Wednesday, 23 April 2025
Crimes

‘ตำรวจ ปส.’ สกัดจับยาบ้ากว่า 22 ล้านเม็ด-ไอซ์ 620 กก. ทลาย 7 เครือข่าย รวบ 17 ผู้ต้องหา จ่อขยายผลจับคนสั่งการ

(7 ก.ค. 66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ตามนโยบาย ตร. ประกอบกับการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. อย่างเข้มข้น

ล่าสุดตำรวจ ปส. (NSB) สามารถทลาย 7 เครือข่าย ผู้ต้องหา 17 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 22 ล้านเม็ด ไอซ์ 620 กก. รถยนต์ 12 คัน ยึดทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องจากการค้ายาเสพติด 8 ล้านบาท

คดีที่ 1 ตำรวจ ปส. (NSB) โดยตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. 66 กลุ่มเครือข่ายยาเสพติดในภาคอีสาน จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นจำนวนมาก จาก อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อไปส่งในพื้นที่ตอนใน โดยมีนายสุวิทย์ ใช้รถกระบะยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นโคโลราโด สีเทา หมายเลขทะเบียน บร 75xx มหาสารคาม เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ ตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้เฝ้าติดตามในพื้นที่ จนพบรถกระบะเป้าหมายดังกล่าวที่บริเวณสี่แยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร จึงได้ติดตามไป จนรถเป้าหมายรู้ตัวว่าถูกติดตามและได้หลบหนีเข้าไปในซอยบ้านพักแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ก่อนจะจับกุมตัวได้พร้อมของกลางยาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่ในท้ายกระบะ และในห้องโดยสารรถ 5 กระสอบ รวม 2 ล้านเม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 2 จากการสืบสวนขยายผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ทางภาคเหนือ ทราบว่านายพีรวัฒน์ กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงในการลำเลียงยาเสพติด โดยจะลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ ไปส่งให้กับผู้รับช่วงต่อในพื้นที่ภาคกลาง ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. จึงวางกำลังติดตาม

