Friday, 6 June 2025
เอกนัฏพร้อมพันธุ์

‘สส. รทสช.’ ร่วมให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ ตอกย้ำหนักแน่น พร้อมขอเดินเคียงข้างพรรคเสมอ

กลมเกลียวเป็นหนึ่ง ‘อัครเดช’ เผย สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ เดินหน้าทำสิ่งที่ถูกต้อง ย้ำหนักแน่นเคียงข้างพรรคเสมอ

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะโฆษกพรรค แถลงผลการประชุมประจำสัปดาห์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า ในวันนี้ทั้งผู้บริหารพรรค สส.พรรคได้เดินทางมาประชุมร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงและพร้อมใจกันให้กำลังใจนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป เนื่องจากเข้าใจดีว่า การทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน แต่ไปขัดขวางผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ย่อมทำให้เกิดกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์และผู้ไม่หวังดีที่พยายามปล่อยข่าวดิสเครดิต เพื่อหวังให้พรรคเสียหาย ซึ่งในที่ประชุมทั้งผู้บริหารพรรค สส. และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็ยืนยันตรงกันอีกครั้งว่า จะขออยู่เคียงข้างหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และพร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นความหวังของพ่อแม่พี่น้องประชาชนและประเทศไทยต่อไป

ด้านนายพีระพันธุ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า ขณะนี้พรรคได้คะแนนนิยมและเสียงตอบรับที่ดีขึ้นจากประชาชน เห็นได้จากยอดเงินบริจาคที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงขอให้สส. พรรคทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชน และขอให้ทุกคนเดินเคียงข้างไปพร้อม ๆ กันกับตนเองและเลขาธิการพรรค เพื่อพัฒนาพรรคให้เติบโต แข็งแกร่ง เป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไปให้เหมาะสมกับคำขวัญของพรรคที่ว่า “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง”

ขณะเดียวกันในวันที่ 25 ธ.ค. 67 เวลา 11.00 น. จะมีการแถลงข่าวมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย นำโดยนายพีระพันธุ์และนายเอกนัฏ และสส. พรรค เกี่ยวกับการปลดล็อก “โซลาร์รูฟท็อป” ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดได้ในราคาที่ถูกและเป็นธรรมด้วย

‘พีระพันธุ์’ พังอุปสรรคพลังงานเพื่อประชาชน ผนึก ก.อุตฯ เสนอร่าง กม. ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปช่วยลดภาระค่าไฟ

‘พีระพันธุ์’ พังอุปสรรคพลังงานเพื่อประชาชน  ‘รวมไทยสร้างชาติ’ เสนอร่างกฎหมายปลดล็อค ‘โซลาร์รูฟท็อป’ อย่างครบวงจรครั้งแรกของประเทศ  เลิกระบบขออนุญาต  มุ่งลดภาระค่าไฟให้ประชาชน  พร้อมสร้างอาชีพใหม่  ธุรกิจใหม่ 

(25 ธ.ค. 67) ที่รัฐสภา  นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงข่าวร่วมกับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมด้วย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ  โดยเปิดเผยว่า  พรรครวมไทยสร้างชาติกำลังเตรียมนำเสนอร่างกฎหมายสนับสนุนและส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานจากแสงอาทิตย์  ที่เรียกว่า ระบบโซลาร์รูฟท็อป เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรในวันนี้  ซึ่งจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นจากภาระค่าไฟฟ้าแพง  และเป็นส่วนหนึ่งในนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติที่มุ่งลดภาระค่าครองชีพของพี่น้องประชาชน  และเป็นการร่วมทำงานระหว่างกระทรวงเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า ปัจจุบันการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ในประเทศไทย ยุ่งยาก ซับซ้อน และมีราคาแพง อีกทั้งยังมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องถึง 5 แห่ง  พรรครวมไทยสร้างชาติในฐานะที่ดูแลกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งกำกับดูแลหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้  จึงได้ดำเนินการประสานกันระหว่างทั้งสองกระทรวงอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลดล็อคให้ประชาชนสามารถติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วขึ้น  โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว  กระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีให้ยกเว้นการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อปทุกกำลังการผลิตที่ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงาน ไม่ต้องขอใบอนุญาตอีกต่อไป  ในขณะที่ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน ก็กำลังเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อปลดล็อคเรื่องการขออนุญาตติดตั้งเช่นกัน

“เรามีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึง 5 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งต่างก็มีกฎหมายของตนเองที่ตีความว่าการจะติดตั้งระบบโซลาร์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของหน่วยงานตน  เรามีกฎหมายเยอะมาก แต่ที่ไม่เคยมีก็คือ กฎหมายที่จะสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงแดด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย  วันนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ยกร่างกฎหมายซึ่งไม่เคยมีในประเทศไทยให้กับพี่น้องประชาชน คือ กฎหมายเกี่ยวกับการสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เข้าสภาผู้แทนราษฎร และกฎหมายฉบับนี้จะปลดล็อคอย่างถาวรจากฎหมายอื่นๆ ที่เคยนำมาอ้างอิง ” นายพีระพันธุ์กล่าว 

นายพีระพันธุ์ยังได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้สนับสนุนในการดำเนินการดังกล่าว พร้อมระบุว่ากฎหมายฉบับนี้จะทำให้พี่น้องประชาชนมีค่าใช้จ่ายเรื่องพลังงานไฟฟ้าถูกลง และเป็นการทำตามนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด และส่งเสริมให้ภาครัฐเป็นผู้ให้บริการ โดยเปลี่ยนจากการขออนุญาตติดตั้งอุปกรณ์โซลาร์เป็นการแจ้งให้ทราบ ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการติดตั้งได้เร็วขึ้น โดยหน่วยงานเกี่ยวข้องจะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบการติดตั้งในภายหลังเท่านั้น ซึ่งจะลดความล่าช้าในการติดตั้ง รวมถึงการประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐได้ 

นายพีระพันธุ์กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลของกฎหมายฉบับนี้ยังช่วยสร้างอาชีพใหม่ โดยเฉพาะอาชีพการติดตั้งโซลาร์เซลล์-โซล่าร์รูฟท็อป  ซึ่งตนได้เตรียมความพร้อมในการเสริมสร้างทักษะอาชีพด้านนี้ผ่านการอบรมโดยกระทรวงพลังงาน  รวมถึงเตรียมที่จะปรับปรุงเงื่อนไขของกองทุนที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับพี่น้องประชาชนที่มีความต้องการติดตั้งพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 

สำหรับปัญหาราคาในการติดตั้งอุปกรณ์โซลาร์ที่มีราคาแพงนั้น  กระทรวงพลังงานได้มีการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์อินเวอร์เตอร์ในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ซึ่งผ่านการทดสอบคุณภาพจาก สวทช. ในขั้นตอนแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ทางกระทรวงพลังงานยังมีการวิจัยการประดิษฐ์แบตเตอรีสำหรับกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกด้วย 

