปตท. สผ. ยืนยันว่าจะสามารถขุดก๊าซจากอ่าวไทยที่ขาดหายไปจำนวนมากกลับคืนมาได้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 เป็นต้นไป ซึ่งตนเองจะเดินทางไปดูการทำงานของ ปตท.สผ. ที่หลุมขุดเจาะเอราวัณกลางอ่าวไทยในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อให้มั่นใจว่า ปตท.สผ. จะสามารถดำเนินการได้ตามที่รับปากไว้ และยังมีแนวโน้มว่าปัจจัยอื่นน่าจะเป็นบวกมากกว่าในงวดเดือนมกราคมถึงเมษายน 2567 อีกทั้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับปากว่าจะพยายามยืนอัตราค่าไฟฟ้าไว้ในอัตราเดิม ตนจึงค่อนข้างมั่นใจว่าพี่น้องประชาชนจะไม่เจอกับปัญหาการขึ้นค่าไฟฟ้าในงวดระยะเวลาดังกล่าว 

“เราเป็นห่วงประชาชน จึงพยายามอย่างยิ่งที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงานของประชาชนซึ่งเป็นต้นทุนที่สำคัญลงให้ได้ โดยใช้มาตรการทุกอย่างที่ทำได้ภายใต้โครงสร้างปัจจุบันก่อนที่จะรื้อทั้งระบบภายในปีนี้” นายพีระพันธุ์ กล่าวทิ้งท้าย

‘รมว.พีระพันธุ์’ ชี้!! ไทยต้องมีระบบสำรองน้ำมัน ลดปัญหาราคา 'ขึ้น-ลง' รายวัน ลั่น!! ถึงเวลาเดินหน้ารื้อโครงสร้างน้ำมันทั้งระบบ มั่นใจเป็นรูปธรรมภายในปีนี้

เมื่อวานนี้ (27 ก.พ.67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงการรื้อโครงสร้างพลังงานครั้งใหญ่ของประเทศไทย ในรายการ Smart Energy โดยระบุว่า...

ขณะนี้ได้ศึกษาถึงการปรับโครงสร้างพลังงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจากผลการศึกษาทั้งหมดพบว่า สามารถทำได้แน่นอน ทั้งนี้ หลังจากผ่านการศึกษาแล้ว จะเข้าสู่ระบบราชการ โดยได้ตั้งคณะกรรมการเข้ามาดูแล และได้ทำการประชุมไปแล้ว 4 ครั้ง คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้ ระบบรูปแบบราชการเสร็จแน่นอน

ทั้งนี้ ในเบื้องต้นจะดำเนินการใน 2 เรื่องใหญ่ นั่นคือ ค่าไฟฟ้า และน้ำมัน โดยค่าไฟฟ้า จะเข้าไปดูตั้งแต่ค่าก๊าซ เพราะเป็นต้นทุนหลักในการผลิตไฟฟ้า สำหรับสิ่งที่ได้ดำเนินการไปแล้ว คือ ส่วนหนึ่งก็คือการโยกค่าก๊าซ ที่เอาไปใช้ทําปิโตรเคมีในราคาถูก มาใส่ใน Pool Gas เพื่อให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าลดลง ขณะเดียวกัน ยังมีแนวคิดที่จะทำระบบสำรองก๊าซ พร้อมกับระบบสำรองน้ำมัน เพื่อจะได้มีก๊าซสำรอง ซึ่งจะทำให้มีอํานาจในการควบคุมราคาได้ ซึ่งเรื่องนี้จะค่อนข้างซับซ้อนกว่าระบบสำรองน้ำมัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว จึงจะเดินหน้าในส่วนของระบบสำรองน้ำมันก่อน

ส่วนในเรื่องน้ำมันนั้น จะจัดทำระบบที่เรียกว่า การสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) เนื่องจากตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่มีระบบสำรองน้ำมัน ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นการสำรองเพื่อการค้าของบริษัทเอกชนเท่านั้น 

“หากต้องการให้ประเทศมีความมั่นคงทางด้านพลังงาน จำเป็นจะต้องรื้อทั้งระบบโครงสร้างราคาน้ำมัน ไม่ใช่ปรับแค่โครงสร้างเท่านั้น เพราะท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นราคาตลาดโลก ดังนั้น จึงต้องรื้อระบบทั้งหมด เพราะประเทศไทยไม่มีสํารองน้ำมันเพื่อความมั่นคงของประเทศและมาตรฐานสํารองเพื่อความมั่นคงของประเทศขั้นต่ำ ที่เป็นมาตรฐานสากล คือ 90 วัน แต่ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณการสำรองอยู่แค่ 20 วันเท่านั้น เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องรื้อระบบการสำรองน้ำมันของประเทศใหม่ทั้งหมด”