จนกระทั่งวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลาประมาณ 12.50 น. พบรถยนต์ต้องสงสัย ทะเบียน บว 54XX สระบุรี ขับขี่ไปถึงเส้นทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนายพีรวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ และมีนายพงษ์ นั่งข้างคู่คนขับ จากการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กก. ซุกซ่อนอยู่บริเวณที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังคนขับ และซุกซ่อนอยู่ภายในท้ายกระบะ ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา และสามารถสกัดจับกุมนายรักชาติ ผู้ขับขี่รถยนต์ หมายเลขทะเบียน บห 19XX สระบุรี และนายวิชัย (นั่งคู่คนขับ) ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ในการลำเลียงยาเสพติดครั้งนี้ ได้ที่ บริเวณลานจอดรถตลาดนัด ในพื้นที่ ต.กุดนกเปล้า อ.เมือง  จ.สระบุรี จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายและออกหมายจับติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนี และบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 18 – 19 มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส.2 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายนักค้ายาเสพติด รายสำคัญ จนทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.บึงกาฬ โดยใช้รถยนต์ขับผ่านเส้นทาง จ.บึงกาฬ, จ.สกลนคร, จ.อุดรธานี, จ.ขอนแก่น, จ.ชัยภูมิ จึงติดตามความเคลื่อนไหว ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายวิ่งผ่านถนนหมายเลข 201 ถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว บริเวณหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นรถที่มีการบรรทุกสิ่งของอย่างหนัก ก่อนจะจอดรถนานผิดปกติ ตำรวจ ปส.2 จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบนายธนพัฒน์หรือเฟส เป็นผู้ขับขี่ พบไอซ์ บรรจุในถุงชาสีเขียวอ่อน 3 กระสอบ จำนวน 120 ก้อน น้ำหนัก 120 กก. ซุกซ่อนในห้องโดยสารด้านหลังคนขับ สอบสวนนายธนพัฒน์ รับว่า ลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 5 ครั้ง โดยได้รับค่าจ้างล่วงหน้าบางส่วน เงินที่เหลือจะได้รับเมื่องานสำเร็จ จากนั้นจึงจับกุมและนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภาคกลาง จนสามารถจับกุมนายปกรณ์ และนายฉัตรชัย โดยจากการสืบสวนพบว่านายฉัตรชัย จะนำยาเสพติดจากพื้นที่ จ.สุโขทัย ไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้เฝ้าติดตามจับกุม จนกระทั่งเมื่อวันที่  28 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บม 35XX สุโขทัย กำลังลำเลียงยาเสพติด ที่บริเวณถนนในพื้นที่ จ.อยุธยา จึงได้ทำตรวจค้นจนสามารถ จับกุมนายฉัตรชัย ได้บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขาโก่งธนู  จ.ลพบุรี พร้อมยาบ้าที่ถูกซุกซ่อนไว้บริเวณที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ และท้ายกระบะโดยมีผ้าใบสีดำคลุมปิดอำพรางไว้ รวม 3 ล้านเม็ด และสามารถสกัดจับกุมนายปกรณ์ ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บน 66XX ตาก ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจด่าน ได้ที่บริเวณริมถนนในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สำพะเนียง อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส. 3 จับกุม นายเจษฎากร และนายอภิเษก พร้อมยาบ้า 6 ล้านเม็ด โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.3 สืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดจะลำเลียงยาบ้าจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เข้ามาซุกซ่อนไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ก่อนจะส่งมอบให้กับเครือข่าย โดยใช้รถกระบะในการลำเลียง จึงนำกำลังเฝ้าติดตามรถเป้าหมาย พบรถกระบะ บว-66XX สระบุรี จอดอยู่บริเวณท้ายถนนบ้านน้ำลัดซอย 16 หมู่ 3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย จนกระทั่งเวลา 23.00 น. พบนายอภิเษก ขับขี่รถจักรยานยนต์และมีนายเจษฎากร ซ้อนท้ายก่อนลงรถจักรยานยนต์ แล้วขับรถกระบะเป้าหมายออกไป ตำรวจ ปส.3 จึงติดตามไปจับกุมได้ที่ บริเวณแยกห้วยปลากั้ง ถ.เลี่ยงเมืองเชียงรายตะวันตก ตรวจค้นในรถพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณในห้องโดยสารและท้ายรถกระบะ รวม 6 ล้านเม็ด และได้ติดตามไปจับกุมนายอภิเษก ได้ที่บริเวณแยกขัวแคร่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส.1 ร่วมกับ บก.ขส. และ ปส.2 จับกุม 6 ผู้ต้องหา คือ นายเจริญชัย หรือโจ, น.ส.เกศินี หรือแกล้ม, นายสุพรรณ หรือเบ็นซ์, น.ส.รัฐชิตา หรือเบ็นซ์, นายโยธณัฐ หรือดรีม และ น.ส.ธิติมา หรือทิพย์ โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.1 สืบสวนทราบว่าเครือข่ายของนายสุพรรณ หรือเบนซ์ จะใช้รถยนต์ 3 คัน ลำเลียงยาเสพติดมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขงด้าน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ขับรถมุ่งหน้า จ.นครราชสีมา จึงได้สะกดรอยติดตาม และสามารถสกัดจับได้บริเวณสถานีน้ำมัน ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องบริเวณสถานีน้ำมัน (ขาเข้า) ต่อเนื่องบริเวณถนนมิตรภาพ ตรวจค้นภายในห้องโดยสารรถพบยาบ้า 9 กระสอบ และอีก 3 กระสอบ อยู่ด้านท้ายกระโปรงรถยนต์ รวมยาบ้า 5 ล้านเม็ด เบื้องต้นได้ขยายผลตรวจยึดทรัพย์สิน มูลค่ารวมกว่า 8 ล้านบาท จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน ปส.1 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันสืบสวนขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภารอีสาน ทราบว่า เครือข่ายนี้จะขนยาเสพติดล็อตใหญ่ไปส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ตอนใน จึงร่วมกันสืบสวนจับกุม จนกระทั่งวันที่ 5 ก.ค.66 เวลาประมาณ 08.00 น. พบรถกระบะต้องสงสัย ทะเบียน ผว xxxx ขอนแก่น ขับขี่ผ่าน จ.มุกดาหาร มุ่งหน้าไป จ.มหาสารคาม และ จ.นครราชสีมา น่าเชื่อว่ามีการลำเลียงยาเสพติดไปส่งให้ลูกค้าตามข้อมูลที่มี จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณริมถนนมิตรภาพ ต.โตนด อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา โดยมี นายอิสระ เป็นผู้ขับขี่ จากการตรวจค้นพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะติดตั้งตู้ทึบ จำนวน 15 กระสอบ จำนวน 6,000,000 เม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดของกลาง รถกระบะ 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสืบสวนขยายผล เพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่ายมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับเดือน มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ 18 คดี  ผู้ต้องหา 30 คน ของกลาง ยาบ้า 18 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,983 กก., เฮโรอีน 46 กก. และ ยาอี 5,865 เม็ด โดยยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้นพนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส.,กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป

‘ตำรวจ ดส.’ บุกทลาย!! ฟิตเนสซาวน่าย่านรัชดา พบแอบเปิดมั่วเซ็กซ์ชายรักชาย ซากถุงยางเกลื่อนพื้น

(8 ก.ค.66) ตำรวจ ดส. นำชายกว่า 36 คน ซักถามหลังจากบุกเข้าตรวจค้นสถานบริการฟิตเนสและอบซาวน่าแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์ 5 ชั้น ปลูกติดกันหลายคูหา ถนนรัชดาภิเษก ก่อนถึงแยกมไหสวรรค์ กรุงเทพฯ 

พ.ต.ต.ยศชนินทร์ ประเสริฐโสภา สารวัตร กก.ดส. เผยว่า ได้รับคำสั่งจาก พ.ต.อ.ธีรศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผกก.ดส. หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนว่า สถานบริการดังกล่าวแอบเปิดให้บริการลูกค้ากลุ่มชายรักชายเข้ามามีเพศสัมพันธ์ จึงส่งสายลับแฝงตัวเข้าไปสืบทราบว่ามีการแจกจ่ายถุงยางอนามัยหลังเสียค่าบริการ 200 บาท จึงนำกำลังเข้าตรวจค้นสถานที่ดังกล่าวช่วงเวลา 22.00 น. พบว่าบริเวณชั้น 1 เป็นเคาน์เตอร์ต้อนรับลูกค้า ชั้น 2 เป็นห้องฟิตเนส ส่วนชั้น 3 ชั้น 4 มีลักษณะถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆ พบบางส่วนอยู่ภายในห้อง มีถุงยางอนามัยที่ผ่านการใช้ตกที่พื้นและในถังขยะ ส่วนชั้น 5 เป็นห้องอบซาวน่า พบมีผู้ใช้บริการจำนวน 31 คน พนักงาน 4 คน และ เจ้าของสถานบริการ 1 คน  