“ทุกอย่างต้องใช้เวลา แต่ทุกอย่างที่หมักหมมมาหลายสิบปีจะได้รับการพังทลายโดยพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างแน่นอน พลังงานจะต้องดีกว่าที่เคยเป็นแน่นอน ในระหว่างที่ผมดำรงตำแหน่ง ประชาชนและประเทศชาติจะต้องได้รับประโยชน์มากที่สุด” นายพีระพันธุ์กล่าว

'เอกนัฏ' สั่งฟันโรงงานสายไฟลอบทำลายของกลาง จัดหนัก 2 ข้อหาอาญา หลังส่งทีมตรวจซ้ำพบของหายหมดคลัง

'เอกนัฏ' ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตรวจซ้ำโรงงานสายไฟในสมุทรสาคร ที่เคยถูกดำเนินคดีแล้ว พบลอบทำลายของกลางสายไฟฟ้าไร้คุณภาพ สั่งฟัน 2 คดีอาญาทันที ย้ำ โรงงานสายไฟฟ้าต้องผลิตให้ได้มาตรฐานปลอดภัย ตรวจพบดำเนินคดีเด็ดขาด

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามมาตรการเข้มงวดโรงงานผลิตสายไฟฟ้าที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัย จึงได้ส่งชุดตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รมว. อุตสาหกรรม, นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผอ.กองตรวจการมาตรฐาน 1 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และเจ้าหน้าที่ สมอ. ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานผลิตสายไฟฟ้าที่ จ.สมุทรสาคร เนื่องจากโรงงานแห่งนี้ถูกดำเนินคดีโทษฐานผลิตสายไฟฟ้าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอยู่ระหว่างการดำเนินคดี โดยเจ้าหน้าที่ได้สั่งยึดอายัดสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานไว้เกือบ 2,677 ม้วน มูลค่ากว่า 2.1 ล้านบาท 

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า จากการตรวจค้นโดยทีมตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่า ของกลางสายไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานที่ยึดอายัดไว้เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หายไปจากคลังสินค้าทั้งหมด ซึ่งผู้บริหารโรงงานอ้างว่าได้นำของกลางที่ถูกยึดอายัดไปทำลายหมดแล้ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรง มีเจตนาต้องการทำลายหลักฐานที่ต้องใช้ในกระบวนการสืบสวนสอบสวนทางกฎหมาย และเจ้าหน้าที่ได้มีการแจ้งผู้บริหารโรงงาน ขึงเทปพร้อมติดคำสั่งประกาศห้ามเคลื่อนย้ายสินค้าของกลางที่ถูกอายัดทั้งหมด จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลไว้ด้วย

”เจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งข้อกล่าวหา และดำเนินคดีเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 141  และมาตรา 142 ฐานทำลายซ่อนเร้นหลักฐานทางคดีต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ“ รมว.อุตสาหกรรม ระบุ

นายเอกนัฏ กล่าวอีกว่า ขอแจ้งเตือนโรงงานผู้ผลิตสายไฟฟ้าทุกรายต้องผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน เพราะทีมตรวจการณ์สุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่ สมอ.จะสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับ มอก. มีความปลอดภัย และหากพบโรงงานใดมีเจตนาผลิตสายไฟฟ้าต่ำกว่ามาตรฐานจะถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและติดตามอย่างต่อเนื่อง

‘รมว.ขิง’ โพสต์เฟซ!! ขอบคุณทุกฝ่ายที่คอยสนับสนุน พีระพันธุ์ เเละ รทสช. ในการทำงาน ชี้!! ‘นิด้าโพล’ เพิ่มขึ้น พร้อมเดินหน้าทุ่มเท พังทุกปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศ

(29 ธ.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า …

เดินหน้าทำงาน…

วันนี้ เมื่อเทียบเวลาเดียวกันกับปลายปีที่แล้ว คะแนนนิยม วัดโดยนิด้าโพล เพิ่มขึ้น
ของ #หัวหน้าพี จาก 2.4% เป็น 10.25%
ของพรรค #รวมไทยสร้างชาติ จาก 3.2% เป็น 10.6%
ล่าสุดทะลุ 10% ทั้งคู่แล้ว

ขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนพวกเรา คอยช่วยสื่อสารประชาสัมพันธ์ผลงานของพรรคและหัวหน้า #พีระพันธุ์
เราจะเดินหน้าทุ่มเททำงาน แก้ปัญหา พัฒนาประเทศ ด้วยจุดยืนที่มั่นคง ตามแบบ #DNAลุงตู่

รวมผลงานเด่นปี 67 ‘เอกนัฏ’ ขับเคลื่อนกระทรวงอุตฯ “ปลดล็อคโซลาร์รูฟ – ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา – เซฟยานยนต์ไทย”

(30 ธ.ค. 67) รวมผลงานเด่นปี 67 “เอกนัฏ” ขับเคลื่อนกระทรวงอุตฯ “ปลดล็อคโซลาร์รูฟ-ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา-เซฟยานยนต์ไทย” โดนใจประชาชน

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผลงานกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ในรอบปี 2567 ที่ผ่านมาแบ่งออกเป็น 5 เรื่องสำคัญ คือ 1) ปลดล็อก "โซลารูฟท็อป" ไม่ต้องขอนุญาตโรงงาน 2) ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา 3) เซฟยานยนต์ไทย 4) จัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ 525 ล้านบาท ดูแลชุมชนรอบเหมือง 5) เติมเงินทุน SME ฮาลาล เติมแรงกระตุ้นภาคอุตฯ พร้อมชูแผนงาน พร้อมชูการดำเนินงานในปี 2568 เดินเครื่องเต็มกำลังผ่าน 4 เรื่อง คือ 1) สั่งโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศหยุดรับอ้อย 7 วัน ช่วงปีใหม่ และมาตรการ ”รับซื้อใบอ้อย“ เป็นครั้งแรก 2) ปรับปรุงกฎหมายเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม 3) ใช้ AI ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 4) แพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ ติดตามสถานะคำขอในด้านต่าง ๆ 

สำหรับผลงานเรื่องแรก : ปลดล็อก "โซลารูฟท็อป" ไม่ต้องขออนุญาตโรงงาน โดยเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ครม. มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ... (พ.ศ. ...) ออกตามความใน พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 ยกเว้นให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา หรือโซลารูฟท็อปทุกกำลังการผลิต ไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานและไม่ต้องขออนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน ซึ่งการปลดล็อกจะช่วยอำนวยความสะดวก ลดความยุ่งยาก และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอกชนรายย่อยให้สามารถเข้าถึงการใช้ไฟฟ้าสะอาดจากพลังแสงอาทิตย์ได้แล้ว ยังจะกลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่จะตอบสนองต่อเทรนด์การค้าโลกในอนาคตและช่วยดึงดูดการลงทุนต่างประเทศ (FDI) ให้เพิ่มมากขึ้น

