Friday, 6 June 2025
เอกนัฏพร้อมพันธุ์

‘เอกนัฏ’ ชง ‘กระดาษสัมผัสอาหาร’ เป็นสินค้าควบคุม หวังควบคุมโลหะหนัก คาดมีผลบังคับใช้ธันวาคม 2568

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลคุณภาพมาตรฐานของสินค้า ให้เข้มงวดในการตรวจควบคุมการผลิตและนำเข้าสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมทั้ง ยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชน โดยเพิ่มจำนวนสินค้าที่ส่งผลกระทบกับความปลอดภัยให้เป็นสินค้าควบคุมมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการสกัดกั้นสินค้าด้อยคุณภาพที่ทะลักเข้ามา และให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบการในประเทศ ล่าสุด เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบมาตรฐานกระดาษสัมผัสอาหารเป็นสินค้าควบคุม คาดมีผลบังคับใช้ธันวาคม 2568 

“ผมได้สั่งการ สมอ. เร่งประกาศให้ กระดาษสัมผัสอาหาร และกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน ให้เป็นสินค้าควบคุมเพิ่มอีก 2 รายการ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายและหากเป็นสินค้าด้อยคุณภาพ อาจมีปริมาณโลหะหนักและสารเคมีเกินเกณฑ์มาตรฐานเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ รวมทั้งได้เตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งผู้ทำ ผู้นำเข้า ในการยื่นขอรับใบอนุญาตจาก สมอ. ก่อนที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้” นายเอกนัฏ กล่าว

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “มาตรฐานกระดาษสัมผัสอาหาร มอก. 2948-2562” เช่น จานกระดาษ ถ้วยกระดาษ และ “กระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน มอก. 3438-2565” เช่น กระดาษรองอาหารที่ใช้ในหม้ออบลมร้อน หรือกระดาษอุ่นอาหารในไมโครเวฟ เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยที่มีข้อกำหนดสำคัญ ในการควบคุมปริมาณโลหะหนัก ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม และโครเมียม และสารเคมีในกระบวนการผลิตที่เป็นอันตราย ได้แก่ สารฟอกนวล และสารต้านจุลินทรีย์ ไม่ให้เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนด รวมทั้งสารเคมีที่ใช้ต้องเป็นชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร (Food contact grade) เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค โดยเฉพาะมาตรฐานกระดาษสัมผัสอาหารสำหรับปรุงอาหารด้วยความร้อน จะต้องผ่านการทดสอบที่อุณหภูมิความร้อนสูงสุด 175 องศาเซลเซียส โดยคาดว่ามาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคม 2568 นี้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการทุกรายต้องทำ และนำเข้า เฉพาะสินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2568 สมอ. ได้จัดการสัมมนาเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการและผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการขอรับใบอนุญาต ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ กรุงเทพฯ โดยมีผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่าย เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าว จำนวนกว่า 330 ราย   

‘เอกนัฏ’ เดินหน้าสอยยกแก๊งลอบนำเข้า ‘ฝุ่นแดง’ ส่งทีมบุกจับ ‘หัวจงฯ’ ซ้ำ หลังพบเส้นเงินโยง ‘ซินเคอหยวน’

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ บุกจับ ‘หัวจงฯ’ ซ้ำ หลังเจอเส้นทางการเงินจ่ายค่า ‘ฝุ่นแดง’ โผล่ ‘ซิน เคอ หยวน’ ยอดเกิน 111.8 ล้านบาท พบโยง ‘เค เอ็ม ซี’ บริษัทนำเข้ากากอุตฯ รายใหญ่ที่เคยพบการปลอมเอกสาร ผลกรรมการสอบข้อเท็จจริงออกแล้ว ฮึ่ม! ขรก. มีเอี่ยวฟันไม่เลี้ยงแน่ ‘ฐิติภัสร์’ เผยเจ้าหน้าที่แจ้งความเอาผิด บริษัทหัวจงฯ เตรียมรับโทษจำคุก คาด ‘แก๊งศูนย์เหรียญ’ ทำเป็นขบวนการ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ‘ทีมสุดซอย’ พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) อุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) นำหมายค้นจากศาลจังหวัดสมุทรสาคร เข้าตรวจค้น บริษัท หัวจง อุตสาหกรรม จำกัด ตั้งอยู่ที่ ต.คลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับการลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศ ลักษณะเป็นขบวนการในเครือข่ายธุรกิจรีไซเคิลศูนย์เหรียญ

“ปฏิบัติการตรวจสุดซอยครั้งนี้ เป็นการขยายผลจากบริษัท ซินเคอหยวน สตีล จำกัด ที่มีการขายฝุ่นแดงไปยังบริษัท หัวจง อุตสาหกรรม จำกัด และจากการตรวจสอบในระบบคอมพิวเตอร์ พบการจ่ายเงินเกินกว่ารายการจริงมากถึง 111.8 ล้านบาท และยังพบเอกสารข้อมูลการนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศหลายรายการ เชื่อมโยงกับ บริษัท เค เอ็ม ซี 1953 จำกัด จ.ปทุมธานี ผู้ประกอบกิจการนำเข้า-ส่งออก ซึ่งถูกดำเนินคดีข้อหาลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงก่อนหน้านี้ด้วย” นายเอกนัฏ ระบุ

นายเอกนัฏ กล่าวด้วยว่า หลังจากช่วงเดือนมีนาคม 68 ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีพบหลักฐานเอกสารประกอบการนำเข้าฝุ่นแดงของ บริษัท เค เอ็ม ซี 1953 จำกัด ถึง กรมศุลกากรนั้น เป็นเอกสารที่ออกจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดแห่งหนึ่ง ขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้รายงานกลับมายังตนเรียบร้อยแล้ว และพบว่ามีข้าราชการบางรายเข้าไปมีส่วนร่วมการกระทำผิดจริง จึงได้สั่งให้สอบทางวินัยอย่างเด็ดขาดและจะส่งเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีอาญากับข้าราชการที่กระทำความผิดต่อไป

น.ส.ฐิติภัสร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลที่สืบค้นได้จากคอมพิวเตอร์ฝ่ายบัญชีของบริษัท หัวจงฯ พบว่า มีรายการชำระค่าฝุ่นแดงให้กับ บริษัท ซิน เคอ หยวนฯ ซึ่งมีความผิดปกติ เพราะยอดชำระเกินไปจากมูลค่าจริงถึง 111,862,833.30 บาท เจ้าหน้าที่จึงได้ยึดอายัดเอกสาร คอมพิวเตอร์ เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิด โทรศัพท์มือถือ ของบริษัท หัว จงฯ  เพื่อนำไปตรวจสอบและขยายผลเครือข่าย รวมถึงเส้นทางการเงินที่อาจมีความเชื่อมโยงไปยังเครือข่ายธุรกิจรีไซเคิลศูนย์เหรียญ 