จากการซักถามส่วนใหญ่ยอมรับว่า เข้ามาใช้สถานที่เพื่อหาคู่มีเพศสัมพันธ์จริง จึงลงบันทึกประจำวันไว้ก่อนปล่อยตัวกลับไป เนื่องจากไม่พบหลักฐานการค้าประเวณี พร้อมตรวจหาสารเสพติด ซึ่งทั้ง 31 คนไม่พบว่ามีสารเสพติดในร่างกาย ส่วนพนักงาน 4 คน เจ้าของสถานบริการ พิจารณาข้อกล่าวหาเป็นธุระจัดหาหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งชายหรือหญิงตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี 

นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติคดีพบว่า 1 ในผู้มาใช้บริการมีหมายจับของ สภ.เมืองสมุทรสงคราม ในข้อหาฉ้อโกง จึงประสานให้ สภ.เมืองสมุทรสงครามมารับตัวไปดำเนินคดี 

รายงานข่าวแจ้งว่าฟิตเนสดังกล่าว เปิดให้บริการลูกค้าชายที่มีรสนิยมชอบไม้ป่าเดียวกัน โดยเก็บค่าเข้าใช้บริการคนละ 200 บาท ซึ่งพนักงานประจำเคาน์เตอร์ จะมีกุญแจตู้ล็อกเกอร์เก็บเสื้อผ้า และมีสายรัดข้อมือให้คนละ 1 เส้น โดยเป็นที่รู้กันว่า ลูกค้ารายใดที่มีรสนิยมเป็นฝ่ายรุก ก็จะนำสายรัดข้อมือรัดไว้ที่ข้อมือข้างขวา ส่วนผู้ที่เป็นฝ่ายรับจะนำสายรัดข้อมือรัดไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย หากลูกค้าถูกใจกันก็จะเปิดห้องพักเพื่อมีเพศสัมพันธ์

‘ตร.สภ.ร่อนพิบูลย์’ พลาดท่าถูกแทงคอเสียชีวิต ขณะเข้าระงับเหตุหนุ่มเมายาอาละวาด

(8 ก.ค. 66) เมื่อเวลา 21.30 น. วันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ร.ต.ต.บุญธรรม แก้วรัตน์ รอง สวป.สภ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ทำหน้าที่ร้อยเวร 20 ได้รับแจ้งว่ามีเหตุลูกเมายาบ้าเกิดอาการอาละวาดคลุ้มคลั่ง ที่บ้านเลขที่ 254/1 บ้านป่ากล้วย หมู่ 3 ต.ควนชุม อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ร.ต.ต.บุญธรรม จึงนำกำลังตำรวจสายตรวจในปกครองเดินทางไปบ้านที่เกิดเหตุเพื่อระงับเหตุ

เมื่อไปถึงบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านปูชั้นเดียว ภายในบ้านพบนายรพีพัฒน์ ช่วยสวัสดิ์ อายุ 28 ปี ลูกชายเจ้าของบ้านมีอาการเมายาเสพติดกำลังอาละวาดส่งเสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ในบ้าน ซึ่งเมื่อ ร.ต.ต.บุญธรรม มาถึงได้สั่งวางกำลังตำรวจตามยุทธวิธีเพื่อเข้าระงับเหตุ โดยมีอุปกรณ์เป็นไม้ง่ามเตรียมพร้อมเข้าระงับเหตุ ปรากฏว่าขณะที่ ร.ต.บุญธรรม กำลังเจรจาได้พยายามเจรจาเข้าพูดคุยโดยตัวนายรพีพัฒน์ซึ่งกำลังแอบอยู่ในบ้าน ปรากฏว่าทันใดนั้นนายรพีพัฒน์ได้วิ่งออกจากบ้านพุ่งเข้าหา ร.ต.ต.บุญธรรม และใช้มีดเดือยไก่ยาวประมาณ 24 ซม. แทงเข้าไปที่ลำคอของ ร.ต.ต.บุญธรรม จำนวน 1 แผลฉกรรจ์ แผลกว้าง 2 ซม. ยาว 2.5 ซม. และลึก 4 ซม. ตัดเส้นเลือดใหญ่ที่ลำคอจนทำให้ ร.ต.ต.บุญธรรม ล้มฟุบจมกองเลือดหมดสติทันที ก่อนที่กำลังตำรวจทั้งหมดจะรุมบุกเข้าชาร์ทจับกุมตัวนายรพีพัฒน์ ไว้ได้ทันควัน พร้อมอาวุธมีดเดือยแก่ยาว 24 ซม. ของกลางที่ใช้ก่อเหตุและค้นตัวพบยาบ้าจำนวน 4 เม็ดด้วย