นายพีระพันธุ์ ย้ำว่า การรื้อทั้งระบบ จะช่วยควบคุมราคาน้ำมันได้ทุกประเภท โดยจะพยายามทำในส่วนของหลักการให้เสร็จภายใน 2 - 3 เดือนนี้ จากนั้นจะเร่งดำเนินการให้เสร็จเป็นรูปธรรมทั้งหมดภายในปีนี้ ทั้งนี้ เมื่อทำสำเร็จแล้ว ผลดีจะเกิดกับประชาชนและประเทศชาติ ไม่ต้องกังวลถึงภาวะที่ราคาน้ำมันเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาเช่นทุกวันนี้ ซึ่งการกำหนดราคาจะเป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับผู้ประกอบการ โดยจะรื้อระบบกลับไปใช้เป็นราคาคงที่ เหมือนกับเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ไม่ใช่ระบบลอยตัวอย่างเช่นปัจจุบัน หากราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้น ทางรัฐบาลกับผู้ประกอบการจะจัดการกันเอง 

แน่นอนว่า ระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ จะเป็นหัวใจหลักสำคัญ ในการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน ซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ไม่ต้องกังวลกับราคาน้ำมันขึ้น-ลงรายวันอีกต่อไป

ILINK เผยผลงานทั้งปี 66 พลิกบวก โกยรายได้ 4 ไตรมาสเกือบ 7 พันล้าน ลุ้น!! โปรเจกต์ใหญ่เกาะสมุย ช่วยดันรายได้ทั้งปี 67 ทะลุ 7 พันล้านตามเป้า

ILINK ฟอร์มดี ปิดงบปีไตรมาส 4/66 สวย!! กวาดรายได้รวม 6,965.19 ล้านบาท ตอบรับทำกำไรโตเพิ่ม 170.23 ล้านบาท ฟื้นตัวต่อเนื่อง 31.41% ประกาศปันผล 0.39 บาทต่อหุ้น (พาร์ 1 บาท) ผลงานเป็นที่ประจักษ์ขานรับรายได้โดดเด่น เกินที่คาดการณ์ แน่วแน่ปักธงชัยดันรายได้ปี 67 ตั้งเป้าแตะ 7,002 ล้านบาท ลุยวางแผนเติม Backlog แน่น หนุนเต็มสูบลุ้นคว้างานประมูลใหญ่สายเคเบิลใต้น้ำเกาะสมุย มุ่งดันทุกกลุ่มธุรกิจในเครือให้สำเร็จตามเป้าหมาย ทำรายได้ สร้างกำไรเพิ่มเป็นเท่าตัวอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน แบบมีคุณภาพ เน้นทำกำไร New High ต่อเนื่อง และปันผลเพื่อยืนยันการเป็นหุ้นปันผล 

(28 ก.พ.67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK เผยตัวเลขผลประกอบการ โดยทำรายได้รวมจาก 3 กลุ่มธุรกิจในเครือ ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ธุรกิจวิศวกรรมโครงการ และธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ อยู่ที่ 6,965.19 ล้านบาท ปิดงบปี 2566 ไตรมาสที่ 4 นี้ พร้อมกำไรสำหรับงวดรวม 712.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 170.24 ล้านบาท พุ่งแรง 31.41% ตามยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้า 'จะเติบโตแบบมีคุณภาพ ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ' 

โดยมีภาพรวมที่แสดงให้เห็นถึงการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนที่เด่นชัด ตอกย้ำการเป็นบริษัทฯ ที่ประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยี ตามอุดมการณ์ที่จะนำเทคโนโลยีมาพัฒนาประเทศไทย พร้อมประกาศย้ำชัดปี 2567 ปักธงดันยอดขายในกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN มั่นใจมีแนวโน้มกอบโกยรายได้เพิ่มขึ้น ทำกำไรบวก รวมถึงเร่งผลักดันทุกธุรกิจในเครือของกลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้เดินหน้า ปรับตัวพร้อมพัฒนาก้าวให้ทันเทรนด์เทคโนโลยีโลกแห่งยุค ซึ่งจะหนุนให้ทั้งปี 2567 เติบโตโดดเด่น