นอกจากนี้ยังพบเอกสารและข้อมูลการนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศหลายรายการเชื่อมโยงกับ บริษัท เค เอ็ม ซีฯ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ที่ก่อนหน้านี้มีการแจ้งความเอาผิด โดยทีมสุดซอยได้เข้าตรวจค้น หลังพบการกระทำผิดปลอมแปลงเอกสารราชการเพื่อลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงเข้ามาภายในประเทศกว่า 10,262 ตัน ในช่วงเดือน ส.ค. 67 ถึงช่วงต้นปี 68 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้อายัดฝุ่นแดงจำนวน 7,000 ตัน และอายัดวัตถุอันตรายต้องสงสัยอีก 200 ตัน นำส่งกองวิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงาน กรอ. เพื่อตรวจสอบและเป็นข้อมูลในการดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ทางอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีบริษัท หัวจงฯ และ นายยี่หัน หวัง ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทฯ ฐานครอบครองวัตถุอันตราย และตรวจสอบความผิดฐานลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงซึ่งถือเป็นวัตถุอันตรายเพิ่มเติมอีกด้วย

“ความเชื่อมโยงลักลอบนำเข้าฝุ่นแดงจากต่างประเทศกับบริษัท เค เอ็ม ซีฯ รวมไปถึงธุรกรรมที่ผิดปกติกับบริษัท ซิน เคอ หยวนฯ ชี้ให้เห็นว่า ทำกันเป็นขบวนการในกลุ่มธุรกิจศูนย์เหรียญที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เข็ดหลาบ แม้จะอยู่ระหว่างถูกลงโทษระงับการประกอบกิจการไปแล้ว ที่สำคัญยังไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอันอาจจะเกิดขึ้นจากวัตถุอันตรายที่อยู่ในความครอบครองด้วย” น.ส.ฐิติภัสร์ ระบุ

กระทรวงอุตฯ จับมือ สถาบันทดสอบและวิจัยของเกาหลีใต้ พัฒนางานด้านมาตรฐาน หนุน ‘อุตสาหกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม’

(5 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ลงนามความร่วมมือด้านการมาตรฐานกับ Korea Testing & Research Institute (KTR) ซึ่งเป็นองค์กรด้านการทดสอบและวิจัยที่ดำเนินงานร่วมกับสถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อพัฒนาความร่วมมือด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบรับรองในด้านความปลอดภัย โดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสีเขียว และความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งปัจจุบัน สมอ. กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม (BCG) แล้ว จำนวน 757 มาตรฐาน เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์และแผงโซลาร์เซลล์มือสอง ปูนซิเมนต์ไฮดรอลิก ฉนวนกันความร้อน     ฟิล์มติดกระจกประสิทธิภาพพลังงาน เครื่องย่อยสลายขยะชีวภาพด้วยจุลินทรีย์ ระบบสูบน้ำด้วยระบบเซลล์แสงอาทิตย์ กระจกสะท้อนแสง  ยางล้อสูบลม  และคอนกรีตผสมเสร็จสำหรับสภาพแวดล้อมทางทะเล เป็นต้น

“การลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยสนับสนุนการพัฒนาด้านการมาตรฐานของไทยในระดับสากล โดยเฉพาะมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสีเขียวและความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศไทยที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับอุตสาหกรรมไทยให้แข่งขันได้ในระดับนานาชาติได้อย่างยั่งยืน” 

“สาธารณรัฐเกาหลีเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 13 ของไทย โดยในปี 2567 มีมูลค่าการค้าทวิภาคี รวมกว่า 15,280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 520,586 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.64% จากปี 2566 โดยสินค้าส่งออกหลักของไทยที่ส่งไปสาธารณรัฐเกาหลี ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง น้ำมันสำเร็จรูป แผงวงจรไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และน้ำตาลทราย รวมทั้งยังเป็นผู้ลงทุนสำคัญอันดับที่ 11 ของไทย มีมูลค่าการลงทุนรวม 215 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7,325 ล้านบาท ในสาขาอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็กกล้าและวัตถุดิบ เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี เครื่องจักรและยานพาหนะ อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมการแพทย์”

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนามความร่วมมือระหว่าง สมอ. กับ KTR ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบและรับรองในสาขาความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีสีเขียวและความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางวิชาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดสัมมนาทางวิชาการ กระบวนการทดสอบ การฝึกอบรมเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรของทั้งสองหน่วยงานตามแนวปฏิบัติสากล รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวข้องตามที่คู่ภาคีมีความสนใจร่วมกัน ถือเป็นการเริ่มต้นความร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่างสองหน่วยงาน โดยหลังจากนี้จะดำเนินการจัดประชุมวางแผนจัดกิจกรรมทางวิชาการด้านการมาตรฐาน การตรวจสอบและรับรองต่อไป

‘เอกนัฏ’ ส่ง!! ‘ทีมสุดซอย’ กำราบ โรงงานเหล็ก BNSS ในนิคมฯ เมืองชลฯ ลงดาบ 5 ข้อหาโทษหนัก จำคุก 10 ปี ตั้งสอบ จนท. ฐานปล่อยผีเหล็ก IF ระบาด

(10 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ‘ทีมสุดซอย’ พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ลงพื้นที่ บริษัท บี เอ็น เอส เอส สตีลกรุ๊ป จำกัด จังหวัดชลบุรี เพื่อตรวจสอบกระบวนการผลิตและคุณภาพผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตจากโรงงานนี้ ตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนจังหวัดภูเก็ตว่า ซื้อเหล็กเส้นจากโมเดิร์นเทรดแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต เพื่อนำไปสร้างอาคาร แต่เมื่อนำมาดัดโค้งงอปรากฎว่าเหล็กหัก จึงได้ประสานมายังทีมสุดซอยเพื่อตรวจสอบ 

“เบื้องต้นเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมจังหวัดภูเก็ตนำตัวอย่างเหล็กจากหน้างานบริเวณที่ก่อสร้าง ส่งมาตรวจวิเคราะห์ที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบเหล็กที่ส่งมาตรวจทั้ง 10 ท่อนไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ตกค่าโบรอนทั้งหมด“ นายเอกนัฏ กล่าว

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมว่า จากการตรวจสอบผลิตภัณฑ์เหล็กข้ออ้อย มีอักษร BNS DB16 SD4oT IF กำกับ ซึ่งเป็นเหล็กที่ผลิตโดย บริษัท บี เอ็น เอส เอส สตีลกรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนประกอบกิจการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ชนิดเหล็กเส้นกลม เหล็กข้ออ้อย และเหล็กรูปพรรณ ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมชลบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ใช้เตาหลอมแบบ IF ทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน ตรวจพบการกระทำความผิดหลายเรื่อง อาทิ ไม่ขออนุญาตแจ้งเดินเครื่องจักร ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน EIA ติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเติมที่เข้าข่ายขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต เหล็กไม่เป็นไปตามมาตรฐานในส่วนของค่าโบรอน ซึ่งตรงกับผลการตรวจวิเคราะห์ล่าสุดโดยสถาบันเหล็กฯ ตามที่ประชาชนจังหวัดภูเก็ตร้องเรียนมา และยังมีกรณีลักลอบจำหน่ายกากอุตสาหกรรมด้วย

