Wednesday, 23 April 2025
Crimes

‘บิ๊กโจ๊ก’ เผย ‘แอม ไซยาไนด์’ เล่นพนันสูงสุดวันละ 10 ล้าน!! เตรียมจับเจ้าของเว็บฯ ก่อนส่งสำนวนอัยการ 15 คดี อาทิตย์หน้า

(19 พ.ค. 66) พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยหลังจากเมื่อวานที่ผ่านมาได้เข้าไปสอบปากคำนางสาวสรารัตน์ หรือ ‘แอม’ ภายในทัณฑสถานหญิงกลาง แล้วพบว่า ไม่ยอมให้การเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน และไม่ยอมลงลายมือชื่อในคำให้การที่ให้ไว้เดิม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า ไม่เหนือความคาดหมายที่ผู้ต้องหาไม่ให้การ หลังจากที่ได้รับคำปรึกษาจากทนายความซึ่งยังคงเป็นนางสาวธันย์พิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือ ‘ทนายพัช’ และยังไม่มีการเปลี่ยนตัวทนายความ และแม้ว่าผู้ต้องหายังไม่ได้รับสารภาพในข้อหาฆ่าผู้อื่น แต่รับในข้อเท็จจริง ซึ่งก็ยังยืนยันว่าตำรวจมีพยานหลักฐานที่แน่นหนา สามารถดำเนินคดีในชั้นศาลได้

ส่วนการกลับคำให้การไปมาของนางสาวแอม ยืนยันว่า ไม่มีปัญหาในการดำเนินคดี แต่จากการเข้าไปสอบปากคำด้วยตัวเองในเรือนจำ ยังพบว่านางสาวแอม ยังไม่สำนึกผิด ส่วนจะมีที่ปรึกษาทางกฎหมายให้กับนางสาวแอมจะมีความผิดหรือ ขณะนี้ยังไม่พบความผิด

นอกจากนั้น ยังได้สืบสวนถึงแหล่งที่มาของไซยาไนด์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยปละละเลย รวมทั้งกลุ่มเว็บไซต์พนันออนไลน์ ที่พบว่านางสาวแอมโอนเงินไปเล่นพนันกว่า 78 ล้านบาท ขณะนี้ทราบถึงเจ้าของเว็บไซต์ทั้งหมดแล้ว และพบว่าไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว

ส่วนนางสาวแอม ยังยอมรับว่า เล่นการพนันมาตั้งแต่ปี 2563 โดยรวมเงินจากกลุ่มเพื่อน และวงแชร์ วงจำนำรถ และกลุ่มเงินกู้ เพื่อไปเล่นพนัน โดยบางวันเข้าเว็บพนันมียอดเงินสูงถึง 10 ล้านบาท และจากการตรวจสอบยังไม่พบว่า พันตำรวจโทวิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีของนางสาวแอม เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเล่นพนัน แต่ได้ช่วยเหลือด้านการเงิน ทั้งกู้เงินจากสหกรณ์ และจำนองบ้าน เพื่อเอาเงินไปให้นางสาวแอม

โดยภายในสัปดาห์หน้าจะพบความชัดเจนในการแจ้งข้อกล่าวหา และการออกหมายจับกับบุคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนนางสาวแอม ก็จะถูกแจ้งข้อความหา ใช้เอกสารปลอมเพิ่มเติม หลังจากพบว่าปลอมทะเบียนรถของนายแด้ อดีตสามี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังระบุว่า สำนวนคดีนี้ได้ปรึกษาร่วมกับอัยการอยู่โดยตลอด เพื่อให้การส่งสำนวน และการตรวจสอบสำนวนไปในทิศทางเดียวกัน และพร้อมที่จะส่งสำนวนคดีทั้ง 15 คดี ไปให้อัยการพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า โดยคดีนี้จะรวมทั้ง 15 สำนวน ดำเนินคดีศาลอาญา

โดยจะมอบหมายให้พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้ารวบรวมสำนวนคดี และ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ซึ่งเป็นผู้ทำคดีและเป็นผู้มีประสบการณ์ในการร้อยเรียงสำนวนทั้ง 15 สำนวนขึ้นเบิกความให้ศาลรับฟัง

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยและ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งได้รายงานความคืบหน้าคดีให้ทราบโดยตลอด ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจและตนเองได้กำชับเร่งรัดคดีโดยให้ทำให้เร็วแต่ก็ต้องรอบคอบ  ซึ่งทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เองก็มีการประชุมชุดคลี่คลายคดีทุกวัน โดยเฉพาะพนักงานสอบกองปราบปรามและตำรวจภูธรภาค 7 ในการทำงานร่วมกัน และคงจะดำเนินเสร็จสิ้นเร็ว ๆ นี้