สำหรับรายได้ของกลุ่มธุรกิจจัดจำหน่ายสายสัญญาณ (Cabling Distribution Business) สร้างผลงานทำรายได้ทั้งปี 2566 รวมมูลค่า 2,881.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366.27 ล้านบาท หรือ 14.56% โดยทำกำไรสุทธิรวม 309.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.76 ล้านบาท หรือเติบโต 51.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลประกอบการที่ดี ซึ่งเติบโตหลัก ๆ เพิ่มขึ้นมาจากรายได้ที่ดีขึ้นของสินค้าในหมวดของสาย LAN 

ส่วนในหมวดของสาย Solar ซึ่งประเทศไทยมีโครงการสนับสนุนโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และเทรนด์ของโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำ (Floating Solar) รวมทั้งผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN ที่ ILINK เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในอาเซียน ยังถูกจัดเป็นแบรนด์ชั้นนำอันดับต้น ๆ ของโลกอีกด้วย และ ILINK ยังเป็นผู้นำตลาดของระบบสายสัญญาณ โดยเป็นผู้ชี้นำตลาดของประเทศไทยและอาเซียนที่มีการขยายตัวอย่างมากอีกด้วย 

ทั้งนี้คาดการณ์รายได้ในไตรมาส 1/67 ของกลุ่มธุรกิจนี้ จะยังคงมีรายได้ ทำกำไรเติบโตต่อเนื่อง ผลสืบเนื่องจากยอดขายสินค้า ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ ที่ได้เปิดตัวไปอย่างยิ่งใหญ่ในกลุ่มของ Super S Series ได้แก่ UTP CAT 6A และ FTTR (Fiber Optic To The Room Solution) โดยคิดค้นพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์แก่เทคโนโลยีแห่งยุค จึงมั่นใจว่าทิศทางของผลประกอบการเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพกับราคาแล้ว ผลิตภัณฑ์ LINK AMERICAN และ GERMAN RACK ในไตรมาสถัดไป จะสามารถผลักดันยอดขายให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดธุรกิจโลกที่เปิดกว้างมากขึ้น และจะเป็นผลตอกย้ำให้กลุ่มธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าประสงค์ พร้อมทำกำไรฟื้นตัวตามที่คาดการณ์

ส่วนกลุ่มธุรกิจวิศวกรรมโครงการ (Turnkey Engineering Business) ก้าวกระโดดจากการเร่งส่งมอบงานเกาะเต่าในไตรมาส 4/66 ทำให้มีรายได้รวมทั้งปี 2566 จากธุรกิจอยู่ที่ 1,329.18 ล้านบาท เติบโต 178.96 ล้านบาท หรือ 15.56% และทำกำไรสุทธิรวม 106.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.96 ล้านบาท หรือ 70.45% 

ขณะที่ในปัจจุบันมี Backlog ในมือราว 1.14 พันล้านบาท กว่า 80% ที่รอรับรู้รายได้ภายในปี 2567 ขณะที่การประมูลงานของปี 2567 นี้เน้นไปที่งาน Submarine เกาะสมุยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ที่เป็นลูกค้าหลักรายใหญ่ในมือ และเป็นสิ่งที่กลุ่มธุรกิจมีความเชี่ยวชาญ และความชำนาญโดดเด่น รวมถึงคาดการณ์ยังมีงานที่อยู่ระหว่างจ่อรอเซ็นสัญญา พร้อมเร่งรุกเตรียมลุยเข้าประมูลงานโครงการของภาครัฐ และภาคเอกชนที่สำคัญ ๆ เพิ่ม หนุนเติม Backlog ให้แน่น เพื่อทำกำไร และมีรายได้โตขึ้นไม่น้อยกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้

ด้านธุรกิจโทรคมนาคมและดาต้าเซ็นเตอร์ (Telecom & Data Center Business) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออฟติก ที่มีความเสถียรภาพสูงสุดทั่วประเทศไทย หรือ ITEL มีรายได้รวม 4 ไตรมาส ประจำปี 2566 อยู่ที่ 2,754.94 ล้านบาท ทำกำไรสุทธิรวม 295.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 16.75 ล้านบาท หรือ 6% โดยในอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 10.74% ของรายได้เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 32%และตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไปมีแผนดันขยายกิจการเพิ่มเติมสู้ Health Tech หลังเข้าลงทุนใน 'Global Lithotripsy Services Company Limited' เสริมพื้นฐานแข็งแกร่งตรงตามกลยุทธ์ New S-Curve ต่อยอดธุรกิจ 