เรื่องที่สอง : ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา แจ้งมาจับจริง ไม่กลัวอิทธิพล ปราบโรงงานไร้ความรับผิดชอบ กากของเสีย สินค้าไม่ได้มาตรฐาน โดย อก. ได้บูรณาการกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ เปิด “ปฏิบัติการตรวจสุดซอย”ต่อเนื่อง ปูพรมตรวจกำกับดูแลโรงงานกลุ่มเสี่ยงสูงในพื้นที่เฝ้าระวัง ที่มีกว่า 218 ราย โดยเฉพาะโรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม หรือโรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่เป็นของเสียอันตราย เช่น การคัดแยก หลุมฝังกลบ ทำเชื้อเพลิงผสม ทำเชื้อเพลิงทดแทนจากน้ำมันและตัวทำละลายใช้แล้ว สกัดแยกโลหะ ถอดแยกบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หลอมตะกรัน รีไซเคิลกรดด่าง เป็นต้น ที่มีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม โดยได้เดินหน้าตรวจตั้งแต่ พ.ย. - ธ.ค. 67 กว่า 13 จังหวัด อาทิ 1) โรงงานในเขตฟรีโซนลอบเปิดกิจการ จ.ฉะเชิงเทรา 2) โรงงานผิดกฎหมายเถื่อน จ.ปราจีนบุรี 3) โรงงานลอบเปิดกิจการ จ.ปราจีนบุรี 4) โรงงานสายไฟไม่ได้มาตรฐาน จ.สมุทรสาคร 5) จับสินค้าไร้ มอก. จ.สมุทรปราการ 6) โรงงานลักลอบฝังกลบโลหะหนัก จ.ลพบุรี 7) โรงงานเหล็กเส้นไม่ได้มาตรฐาน จ.ชลบุรี 8) สั่งหยุดโรงงานไฟไหม้ จ.ระยอง 9) โรงงานผลิตสายไฟไม่ตรงมาตรฐาน จ.อยุธยา 10) โรงงานน้ำตาลรับอ้อยเผา จ.ลพบุรี 11) โรงงานน้ำตาลค่ามลพิษทางอากาศ จ.ชัยภูมิ, มุกดาหาร และกาฬสินธุ์   และยังได้ปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานทั้งระบบ โดยใช้แนวคิด “เพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการที่ดี” โดยการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่ดีในทุกช่องทาง ควบคู่ไปกับการขึ้นบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดีหรือมีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง เพื่อยกระดับการตรวจสอบ กำกับดูแล และติดตามโรงงานกลุ่มดังกล่าวอย่างเข้มข้น ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเชิงป้องกันที่ต้นเหตุ สู้กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ทำร้ายประชาชน สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบาย “สู้ เซฟ สร้าง” ปฏิรูปการกำกับโรงงานทั้งระบบ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการกำกับดูแลโรงงานทั่วประเทศ

เรื่องที่สาม : เซฟยานยนต์ไทย จากสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ญี่ปุ่น อก. ให้ความสำคัญกับการฟื้นความเชื่อมั่น จึงได้เดินทางโรดโชว์คุยระดับทวิภาคีกับ 6 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในญี่ปุ่น และได้รับสัญญานบวกในการรักษาฐานการผลิตยานยนต์ในไทยและการลงทุนเพิ่ม ต่อยอด ด้วยเม็ดเงินกว่า 1.2 แสนล้าน และยืนยันสนับสนุนมาตรการส่งเสริมที่เป็นธรรมทั้งทางภาษี และสิทธิประโยชน์ทั้งค่ายรถยนต์สันดาป ICE รถยนต์ไฟฟ้า EV และ XEV พร้อมส่งเสริมให้ใช้ Part Localization ชิ้นส่วนสำคัญให้ผลิตในไทย เพื่อรักษา Supplier และแรงงานคนไทยในระบบ กว่า 4.45 แสนคน ให้มีงานมีรายได้ต่อไป ซึ่งเป็นวาระสำคัญ จึงมั่นใจได้ว่าตลาดรถยนต์ในประเทศในปีหน้า 2568 จะมีการฟื้นตัวอย่างมีสมดุลยภาพขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น นายอากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหาร ได้เข้าหารือกับนายกรัฐมนตรี และยืนยันว่าโตโยต้าจะรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในไทยและจะนำเม็ดเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการลงทุน เพื่ออัปเกรดสายการผลิตไปสู่รถไฮบริด ซึ่งจากเดิมที่เป็นฐานการผลิตของเครื่องยนต์สันดาปภายใน จะมีเพิ่มเติมในชิ้นส่วนไฟฟ้า เช่น มอเตอร์ เกียร์ มีการลงทุนเพิ่มซึ่งมีการจ้างงาน ส่งต่อถ่ายทอดเทคโนโลยี มีการวิจัยและพัฒนาบุคลากรให้มีการเดินหน้าต่อ และโตโยต้าฯ ยินดีร่วมมือกับรัฐบาลไทยส่งเสริมภาคการผลิต การส่งออกอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง 

เรื่องที่สี่ : จัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ ที่ได้จากผู้ประกอบกิจการเหมืองแร่ที่ได้รับสิทธิในการสำรวจแร่หรือการทำเหมือง มูลค่ากว่า 525 ล้านบาท มอบให้ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่ในละแวกพื้นที่การประกอบธุรกิจเหมืองแร่ จำนวน 187 ชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้นำไปดูแลชุมชนรอบเหมือง ยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนที่เป็นที่ตั้งของแหล่งแร่ และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้เกิดการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ตามแนวคิด “เหมืองแร่เพื่อชุมชน” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยพัฒนาภาคอุตสาหกรรม สังคมและชุมชนให้เติบโตร่วมกันได้อย่างยั่งยืน โดยกรมอุตสาหกรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ได้จัดสรร “เงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ”  มูลค่ารวมกว่า 525 ล้านบาท ให้แก่   จ.สระบุรี 248 ล้านบาท จ.ลำปาง 41 ล้านบาท จ.นครราชสีมา 19 ล้านบาท จ.สุพรรณบุรี 19 ล้านบาท จ.ชลบุรี 16 ล้านบาท จ.นครศรีธรรมราช 14 ล้านบาท จ.ราชบุรี 11 ล้านบาท เป็นต้น  นอกจากนี้ในปี 2568 กพร. ยังมีแผนที่จะจัดสรรเงินกระจายสู่ชุมชนอื่นที่อยู่โดยรอบการประกอบกิจการเหมืองแร่เพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายจะสามารถจัดสรรเงินได้ปีละไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท เพื่อเร่งให้ชุมชนได้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดย กพร. มีแนวทางในการติดตามตรวจสอบเฝ้าระวังป้องกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องจากกิจการเหมืองแร่ รวมถึงการจัดสรรผลประโยชน์จากการพัฒนาแหล่งแร่ให้กับชุมชนในพื้นที่อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง พร้อมผลักดันให้ผู้ประกอบการดำเนินกิจการด้วยความเป็นมิตรต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการเหมืองแร่สีเขียว เพื่อมอบรางวัลให้กับเหมืองแร่ดีเด่นที่สามารถรักษามาตรฐานการประกอบการเพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรแร่อย่างคุ้มค่าด้วย