ส่วนสำนวนคดีทราบว่าจะมีการรวบรวมและส่งให้อัยการไปมีเดียว 15 สำนวน เน้นย้ำให้ทำอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้ดีที่สุด พร้อมระบุว่า บางกรณีที่ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือและหลักฐานบางชิ้นไม่สมบูรณ์ ก็ได้กำชับไปแล้วว่าให้ทำให้ดีที่สุดในการรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ แม้ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือก็ให้หาหลักฐานส่วนอื่นไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานแวดล้อม รวมถึงหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ นำมาร้อยเรียงให้ครบถ้วนสมบูรณ์ก่อนส่งสำนวนให้อัยการ ซึ่งย้ำว่า คดีนี้ตำรวจมีหลักฐานขอให้มั่นใจว่าเอาผิดผู้ต้องหาได้แน่นอน

‘กฤษณะ’ อดีตทนายคุณแม๊ ตัดสินใจปฏิเสธ ไม่ทำคดีให้ ‘แอม ไซยาไนด์’ หลัง ไม่ยอมสารภาพคดีก้อย

จากกรณีที่ ทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ซึ่งเคยเป็นทนายความให้คุณแม่ของแตงโม ออกมาให้สัมภาษณ์กรณีรับว่าความเป็นทนายให้ แอม ไซยาไนด์ โดยยื่นข้อแม้ว่า ต้องรับสารภาพในคดีของก้อย ไม่เช่นนั้นตนจะถอนตัว

ล่าสุดวันนี้ ทนายกฤษณะ เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นทนายของแอมเมื่อคืนนี้ เหตุผลเพราะแอมไม่รับสารภาพในคดีการเสียชีวิตของก้อย โดยบอกตนตั้งแต่ตอนที่เข้าไปเยี่ยม เมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ตนมานั่งตรึกตรองดูอีกครั้ง เมื่อเขาไม่รับสารภาพ ทั้งที่ตนอธิบายเหตุผลทุกอย่างให้ฟังแล้ว เขาบอกว่าจะยังสู้ต่อ ตนก็เลยตัดสินใจถอนตัวเมื่อคืนนี้

ขณะที่ ทนายพัช ธันย์นิชา ที่ยังระบุตัวเองว่าเป็นทนายของแอม จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน บก.ป. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ฐานช่วยเหลือผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ ด้วยการทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด

‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ลวงนักศึกษาจีน เดินทางข้ามประเทศ จากสิงคโปร์มาเขมร เพื่อจับตัวไปเรียกค่าไถ่ 3 ล้านหยวน!!

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นับวันยิ่งมีกลยุทธเหนือเมฆขึ้นทุกวัน ล่าสุดสามารถหลอกเหยื่อให้เดินทางข้ามประเทศมาให้จับตัวเรียกค่าไถ่กันเลยทีเดียว

เมื่อไม่นานนี้ หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายในหลายประเทศ และสถานทูตจีนในสิงคโปร์ ได้รับแจ้งเหตุการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ของนักศึกษาจีนคนหนึ่ง ที่กำลังเรียนในสิงคโปร์ ว่าเขาถูกจับตัวเรียกค่าไถ่เป็นเงินสูงถึง 3 ล้านหยวน (ประมาณ 14.4 ล้านบาท) โดยกลุ่มมิจฉาชีพในกัมพูชา

เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา นักศึกษาจีนรายนี้ได้รับโทรศัพท์ปริศนา อ้างว่าเขากำลังถูกตามจับโดยรัฐบาลจีน และควรหลบหนีออกจากสิงคโปร์เพื่อซ่อนตัว

ด้วยความกลัว นักศึกษาจีนขอความช่วยเหลือจากปลายสาย และได้รับคำแนะนำให้เดินทางมายังสีหนุวิลล์ เมืองชายฝั่งชื่อดังของกัมพูชา โดยจะมีคนช่วยหาที่หลบซ่อนตัวให้

นักศึกษาจีนหลงเชื่อ รีบจับเครื่องบินจากสิงคโปร์ ไปลงที่สีหนุวิลล์ทันที และถูกแก๊งมิจฉาชีพจับตัวไปขัง พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอเรียกค่าไถ่จำนวน 3 ล้านหยวน ส่งไปให้พ่อแม่ของเขาที่ประเทศจีน

แต่เมื่อครอบครัวของนักศึกษาจีนผู้เคราะห์ร้ายได้รับคลิปวิดีโอข้อความเรียกค่าไถ่ พวกเขารีบแจ้งตำรวจทันที ซึ่งทางการจีนก็ประสานงานไปยังสถานทูตจีนในกรุงพนมเปญ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการตามล่าจับตัวคนร้าย และสามารถช่วยเหลือนักศึกษาจีนที่ถูกลักพาตัวได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีการจ่ายเงินค่าไถ่