ส่วนร่างของ ร.ต.ต.บุญธรรม ทางเจ้าหน้าที่กู้ภัยได้รีบนำส่ง รพ.ร่อนพิบูลย์ และส่งต่อ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือชีวิตเป็นการด่วน ซึ่งมีอาการยังไม่รู้สึกตัว เสียเลือดมาก เส้นเลือดใหญ่ที่คอขาด ได้ทำการต่อห้ามเลือด และยังมีเส้นเลือดเส้นเล็กที่ขาดอีก หัวใจหยุดเต้นหลายรอบ หมอทำการ CPR กลับมามีชีพจร หัวใจกลับมาทำงาน ความดันเพิ่มขึ้น หมอได้ให้ยาเต็มจำนวนที่ร่างกายจะรับได้ แต่ยังไม่ได้ผ่าตัดเนื่องจากยังไม่ตอบสนอง ไม่สามารถให้ยาสลบได้ ได้ย้าย ร.ต.ต.บุญธรรมฯ จากห้องผ่าตัด มาอยู่ห้อง ICU ล่าสุด ร.ต.ต.บุญธรรม ได้เสียชีวิตแล้วเมื่อเช้าวันนี้ (8 ก.ค.) ที่ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนตำรวจและญาติๆ สำหรับ ร.ต.ต.บุญธรรม ปัจจุบัน อายุ 54ปี

หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปยังสภ.ร่อนพิบูลย์ เพื่อสอบสวนปากคำนายรพีพัฒน์ ด้วยตนเอง แต่นายรพีพัฒน์ยังให้การวกไปวนมา เนื่องจากยังไม่ส่างจากยาเสพติด พร้อมทั้งประชุมตำรวจสภ.ร่อนพิบูลย์ เพื่อดำเนินคดีนายรพีพัฒน์อย่างเต็มที่ต่อไป

‘ตร.’ คุมตัว 2 ต่างชาติสอบเข้ม ปม ‘นักธุรกิจเยอรมัน’ หายตัวไป ล่าสุด ‘ทีมสืบฯ’ พบพิรุธเส้นทางการเงิน คาด!! อาจเอี่ยวคดีนี้ 

(10 ก.ค. 66) ศูนย์ข่าวศรีราชา - ผบก.สส.ภาค 2 นำทีมบุกตรวจค้นบ้านพัก 1 ในผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติเกี่ยวข้องการหายตัวไปของนักธุรกิจอสังหาฯ ชาวเยอรมันช่วงกลางดึกที่ผ่านมา หลังเชิญตัวชาวต่างชาติ 2 รายสอบปากคำ แต่ยังไม่ให้การใดๆ ส่วนผู้สูญหายยังไม่รู้ชะตากรรม

จากกรณีการหายตัวไปของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค (MR.HANS PETER RALTER MACK) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน พร้อมรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ คูเป้ อี 350 สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน ญศ 7146 กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนภรรยาต้องประกาศตั้งรางวัลให้ผู้พบเห็นรถยนต์เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท และเจอตัวผู้สูญหายจะให้รางวัลสูงถึง 3,000,000 บาท

โดยระบุว่าสามีหายไปหลังออกจากบ้านไปพูดคุยกับนายหน้าชาวต่างชาติที่รู้จักกันไม่นานเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินบนเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มูลค่าหลายร้อยล้านบาท ก่อนจะมีการตามเจอรถยนต์ซึ่งถูกนำมาจอดทิ้งที่ลานจอดรถข้างคอนโดฯ ภายในซอยเขาน้อย เมืองพัทยา และมีผู้พบเห็นว่ามีผู้หญิงนั่งมาด้วย

จนนำสู่การตรวจสอบอย่างละเอียดภายในรถเบนซ์คันดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ได้ออกมาเปิดเผยว่า ส่อแววร้าย เพราะพบว่าภายในรถยนต์มีการน้ำยาบางชนิดเข้ามาทำความสะอาดเบาะ และอีกหลายจุด ซึ่งเชื่อว่าเป็นความพยายามในการทำลายหลักฐาน และจากการตรวจสัญญาณโทรศัพท์มือถือครั้งสุดท้ายของผู้สูญหายพบพิกัดบริเวณแนวชายแดน จ.สระแก้ว นั้น

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา (9 ก.ค.) พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภาค 2 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี กุดแถลง ผกก.สภ.หนองปรือ และเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนได้เชิญตัวชาวต่างชาติ 2 ราย ซึ่งเดินทางมาพร้อมทนายความเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม แต่ทั้งหมดยังคงปิดปากเงียบและยืนยันว่าจะให้ทนายความเป็นผู้จัดการเท่านั้น

โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว 1 ในผู้ต้องสงสัยเป็นหญิงชาวต่างชาติเข้ามาให้ปากคำแล้ว แต่ยังยืนยันว่าจะให้ทนายความเป็นผู้ดำเนินการเช่นกัน

จากนั้น พล.ต.ต.ธีระชัย ชำนาญหมอ ผบก.สส.ภาค 2 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 2 สนธิกำลังร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจังหวดชลบุรี เจ้าหน้าที่สืบสวนตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง นำหมายค้นที่ 129/2566 เข้าไปตรวจค้นภายในบ้านเลขที่ 21/302 หมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น 2 ม.10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง ซึ่งเป็นบ้านของ 1ในผู้ต้องสงสัยแต่ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทีมสืบสวนได้พบเส้นทางการเงินที่ผิดปกติ รวมจำนวนกว่า 2 ล้านบาท ที่อาจมีส่วนเกี่ยวโยงกับคดีดังกล่าว แต่จะต้องรอรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ขณะที่ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค ยังไม่ทราบชะตากรรมว่าเป็นตายร้ายดีเช่นไร