”โรงงานแห่งนี้มีพฤติกรรมทำผิดเป็นระบบ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ลักลอบประกอบกิจการ ฝ่าฝืน กฎหมายหลายฉบับ จึงต้องจัดการให้เด็ดขาด” นางสาวฐิติภัสร์ ระบุ

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่าจากการตรวจสอบเชิงลึกพบสัญญาว่าจ้างผลิตเหล็กของ บริษัท เวล เอสทาบลิช จำกัด ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และเมื่อตรวจสอบจากเอกสารภายในบริษัท ประกอบคำบอกเล่าของพนักงานพบว่า มีความเชื่อมโยงเป็นเครือข่าย และมีการตั้งบริษัทเพื่อรับเป็นนายหน้าจัดหาวัตถุดิบและจำหน่ายเหล็ก ซึ่งในวันที่เข้าตรวจค้นยังพบพฤติกรรมต้องสงสัยของชาวจีนหลายคน ซึ่งในส่วนนี้ กขค. จะขยายผลและเร่งตรวจสอบโดยเร็วต่อไป เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งดำเนินคดีกับบริษัทฯ 5 ข้อหา คือ 
1. ทำผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้าน หรือทั้งจำและปรับ 
2. ติดเครื่องหมาย มอก. บนผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้าน หรือทั้งจำและปรับ 
3. จำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับ 
4. ทำลายเครื่องหมายและป้ายคำเตือนที่เจ้าพนักงานยึดอายัดของกลาง โทษคดีอาญาจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ  
5. เคลื่อนย้ายทำลายของกลางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับ พร้อมสั่งให้บริษัทฯ รีบดำเนินการเรียกคืนผลิตภัณฑ์เหล็กที่จำหน่ายออกสู่ท้องตลาดกลับมาทั้งหมด และให้แจ้งรายละเอียดการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็กของบริษัทฯ ทั้งหมดภายใน 7 วัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้รับไปจำหน่ายและประชาชนทราบโดยเร็ว

“นอกจากนี้จะเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สอบข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องด้วยว่า เหตุใดถึงปล่อยให้บริษัทฯ แห่งนี้มีการฝ่าฝืนทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กระทรวงอุตสาหกรรมต้องขอบคุณประชาชนที่เป็นหูเป็นตาให้ความร่วมมือในการร่วมกำจัดปัญหาโรงงานเถื่อนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายให้สิ้นซากไป” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ลั่น!! ต้องปิดเกม ‘นิคมศูนย์เหรียญ’ ส่ง ‘สุดซอย’ บุกระยอง ชักปลั๊ก!! หยุดกิจการ

(17 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าชุดปฏิบัติการตรวจสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ 'ทีมสุดซอย' พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ลงพื้นที่ ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง หลังได้รับการประสานงานจาก นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ให้เข้าตรวจสอบกลุ่มโรงงานและโกดังต้องสงสัยที่อาจเข้าข่ายตั้งเป็นนิคมจีนศูนย์เหรียญ รวมทั้งยังมีประชาชนบริเวณใกล้เคียงร้องเรียนว่า ได้รับผลกระทบด้านมลภาวะจากกลุ่มโรงงานดังกล่าวด้วย 

“นิคมศูนย์เหรียญ เป็นวาระสำคัญ กระทรวงอุตสาหกรรมต้องเร่งปราบปราม แก้ไขอย่างเร่งด่วน เป็นโมเดลธุรกิจ ที่เอารัดเอาเปรียบ ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า ทำลายสิ่งแวดล้อม ทำร้ายชีวิตคน ทำร้ายธุรกิจไทย ไร้ความรับผิดชอบ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างร้ายแรง“ นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวเสริมถึงผลการลงพื้นที่ตรวจสอบกลุ่มโรงงานที่ ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง ว่า ในพื้นที่มีอาคารลักษณะโกดังจำนวน 4 หลังเป็นของ บริษัท ซีเอสเค เอสเตรท จำกัด ประกอบกิจการให้เช่าพื้นที่โรงงานและโกดัง มี นายหว่าน ชิว เฉิน รับเป็นเจ้าของโครงการบริหารจัดการดูแลพื้นที่ทั้งหมด โดยมีข้อเสนอพิเศษให้ผู้เช่าว่า สามารถขอใบอนุญาตโรงงาน (รง.4) ให้ได้ด้วย โดยพบว่า 4 โกดังในพื้นที่มี 5 บริษัทที่มีกรรมการบริษัทเป็นชาวจีนทั้งหมดตั้งประกอบกิจการโรงงานอยู่ ตรวจสอบใบอนุญาตโรงงานพบข้อพิรุธว่า เกือบทุกบริษัทได้รับโอนใบอนุญาตจาก บริษัท ซีเอสเค เอสเตรท จำกัด และประเภทของใบอนุญาตก็จะมีลักษณะคล้ายหรือใกล้เคียงกัน แต่ในข้อเท็จจริงแต่ละโรงงานผลิตสินค้าที่แตกต่างกัน 

“กรณีของบริษัท ซีเอสเคฯ ในฐานะผู้ให้เช่าโกดังมีใบอนุญาตประเภทเดียวกันจำนวน 3-4 ใบ และยังสามารถโอนไปยังผู้เช่าโกดังในห้วงเวลาเดียวกัน ต้องไปไล่ดูว่า มีช่องโหว่ในกระบวนการขออนุญาตของ กรอ. หรือมีเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ เอื้อประโยชน์ หรือสนับสนุนผู้ประกอบการกระทำความผิดหรือไม่ด้วย“ นางสาวฐิติภัสร์ กล่าว 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบโรงงานทั้งหมด ดังนี้ 

1.บริษัท ซานเซน อิเล็คทริคอล (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ปลั๊กไฟ ปลั๊กราง และสายไฟ โดยไม่แจ้งขออนุญาตเริ่มประกอบกิจการ เจ้าหน้าที่จึงสั่งหยุดประกอบกิจการทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีฐานประกอบกิจการโดยไม่แจ้ง และฐานทำผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีใบอนุญาต รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์โดยไม่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) กับบริษัทและกรรมการ รวมทั้งยึดอายัดผลิตภัณฑ์ มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท 

2.บริษัท ชุนเล่ย (ไทยแลนด์) จำกัด แจ้งประกอบกิจการโรงงานผลิต นำเข้า ส่งออก เชือกรัด สายรัด สลิง เชือกยกของหัวเข็มขัด ตัวล็อกและชิ้นส่วนอุปกรณ์ ซึ่งเป็นกิจการโรงงานจำพวกที่ 3 ที่จะต้องได้รับใบอนุญาตก่อนจึงจะดำเนินกิจการได้ แต่ตรวจพบว่า ประกอบกิจการผลิตสายรัดของ ซึ่งไม่ตรงกับประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ได้รับอนุญาต จึงสั่งให้หยุดประกอบกิจการ พร้อมดำเนินคดีกับบริษัทและกรรมการ ฐานประกอบกิจการไม่ตรงกับที่ได้รับอนุญาต 