เรื่องที่ห้า : เติมเงินทุน SME ฮาลาล เติมแรงกระตุ้นภาคอุตฯ ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอาหาร การบริการที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย และมีรสชาติตามความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดมุสลิมที่มีประชากรจำนวนมาก มีแนวโน้มการบริโภคที่สูงขึ้น ผู้ประกอบการไทยต้องปรับปรุงและพัฒนาสินค้าและบริการให้ได้มาตรฐาน ผ่านกระบวนการตรวจการรับรองฮาลาล รวมทั้งการบริการที่ต้องมีกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทานถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามและสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้สนับสนุนเงินทุนเพื่อต่อยอดการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลตามมติคณะกรรมการอุตสาหกรรมฮาลาลแห่งชาติ (กอฮช.) ครั้งที่ 1/2567 ผ่านกิจกรรม "เรียนแล้ว รับรองได้ ลงทุนง่าย ขายส่งออกเป็น" ภายใต้แนวคิด สานพลังแหล่งเงินทุน รวมพลัง 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม รวมไปถึงการพัฒนาและส่งเสริมการทดสอบและการรับรองมาตรฐานฮาลาล โดยสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศให้มีศักยภาพ สามารถเติบโต และแข่งขันสู่สากลได้อย่างยั่งยืน

โฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวต่อว่า ในส่วนการดำเนินงานในปี 2568 ของ อก. เดินหน้า 4 เรื่อง คือ เรื่องแรก : สั่งโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศหยุดรับอ้อย 7 วัน ช่วงปีใหม่ และ มาตรการ ”รับซื้อใบอ้อย“เป็นครั้งแรก อก.ได้ออกคำสั่งให้โรงงานนํ้าตาล 57 โรง ทั่วประเทศ หยุดรับอ้อย 7 วัน ตั้งแต่เมื่อวานนี้ 27 ธ.ค. 2567 จนถึงวันที่ 2 ม.ค.2568 เพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกท่านได้เที่ยวพักผ่อนในช่วงเทศกาลปีใหม่ แบบไร้ฝุ่นควันที่เกิดจากการลักลอบเผาอ้อย และงดการบรรทุกขนส่งอ้อยบนท้องถนน เพื่อการสัญจรอย่างปลอดภัย เพื่อช่วยส่งคืนอากาศบริสุทธิ์ให้ทุกท่านเป็นของขวัญในช่วงปีใหม่ รวมถึงมาตรการ ”รับซื้อใบอ้อย“เป็นครั้งแรก โดยเพิ่มราคารับซื้อใบและยอดอ้อยในอัตรา 300 บาทต่อตันใบและยอดอ้อย หรือเท่ากับ 51 บาทต่อตันอ้อย เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเห็นคุณค่าและประโยชน์ของใบและยอดอ้อย ซึ่งจะช่วยลดการเผาอ้อยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดสาเหตการเกิดฝุ่น PM 2.5 ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพอนามัยของประชาชน และเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งยกระดับผลผลิตของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายสู่อุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่

เรื่องที่สอง : ปรับปรุงกฎหมายเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม อก. กำหนดนโยบาย “การปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยสู่เศรษฐกิจยุคใหม่” ผ่านมาตรการสำคัญในการจัดการกากอุตสาหกรรม น้ำเสีย อากาศที่เป็นพิษเกิดจากการประกอบการอุตสาหกรรมส่งผลกระทบต่อประชาชน การสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SME รวมทั้งสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเริ่มต้นปรับปรุงกฎหมายทั้งหมดที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงฯ และได้แต่งตั้ง "คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม" ในระยะเริ่มแรกได้ยกร่างกฎหมายเพื่อการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมเป็นการเฉพาะ รวมทั้งจัดตั้งและรวบรวมกองทุนใน อก. ให้อยู่ในกฎหมายดังกล่าว เพื่อรองรับภารกิจที่เกิดขึ้นใหม่และเพิ่มประสิทธิภาพของภารกิจที่มีอยู่เดิม ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวมีชื่อว่า “ร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม พ.ศ. ....” ซึ่งมีเนื้อหาในการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ ครอบคลุมกากอุตสาหกรรมจากสถานประกอบการอุตสาหกรรม ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และซากรถยนต์ โดยได้นำสภาพปัญหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม   ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มาถอดบทเรียนและพัฒนากลไกใหม่ๆ เพื่อให้ระบบจัดการกับผู้ประกอบกิจการที่กระทำผิดกฎหมาย ไม่รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมและประชาชน รวมทั้งจัดตั้งกองทุนที่ชื่อว่า “กองทุนปฏิรูปอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน” ในร่างกฎหมายมีวัตถุประสงค์ครอบคลุมทั้งการสนับสนุนและเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนผ่านภาคอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นแหล่งเงินทุน การร่วมทุนกับวิสาหกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ แก้ไขปัญหาเยียวยา ชดเชยให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการประกอบการอุตสาหกรรม รองรับภารกิจในการแก้ไขปัญหาเยียวยาประชาชน ที่ได้รับผลกระทบ การสร้างแต้มต่อทางเศรษฐกิจให้กับภาคอุตสาหกรรมเป้าหมาย สนับสนุนให้เกิดเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน การเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและการปรับปรุงเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ จำเป็นต้องย้ายพื้นที่ไปประกอบการในบริเวณที่เหมาะสม ทั้งนี้การปรับปรุงทุกองคาพยพของภาคอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งเน้นการสร้างให้เกิดความยั่งยืนที่แท้จริง โดยปัจจุบันการจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการจัดทำกฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเมื่อร่างกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว จะสามารถเป็นเครื่องมือที่จะจัดการปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทั้งนี้ ผลการปฏิบัติงานทั้งหมดจะนำไปสู่การปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติอุตสาหกรรม พ.ศ... ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในปี 2568 อก. จะได้นำเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้ ครม.พิจารณาและนำเสนอรัฐสภาเพื่อให้มีผลใช้เป็นกฎหมายต่อไป 