ปฏิบัติการครั้งนี้ ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนทั้ง จีน กัมพูชา และสิงคโปร์ กว่าจะจับกุมแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือเหยื่อออกมาได้ ต่อมา สถานทูตจีนในสิงคโปร์ได้ออกประกาศเตือนนักศึกษา และ ชาวจีนในสิงคโปร์ ให้ระวังอย่าหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามประเทศ

ทางการสิงคโปร์ย้ำว่า เจ้าหน้าสิงคโปร์ไม่เคยขอข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ และไม่ควรเปิดเผยชื่อ ที่อยู่ สถานะครอบครัว หรือเลขบัญชีธนาคารกับคนที่เราไม่รู้จักทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด

ในปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนักในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากข้อมูลของหน่วยงานด้านคดีค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองของตำรวจสากล พบว่ากลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้เริ่มมองหาเหยื่อที่เป็นกลุ่มที่มีการศึกษาดี จบระดับมหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้าน IT หรือสนใจเรื่องเทคโนโลยี ที่มักถูกหลอกไปลงทุนในธุรกิจคริปโตเคอร์เรนซี แชร์ลูกโซ่ หรือเล่นพนันออนไลน์

ในปี 2022 ที่ผ่านมา มีคดีที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในสิงคโปร์มากถึง 771 เคส ที่รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 97.6  ล้านเหรียญสิงคโปร์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมักพบว่าแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา ลาว และ พม่า

มาคราวนี้ หลอกลักพาตัวข้ามชาติกันไปเลย แต่ยังโชคดีที่สามารถติดตามตัวช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะหลายครั้ง เหยื่อที่ถูกลักพาตัวมักถูก กักขัง ทำร้ายร่างกาย หรือล่วงละเมิดทางเพศ 

ดังนั้น เราจึงไม่ควรหลงเชื่อปลายสายที่เราไม่รู้จัก หรือติดต่อเข้ามาด้วยหมายเลขแปลกๆ หากสงสัย หรือรู้ตัวว่าอาจถูกหลอก ควรรีบแจ้งตำรวจก่อนจะทรัพย์จะหายจนสายเกินแก้
 

เร่งล่าโจรแสบ!! ขโมยกระบี่อนุสาวรีย์ ‘กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์’ นับเป็นครั้งที่ 2 หลังเคยถูกขโมยไปแล้วเมื่อ 15 ปีก่อน

เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 66 เจ้าหน้าที่เร่งหาเบาะแสคนร้ายขโมยกระบี่พระอนุสาวรีย์ กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ที่ประดิษฐานอยู่บนเขาน้อย จังหวัดสงขลา นับเป็นครั้งที่ 2 หลังเคยหายไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ 15 ปีก่อน

นับเป็นเรื่องสะเทือนใจชาวจังหวัดสงขลาอย่างมาก เมื่อปรากฏว่า กระบี่ที่ห้อยอยู่ด้านซ้ายของพระอนุสาวรีย์ ‘พลเอกสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์’ ซึ่งประดิษฐานอยู่บนเขาน้อยได้หายไป เหลือเพียงพระอนุสาวรีย์ที่ไม่มีกระบี่ คาดว่า คนร้ายแอบปีนขึ้นไปขโมยในช่วงกลางคืนเพราะไม่มีคน โดยทางเทศบาลนครสงขลาได้มาตรวจสอบแล้ว และประสานตำรวจให้ช่วยสืบสวนหาเบาะแส ซึ่งชาวสงขลาต่างวิงวอนให้ผู้ที่ขโมยไปนำกลับคืนมาไว้ที่เดิม เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อจิตใจของชาวสงขลา

และเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะว่ากระบี่ที่ห้อยอยู่ด้านข้างพระอนุสาวรีย์ฯ เคยถูกคนร้ายขโมยหายไปครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2551 หรือเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา และได้มีการสร้างทดแทนขึ้นมาใหม่ เพื่อให้พระอนุสาวรีย์ฯ มีความสง่างามเหมือนเดิม แต่ปรากฏว่าก็มาถูกขโมยไปอีก จากการสันนิษฐานคาดว่าคนร้ายที่มาขโมยกระบี่ ซึ่งไม่สามารถประเมินค่าได้ อาจเป็นกลุ่มที่สะสมของเก่า หรือไม่ก็นำไปขายเป็นทองเหลืองในร้านค้าของเก่า

‘ตร.’ บุกจับ คู่ผัวเมียสอนเทรด ตุ๋นลูกศิษย์ลงทุน-เก็งกำไร อ้างไม่ได้ตั้งใจโกง แต่ตรวจพบมีประวัติเคยฉ้อโกงติดตัว