3.บริษัท จินต๋า พรีซิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่พบว่ามีการแบ่งพื้นที่ให้ บริษัท แฮนด์ดีแจ็ค อีควิปเมนท์ จำกัด ประกอบกิจการผลิตแม่แรงไฮดรอลิก แต่ตั้งประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่ด้วย จึงได้สั่งหยุดประกอบกิจการทั้งหมด พร้อมผูกมัดประทับตรายึดอายัดเครื่องจักร และควบคุมตัว นายยู่ เจียงหัว อายุ 36 ปี สัญชาติจีน ที่รับเป็นผู้จัดการผู้ควบคุมงานของบริษัทไปดำเนินคดีข้อหาตั้งประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต 

"การปราบปรามนิคมจีนศูนย์เหรียญ เป็นวาระเร่งด่วน และนโยบายสำคัญของ กระทรวงอุตสาหกรรม จึงต้องเร่งจัดการให้หมดไปโดยเร็ว และจะดำเนินคดีลงโทษกับผู้กระทำความผิดอย่างถึงที่สุด ซึ่งทีมสุดซอยจะรวบรวมข้อมูลเป็นรายสรุปนำเสนอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ไปถึงผู้บริหารกระทรวงฯ ถึงพฤติกรรม และรูปแบบดำเนินกิจการของกลุ่มบุคคลเหล่านี้ เพื่อนำไปสู่การปรับระเบียบ หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบันและสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป“ นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

‘เอกนัฏ’ ส่งทีมบุกโรงงานศูนย์เหรียญพื้นที่ฟรีโซน พบเถื่อนทุกตรงทั้งลอบเปิดกิจการ - แรงงานต่างด้าว

‘เอกนัฏ’ ส่ง ‘ทีมสุดซอย’ บุกตรวจจับโรงงานศูนย์เหรียญที่ซุกในพื้นที่ฟรีโซน พบเถื่อนทุกตรง ตั้งแต่ลอบเปิดกิจการยันแรงงานต่างด้าว ซ้ำยังนำเข้าเศษอลูมิเนียมปนเปื้อนขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 1,600 ตัน

(23 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับการประสานจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) โดยการอำนวยการของ พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผบก.ปทส.แจ้งว่าจะนำหมายค้นจากศาลจังหวัดชลบุรี เข้าตรวจสอบ บริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด ในพื้นที่เขตปลอดอากร (Free Zone) ตำบลหนองเหียง อำเภอพนัสนินิคม จังหวัดชลบุรี เนื่องจากมีเบาะแสว่ากระทำการขัดกฎหมายหลายประการ จึงได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ร่วมปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่ บก.ปทส.โดยมีผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี และเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ร่วมด้วย

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า เบื้องต้นได้รับรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำความผิดหลายฐานความผิดในกฎหมายหลายฉบับ ทั้งลักลอบประกอบกิจการ ขยายเครื่องจักร ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต ปล่อยน้ำเสียที่ไม่ได้บำบัดลงแหล่งน้ำธรรมชาติ และใช้แรงงานเถื่อน เป็นต้น ในส่วนความผิดภายใต้อำนาจของกระทรวงฯ ก็ได้ให้นโยบายเป็นหลักปฏิบัติไว้แล้วว่า ต้องใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งหยุดกิจกรรมใดๆ ที่ผิดกฎหมายหรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในทันที รวมถึงเร่งดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด พร้อมขยายผลถึงการกระทำความผิดอื่น หรืออาจเป็นลักษณะทำกันเป็นขบวนการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในเขตปลอดอากร (Free Zone) ที่ได้รับข้อมูลว่า มีการใช้พื้นที่พิเศษที่ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งนำเข้า-ส่งออก เพื่อประโยชน์ทางอากรศุลกากรต่อกิจการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ ในการลักลอบกระทำความผิด

"การใช้พื้นที่ฟรีโซน หรือเขตปลอดอากร ที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี ไม่ได้หมายความว่า มีสิทธิ์ฝ่าฝืนยกเว้นกฎหมายอื่นๆ ของประเทศไทย ซึ่งบริษัทข้ามชาติที่กระทำความผิดก็เข้าข่าย อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ เป็นกิจการที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งยังสร้างมลพิษ ทำลายทรัพยากรสิ่งแวดล้อม ต้องดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด และปราบปรามกวาดล้างให้หมดจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด" นายเอกนัฏ ระบุ

ทางด้าน นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด จดแจ้งทำธุรกิจจำหน่ายผลิตภัณฑ์พลาสติกสำเร็จรูป เป็นผู้ได้รับสิทธิใช้พื้นที่ภายในเขตปลอดอากรเพื่อประกอบกิจการ แต่กลับแบ่งพื้นที่โกดังให้เช่าตั้งโรงงาน พร้อมมีคนไทยรับเป็นนายหน้า บริการเดินเอกสาร ติดต่อราชการ และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานให้ โดยมีนายหน้าชาวไทยรับเป็นผู้ดูแล คอยประสานให้นักลงทุนชาวจีนมาเช่าพื้นที่ โดยขณะเข้าตรวจสอบภายในพื้นที่โกดัง 4 หลัง 5 อาคาร ซึ่งพบการกระทำความผิด ดังนี้ บริษัท เบต้า แพ็คเกจ โปรดักส์ (ประเทศไทย) จำกัด เช่าพื้นที่ผลิตกล่องและซองจดหมาย และมีเครื่องฉีดขึ้นรูปพลาสติก มีใบอนุญาตโรงงานถูกต้อง แต่ยังไม่ได้แจ้งประกอบกิจการ ถือเป็นการลักลอบประกอบกิจการ อีกทั้งยังขยายกำลังเครื่องจักรเกินกว่าที่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงได้อายัดเครื่องจักรและดำเนินคดีตามกฎหมาย

บริษัท แคท เมทัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เช่าพื้นที่โกดังที่เหลือและเครื่องจักร ไม่มีใบอนุญาตโรงงาน และจ้างแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมาทำงานคัดแยกเศษอลูมิเนียมปนเปื้อน แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เศษพลาสติก เศษยาง และฝุ่น ซึ่งสามารถยึดอายัดได้รวมกว่า 1,600 ตัน ผู้ดูแลโรงงานให้การว่า อลูมิเนียมที่คัดแยกแล้วจะส่งต่อไปยังประเทศจีน ส่วนแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ยังไม่สามารถระบุปลายทางได้ ขณะที่เศษพลาสติก เศษยาง และฝุ่น จะนำมาบดย่อยใส่ถุงบิ๊กแบ๊กกองทิ้งไว้ด้านหลังโรงงาน เจ้าหน้าที่ได้สั่งหยุดกิจการทันที และดำเนินคดีในข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงข้อหาครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาตกับทั้งบริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด ในฐานะเจ้าของโกดัง และบริษัท แคท เมทัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้นำเข้า