ตำรวจไซเบอร์จับคาผ้าเหลือง เครือข่ายสรรพากรเก๊หนีจนมุมคากุฏ

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีที่มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โทรไปหาผู้เสียหายหลอกว่ามาจากกรมสรรพากร แล้วอ้างว่าจะทำเรื่องลดภาษีให้ แต่ไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ต่อมาให้แอด LINE แล้วกรอกลิงก์ทำตามขั้นตอน หลังจากนั้นมือถือผู้เสียหายค้าง ทำอะไรไม่ได้ เมื่อใช้การได้ปกติพบว่าเงินในบัญชีที่ติดตั้งแอพธนาคาร 3 บัญชีถูกโอนออกไปหมด รวมมูลค่าประมาณ 2 ล้านบาท จากการรวบรวมพยานหลักฐาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 ได้ขออนุมัติศาลจังหวัดมหาสารคาม ออกหมายจับ นายอันนพ อายุ 46 ปี ชาว จ.กำแพงเพชร

ต่อมาในวันที่ 10 ก.ค.66 เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบทราบว่า นายอันนพฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ มาปรากฏตัวบริเวณวัดแห่งหนึ่งใน อ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ พบผู้ต้องหาอยู่ภายในวัดดังกล่าว จึงได้แสดงตัว และอ่านหมายจับ รวมทั้งได้ให้ผู้ต้องหาตรวจสอบหมายจับและอ่านหมายจับเอง ซึ่งผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริงและไม่เคยถูกจับตามหมายจับนี้มาก่อน จึงได้แจ้งให้ผู้ต้องหา ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่นร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและร่วมกันเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน” และได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน บก.สอท.3 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้ฝากเตือนให้ผู้เสียภาษีระมัดระวังกลลวงจากมิจฉาชีพด้วย ซึ่งในปีที่แล้ว พบมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรโทรศัพท์หลอกลวงผู้เสียหายภาษีในกรณีต่างๆ เช่น อ้างว่าจะคืนภาษีให้ อ้างว่าเป็นหนี้ภาษีอากรค้างกรมสรรพากร หรือในเรื่องอื่นๆ โดยมีเงื่อนไขให้กดลิงก์ปลอมตามที่ส่งให้ทางแอพพลิเคชั่น LINE หรือให้แจ้งรหัส OTP 6 หลัก โดยอ้างว่าจะดำเนินการให้ จึงขอย้ำเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร โทรหาส่ง SMS แจ้งให้ประชาชนยื่นแบบหรือให้ชำระภาษีประจำปี เพราะอาจทำให้ท่านสูญเสียทรัพย์สินได้

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธเนตร กาละกุล สว.กก.2 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ เล่านาทีโดนหลอกจนสูญเงิน 3.2 ล้าน เผย!! ช่วงแรกผวา ‘นอนไม่หลับ-กินข้าวไม่ลง’ รู้สึกเหนื่อย

(11 ก.ค.66) สืบเนื่องจากกรณีข่าวแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นตำรวจหลอกลวง นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ ให้โอนเงินสูญเงินไป 3.2 ล้านบาท

ล่าสุด ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ ได้มาเปิดใจผ่านรายการ ‘คุยแซ่บ Show’ เผยนาทีโดนหลอกสูญเงิน 3.2 ล้าน ท้อใจโอกาสได้เงินคืนไม่ถึง 1%

ต๋อง เผย ชีวิตหลังโดนหลอกรู้สึกเข่าแทบทรุด การใช้ชีวิตหลาย ๆ อย่างเปลี่ยนไป ต้องไปปิดอายัดบัญชีธนาคารทั้งหมด เบอร์โทรศัพท์มือถือก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ผลกระทบที่เกิดขึ้นเยอะมาก และเราก็ต้องประหยัดขึ้น ทำอะไรระวังตัวเองมากขึ้น ยอมรับว่าช่วงเกิดเหตุ 2 สัปดาห์แรกนอนหลับไม่สนิท กินข้าวก็ไม่ลง รู้สึกเหนื่อย และใช้ความคิดค่อนข้างเยอะ บอกเลยว่าไม่โดนด้วยตัวเองไม่มีทางเข้าใจ

‘ตร.’ คุมตัว ‘โอลาฟ’ มือฆ่าโหดนักธุรกิจเยอรมัน ส่ง สภ.หนองปรือ เร่งสอบสวนเค้นหาเหตุจูงใจ

(12 ก.ค. 66) จากกรณีการหายตัวไปของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค (MR.HANS PETER RALTER MACK) อายุ 62 ปี นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวเยอรมัน ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ก.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งวันที่ 10 ก.ค. ตำรวจไล่กล้องวงจรปิด พบว่า โตโยต้า รีโว สีดำ จค 7679 ชลบุรี ซึ่งนายโอลาฟ ชาวเยอรมัน และเป็นเพื่อนสนิทของนางเพธา ได้รับช่วงต่อในการบรรทุกตู้แช่แข็งขับวนรอบๆ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี เป็นระยะทางกว่า 160 กม. ก่อนจะขับเข้ามาจอดในหมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น โฮม 1 ซึ่งห่างจากลานจอดรถชั่วคราวที่รถเบนซ์ของนายฮันส์ถูกนำไปจอดทิ้งไว้