เรื่องที่สาม : ใช้ AI ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จากสถานการณ์การทะลักเข้ามาของสินค้าข้ามชาติราคาถูก แต่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เป็นอันตรายกับประชาชนผู้ใช้งาน กระทรวงอุตสาหกรรม จึงได้ตั้ง “คณะกรรมการเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม (INDX)” โดยมีเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานกรรมการฯ โดยผลการศึกษาพบว่า ระบบ AI: Artificial Intelligence จะสามารถเพิ่มการตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานทางออนไลน์ เพิ่มขึ้นโดยประมาณการที่ 100,000 รายการ/วัน จากเดิมใช้กำลังคนตรวจที่ 1,600 รายการ/วัน โดยผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของประชาชนอย่างสายไฟ-ปลั๊กพ่วง และหมวกกันน๊อคไม่ได้มาตรฐานจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เร่งให้ความสำคัญก่อน ความคืบหน้าของการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรม ได้มีแนวทางวิธีการดำเนินการของ สำนักวานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ในการตรวจจับ ใช้ “คน” ในการตรวจสอบการกระทำความผิดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ และมีเสนอแนะเพิ่มเติมให้ใช้ “AI” ในการตรวจจับ Keyword (ชื่อ/รีวิว) ภาพลักษณะของผลิตภัณฑ์ (ต้นแบบ) ตรวจสอบกับฐานข้อมูล ผู้รับใบอนุญาต / มาตรฐาน มอก. / พิจารณาขอบข่ายเบื้อง ส่วนด้านกฎหมายใช้ “คน” ในการตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องของข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในคดี นอกจากนี้ยังได้เตรียมวางแนวทางการนำเทคโนโลยี AI มาตรวจจับสินค้าไม่ได้มาตรฐาน 

เรื่องที่สี่ : แพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ ติดตามสถานะคำขอในด้านต่าง ๆ โดยความคืบหน้าการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการพัฒนาแพลตฟอร์มแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ เพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม แพลตฟอร์มกระทรวงอุตสาหกรรมที่ผสานเทคโนโลยี TRAFFY FONDUE นี้ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเรื่องร้องเรียนจากประชาชน หน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการ รวมถึงติดตามสถานะคำขอในด้านต่าง ๆ เช่น การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน การขอมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ใบอนุญาตประทานบัตร และการขอสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SME โดยมีการแบ่งการใช้งานให้เหมาะสมกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายในกระทรวงอุตสาหกรรม ดังนี้ 1) สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม จะรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและภาคธุรกิจ พร้อมทั้งติดตามสถานะคำขอต่าง ๆ 2) กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะเน้นการตรวจสอบและอนุมัติคำขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน รวมถึงติดตามคำร้องที่ยื่นผ่านระบบ 3) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จะดูแลการขอรับสินเชื่อและการสนับสนุนผู้ประกอบการ SME พร้อมทั้งให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้านอุตสาหกรรม 4) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม จะรับผิดชอบการตรวจสอบและติดตามการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้แพลตฟอร์มดังกล่าวมีจุดเด่นที่สำคัญ คือ ระบบ Dashboard ซึ่งสามารถแสดงสถานะข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ทั้งในภาพรวมระดับกระทรวงและแยกย่อยไปยังแต่ละหน่วยงาน ช่วยให้ประชาชนและผู้ประกอบการสามารถติดตามสถานะคำร้องหรือบริการที่ต้องการได้อย่างโปร่งใส สะดวก และรวดเร็ว และระบบยังรองรับการจัดการข้อมูลแบบครบวงจร ช่วยให้หน่วยงานต่าง ๆ สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมผลักดันการปฏิรูปภาคอุตสาหกรรมไทยให้ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบต่อไป

‘เอกนัฏ’ สั่งการ รง. ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์หยุดกิจการทันที หลังชั้นลอยโรงงานกำลังต่อเติมถล่มทับคนงานเสียชีวิต

(30 ธ.ค. 67) ‘เอกนัฏ’ สั่งการหยุดกิจการทันที หลังชั้นลอยโรงงานถล่ม ในสวนอุตสาหกรรม 304 ปราจีนบุรี พร้อมเร่งช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุแผ่นคอนกรีตชั้นลอยอาคารของโรงงานบริษัท ไทยยานากาวา จำกัด ประกอบกิจการทำชิ้นส่วนอุปกรณ์รถยนต์ ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรม 304 ตำบลท่าตูม อำเภอศรีมหาโพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ถล่มลงมาทับคนงาน เบื้องต้นเสียชีวิต 5 ราย เมื่อเวลา 09.30 น. ของวันนี้ (30 ธันวาคม 2567) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต และจะดูแลเยียวยาผู้ได้รับบาดเจ็บให้ดีที่สุด

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์) ได้สั่งการโดยด่วนให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (นายณัฐพล รังสิตพล) ส่งทีมเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี (สอจ.ปราจีนบุรี) ลงพื้นที่และสั่งการโดยด่วนให้บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานและระงับการใช้อาคารที่เกิดเหตุทันที ตามมาตรา 39 ของ พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ. 2535 พร้อมทั้งสั่งการให้ปรับปรุงแก้ไขอาคารให้มีความมั่นคงแข็งแรง โดยต้องทำการตรวจสอบและได้รับการรับรองจากผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม จึงจะอนุญาตให้กลับมาใช้อาคารต่อไปได้

จากการตรวจสอบ พบว่า บริษัทฯ หยุดประกอบกิจการโรงงานช่วงเทศกาลปีใหม่ และได้ว่าจ้างผู้รับเหมาเข้ามาทำการเคลื่อนย้ายชั้นลอยที่เป็นโครงสร้างส่วนประกอบเหล็กและแผ่นคอนกรีต ในอาคารแผนก Die Cast ขณะปฏิบัติงานเกิดเหตุแผ่นคอนกรีตพื้นชั้นลอยหล่นลงทับคนงานเสียชีวิต จำนวน 5 ราย โดยสาเหตุเบื้องต้นเกิดจากขั้นตอนการใช้แม่แรงไฮดรอลิกในการยกเสาเหล็กโครงสร้างเพื่อติดล้อในการเคลื่อนย้าย ทำให้เกิดการบิดตัวของโครงสร้าง โดยแผ่นพื้นคอนกรีตที่อยู่ด้านบนเกิดการเคลื่อนตัวและหล่นลงมาด้านล่าง

“รัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เน้นย้ำมาตรการรักษาความปลอดภัยภายในสวนอุตสาหกรรม ต้องเข้มงวด ทั้งการกำกับโรงงานตามระเบียบและระบบสาธารณูปโภคภายใน ให้สอดรับกับนโยบายการปฏิรูปอุตสาหกรรมยุคใหม่ ซึ่งทางรัฐมนตรีฯ ได้เตรียมส่งทีมตรวจการสุดซอยลงพื้นที่เข้าตรวจสอบต่อไป“ นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

‘รทสช.’ ปลื้มเรตติ้ง ‘พีระพันธุ์ - พรรค’ พุ่ง ยันสืบทอด DNA ลุงตู่ ยึดมั่น ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