เจ้าหน้าที่ยังพบว่าโรงงานมีการแอบต่อท่อระบายน้ำเสียโดยตรงออกนอกโรงงานไปยังแหล่งน้ำสาธารณะ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองเหียง เจ้าของพื้นที่ ได้สั่งระงับการปล่อยน้ำและดำเนินคดีตามกฎหมายสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม โดย กรอ.ได้ให้ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก กรอ.เก็บตัวอย่างเศษพลาสติก และเศษยางบดย่อยในบิ๊กแบ๊ก พร้อมตัวอย่างน้ำไปตรวจสอบ หากพบการปนเปื้อนค่าโลหะหนัก จะดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ศุลกากร ซึ่งดูแลพื้นที่ปลอดอากรได้สั่งระงับการนำเข้าสินค้าในพื้นที่ปลอดอากรของบริษัท เมทัล เซ็นทรัล จำกัด ทันที และตำรวจตรวจคนเข้าเมืองตรวจพบว่ามีแรงงานลักลอบเข้าประเทศจำนวน 14 ราย ซึ่งได้ดำเนินการจับกุมเพื่อดำเนินคดีและผลักดันแรงงานออกนอกประเทศ พร้อมดำเนินคดีกับนายจ้างในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายจ้างคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองทำงานโดยไม่มีใบอนุญาต

ปฏิบัติการครั้งนี้สืบเนื่องจาก บก.ปทส.ได้รับเบาะแสจากประชาชนผ่านสายด่วน บก.ปทส.ว่ามีโรงงานก่อมลพิษ จึงได้สังเกตการณ์จนได้ข้อมูลหลักฐานเพียงพอ จึงขอหมายค้นเข้าตรวจสอบ และประสานมายัง ทีมสุดซอย ร่วมภารกิจ ถือเป็นความร่วมมือทั้งในส่วนของบุคลากร และการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันอย่างบูรณาการ จนสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วง ที่สำคัญคือ หยุดยั้งการกระทำผิดที่กระทบต่อสวัสดิภาพสุขอนามัยของประชาชนได้อย่างทันท่วงที หากประชาชนมีเบาะแสเกี่ยวกับโรงงานเถื่อน โรงงานปล่อยมลพิษสามารถแจ้งมาได้ที่แอป Traffy Fondue ผ่านระบบแจ้งอุตได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'ทีมสุดซอย' ตามรวบ รง. รีไซเคิลเถื่อน ลอบนำเข้าเศษยางสารภาพสิ้นไส้พร้อมของกลางครบถ้วน

‘เอกนัฏ’ ส่ง 'ทีมสุดซอย' ปราบ โรงงานเถื่อนระยอง ลอบนำเข้าเศษยางกัมพูชา ไหวตัวขนของย้ายหนี ตามรวบได้ถึงเมืองชลฯ กรรมการบริษัท สารภาพสิ้นไส้ โบ้ยแฟนหนุ่มชาวจีน ‘ฐิติภัสร์’ ส่งอีกทีมไปแปดริ้ว เหตุ โรงงานใจดีแจกดินเปื้อนกากอุตสาหกรรม ชาวบ้านรับไปถมที่เหม็นแสบจมูก ร้องแจ้งอุตฯ 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ (29 พ.ค.68) ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ 'ทีมสุดซอย' กระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจสอบ บริษัท ฟงหงษ์หยวนเฮง รับเบอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการรีไซเคิลยาง ตั้งอยู่ที่ ตำบลพนานิคม อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง โดยร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สืบเนื่องจากได้รับเบาะแสจากประชาชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ว่ามีรถบรรทุกลักลอบขนเศษยางนำเข้าจากประเทศกัมพูชา ผ่านทางชายแดน จ.สระแก้ว มายังบริษัทดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะเข้าตรวจค้น พบเพียงอาคารลักษณะโกดังโล่ง ไม่มีสิ่งของหรือผู้ใดอยู่ในพื้นที่ โดยประชาชนละแวกนั้นให้ข้อมูลว่า บริษัท ฟงหงษ์หยวนเฮงฯ เพิ่งขนย้ายเครื่องจักรและเศษยางออกไปเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 

“ทีมสุดซอย ได้แกะรอยขยายผลจนได้เบาะแสเพิ่มเติมว่า มีการย้ายเครื่องจักรและเศษยางไปไว้ที่ บริษัท โอรานไลต์ จำกัด จังหวัดชลบุรี เมื่อไปตรวจสอบ ก็พบเครื่องจักรและเศษยางกว่า 5 พันตัน โดยกรรมการบริษัทชาวไทยสารภาพว่าบางส่วนเป็นเศษยางที่ลักลอบนำมาจากประเทศกัมพูชา และอ้างว่าแฟนหนุ่มชาวจีนเป็นผู้ประสานงานจัดการทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบการกระทำความผิดอีกหลายข้อหา เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมกรรมการบริษัทชาวไทยไปแจ้งความดำเนินคดีในทุกข้อหา และหากพบการกระทำความผิดอีกก็จะแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป” นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบ บริษัท โอรานไลด์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าบุญมี อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี ซึ่งประกอบกิจการหั่น ตัด บด รียางแผ่นเพื่อส่งออกต่างประเทศ มีนางสาวเบญจมาศ ลีสม เป็นกรรมการบริษัท และพบว่าเพิ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงงานเมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา ตรวจค้นภายในโรงงานพบเครื่องจักรที่คาดว่าขนย้ายมาจากจังหวัดระยอง และพบเศษยางกว่า 5 พันตัน เบื้องต้นบริษัทฯ แจ้งว่าเศษยางบางส่วนนำเข้าผ่านทางท่าเรือแหลมฉบัง แต่เมื่อสอบถาม นางสาวเบญจมาศ ยอมรับว่าเป็นเศษยางที่ลักลอบนำเข้ามาจากประเทศกัมพูชา โดยแฟนหนุ่มชาวจีนเป็นผู้ติดต่อประสานซื้อขายทั้งหมด นอกจากนี้ ยังพบใบขนสินค้าขาเข้าที่สำแดงพิกัดสินค้าเป็นเศษยางจากประเทศเบลเยียม ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะนำเศษยางรถยนต์และยางรถยนต์ที่ใช้แล้วมาเข้ากระบวนการตัด บดย่อย รีดเป็นแผ่นแปรรูปยาง ซึ่งเป็นการประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงยึดอายัด และประทับตรายางเครื่องจักรทั้งหมด พร้อมจับกุมตัว นางสาวเบญจมาศ ไปดำเนินคดีที่สถานีตำรวจภูธรเกาะจันทร์ ด้วยข้อหาตั้งและประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติโรงงาน และเป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวเข้ามาทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยอีกว่า ได้มอบหมายให้ ทีมสุดซอยอีกชุด ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม และเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ฉะเชิงเทรา ปลัดอำเภอพนมสารคาม เจ้าหน้าที่เทศบาลเขาหินซ้อน  บก.ปทส. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทสจ.) ภาค 13 ลงพื้นที่ บริษัท ภัชชาภิวัฒน์ จำกัด ตั้งอยู่ที่ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื่องจากได้รับแจ้งว่ามีการแจกดินปนเปื้อนเศษพลาสติก ซึ่งนับว่าเป็นวัตถุอันตรายให้กับประชาชนในพื้นที่นำไปถมที่ดิน จนเกิดผลกระทบมีกลิ่นเหม็นแสบจมูกหลังจากถมที่ดินแล้ว 