จากนั้นตำรวจจึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ จนทราบว่าตู้แช่แข็งถูกนำมาซุกซ่อนไว้ในบ้านทาวน์โฮมชั้นเดียว ภายในหมู่บ้านโชคชัย การ์เด้น โฮม 1 หมู่ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จึงรีบนำกำลังเข้าตรวจสอบ พร้อมด้วยตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน เขต 2 ชลบุรี ภายหลังเจ้าหน้าที่เปิดตู้แช่ พบร่างนายฮันส์ถูกฆ่าหั่นเป็น 13 ส่วน บรรจุใส่ถุงดำแล้วนำไปแช่แข็งไว้ จากการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล เบื้องต้นยืนยันว่าเป็นศพนายฮันส์ ปีเตอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน ที่หายตัวไป ศพถูกแช่แข็ง ทำให้ศพยังอยู่ในสภาพยังไม่เน่าเปื่อย แต่พบว่าที่ศีรษะมีร่องรอยถูกตีด้วยของแข็งหลายครั้งจนเป็นแผลฉกรรจ์ ตำรวจจึงได้ส่งศพให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. มีการขอศาลอาญาออกหมายจับ ผู้ต้องหา 3 ราย ประกอบด้วย 1.) MRS.PETRA CHRISTL GRUNDGREIF (เพตรา) ชาวเยอรมัน 2.) MR.OLAF THORSTEN BRINKMANN (โอลาฟ) ชาวเยอรมัน และ 3.) นายซาฮ์รูค คารีม อุดดิน ชาวปากีสถาน สัญชาติไทย ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ และต่อมา นางเพตรา ถูกจับกุมเป็นรายแรก ก่อนที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกมาเปิดเผยว่า รู้พิกัดของผู้ต้องหาอีก 2 รายแล้ว อยู่ระหว่างปฏิบัติการล่าตัว

ต่อมาช่วงค่ำวันเดียวกัน ชุด บก.ตม. 3 ไล่ล่าตัวผู้ต้องหา ฆ่าหั่นศพนักธุรกิจชาวเยอรมัน ตรวจสอบวงจรปิดตามเส้นทางที่คาดว่า นายโอลาฟจะใช้หลบหนีหลังมีการขโมยรถ จยย.ในการหลบหนี พบว่าหนีออกนอกพื้นที่ จ.ชลบุรีแล้ว มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ จึงติดตามมากระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ในห้องพักหลังร้านอาหาร พื้นที่ สน.ประเวศ ก่อนนำตัวไปทำบันทึกจับกุมที่ สน.ประเวศ ตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จากนั้นนำตัวไปสอบปากคำที่ สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี

โดยเมื่อเวลา 23.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ มาที่ สภ หนองปรือ โดยได้ควบคุมตัวเข้าห้องสอบสวนทันที โดยผู้สื่อข่าวได้สอบถาม นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ว่ามีไรจะพูดหรือไม่?

ทางด้าน นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ ไม่ได้พูดอะไร ใช้เสื้อปิดหน้าปิดตา ก่อนเดินเข้าทางด้านหลัง สภ.หนองปรือ ทันที พร้อมนำตัวเข้าห้องสอบสวน เพื่อสอบถามอย่างละเอียดถึงมูลเหตุจูงใจ ที่ก่อเหตุในครั้งนี้

‘สาว’ โพสต์เตือนภัย!! หลังถูกแอบถ่ายใต้กระโปรงบนรถไฟฟ้า เผย โรคจิตคนนี้ก่อเหตุมาแล้ว 3 ครั้ง โชคดีมีพลเมืองดีช่วยไว้

เมื่อไม่นานมานี้ บัญชี TikTok ชื่อ ‘PIMJAI’ ได้ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอ ‘EP1 เตือนภัยโดนแอบถ่ายใต้กระโปรงบนรถไฟฟ้า’ โดยในคลิปได้ระบุว่า…

“วันนี้จะมาเล่าเตือนภัยหลังโดนแอบถ่ายใต้กระโปรงบนบีทีเอส ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสักช่วงค่ำ ๆ เป็นเวลาที่เรากลับจากการทำงานค่ะ และได้ใช้บีทีเอสกลับบ้านปกติ แต่สาเหตุที่ทำให้รู้สึกเอะใจ เริ่มจากที่บีทีเอสสยามค่ะ มีคนมาสะกิดข้างเรา และถามว่าเส้นนี้ผ่านชิดลมไหม เราเลยตอบกลับไปว่าใช่ หลังจากนั้นบีทีเอสก็มา ประตูเปิดเราก็เดินเข้าบีทีเอสไป ซึ่งเราอุส่าห์เดินจากประตูนึงไปอีกประตูนึงที่อยู่เยื้องกันไป เพราะเห็นว่าแถวนั้นไม่ค่อยมีคน แต่ผู้ชายที่สะกิดเราตอนแรกได้เดินตามหลังเรามา เราเลยมองกระจกที่มันสะท้อนไปด้านหลังก็เห็นผู้ชายคนนั้นท่าทางแปลก ๆ ทำไมต้องมาอยู่ใกล้หลังเราด้วยทั้งที่บริเวณพื้นที่ตรงนั้นเยอะมาก” 