(2 ม.ค. 68) โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ขอบคุณแรงเชียร์ ชี้โพลล่าสุดทะลุเกิน 10 %  ผสานกำลัง รมต.และ สส. มุ่งมั่นทำงานเพื่อคนไทย ย้ำนโยบาย 'รื้อ ลด ปลด สร้าง' พลังงานไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้เข้มแข็ง ยันสืบทอด DNA ลุงตู่ ยึดมั่น ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 

วันที่ 2 มกราคม 2568 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า ขอขอบคุณทุกการสนับสนุนและความไว้วางใจจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกคนในปีที่ผ่านมา ที่ให้การสนับสนุนและให้ความไว้วางใจพรรคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเห็นได้จากคะแนนความนิยมทางการเมืองล่าสุดของผลสำรวจนิด้าโพลที่คะแนนความนิยมของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พุ่งขึ้นเป็น 10.25% ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 10.6% ได้รับคะแนนนิยมเกิน 10% ทั้งสองส่วน

ส่วนในปี 2568 ยืนยันว่า พรรคจะยังมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของชาติและพี่น้องชาวไทยทุกคนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยในส่วนของกระทรวงพลังงาน ภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน จะเดินหน้า 'รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง' พลังงานไทย เพื่อให้คนไทยได้ใช้พลังงานอย่างเป็นธรรม เป็นนโยบายเป้าหมายหลักที่สำคัญของนายพีระพันธุ์ 

ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม ภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรมว.อุตสาหกรรม ก็จะเดินหน้าตามแผนงาน 'สู้ เซฟ สร้าง ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย' และจัดการกับกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่ทำผิดกฎหมายด้วยชุดปฏิบัติการทีมสุดซอยของทีมรัฐมนตรีเอกนัฏ อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งการเร่งส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อพาอุตสาหกรรมไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

เช่นเดียวกับอีก 2 รัฐมนตรี คือ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และพลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่จะเดินหน้าตั้งใจทำงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มความสามารถเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน

นายอัครเดช ย้ำในส่วนบทบาทของ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ในปี 2568 นี้ ทุกคนก็จะมุ่งมั่นทำงานในส่วนของฝ่ายนิติบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและคนไทยทุกคนควบคู่ไปกับการลงพื้นที่ดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อรับฟังและแก้ไขปัญหาให้พ่อแม่พี่น้องประชาชน ตามสโลแกนของพรรคที่ว่า 'สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกที่' รวมถึงการสืบทอด DNA ของลุงตู่ คือ การยึดมั่นและสืบทอด 3 สถาบันหลักของชาติ อันประกอบด้วย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคง

"พรรครวมไทยสร้างชาติ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ขอยืนยันว่าจะเดินหน้าทำงานในหน้าที่อย่างดีที่สุดเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เพื่อผลประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในปีนี้พรรคจะได้รับการสนับสนุนและความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนด้วยดีและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และขอขอบคุณทุกกำลังใจที่เชื่อมั่นพรรครวมไทยสร้างชาติเสมอมา" นายอัครเดช กล่าว

‘เอกนัฏ’ ซัด พวกไม่หวังดีปูดข่าวแตกคอ ‘พีระพันธุ์’ เคลียร์ชัด! ยังคุยกันดี พร้อมจับมือร่วมทำงานเพื่อประชาชน

เมื่อวันที่ (2 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกับรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์ ทางสถานีโทรทัศน์ท็อป นิวส์ ถึงกรณีที่ยังมีผู้ตั้งข้อสงสัยถึงการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย โดยย้ำว่า สาเหตุของการร่วมรัฐบาลเพื่อไทยก็คือ เพื่อทำตามนโยบายของพรรคในเรื่องการป้องกันการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาม.112, การป้องกันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 และ 2 และเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ 

ดังนั้นตราบใดที่ตนเองและนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังทำงานในรัฐบาล นายพีระพันธุ์ ตนเองและพรรคก็พร้อมจะเดินหน้าทำงานตามนโยบายที่ให้ไว้กับพี่น้องประชาชนและรักษาซึ่งอุดมการณ์ที่มีอย่างเต็มที่เพื่อประเทศและคนไทย โดยไม่ขอสนใจการเล่นการเมืองหรือความที่ใครจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามแต่ โดยเฉพาะการเมืองแบบเก่า ๆ และหากการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรครวมไทยสร้างชาติ ทำให้กลุ่มผู้สนับสนุนเดิมหรือทำให้ใครไม่พอใจ ตนเองก็ต้องขอโทษด้วย แต่ถึงวันนี้ยังยืนยันว่า อุดมการณ์ของตนไม่เคยเปลี่ยน และทุกอย่างที่ทำล้วนมีเหตุมีผลและทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อให้ประเทศยังเดินหน้าต่อไปได้

“ไม่ได้ทำการเมือง เพื่อให้ตนเองหรือนายพีระพันธุ์ ต้องเป็นหัวหน้าไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องรักษาศรัทธาของประชาชนเอาไว้และยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง แค่เท่านั้นเอง” นายเอกนัฏ ระบุ

นายเอกนัฏ ย้ำด้วยว่า เป็นเรื่องไร้สาระกับข่าวที่ว่าพรรคกำลังแยกกันเดินออกเป็น 2 สาย คือ สายของตนเองและสายของนายพีระพันธุ์ โดยข่าวดังกล่าวเกิดจากผู้ไม่หวังดีที่ต้องการให้พรรคแตกแยกกัน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะทุกวันนี้ตนและนายพีระพันธุ์ ยังคุยกันดี ปรึกษากันทุกเรื่องและจับมือเดินหน้าทำงานไปด้วยกัน ส่วนกรณีที่มีรูปถ่ายใกล้ชิดกับน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นั้นเกิดจากการที่ตนได้พานายอากิโอะ โตโยดะ ประธานกรรมการบริหารบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องการลงทุนของบริษัท โตโยต้า ที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งตนเองคาดหวังให้โตโยต้าลงทุนในไทยด้วยเม็ดเงินราว 100,000 ล้านบาท(หนึ่งแสนล้านบาท) แต่เบื้องต้นโตโยต้าได้ตอบตกลงที่จะลงทุนในไทยเพิ่มอีกอย่างน้อย 55,000 ล้านบาท(ห้าหมื่นห้าพันล้านบาท) และเตรียมที่จะส่งคนมาสำรวจวิจัยการลงทุนในไทยเพิ่มเติมตามที่ตนได้ร้องขอ