วันที่ (29 มิ.ย. 66) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ หัวหน้าชุด PCT 5, พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง, พ.ต.อ.นิวัตน์ พึ่งอุทัยศรี รอง ผบก สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าว/ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์, พ.ต.ท.พัชรพงษ์ กาญจนวัฎศรี รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าว/ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.สมพงษ์ เกตุระติ สว.กก.วิเคราะห์ข่าว/ บก.สส.บช.น. ร่วมกับ พ.ต.อ.โสภณ ม่วงเฟื่อง ผกก.สภ.เมืองเชียงราย ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุม น.ส.ธรรยชนก อายุ 37 ปี ชาวจังหวัดเชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.300/2565 ลงวันที่ 26 ส.ค. 65 และนายกนก หรือ ‘นายเก้าทัพ’ อายุ 36 ปี ชาวจังหวัดเชียงราย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.209/2565 ลงวันที่ 17 มี.ค. 66 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” จับกุมตัวได้ที่บ้านหลังหนึ่ง หมู่ 12 ตำบลท่าสาย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา

สืบเนื่องจากช่วงเดือน ส.ค. 62 กลุ่ม K1FX Trader Club ได้มีการประชาสัมพันธ์ในช่องทางออนไลน์ว่า ได้มีการจัดตั้งบริษัทกองทุนชื่อ ‘Ascension Wealth’ มีระบบการลงทุนที่ปลอดภัย รับผลกำไรที่ยั่งยืน ด้วย Copy Trade Investment โดยมีการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำเดือนละ 5 % ของเงินต้น และมีการประกันเงินทุน 100% พร้อมด้วยกรมธรรม์คุ้มครองการลงทุน ทำให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อมั่นว่า บริษัทกองทุนดังกล่าวมีการแบ่งปันผลกำไรได้จริง จึงได้มีการลงทุนรวมเป็นเงินกว่า 24 ล้านบาท

ต่อมาโบรกเกอร์ FTG ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่นายกนก ใช้ได้ปิดตัวลง ผู้เสียหายได้สอบถามขอดูข้อมูลจากนายกนก แต่นายกนกก็ไม่ให้ข้อมูลใดๆ แก่ผู้เสียหาย หลังจากนั้นผู้เสียหายก็ติดต่อกับนายกนกฯยากขึ้น และไม่ได้รับผลตอบแทน ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้พยายามติดต่อกับนายกนก เรื่อยมาเพื่อขอทุนคืน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จึงเชื่อว่าถูกฉ้อโกงเงิน จึงได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดี

กระทั่งศาลจังหวัดนครปฐมได้พิจารณาออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งคู่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการที่ 5 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ สืบนครบาล ร่วมกับชุด PCT5 จึงรีบทำการสืบสวนหาเบาะแส จนสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองรายดังกล่าวมาดำเนินคดีได้

จากการสอบสวน น.ส.ธรรยชนก หรือโดนัท ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า นายกนก หรือเคน หรือนายเก้าทัพ สามีเป็นคนเอาบัญชีธนาคารตนไปรองรับเงินที่ผู้เสียหายลงทุนเทรดเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) ส่วนนายกนก หรือเคน ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้ข้อมูลว่าเดิมทีตนเองรับราชการ มีความรู้และสนใจเรื่องการลงทุนเทรดเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) จึงได้ตัดสินใจลาออกจากราชการเพื่อมาทำธุรกิจเรื่องการลงทุนเทรดเก็งกำไรค่าเงิน (Forex) อย่างเต็มตัว

นายกนก หรือเคน หรือนายเก้าทัพ ให้การอ้างว่า ความจริงแล้วตนไม่ได้มีเจตนาที่จะฉ้อโกงผู้เสียหาย แต่เนื่องจากประสบปัญหานำเงินที่ได้จากผู้เสียหายไปลงทุนนั้นขาดทุนซึ่งตนพยายามที่จะชดใช้คืนผู้เสียหายแต่ละรายอยู่ และไม่ได้หลบหนีไปไหน พร้อมที่จะเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

จากการตรวจสอบประวัติคดีของ น.ส.ธรรยชนก ในฐานข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่าปัจจุบัน ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 502/2564 ลงวันที่ 17 ส.ค.2564 กระทำความผิดฐาน ‘ฉ้อโกง’ ท้องที่ สภ.คูคต อีก 1 หมายจับ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานแจ้งให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินการอายัดตัวผู้ต้องหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดีต่อไป

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวแจ้งเตือนภัยไปยังพี่น้องประชาชนว่าในสังคมปัจจุบัน มิจฉาชีพมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงมากมายหลายรูปแบบ ตลอดจนการลงทุนต่างๆ มีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ชัดเจนก่อนทำการลงทุน ตลอดจนขอให้ประชาชนได้โปรดใช้สติในการใช้ชีวิตในสังคม อย่างหลงเชื่อกลโกงต่างๆ ของมิจฉาชีพซึ่งมีอยู่มากมาย ควรมีสติวิเคราะห์ถึงพฤติกรรม กลโกง

หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยว่าบุคคลที่เข้ามาเสนอผลประโยชน์ นั้นจะเป็นมิจฉาชีพ หรือไม่ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิด มายังเพจ ‘สืบสวนนครบาล IDMB’ ได้ตลอด 24 ชม. แม้จะเป็นคดีที่มีความเสียหายไม่มาก แต่หากเป็นคดีที่ประชาชนเดือดร้อน เราทำทันที ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.
 