“เราก็เลยหันไปมองด้านหลัง แล้วตาก็เหลือบไปมองกระเป๋าเขาพอดี ตรงกระเป๋าเขาตรงปลายก็จะปักเป็นตัวอักษร R แต่เรารู้สึกว่าตัว R มันแปลก ๆ เหมือนเจาะรูดำเอาไว้ ซึ่งเราก็ได้เพ่งไปที่กระเป๋าเขา แล้วก็คิดว่า เฮ้ย! มันคุ้น ๆ สถานการณ์นี้เหมือนเป็นกล้องแอบถ่ายเลย เราก็เลยก้มลงไปหยิบกระเป๋าเขาขึ้นมาเลยนะคะ แล้วถามว่า นี่ใช่กล้องไหมคะ? ซึ่งตอนนั้นถ้าหน้าแตกก็คือยอมหน้าแตกเลย หลังจากนั้นผู้ชายคนนี้ก็ทำท่าลุกลี้ลุกลนแล้วก็ดึงกระเป๋ากลับ เราเลยคิดว่าใช่แน่ ๆ เราจึงยื้อกระเป๋าเขาไว้ และตะโกนว่า “ช่วยด้วยค่ะ โดนแอบถ่ายใต้กระโปรง” เพื่อให้คนในขบวนได้รับรู้ ซึ่งเราเป็นคนที่เสียงดังมาก จังหวะนั้นประตูบีทีเอสเปิดพอดี ไอ้โรคจิตมันก็เลยกระชากกระเป๋าวิ่งออกจากบีทีเอสไปเลย”

ถัดมา ‘คุณ PIMJAI’ ได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊กเพิ่มเติมเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “โชคดีมาก ๆ มีพลเมืองดีประมาณ 4-5 คน กรูกันไปจับ มีคนนึงกระโดดถีบคนร้ายโรคจิตจนติดกำแพง ก็เลยสามารถจับไว้ได้ทัน ต้องขอบคุณทุกคนมาก ๆ เลยนะคะที่ช่วย ไม่งั้นมันคงหนีไปได้แน่ จับได้แล้วเราก็ตะโกนเรียก รปภ. แถวนั้นให้มาช่วยแต่หาไม่เจอ มีผู้ชายใจดีไปช่วยตาม รปภ. มาให้ เจ้าหน้าที่ที่รถไฟฟ้าคนอื่น ๆ ก็ตามกันมาช่วย โทรตามตำรวจมาเอาคนร้ายโรคจิตไปไต่สวนที่โรงพักเพื่อดำเนินคดี”

“เหตุการณ์วันนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ช็อกมาก ๆ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน โชคดีมากที่ตอนนั้นสังเกตสิ่งรอบตัว ไม่มัวยืนเล่นมือถือ ไม่งั้นคงไม่รู้แน่ ๆ ว่ากำลังโดนแอบถ่าย แล้วก็โชคดีที่ตัวเองใส่กางเกงซับในไว้ตลอด (ไม่อยากจะเชื่อว่าต้องมาดีใจที่ตัวเองป้องกันไว้ ทั้งที่จริงสิ่งเหล่าที่มันไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย ต่อให้เขาจะนุ่งสั้นนุ่งยาวก็ตาม)”

“สรุปคือโรคจิตคนนี้บอกว่าก่อเหตุมา 3 ครั้งแล้ว แต่ละคลิปคือเดินแอบถ่ายใต้กระโปรงผู้หญิงตามห้าง ตามรถไฟฟ้า มีหลาย ๆ คนที่โดนแอบถ่ายโดยไม่รู้ตัว อยากจะเตือนทุกคนว่าโรคจิตพวกนี้มันมีอยู่ตลอด ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็โดนได้หมด (วันนี้ที่เราไปแจ้งความ ก็มีผู้ชายไปแจ้งเรื่องโดนแอบถ่ายเหมือนกัน) เวลาที่อยู่ในที่สาธารณะ อยากให้ทุกคนพยายามสังเกตสัญญาณที่น่าสงสัยรอบตัวไว้บ้างนะคะ แล้วเวลามีอะไรเกิดขึ้น อย่าไปอายที่จะตรวจเช็กและขอความช่วยเหลือนะคะ”

‘แก๊งมือฆ่าหั่นศพ’ เครียด-คอตก หิ้วฝากขังศาลพัทยา คาด ถูกค้านประกันตัว หลังโดนเพิกซ่าวีซ่าทั้งหมด .