นายเอกนัฏ ยังระบุถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือร่างพรบ.โซลาร์ โดยยืนยันว่า หากร่างพระราชบัญญัตินี้ผ่านสภา มีผลบังคับใช้ คนไทยจะได้ใช้ไฟในราคาที่ถูกลงอย่างแน่นอน ทั้งยังสามารถผลิตไฟฟ้าใช้ได้เอง โดยไม่ต้องขออนุญาตเหมือนเช่นในอดีต ทั้งนี้กระทรวงพลังงานจะนำเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานมาช่วยอุดหนุนควบคู่ไปกับการผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ติดตั้งระบบโซลาร์แบบครบชุดในราคาที่ถูก เพื่อให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์รูฟสำหรับใช้ผลิตไฟฟ้าได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม ในราคาที่ย่อมเยาด้วย โดยตนเองมั่นใจด้วยว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมคาดการณ์กรอบเวลาที่จะมีผลบังคับใช้ได้เร็วที่สุด คือ ภายในไม่เกิน 1 ปีนับจากนี้

การสนับสนุนให้ภาคประชาชนสามารถติดตั้งอุปกรณ์ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ได้ง่าย นอกจากส่งผลต่อบ้านเรือนที่ติดตั้งแล้ว ในภาพรวมยังสามารถลดค่าไฟฟ้าที่ทั้งประเทศจะต้องร่วมกันจ่ายได้ด้วย จากที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าน้อยลงเพราะมีการผลิตในภาคครัวเรือน ทำให้การตั้งกำลังไฟสำรองก็น้อยลงตามไปด้วย 

สำหรับการทำงานในกระทรวงอุตสาหกรรมเป้าหมายของตนชัดเจนคือการทำให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยฟื้นกลับมาเข้มแข็ง เพื่อที่จะเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ผ่านการจัดระบบ ในการส่งเสริมอุตสาหกรรมดี ๆ ในประเทศ ควบคู่กับการเดินหน้าจัดการกับโรงงานและอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ไม่มาตรฐาน รวมถึงการปกป้องอุตสาหกรรมสำคัญของไทยไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ 

“ไม่ได้บอกว่าตนไม่เคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิต แต่ตนเป็นคนที่เตือนสติตัวเองอยู่ทุกวันทั้งก่อนนอนและตื่นนอน ด้วยความกลัวว่าจะเป็นคนที่ไม่ดี เป็นคนที่จะอ่อนข้อให้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งผมมั่นใจว่าผมชนะมารในตัวผมได้ มั่นใจได้ว่าขิงยังเป็นขิงคนเดิม” นายเอกนัฏกล่าวในตอนท้าย

รับชมรายการเรื่องนี้ต้องเคลียร์ ฉบับเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=tZJpugth0No

'เอกนัฏ' หวังเห็นค่าไฟต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย เชื่อเป็นไปได้ หาก 'รัฐ-เอกชน' ร่วมมือกัน

‘เอกนัฏ’ รมต.อุตสาหกรรม หวังเห็นค่าไฟฟ้าต่ำกว่า 3 บาทต่อหน่วย ขอความร่วมมือ "รัฐ-เอกชน" ผสานสร้างแต้มต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศ

(8 ม.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ งานประจำปี สศอ. OIE Forum ครั้งที่ 16 "Industrial Reform : ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่" ในหัวข้อ “ปฏิรูปอุตสาหกรรมไทย สู่เศรษฐกิจยุคใหม่” จัดโดย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ว่า รัฐบาลผลักดันให้เศรษฐกิจก้าวไปข้างหน้าเติบโตได้ ภารกิจกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เป็นพระเอกมีความท้าทาย หลายคนมองเอสเอ็มอีจะฟื้น ส่วนตัวหวังว่าจะมีส่วนส่วนดัน GDP ไม่ต่ำกว่า 1% โดยไม่ใช้งบประมาณแม้แต่บาทเดียว

ทั้งนี้ จึงต้องดูสภาพเศรษฐกิจของประเทศ หากวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศ ยังอยู่ระหว่างกำลังฟื้นจากโควิด จะเห็นปัญหาหนี้สาธารณะเกือบแตะ 70% ซึ่งไทยตั้งงบขาดดุลทุกปีเพื่อนำเงินมาลงทุน เมื่อหนี้สาธารณะสูง จึงมีข้อจำกัดในการตั้งงบประมาณขาดดุลมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ก็ยังติดปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ธนาคารไม่ปล่อยกู้ ทำให้การจับจ่ายใช้สอดหดตัว

ดังนั้น ความหวังจึงอยู่ที่ภาคอุตสาหกรรม แต่การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทั้งเทคโนโลยี ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้า คนส่วนใหญ่มองเป็นปัญหาความท้าทายที่ไทยต้องเจอ แต่ตนมองว่าเป็นโอกาสสำคัญของไทย ถ้าสามารถปรับตัวได้เร็ว และแรง เท่ากับการเปลี่ยนแปลง มั่นใจว่าภาคอุตสาหกรรมจะฟื้นกลับมาเป็นพระเอกให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโตได้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตออกขายต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ภารกิจนี้จะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ จึงต้องร่วมมือและปรับตัว ทั้งรัฐ และเอกชน เพราะจุดเด่นไทยวันนี้เป็นเป้าหมายของนักลงุทนทั่วโลก จากการมีโลเคชั่นที่ดีเชื่อมต่อเหนือลงใต้ คาบมหาสมุทรผ่านประเทศไทย มีโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนมา 10 ปี โดยใช้เงินมหาศาล มีซัพพลายเชนสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่มีความสมบูรณ์มากสุดที่หนึ่งในภูมิภาค มีคนไทย ประเทศน่าอยู่ 

ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมพยายามปรับการเปลี่ยนแปลงให้มากที่สุด แต่ก็มีสิ่งที่ท้าทาย คือต้นทุน เชื้อเพลิง ไฟฟ้า ทรัพยากรและน้ำ จึงลงนามให้ปลดล็อกการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาโดยไม่ต้องขออนุญาต อีกทั้งการที่อดีตนายกรัฐมนตรี และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศลดค่าไฟ 3.70 บาท นั้น ถ้าช่วยกันจะต่ำกว่า 3 บาทได้ จะเป็นแต้มต่อสำคัญของภาคอุตสาหกรรม เพราะไทยมีนโยบายบายเป็นมิตรกับการลงทุน มีซัพพลายเชน ทุกเซ็กเตอร์ได้ประโยชน์ นักลงทุนจะเข้ามาสร้างเศรษฐกิจประเทศมหาศาล    

"วันนี้เราต้องการใช้ไฟสะอาด ซึ่งการซื้อไฟโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ยังคงมีราคาแพง การผลิตพลังงานก็ถูกดิสรัปที่เป็นบวกเกิดต้นทุนทำให้เนื้อไฟกว่าจะมาถึงจาก 2 บาทกลายเป็น 4 บาท การปลดล็อกทำให้ไม่ต้องผ่านหลายระบบ ดังนั้น หาก กฟผ.ทำหน้าที่พัฒนาสมาร์ทกริด แอพพลิเคชันสำรองไฟโดยเฉพาะแบตเตอรี่จะสามารถเอาพลังงานเหลือกลางวันมาใช้ในกลางคืนได้ถ้าช่วยกันทำจะเห็นค่าไฟเลข 2 บาทแน่นอน"