‘ตร.ไซเบอร์’ เตือนภัยหลังแอปธนาคารแห่ล่ม มิจฉาชีพปล้นทรัพย์ผ่านลิงก์ปลอมให้อัปเดต

(3 ก.ค.66) เพจกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี - บก.ปอท. โพสต์ระบุว่า…

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระบบบริการโอนเงินต่างธนาคารเกิดขัดข้อง ส่งผลต่อการทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking, Internet Banking ไม่สามารถดำเนินการได้ชั่วคราว

เตือนประชาชนระวัง มิจฉาชีพจะอาศัยจังหวะนี้ ส่งข้อความการอัปเดต Mobile Banking แนบลิงก์ปลอม ให้เหยื่อเผลอกดลิงก์ ส่งผลให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล หรือ ถูกติดตั้งแอปรีโมทเพื่อเข้าควบคุมโทรศัพท์ สุดท้ายถูกคนร้ายโอนเงินออกจากบัญชี

การอัปเดตแอปพลิเคชัน Mobile Banking
กดอัปเดตผ่าน Apple Store หรือ Play Store เท่านั้น

แจ้งความออนไลน์ www.thaipoliceonline.com
Line : @police1441 แชตบอทกับหมวดขวัญดาว

พ่อเลี้ยงใจเหี้ยม!! โมโหลูกวัย 12 แอบกินของที่ต้องส่งลูกค้า ใช้ไม้เบสบอลตีดับ อำพรางศพยัดใส่ถังน้ำแข็งโบกปูนทับ

(4 ก.ค. 66) คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญกลางกรุง ‘ฆ่ายัดถังโบกปูน’ ถูกเปิดเผย หลัง ร.ต.อ.ธนศักดิ์ พ้องเสียง รอง สว.(สอบสวน) สน.บางเขน รับแจ้ง น.ส.อภิญญา หรือ ‘เบลล์’ อายุ 24 ปี ว่า ด.ญ.อริศสา หรือ ‘น้องใหม่’ อายุ 12 ปี ซึ่งเป็นหลานสาวถูกนายยุทธนา หรือ ‘แจ๊บ’ อายุ 29 ปี พ่อเลี้ยง ทำร้ายจนเสียชีวิตภายในบ้านหลังหนึ่ง ในซอยพหลโยธิน 48 แยก 19 ขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านทาวเฮ้าส์ 2 ชั้น ประกอบกิจการรับจ้างแพ็กสินค้าใส่กล่องเพื่อส่งมอบให้บริษัทขนส่ง จากการตรวจสอบบริเวณครัวหลังบ้านชั้นล่าง พบถังพลาสติก ขนาด 200 ลิตร สีน้ำเงิน วางอยู่ใต้เคาน์เตอร์อ่างล้างจาน เมื่อนำถังดังกล่าวออกมาเปิดดูพบมีการถมด้วยดินอยู่ชั้นบนสุด และมีการโบกปูนทับในชั้นรองลงมา เมื่อนำดินและปูนออก เจ้าหน้าที่พบศพ ด.ญ.อริศสา หรือ ‘น้องใหม่’ หลานสาวของผู้แจ้ง สภาพศพเปลือย มีถุงขยะสีดำและผ้าขนหนูสีชมพูห่อหุ้มร่างเอาไว้ ตรวจสอบเบื้องต้น พบบาดแผลถูกตีด้วยของแข็งตามใบหน้าและร่างกายหลายแห่ง คาดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง

จากการสอบสวน น.ส.อภิญญา ผู้แจ้งเหตุ ให้การว่า ด.ญ.อริศสา พักอยู่กับ นายยุทธนา และ น.ส.นิรมล ซึ่งรับเลี้ยง ด.ญ.อริศสา ที่ผ่านมาทราบว่า ด.ญ.อริศสา มีอุปนิสัยค่อนข้างก้าวร้าว และชอบลักขโมยข้าวของภายในบ้าน จน น.ส.นิรมล และ นายยุทธนา ต้องว่ากล่าวตักเตือนและทำโทษด้วยการตีอยู่หลายครั้ง แต่ ด.ญ.อริศสา ยิ่งถูกทำโทษ ก็ยิ่งมีการต่อต้าน ที่ผ่านมาทั้งนายุทธนา และ น.ส.นิรมล นำเรื่องมาปรึกษาตน ซึ่งก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาอย่างไร