(13 ก.ค. 66) จากการเสียชีวิตของ นายฮันส์ ปีเตอร์ แรลเตอร์ มัค นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ชาวเยอรมัน ถูกฆ่าหั่นศพหมกตู้แช่แข็งเพื่ออำพรางศพ ภายในบ้านหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านในอำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยตำรวจขอศาลอนุมัติออกหมายจับ 3 ผู้ต้องหา ก่อนจับตัวชาวเยอรมัน 3 คน คือนางเพธา คริสเติล กรุนด์กริฟ อายุ 54 ปี นายโอลาฟ ธรอสเทน บริงก์มันน์ อายุ 52 ปี และ น.ส.นิโคล เฟรเวล อายุ 52 ปี ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 13 ก.ค. 66 พ.ต.ต.วชิรวิชญ์ วิสุทธิ์เสรีพันธุ์ สว.สอบสวน สภ.หนองปรือ จ.ชลบุรี พร้อมกำลังตำรวจเกือบ 10 นาย คุมตัวนางเพธา, นายโอลาฟ และ น.ส.นิโคล เฟรเวล ชาวเยอรมันทั้ง 3 คน นำตัวออกจากห้องขัง ขึ้นรถควบคุม เพื่อเดินทางไปยังศาลจังหวัดพัทยา เพื่อยื่นคำร้องฝากขังผัดแรก ระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวออกมา ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน มีสีหน้าเคร่งเครียด คอตก และไม่ตอบคำถามใด ๆ กับนักข่าว

สำหรับ นางเพธาและนายโอลาฟ ถูกตำรวจออกหมายจับ ในข้อหากล่าวหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ ส่วน น.ส.นิโคลหญิงพิการ เป็นผู้เช่าบ้าน ที่นำตู้แช่แข็งไปวางในห้องนอน ก่อนจะพยายามหลบหนีและกรีดแขนตัวเองฆ่าตัวตาย

ถูกตำรวจตั้งข้อหา “ปิดบังซ่อนเร้นอำพรางศพ” โดยชาวเยอรมันทั้ง 3 คน ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จ.ชลบุรี ทำเรื่องเพิกถอนวีซ่า และหนังสือเดินทาง จึงทำให้คาดการณ์ว่า น่าจะไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นศาล อีกครั้งยังเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ

นายชาฮ์รูค อายุ 27 ปี สัญชาติไทยเชื้อชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาคนสุดท้าย ที่ถูกตำรวจจับได้ที่ จ.กาญจนบุรี พบว่าตำรวจย้ายไปฝากขังที่ห้องควบคุม สภ.บางละมุง เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้นายโอลาฟ และนางเพธา พบหรือพูดคุยกัน เนื่องจากว่าจะเกรงว่าจะเสียรูปคดี

อีกทั้งตำรวจเชื่อว่า นายชาฮ์รูคอาจเป็นตัวกุญแจสำคัญในการไขปมสังหารในครั้งนี้ทั้งหมด ซึ่งนายโอลาฟและนางเพธา ไม่ยอมปริบอกให้การใด ๆ กับตำรวจทั้งสิ้น

ตำรวจไซเบอร์จับกุมแอดมิน VK กลุ่ม DARKSIDE อัปคลิปอนาจารและโปรโมตเว็บพนัน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ต่าง ๆ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนให้ถึงต้นตอของขบวนการอย่างจริงจัง

สืบเนื่องจากกลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต บก.ตอท. ได้ตรวจสอบพบ แอปพลิเคชัน VK ชื่อกลุ่ม DARK SIDE CLUB ได้มีการโพสต์ภาพลามกอนาจาร แอบแฝงชักชวนเล่นพนันออนไลน์ มีผู้ติดตามกว่า 50,000 คน

ต่อมาวันที่ 12 ก.ค.66 พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. พร้อมด้วย พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ ชุดสืบสวนได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบุรี และ กก.สส.ภ.จว.เพชรบุรี นำหมายค้นศาลจังหวัดเพชรบุรี เข้าตรวจค้นบ้านพักในพื้นที่ หมู่ 3 ต.หนองปรง อ.เขาย้อย จว.เพชรบุรี พบนายอัครนันท์ พร้อมโทรศัพท์เคลื่อนที่ จำนวน 1 เครื่อง ซิมการ์ด 2 ซิม จากการตรวจสอบตรวจพบหลักฐานยืนยันว่านายอัครนันท์ฯ เป็นแอดมิน VK ชื่อกลุ่ม DARK SIDE CLUB ซึ่งเป็นกลุ่มสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ โดยไม่มีรหัสป้องกัน หรือต้องได้การรับเชิญจากผู้จัดการ และ กลุ่มอื่น ๆ ที่มีการโพสต์ภาพลามกอนาจาร แอบแฝงชักชวนเล่นพนันออนไลน์ รวมแล้ว 19 กลุ่ม มีผู้ติดตามรวมกว่า 250,000 คน

จึงได้ร่วมกันจับกุม นายอัครนันท์ อายุ 27 ปี ในความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูล คอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และ ผู้ใดจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณา หรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นซึ่งมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ตาม พ.ร.บ.การพนัน จากนั้นนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เบื้องต้นจากการสอบถามผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยรับทำมาแล้วหลายปีเคยได้เงินมากสุดถึง 100,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งปัจจุบันได้ผันตัวเป็นเอเย่นคอยส่งงานการโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันไปยังแอดมินกลุ่มอื่น ๆ โดยทำหน้าที่เป็นคนกลางหักหัวคิว

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท., พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทาง อินเทอร์เน็ต บก.ตอท. สั่งการ พ.ต.ท.วิสุทธิ์ ขุนพิลึก สว.ฯ, พ.ต.ท.วิเชียร คําชุมภู สว.ฯ, พ.ต.ท.ธนพงศ์ธัช อ่อนชูเหมรัต สว.ฯ, พ.ต.ต.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ พร้อมทีมสืบสวนดำเนินการจับกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top