จากการเข้าตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวประกอบกิจการคัดแยกของเสียประเภทเศษเปลือกสายไฟ เศษพลาสติก เศษยาง ชิ้นส่วนอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งมีความผิดในข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเดิมมีการปล่อยเช่าที่ดินให้ชาวจีนเพื่อลักลอบเก็บกากอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่าย เมื่อกักตุนไว้จำนวนมาก จึงต้องการระบายออกโดยการแจกจ่ายให้ชาวบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงทำการยึดเครื่องจักร วัตถุดิบ และกากของเสีย พร้อมดำเนินคดีกับบริษัทในข้อหาตั้งโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีความผิดฐานครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต 

"ผู้ประกอบการที่ครอบครองวัตถุอันตรายถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และอาจสร้างผลกระทบต่อประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงต้องเร่งมือผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการตรวจ จับ และดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด หากท่านใดมีเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งผ่านแพลตฟอร์ม 'แจ้งอุต' ในระบบ ทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) ได้ทันที หลังรับแจ้งจะมีการตรวจสอบข้อมูลและสืบสวนสอบสวนเบื้องต้น ก่อนส่ง ทีมสุดซอย ลงจัดการปัญหาเพื่อปราบปรามและกวาดล้างขบวนการเหล่านี้ให้หมดไปจากอุตสาหกรรมไทยโดยเร็ว" นางสาวฐิติภัสร์กล่าว

เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวชี้แจงในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 31 พ.ค. 68

เมื่อวานนี้ (31 พ.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวชี้แจงในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า

ตนเห็นตรงกับข้อเสนอแนะของทุกท่านว่า กากอุตสาหกรรมคือปัญหาใหญ่ และเป็นปัญหาสำคัญของประเทศชาติ ซึ่งเรากำลังพูดถึงการปฏิรูปการสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ต้อนรับนักลงทุนดีๆ เข้ามาลงทุนในประเทศไทย แต่สิ่งที่เราพบเห็น และที่สะเทือนต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย และสังคมโลก คือภาพของกองขยะขนาดมหึมา ที่เป็นอนุสรณ์สถานทิ้งไว้เตือนใจให้กับคนไทย ตั้งแต่ตอนที่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ผู้ที่ไม่หวังดีต่อประเทศ ทั้งทุนต่างด้าว และกลุ่มนักธุรกิจที่เป็นคนไทย และกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ร่วมขบวนการนี้อ้างตัวว่า เป็นคนรักโลก ทำธุรกิจคัดแยกจัดการขยะของเสีย หรือแปลงสภาพรีไซเคิลกลับมาเป็นของดี แต่สิ่งที่ตนและ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล อดีต รมว.อุตสาหกรรม เห็นเช่นเดียวกันคือ ธุรกิจเหล่านี้ไม่ได้ดำเนินการตามธุรกิจอย่างที่ตนเองสร้างภาพลักษณ์ที่ดีไว้ 

อีกทั้ง ตนเองเดินทางไปที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด ในพื้นที่อ.บ้านค่าย ซึ่งเราไปด้วยกันพบว่า บริษัทที่ควรจะทำประโยชน์ให้กับประเทศ แต่สภาพความเป็นจริงไม่เคยนำของเสียไปแปลงสภาพหรือบำบัดเลย กลับทิ้งไว้สร้างปัญหา และมลภาวะ ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง และบริษัท วิน โพรเสส เป็นอนุสรณ์สถานที่ใหญ่ที่สุดที่หนึ่งในประเทศไทย

นอกจากนี้ ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงจุดนี้จุดเดียว ยังมีที่จังหวัดอยุธยา และราชบุรี ซึ่งตนให้ความสำคัญมาก และคิดจะทำอุตสาหกรรมยุคใหม่ สร้างการลงทุนที่เป็นเม็ดเงินการลงทุนในธุรกิจดีๆ เข้ามา เราต้องกำจัดพิษ และไล่พิษ เพื่อกำจัดธุรกิจเหล่านี้ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับประเทศไทยออกไป และเคลียร์สภาพปัญหาเหล่านี้ออกไปก่อน ให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่า การทำธุรกิจประกอบอุตสาหกรรมต้องไม่ส่งผลกระทบต่อขีวิต และทรัพย์สินของประชาชน พร้อมกล่าวขอบคุณเพื่อนสมาชิกที่ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมา เพราะถ้าไม่พูดก็คงไม่เห็นปัญหาเหล่านี้ งบประมาณก็คงไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่ารันทดจริงๆ

“ผมสงสารประเทศ ผมสงสารกระทรวง บางทีผมก็สงสารตัวเอง ย้อนกลับไปดูตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เมื่อปี 2566 เราไม่เคยจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดการสิ่งเหล่านี้ไว้เลย จนกระทั่งมาปี 67 ยุคท่านรัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา ก็ได้เริ่มเห็นความสำคัญ ตั้งงบไว้ 15 ล้านเท่านั้นเอง ซึ่งมูลค่าของปัญหาหลายขนาดรวมกันมูลค่าเป็นพันล้าน ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย มาปี 68 เราก็เพิ่มจาก 15 ล้านเป็น 18 ล้าน เพิ่มมาอีก 3 ล้านน่าดีใจมาก” นายเอกนัฏ กล่าว

ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะตนสู้เรื่องนี้มาตลอด ไปแถลงการณ์ต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม ตนก็ใช้โอกาส ใช้ทุกวินาที ทุกเวทีในการพูดเรื่องนี้ ให้สาธารณะ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นปัญหาถึง และความสำคัญของเรื่องนี้ จนกระทั่งปีงบประมาณปี 69 เราได้งบประมาณเพิ่มเติมให้กับกรมโรงงานเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า จาก 17 ล้านบาท เป็น 140 ล้านบาท และมีการผูกพันงบประมาณไปในปีหน้าอีกกว่า 400 ล้านบาท จึงขอให้สบายใจว่า งบประมาณมีเพิ่มขึ้น และมีผูกพันไปถึงอนาคต และปัญหาที่เราพบจะได้รับการแก้ไข

นายเอกนัฏ ยืนยันว่า ที่มาของเงิน ไม่ได้มาจากงบประมาณประจำปีเท่านั้น เพราะก่อนหน้าเราไม่มีเงิน เราก็แปลงงบประมาณมาช่วยประชาชนในพื้นที่ก่อนด้วยวิธีต่างๆ และตั้งงบประมาณในการแก้ปัญหาท้้งปีนี้ และปีหน้าจึงขอให้มั่นใจว่าเราเคลียร์ได้ทั้งหมด รวมถึงของบกลางอีกกว่า 40 ล้านบาทในการเข้าจัดการถังสารเคมีเหล่านั้น และอีก 70 ล้านบาทที่จะจัดการปัญหาที่ จ.อยุธยาอีกด้วย 