จนกระทั่งเมื่อเวลา 19.00 น.ที่ผ่านมา น.ส.นิรมล และ นายยุทธนา มาหาตนที่บ้าน ย่านรามอินทรา นายยุทธนา ยอมรับว่า ได้ใช้ไม้เบสบอลตี ด.ญ.อริศสา จนเสียชีวิต ตั้งแต่ช่วง 01.00 น. ของวันที่ 2 ก.ค. 2566 เนื่องจากจับได้ ด.ญ.อริศสา ขโมยอาหารเสริมซึ่งเป็นสินค้า ที่ต้องแพ็กนำส่งให้ลูกค้าไปกิน โดยหลังจากที่พลั้งมือตีลูกที่ตัวเองรับมาเลี้ยงจนตาย นายยุทธนา ได้วางแผนจะทำลายศพด้วยการหั่นแต่ไม่กล้า

จึงไปซื้อถังพลาสติกขนาดใหญ่มาใส่ศพโบกปูนและถมดินทับ ก่อนที่จะตัดสินใจมารับสารภาพและให้ช่วยแจ้งความ โดยหลังจากที่ตนแจ้งความแล้ว นายยุทธนา ก็ได้เดินทางไปหาเพื่อนแถวแฟลตดินแดงแล้วไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย ส่วน น.ส.นิรมล ผู้เป็นภรรยา ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนนำตัวไปสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน ได้มอบร่างผู้ตาย ให้แพทย์นิติเวชนำไปผ่าชันสูตร อย่างละเอียดอีกครั้ง จากนั้นได้ประสานให้ฝ่ายสืบสวนติดตามตัวนายยุทธนา มาดำเนินคดี ส่วน น.ส.นิรมล นั้น ต้องรอผลสอบปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นมากน้อยเพียงใด หากพบว่ามีพฤติกรรมร่วมกันกระทำความผิดก็จะแจ้งข้อหาดำเนินการในฐานะผู้ร่วมกันฆ่าฯ และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ

‘สมาคมฯ ฟุตบอล’ ได้รายชื่อ 24 มือดีจุดพลุแฟลร์ เร่งดำเนินคดี  หลังป่วนงาน AFF 2022 ทำให้เกิดเพลิงไหม้-ทรัพย์เสียหาย

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 66 ตามที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แจ้งความร้องทุกข์กรณี กลุ่มแฟนบอลบางส่วนทำผิดระเบียบการแข่งขันและผิดกฎหมายกรณีวางเพลิงเผาทรัพย์ ทำให้เกิดเพลิงไหม้ ด้วยการจุดพลุแฟลร์ ในการแข่งขันฟุตบอลรายการ AFF MITSUBISHI ELECTRIC CUP 2022 ระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติฟิลิปปินส์ ในวันที่ 26 ธันวาคม 2565 และ ระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติมาเลเชีย วันที่ 10 มกราคม 2566 ณ ธรรมศาสตร์ สเตเดียม ตามประจำวันลำดับ ที่ 19 ลงวันที่ 13 มกราคม 2566 เวลา 12.44 น. นั้น

ล่าสุด สมาคมฯ ได้ติดตามความคืบหน้าคดีข้างต้นจากสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้ความว่า อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเพื่อขอออกหมายจับกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ร่วมกันกระทำความผิด จำนวน 24 ราย อย่างเร่งด่วนต่อไป​ ประกอบด้วย 1.) แกนนำกลุ่ม นาย ป. นามสกุล ป. อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาอยู่บางบอนใต้ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร

สมาชิกกลุ่ม ที่เคลื่อนไหวอีก 23 ราย ประกอบด้วย

1.) นาย ธ. นามสกุล ว. อายุ 25 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 2.) นาย ส. นามสกุล อ. อายุ 48 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนนทบุรี, 3.) นาย ฉ. นามสกุล จ. อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพิจิตร, 4.)นาย ว. นามสกุล จ. อายุ 36 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดปทุมธานี, 5.) นาย อ. นามสกุล พ. อายุ 39 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดระนอง, 6.) นาย ก. นามสกุล ก. อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 7.) นาย ธ. นามสกุล ส. อายุ 27 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนครนายก, 8.)นาย น. นามสกุล ช. อายุ 37 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 9.) นาย อ. นามสกุล ส. อายุ 48 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 10.) นาย ส. นามสกุล อ. อายุ 38 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดชลบุรี

11.) นาย ม. นามสกุล ศ. อายุ 42 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, 12.) นาย ศ.นามสกุล ถ. อายุ 42 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 13.) นาย ย.นามสกุล จ. อายุ 46 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนนทบุรี, 14.) นาย น. นามสกุล อ. อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 15.) นาย อ. นามสกุล ฤ. อายุ 42 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 16.) นาย ณ. นามสกุล ช อายุ 43 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสระบุรี

17.) นาย ก.นามสกุล ส. อายุ 44 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 18.) นาย ณ.นามสกุล ว. อายุ 40 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดร้อยเอ็ด, 19.) นาย ก.นามสกุล จ. อายุ 41 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสมุทรปราการ, 20.) นาย ก. นามสกุล ข. อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดตราด, 21.) นาย ช. นามสกุล ฟ. อายุ 30 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 22.) นาย ธ. นามสกุล ป. อายุ 53 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ กทม., 23.) นาย ช. นามสกุล บ. อายุ 32 ปี มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดนนทบุรี

ทั้ง 24 ราย ปรากฏตามภาพถ่าย ซึ่งสมาคมฯ จะดำเนินคดีจนถึงที่สุด นอกจากจะเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นความผิดตามระเบียบข้อบังคับของ เอเอฟซี และฟีฟ่า อีกด้วย และอาจถูกปรับทำให้เกิดความเสียหายต่อสมาคมฯ สมาคมจะใช้สิทธิ์ตามกฏหมายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้เกี่ยวข้องเต็มจำนวน

ทั้งนี้ ในการแข่งขันฟุตบอลรายการระดับนานาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ได้เกิดเหตุการณ์แฟนบอลจุดพลุ ในสถานที่จัดการแข่งขันหลายครั้งจนเป็นเหตุให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ถูกลงโทษปรับเงิน คือ

วันที่ 6 กันยายน 2557 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2014 รุ่นอายุไม่เกิน 16 ฤดูกาล รอบคัดเลือก คู่ระหว่างทีมชาติไทย 0 : 1 ทีมชาติมาเลเซีย ณ สนามเมืองทอง ถูกปรับเงิน 11,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 363,000 บาท)

วันที่ 17 ธันวาคม 2559 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2016 คู่ระหว่าง ทีมชาติไทย 2 : 0 ทีมชาติอินโดนีเซีย ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน ถูกปรับเงิน 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 1,076,790 บาท)

วันที่ 26 ธันวาคม 2565 การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์อาเซียน 2022 คู่ระหว่าง ทีมชาติไทย 4 : 0 ทีมชาติฟิลิปปินส์ ณ ธรรมศาสตร์ สเตเดียม เมื่อแฟนบอลกลุ่มหนึ่งแสดงความดีใจด้วยการจุดพลุบริเวณอัฒจันทร์หลังประตูฝั่งทิศใต้ ถูกปรับเงิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 687,770 บาท)

และล่าสุด เอเอฟซี มีคำสั่งปรับเงิน สมาคมกีฬาฟุตบอลฯ จำนวน 70,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 2.4 ล้านบาท จากการที่มีแฟนบอลกลุ่มหนึ่งทำผิดระเบียบ โดยการจุดพลุ ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลชายหาด ชิงแชมป์เอเชีย รอบสุดท้าย ที่ ประเทศไทย เป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 16-26 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา

‘พนักงานปั๊ม’ น้ำตาตก!! ลูกค้าชักดาบค่าน้ำมันกว่าครึ่งหมื่น เผย ตนได้ค่าแรงวันละ 300 ไม่พอชดใช้ วอนลูกค้ากลับมาจ่ายเงิน

(5 ก.ค. 66) พ.ต.ท.ชัยทัต แย้มโพธิ์ใช้ รอง.ผกก.(สอบสวน) สภ.ปลวกแดง ได้รับแจ้งความจาก น.ส.ฐิติรัตน์ แซ่เตียว อายุ 23 ปี พนักงานเสมียนปั๊มเชลล์ ที่หมู่ 5 ตำบลแม่น้ำคู้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง ได้รับมอบหมายจากเจ้าของปั๊ม ให้มาแจ้งความ ว่าเมื่อวันที่ 5 ก.ค. เวลา 02.00 น. ถูกลูกค้าชาย ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน เข้ามาเติมน้ำมันใส่ถังสำรอง จำนวน 1 ถัง ที่อยู่ท้ายกระโปรงหลังรถ หลังจากเติมเสร็จ บอกว่าจะสแกนจ่ายเงินยอด 5,000.40 บาท พอเด็กปั๊มหันหลัง สุดท้ายก็รีบขึ้นรถ ขับหนีออกไปโดยไม่จ่ายเงิน จึงนำหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด มาแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ร้อยเวรเพื่อให้นำตัวลูกค้าคนดังกล่าวมารับผิดชอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย
.
จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากผู้เสียหาย พบรถยนต์เก๋งสีดำไม่ทราบยี่ห้อ และเลขทะเบียน ขับเข้ามาเติมน้ำมันที่จุดจ่ายที่ 1 โดยมีชายรูปร่างสูงผอม สวมใส่เสื้อสีเหลือง กางเกงขายาวสีดำ เดินลงจากรถฝั่งคนขับ และเดินมาเปิดท้ายกระโปรงหลัง เพื่อให้พนักงานปั๊มเติมน้ำมันลงในถังสำรอง ที่จัดเตรียมมาหลังจากเติมเสร็จก็ขับออกไป ตามที่ผู้เสียหายได้มาแจ้งความ