ดังนั้น หากแก้ปัญหาพลังงาน ภาษี ปรับการส่งออก อุตสาหกรรมยานยนต์จะโต ซึ่งเซกเตอร์สำคัญ ยานยนต์ ไฮเทค อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมอาหารและชีวภาพ รวมถึงการพัฒนาคนจะฟื้นให้ภาคอุตสาหรกรรม ภาครัฐต้องทำงานร่วมกับเอกชน ปรับตัวทำให้สะดวกโปรงใส่ ลดต้นทุนพลังงาน สร้างมูลค่าเพิ่มเติมเต็มซัพลลายเชนในอุตสาหกรรมสำคัญ ปกป้องอุตสาหกรรมต้นน้ำ เอสเอ็มอีประเทศ ไม่ให้ลักลอบเอาสินค้าที่ผลิตเกินมาดั้มราคาในไทย

‘เอกนัฏ’ คิกออฟ! ขนกากพิษ ‘วิน โพรเสส’ ล็อตแรก ตั้งเป้าปิดฉากมหากาพย์กากพิษระยอง ภายใน เม.ย. 68

คิกออฟ!! วิน โพรเสส ‘เอกนัฏ’ ลงพื้นที่สั่งเคลียร์กากพิษล็อตแรกกว่า 7 พันตัน เร่งปิดฉากมหากาพย์อนุสรณ์สถานกากพิษระยอง

(9 ม.ค.68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมกำชับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) คุมเข้มการขนย้ายตะกรันอะลูมิเนียมหรืออะลูมิเนียมดรอสล็อตแรกทั้ง 7,000 ตัน ในทุกขั้นตอน โดยเริ่มขนย้ายออกจากบริษัทฯ แล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 เพื่อนำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ซึ่งจากการประเมินของกรมโรงงานฯ พบว่า ในพื้นที่มีกากของเสียตกค้างรวมประมาณ 33,800 ตัน ประกอบด้วย 

1) ของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ 12,600 ตัน 2) กากตะกอนของเสียตกค้างในอาคารและรางระบายน้ำ 4,600 ตัน 3) กากตะกอนผิวดินที่เกิดการปนเปื้อนจากเหตุไฟไหม้ 5,900 ตัน และ 4) น้ำเสียเคมีวัตถุ 10,700 ตัน ซึ่งต้องใช้งบประมาณในการบำบัดกำจัดสูง ไม่สามารถดำเนินการในคราวเดียว ประกอบกับจากการสำรวจพื้นที่พบว่ามีอะลูมิเนียมดรอสประมาณ 7,000 ตัน ซึ่งเป็นกากของเสียที่สร้างปัญหาเรื่องกลิ่นรบกวนชาวบ้านในพื้นที่มากที่สุด กระทรวงอุตสาหกรรมจึงแถลงต่อศาลจังหวัดระยองขอเบิกเงินที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด วางไว้ต่อศาลจำนวน 4.9 ล้านบาท มาใช้ในการบำบัดกำจัด อะลูมิเนียมดรอสก่อนเป็นลำดับแรกเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ โดยมีกำหนดการแล้วเสร็จภายในวันที่ 26 เมษายน 2568 นี้

ด้าน นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากการประเมินตัวเลขค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอส รวมค่าขนส่งจะอยู่ที่ประมาณตันละ 10,000 บาท ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมด 7,000 ตัน สูงถึง 70 ล้านบาท กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ผนึกกำลังร่วมกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี ผ่านการดำเนินกิจกรรม 'อุตสาหกรรมรวมใจ' ทำการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสไปบำบัดกำจัดโดยใช้เป็นวัตถุดิบผสมร่วมกับดินอลูมินาในกระบวนการเผา เพื่อผลิตปูนซีเมนต์ซึ่งใช้อุณหภูมิสูงกว่า 1,400 องศาเซลเซียส ประกอบกับบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) มีระบบบริหารจัดการและระบบบำบัดมลพิษประสิทธิภาพสูง ทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสได้ทั้งหมดอย่างปลอดภัย ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบโรงงาน ด้วยงบประมาณเพียง 4 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้านในพื้นที่ได้แล้ว ยังสามารถลดการใช้งบประมาณของภาครัฐลงได้กว่า 66 ล้านบาท

ด้าน นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า การขนย้ายจะคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของประชาชนเป็นสำคัญ โดยการยกถุงบิ๊กแบ็กที่บรรจุอลูมิเนียมดรอส บรรทุกโดยรถโรลออฟพ่วงที่ขึ้นทะเบียนและได้รับอนุญาตให้ขนส่งวัตถุอันตราย บรรทุกจำนวน 17 ถุงต่อคัน จำนวน 4-5 คันต่อวัน รวมจะทำการขนย้ายปริมาณ 115 ตันต่อวัน ซึ่งจะใช้เวลาในการขนย้ายและทำการบำบัดกำจัดอลูมิเนียมดรอสทั้งสิ้นประมาณ 60 วัน โดยรถโรลออฟพ่วงทุกคันมีการใช้ระบบติดตามจีพีเอส และมีระบบติดตามและตรวจสอบการขนย้ายอะลูมิเนียมดรอสเฉพาะกิจ ปิดคลุมรถด้วยแผ่นพลาสติกรัดตรึงด้วยเชือกทุกด้าน เพื่อป้องกันการหกรั่วไหลและป้องกันน้ำอย่างมิดชิด จึงสามารถมั่นใจได้ว่าการขนย้ายและการบำบัดกำจัดอะลูมิเนียมดรอสทั้งหมดจะดำเนินการเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด

“ผมได้สั่งการและกำชับให้ กรอ. เร่งทำการบำบัดกำจัดกากของเสียที่เหลือให้เร็วที่สุด โดยในระยะต่อไป จะทำการบำบัดของเสียเคมีวัตถุและเศษซากของเสียที่ถูกไฟไหม้ โดยเฉพาะสารเคมีที่บรรจุอยู่ในถัง IBC และถุงบิ๊กแบ็กที่อยู่นอกอาคารปริมาณ 2,600 ตัน รวมถึงวัตถุอันตรายในบ่อซีเมนต์อีกกว่า 1,400 ตัน และกากของเสียที่เหลืออื่น ๆ ทั้งหมดด้วย นอกจากนี้ กระทรวงฯ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติกากอุตสาหกรรม พ.ศ. ... ที่ได้ยกร่างแล้วเสร็จต่อรัฐสภา ซึ่งผมเชื่อมั่นว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะอุดรอยรั่วและยกระดับมาตรการทางกฎหมายที่ครอบคลุมการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบอย่างเข้มงวด รัดกุม ป้องกันการกระทำผิดแบบครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งจะเป็นการปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้เกิดความสมดุลต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน” นายเอกนัฏฯ กล่าวทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top