“เราต้องระมัดระวัง ไม่ให้การนำงบประมาณภาษีของประชาชน นำไปใช้ที่เหมือนเป็นการอุดหนุนจุนเจือกับกลุ่มธุรกิจสีเทาเหล่านี้ เพราะกลายเป็นว่าแทนที่เราจะนำเงินไปอุดหนุนเกษตรกร ถ้าเขาทำตัวไม่มีความรับผิดชอบ และเอาเงินพี่น้องประชาชนยากลำบากจากภาษีของประชาชนไปให้เขา โดยที่เขาไม่จัดการกับปัญหาของเขาเอง เท่ากับเป็นการไปจุนเจืออุดหนุนกลุ่มธุรกิจเหล่านี้ ฉะนั้นผมให้ความสำคัญกับการจับกุมปราบปรามกลุ่มสีเทาเหล่านี้มาก” นายเอกนัฏ กล่าว

ตนขอให้มั่นใจว่า ต้องการการจับกุมไปจนถึงการดำเนินคดี เราไม่มีการปล่อยปละละเลย ถ้ามีข้อมูลเพิ่มเติม เราก็ขยายผลต่อ และไม่เคยละเลยต่อข้อมูลที่ทุกท่านให้มา เมื่อคืนได้ให้อุตสาหกรรมจังหวัดได้ไปแจ้งความเรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 23.00 น. กับรถยนต์ที่ขนกากอุตสาหกรรมเมื่อวาน และจะนำสำนวนส่งให้กับ DSI ด้วย

ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับผู้กระทำผิดกฎหมายไทย เรามีศัตรูคนเดียวกัน และผมชวนท่านด้วยไม่ต้องไปกลัวใคร ผมทำงานตรงนี้ผมไม่เคยกลัวใคร ถึงจะถูกกดดันจากภายนอกภายในขนาดไหนผมมีภารกิจ มีหน้าที่ที่ต้องทำ ถ้าท่านมีข้อมูลเพิ่มเติมส่งมาได้เลยครับ ไม่ต้องเป็นตัวอักษรย่อ ส. ศ. หรือ ซ. บอกชื่อมาเลยว่ามันผู้นั้นเป็นใคร ใครที่อยู่เบื้องหลังขบวนการเหล่านี้ ตนจะจับให้หมด

นายเอกนัฏ กล่าวทิ้งท้ายว่า กลุ่มธุรกิจเหล่านี้ตนก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย ไม่ใช่เอางบประมาณมาเททิ้ง ที่เป็นลักษณะการไปอุดหนุนจุนเจือธุรกิจเหล่านี้ ใบอนุญาตที่ออกไป และถูกนำไปกระทำผิด ตนจะระงับทั้งหมด ปิดประตูซะ ใครที่ทำผิดก็ต้องออกตรวจออกจับทั้งหมด ถ้าท่านยังทำผิดอยู่ หากท่านมีเงินมากขนาดไหน ท่านก็สามารถใช้เงินของท่านได้ในคุก อย่างบริษัทหนึ่งเข้าไปในคุกตายในคุก ก็ไปใช้เงินในนรก เพราะท่านกำลังทำธุรกิจ ที่เป็นพิษ และทำร้ายชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทย ตนไม่ปล่อยปะละเลยไว้แน่

ส่วนไหนที่จะต้องใช้เงินเข้าไปจุนเจือตนก็ใช้ และใช้ด้วยความระมัดระวัง และบังคับใช้กฎหมายด้วย ตรงไหนที่ต้องแก้ก็ต้องแก้ จนไปถึงการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.จัดการกากอุตสาหกรรม ที่จะเป็นกฎหมายฉบับแรกของประเทศไทยในการแก้ไขปัญหาจากอุตสาหกรรมในประเทศไทยอย่างเข้มงวด และถ้าเรามาช่วยกันก็จะสามารถขจัดพิษเหล่านี้ออกจากร่างกายของประเทศไทยไปได้ และในที่สุดเราก็สามารถต้อนรับกลุ่มธุรกิจนักลงทุนดีๆ เข้าสู่ประเทศ เพื่อทำประโยชน์ให้กับสิทธิของประเทศ และประชาชนคนไทยได้

‘เอกนัฏ’ มอบ!! ‘ทีมสุดซอย’ ขยายผลตัดตอน ‘ขบวนการฝุ่นแดง’ ล่าจนเจอ!! ‘ตัวการใหญ่’ มีคดีคา ‘ดีเอสไอ’ ทำผิดกฎหมายเพียบ

(1 มิ.ย. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ “ทีมสุดซอย” กระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบโรงงานเหล็ก ที่ใช้กระบวนการเตาหลอม IF (Induction Furnace) ทั้ง 11 โรงงาน ซึ่งขยายผลจากกรณีฝุ่นแดงของ บริษัท ซินเคอหยวน สตีล จำกัด ที่มีการส่งให้กับ บริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด จังหวัดระยอง ที่ประกอบกิจการรับกำจัดกากของเสียจากกระบวนการผลิต ซึ่งถูกสั่งปิดโรงงานและปิดระบบการรับกากอุตสาหกรรมเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา พร้อมถูกดำเนินคดีใช้เอกสารกำกับการขนส่งของเสียอันตราย (Manifest) ปลอม และกรอกข้อมูลเท็จในระบบแจ้งรับกากอุตสาหกรรม รวมทั้งไม่มีศักยภาพในการจัดการฝุ่นแดง ซึ่งเป็นฝุ่นที่เกิดจากกระบวนการหลอมเหล็กในเตาหลอมแบบเหนี่ยวนำไฟฟ้า (IF Induction Furnace ) ที่ถือเป็นของเสียที่มีองค์ประกอบหรือสารปนเปื้อน เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตราย และจากการสืบสวนพบว่าโรงงานเหล็ก IF เกือบทุกโรงงานในประเทศส่งฝุ่นแดง ให้กับ บริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด ดังกล่าว 

“จากการเข้าตรวจสอบ 11 โรงงานเหล็ก IF ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นอกจากจะติดตามปราบปรามขบวนการผลิต และขายเหล็กไม่ได้มาตรฐานแล้ว ยังรวมถึงขบวนการฟอกฝุ่นแดงพบว่า เมื่อโรงงานเหล็กส่งฝุ่นแดงไปที่ บริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ ฯ แล้วก็ไม่ได้นำไปกำจัด หรือบำบัดตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม แต่กลับนำฝุ่นแดงไปคลุกสารเคมีและส่งต่อไปให้บริษัทในเครือเพื่อแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกต่างประเทศ“ นายเอกนัฏ ระบุ 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยผลการตรวจสอบ บริษัท เซียว เชียง เคมีคอล อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ตั้งอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมอมตะซิตี้ ระยอง ตำบลพนานิคม อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ประกอบกิจการโรงงาน ผลิต จำหน่าย นำเข้าและส่งออก สังกะสีออกไซด์ ขณะเข้าตรวจสอบมีการประกอบกิจการตามปกติ พบ นายพาน หงโจว รับเป็นเจ้าของกิจการ ให้การเบื้องต้นว่า มีการรับฝุ่นแดงจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงผลิตโดยหลอมสังกะสี และเศษชิ้นส่วนโลหะภายในโรงงาน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังตรวจพบว่า โรงงานติดตั้งเครื่องจักรผลิตสังกะสีออกไซด์เพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย 

นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนเพิ่มเติม นายพาน ให้การยอมรับว่าเป็นเจ้าของกิจการบริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด  บริษัท เซียว เชียง เคมีคอล อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด รวมถึงบริษัท เซียวเซียง นัน-เฟอรัส เมทัล จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี โดยจะใช้บริษัท เอฟเอ็มอาร์ จำกัด เป็นผู้รับฝุ่นแดง ส่งต่อให้ บริษัท เซียวเซียง นัน-เฟอรัส เมทัล จำกัด เพื่อนำไปผ่านกระบวนการทำเป็นผลิตภัณฑ์สังกะสีแท่ง หรือซิงค์อินกอต (Zinc ingot) โดยจะจำหน่ายบางส่วน ที่เหลือส่งต่อให้ บริษัท เซียว เซียง เคมีคอลฯ เพื่อมาทำเป็นผงสังกะสีส่งขายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งการดำเนินธุรกิจมีลักษณะฟอกฝุ่นตั้งแต่ขั้นตอนนำฝุ่นแดงจากของเสียที่เป็นกากอุตสาหกรรมมาแปลงสภาพเป็นผลิตภัณฑ์ส่งขายต่างประเทศ หรือขายให้กับเครือข่าย 

นางสาวฐิติภัสร์ เปิดเผยอีกว่า ในส่วนของ นายพาน และบริษัท เอ็นเอฟเอ็มอาร์ จำกัด ได้ถูก กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ขณะที่ บริษัท เซียว เชียง เคมีคอล อินดัสทรี (ไทยแลนด์) จำกัด ถูกเจ้าหน้าที่การนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ระยอง ดำเนินคดีฐานขยายโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานนำเข้าของเสียที่เป็นวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมมีคำสั่งให้ระงับการใช้เครื่องจักร และการประกอบกิจการในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาต 

"ปฏิบัติการครั้งนี้ถือว่า เราได้พบตัวการสำคัญแห่งวงการฟอกฝุ่นแดง ที่จงใจดำเนินกิจการอย่างไม่โปร่งใส เปิดบริษัทเป็นเครือข่ายขบวนการรองรับกันอย่างตั้งใจ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการปิดเกมขบวนการฝุ่นแดง ตัดต้นตอการจัดหา และสร้างตลาดส่งออก หวังว่าจะส่งผลให้ผู้ประกอบการทุกๆ กิจการ คำนึงถึงการปฏิบัติที่ถูกต้องภายใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัด" นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

'เอกนัฏ' ยัน รวมไทยสร้างชาติ ยังไม่แตก คุย!! สส. แล้ว แค่ไปกินข้าวกับ 'สุชาติ'

(3 มิ.ย. 68) ที่ท้องสนามหลวง นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความแตกแยกภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า เดี๋ยวต้องไปคุยกัน ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ตนกับ สส.ส่วนใหญ่ก็คุยกันตลอดเวลา คิดว่าปัญหาทุกอย่างคุยกันได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติยังอยู่กันแน่นหรือแตกแล้ว นายเอกนัฏ ตอบว่า ยังอยู่กัน ส่วนกรณีที่ปรากฏภาพ สส.ร่วมทานข้าวกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รมช.พาณิชย์ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น ทาง สส.ได้มาบอกกับตนว่าแค่ไปทานข้าวกันเฉยๆ หรืออย่างก่อนหน้านี้ได้มีการปล่อยข่าวว่าจะมีคนย้ายออกจากพรรค หลายคนก็ออกมาปฏิเสธแล้ว คิดว่าเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้ทุกพรรคการเมืองถือว่าเป็นเรื่องปกติ อาจมีสิ่งที่คาใจ หรือมีปัญหากันบ้าง แต่เราก็เปิดรับฟังอยู่แล้ว ซึ่งก่อนช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ตนก็พูดคุยกับ สส. ตามปกติ

เมื่อถามถึง กระแสที่กดดันนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้ออกจากตำแหน่ง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนคิดว่าตำแหน่งของนายพีระพันธ์ุอยู่สูง จึงต้องมีแรงกดดันเป็นธรรมดา เพราะการทำงานต้องประสบกับความท้าทาย ซึ่งเชื่อว่า นายพีระพันธ์ุเจอกับปัญหา แต่ท่านไม่ค่อยพูด เป็นคนที่สู้งานอย่างเดียว

เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ในส่วนคดีถุงยังชีพของนายพีระพันธุ์ที่อยู่ในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เชื่อว่า ท่านชี้แจงได้หมด และพร้อมไปชี้แจงกับ ป.ป.ช. และหน่วยงานอื่นๆ

ถามถึง กระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตอนนี้ตนยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ ตราบใดที่อยู่ตรงนี้ก็ทำงานเต็มที่ ส่วนการปรับครม. ก็เข้าใจกันดีว่าเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ส่วนอนาคตเป็นอีกเรื่อง

ซักว่า มีการส่งสัญญาณมาจากนายกรัฐมนตรีบ้างหรือยัง เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ยิ้ม พร้อมกล่าวว่า ไม่มี ทั้งตนและนายพีระพันธุ์ ก็ยังไม่ได้รับสัญญาณ และที่ผ่านมาตนก็ทำงานกับนายกรัฐมนตรีได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอดไม่มีปัญหาอะไร

ถามว่า กรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ มีการแก้ข้อบังคับเรื่องการพ้นสมาชิกภาพ จากการสร้างความขัดแย้งหมายถึงนายสุชาติ ใช่หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า การแก้ข้อบังคับทำมาตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.แล้ว ตั้งแต่การประชุมใหญ่พรรค เป็นการปรับแก้ให้ตรงกับรัฐธรรมนูญ คงไม่ได้ไปแก้เพราะรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น

เมื่อถามว่า เป็นการแก้เพื่อขู่อีกฝ่ายหรือไม่ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ปฏิเสธว่า ไม่ ยืนยันว่า ไม่ได้มีนัย อะไรทั้งสิ้น เพราะการประชุมใหญ่ทุกปีก็มีการแก้ข้อบังคับพรรค เพราะข้อบังคับบางตัวยังไม่มีความชัดเจน

ซักว่า ได้มีการเคลียร์ใจกับนายสุชาติแล้วหรือยัง นายเอกนัฏ กล่าวว่า ยังเลยครับ แต่วันนี้ไม่แน่ เพราะอาจจะได้เจอ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top