นายสมยศ พนักงานปั๊มในคลิป ให้การณ์ว่า ได้มีลูกค้าชายขับรถยนต์เก๋งเข้ายี่ห้อ โตโยต้า วีออส สีดำ จอดที่จุดจ่ายที่แรก บอกตนว่าขอเติมน้ำมัน ดีเซล 5,000 บาท ใส่ถังสำรองด้านหลัง ตนก็เอะใจทำไมรถเก๋งเติมน้ำมันดีเซล ปกติเคยเห็นแต่รถกระบะมาเติม พอตนเติมให้เต็มถัง ลูกค้าก็ไม่จ่ายเงินและก็ขับหนีไป อยากวอนให้ลูกค้าสงสารตน ช่วยมาจ่ายเงินด้วย เพราะตนโดนทางปั๊มหักเงิน ต้องชดใช้เอง ค่าแรงตนแค่ 300 กว่าบาท กี่วันถึงจะชดใช้หมด

ด้านเจ้าหน้าที่ร้อยเวรรับแจ้งความ พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากผู้เสียหาย เพื่อดูลักษณะรูปพันสันฐานผู้ก่อเหตุ และประสานชุดสืบตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

‘แจ๊บ’ พ่อเลี้ยงฆ่าโบกปูนลูกบุณธรรม ขอ ตร.ยกเลิกทำแผน หวั่นไม่ปลอดภัย เตรียมฝากขังพรุ่งนี้ ลุ้นคัดค้านประกันตัว

(5 ก.ค. 66) จากกรณี น.ส.นิรมล หรือ ‘มิ้นท์’ พรหมคุณ อายุ 30 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน ว่า นายยุทธนา หรือ ‘แจ๊บ’ มาดี อายุ 29 ปี สามีของ น.ส.นิรมล ก่อเหตุฆาตกรรมใช้ไม้เบสบอลทุบตี ด.ญ.อริศสา หรือ ‘ใหม่’ (สงวนนามสกุล) อายุ 12 ปี ลูกบุญธรรม ที่รับอุปการะมาจากญาติห่างๆ จนเสียชีวิต ก่อนจับยัดถังพลาสติกโบกปูนทับ เพื่ออำพรางศพ หลังจากนั้น ทั้งคู่ได้เดินทางเพื่อไปสารภาพกับญาติเด็ก แต่ นายยุทธนา ออกอุบายว่า ไปหาเพื่อน ก่อนหลบหนีไป โดยเหตุเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 01.00 น. วันที่ 2 ก.ค.ที่ผ่านมา กระทั่งเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมนายยุทธนา ไว้ได้ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (5 ก.ค.) ที่ สน.บางเขน พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า เบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหานายยุทธนาใน 2 ข้อหาคือ ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย และลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และไม่ประสงค์ที่จะทำแผนประกอบคำรับสารภาพ เนื่องจากเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย

ส่วน น.ส.นิรมล พนักงานสอบสวนกำลังเตรียมแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพ เพื่อปิดบังการเกิดการตายหรือเหตุแห่งการตาย ส่วนประเด็นที่ น.ส.นิรมลทำร้ายผู้ตายจริงหรือไม่ จากการไล่กล้องวงจรปิดเราดูเฉพาะวันเกิดเหตุ และการมาให้ปากคำในช่วงที่ผ่านมา เป็นการให้ปากคำในฐานะพยาน แต่หลังจากที่แจ้งข้อกล่าวหากับ น.ส.นิรมล ตำรวจต้องไปไล่ดูกล้องวงจรปิดทั้งหมด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน

ส่วนเรื่องที่ผู้ต้องหาอ้างว่าผู้ตายติดการพนัน และขโมยเงินไปเล่นการพนันนั้น ต้องรอการตรวจสอบสวนก่อน ซึ่งผู้ต้องหาให้การแต่เพียงว่า ผู้ตายมักจะขโมยเงิน และสินค้าอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ น.ส.นิรมลต้องรับผิดชอบลูกค้า ในฐานะที่เป็นบริษัทแพ็คของส่ง ซึ่งครั้งนี้มีการขโมยเงินจำนวนมากถึงหลักหมื่น

อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ (6 ก.ค.) พนักงานสอบสวน สน.บางเขน จะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ส่วนจะคัดค้านการประกันตัวหรือไม่ ให้อยู่ในดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top