โดยคาดว่าปี 2567 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากการเสนองานใหม่เพิ่ม และแผนรุกธุรกิจ Data Center ควบคู่การขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Digital Transformation ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 3,500 ล้านบาท จากล่าสุดมี Backlog รวม 2,769 ล้านบาท พร้อมนำ บมจ.บลู โซลูชั่น 'BLUE' เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในปี 2567 นี้แน่นอน รวมถึงบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นรักษาฐานลูกค้าเก่า และสร้างฐานลูกค้าใหม่ ด้วยประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่มีมาอย่างยาวนาน ประกอบกับเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ มาสนับสนุนภาคธุรกิจในการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี Digital Transformation ด้วยการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมายกระดับการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเทรนด์เทคโนโลยี ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

'ท๊อป จิรายุส' ชี้!! บิทคอยน์ New High ก่อน Halving ไม่เคยมีมาก่อน ส่วน 'ก.ล.ต.สหรัฐฯ' ไฟเขียว Bitcoin ETF 'ซื้อ-ขาย' ถูกต้อง สร้างความเชื่อมั่น

เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 67 บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Exchange’ ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของไทย และบริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ผู้ให้บริการ ‘Bitkub Academy’ ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล ร่วมจัดงานเสวนา ‘Digital Assets Navigator เจาะลึกวงในทิศทางสินทรัพย์ดิจิทัล (by Bitkub’s Crypto Theses)’ เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับเทรนด์สินทรัพย์ดิจิทัลในแง่มุมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2567 และเหตุการณ์ Bitcoin ETF และ Bitcoin Halving ที่จะส่งผลต่อการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมี นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด, นายณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท อุ๊คบี จำกัด, นายโดม เจริญยศ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Tokenine, นายภาณุ ชลหาญ เจ้าของเพจ Nookfree God Defi, นายณัฎฐ์ จิตตมัย ผู้ก่อตั้ง GM Learning Club Pudgy Thailand Community Leader และนายกันตณัฐ วุฒิธร Digital Asset Analyst Supervisor บริษัท บิทคับ แล็บส์ จำกัด ร่วมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้  ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค 101 กรุงเทพฯ

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา กล่าวตอนหนึ่งภายในงานว่า “ปีนี้เป็นปีที่วงการสินทรัพย์ดิจิทัลมีความคึกคักและน่าจับตามอง เพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นถึง 2 เรื่อง คือ การประกาศอนุมัติให้ Bitcoin Spot ETF สามารถเปิดซื้อขายได้อย่างถูกกฎหมายของ ก.ล.ต. สหรัฐฯ เมื่อมกราคมที่ผ่านมา โดยวงการคริปโทเคอร์เรนซีในปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบกับกองทุนระดับโลกต่าง ๆ เช่น BlackRock, Vanguard ฯลฯ ที่มีมูลค่าประมาณ 130 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมูลค่าของวงการคริปโทเคอร์เรนซีก็ยังนับว่าน้อยอยู่มาก แต่หากกองทุนที่เพิ่งได้อนุมัติ Bitcoin Spot ETF มีการซื้อขายบิทคอยน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่ากองทุน จะทำให้เงินสถาบันจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมากยิ่งกว่ามูลค่าของตลาดทั้งหมดเสียอีก

นอกจากนี้ ปีนี้ยังเป็นปีที่จะเกิดปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ขึ้นเป็นรอบที่ 4 ในช่วงเมษายนนี้ ซึ่งตามสถิติในแต่ละรอบที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีรอบไหนที่บิทคอยน์ทำ New High ก่อน Halving แบบรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวังและคอยจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อย Bitcoin Spot ETF ก็ยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ว่ายังมีเงินสถาบันที่จะไหลเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในรอบนี้เพิ่มอีกด้วย โดยเมื่อดูตามสถิติต่าง ๆ และตัวเลขแล้วเชื่อว่าวงการคริปโทเคอร์เรนซียังมีโอกาสเติบโตได้อีก”

ทั้งนี้ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ฝากคำแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่และผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่า “ขอให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนให้ดี เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ละคนมีความพร้อม เงินทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เหมือนกัน นึกถึงคำที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้งที่เขาขว้างลูกมา แต่ให้ดูความพร้อมของตัวเองและรอจังหวะที่คุณพร้อม ดังนั้น ทุกคนควรทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนให้ดีทุกครั้ง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top