Sunday, 8 June 2025
ฮุนเซน

บทเหยื่อปลอมบนชายแดน : เกมเดิมของฮุน เซน กับการปะทะ 10 นาทีเพื่อเช็คเคลมดินแดน

ในโลกของความขัดแย้งระหว่างรัฐ การยิงปะทะกันเพียงไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของอธิปไตยได้ — โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดในพื้นที่ที่ยังไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน และยิ่งอันตรายมากขึ้น หากฝ่ายหนึ่งพยายามเปลี่ยน 'กระสุน' ให้กลายเป็น 'เครื่องมือทางกฎหมาย' บนเวทีโลก

เหตุปะทะที่ 'ช่องบก' จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที ตั้งแต่เวลา 05.45 น. ถึง 05.55 น. แต่สิ่งที่ตามมาหลังเสียงปืนเงียบลงกลับไม่เงียบตามไปด้วย เพราะทันทีที่เกิดเหตุการณ์ กองทัพบกไทยชี้แจงชัดเจนว่า เหตุปะทะเริ่มจากการที่ทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในเขต 'พื้นที่ทับซ้อน' ซึ่งยังไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าของที่แน่ชัด ฝ่ายไทยจึงส่งชุดประสานงานเข้าไปเจรจาตามแนวปฏิบัติปกติ แต่กลับถูกเข้าใจผิดและถูกยิงใส่ก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ก่อนที่ผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายจะโทรศัพท์และตกลงหยุดยิงในเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที

ในชั่วโมงแรก ฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างแถลงตรงกันว่า “ไม่มีผู้เสียชีวิต” ท่าทีดูเหมือนจะคลี่คลาย แต่ในเวลาไม่นาน ฝ่ายกัมพูชากลับคำ และระบุว่ามีทหารของตนเสียชีวิต 1 นาย และในเวลาต่อมา สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ก็ออกแถลงการณ์ประณามไทย พร้อมทั้งเปรียบเหตุการณ์นี้กับการรุกรานในช่วงปี 2008–2011 ซึ่งเคยนำไปสู่การฟ้องร้องในศาลโลกกรณีวัดพระวิหาร โดยกล่าวชัดว่าจะใช้ “ทหาร การทูต และกฎหมาย” ในการต่อสู้เพื่ออธิปไตย

ถ้าอ่านให้ลึก นี่ไม่ใช่เพียงแค่แถลงการณ์ตามพิธีการ แต่เป็น 'หมากชุดใหม่' ที่มีเป้าหมายชัดเจนมากกว่าแค่สร้างกระแสในประเทศ ฮุน เซนกำลังพยายาม 'เช็คเคลม' พื้นที่ทับซ้อนบริเวณช่องบก ซึ่งเป็นจุดที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์มายาวนาน แต่ยังไม่มีข้อยุติทางการทูตและยังไม่ได้ตีเส้นแบ่งบนแผนที่อย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางระหว่างประเทศนั้น การ “ครอบครองที่ดินโดยพฤติกรรม” เช่น การส่งทหาร การตั้งฐาน หรือแม้แต่การมี “เหตุปะทะที่ฝ่ายตนถูกกระทำ” ล้วนสามารถถูกใช้เป็น “พฤติการณ์ประกอบ” ในการอ้างสิทธิ์ในชั้นศาลได้

นี่คือเหตุผลว่าทำไมกัมพูชาจึงต้องกลับคำมาอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต และทำไมฮุน เซนจึงต้องรีบโยงเรื่องนี้กลับไปยังคำวินิจฉัยของศาลโลกในอดีต เพราะในสายตาของเขา การปะทะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจผิดชั่วคราว แต่คือการ 'สร้างพยานหลักฐาน' เพื่อใช้ในกระบวนการพิพาทเขตแดนในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจุดปะทะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการปักปันเขตแดนถาวร

แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ประเทศไทยต้องตระหนักก็คือ ไม่ว่าใครจะเล่นเกมอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'การรู้ทัน' และ 'การบันทึกข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ' เพราะเราไม่สามารถห้ามฝ่ายตรงข้ามจากการกล่าวหาได้ แต่เราสามารถป้องกันผลลัพธ์ของคำกล่าวหานั้นได้ หากเรามีข้อมูลที่ชัดเจนและหลักฐานที่เพียงพอ

เหตุปะทะครั้งนี้อาจกินเวลาแค่ 10 นาที แต่สำหรับเวทีศาลโลก มันอาจถูกขยายความให้ยาวเป็นปี สิ่งที่ไทยต้องทำตอนนี้ไม่ใช่การโต้แย้งด้วยถ้อยคำ แต่คือการรวบรวมทุกวินาทีของความจริง ตั้งแต่การเคลื่อนกำลัง จุดปะทะ รูปแบบการตอบโต้ ไปจนถึงการเจรจาหลังเหตุการณ์ เพื่อให้โลกเห็นว่า ไทยไม่ได้รุกราน ไม่ได้เริ่มก่อน และไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้ขยายตัว

เรารู้ว่าเราทำอะไร ที่ไหน และทำเพื่ออะไร นี่ไม่ใช่การหลบหลีกความรับผิดชอบ แต่คือการยืนยันในความสุจริตของการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบของความสงบ และการรู้ทันเกมเดิมที่อีกฝ่ายพยายามเล่นซ้ำ — เพียงเปลี่ยนเวทีจากพระวิหาร มาเป็นช่องบกเท่านั้น

‘ฮุน เซน’ ลั่นอาวุธพร้อม...รอสอยเครื่องบินรบไทย มั่นใจระบบป้องกันภัย KS-1C ยิงไกล 70 กม.

(29 พ.ค. 68) ภายหลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี วานนี้ (28 พ.ค.) ล่าสุด สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์สื่อยืนยันว่า กัมพูชามีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมยิงตอบโต้เครื่องบินรบหากถูกคุกคาม โดยระบุว่าสามารถสกัดเป้าหมายได้ในระยะหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งเพียงพอต่อการป้องกันประเทศ

ปัจจุบัน กัมพูชาได้รับมอบระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ Kaishan-1C (KS-1C) จากรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นระบบพื้นสู่อากาศระยะกลางที่มีระยะยิงไกลสุด 70 กิโลเมตร และเพดานยิงสูงสุด 27 กิโลเมตร โดยเป็นหนึ่งในระบบที่สมเด็จฮุน เซนกล่าวถึงในการยืนยันศักยภาพของประเทศด้านการป้องกันภัยทางอากาศ

คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเพจ “กองทัพอากาศไทย” เผยแพร่ภาพการฝึกยุทธวิธีของฝูงบิน 211 จากกองบิน 21 อุบลราชธานี ซึ่งจำลองการรบทางอากาศและการโจมตีเป้าหมายภาคพื้น เพื่อเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงและปกป้องอธิปไตยของชาติหากเกิดเหตุจำเป็น

‘ฮุน เซน’ แพร่แถลงการณ์ 4 ข้อ หลังเจรจากับไทย ลั่น ทหารกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังจากจุดปะทะ

(30 พ.ค. 68) จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน โพสต์ภาพแถลงการณ์จากกองบัญชาการทหารสูงสุดกัมพูชา ผ่านเฟซบุ๊ก “Samdech Hun Sen of Cambodia”  ที่มีข้อความระบุว่า หลังจากเกิดเหตุปะทะด้วยอาวุธระหว่างกองทัพกัมพูชาและกองทัพไทย เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 บริเวณหมู่บ้านเตโชมรกต ต.มรกต อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร

ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เวลา 15:30 น. พล.อ.เมา โซะพัน รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการกองทัพบกกัมพูชา และ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย ได้เข้าร่วมการหารือ ที่สำนักงานประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณจุดผ่านแดนช่องจอม-โอเสม็ด ได้ผลสรุปออกมา 4 ข้อดังต่อไปนี้

1.ทั้งสองฝ่ายยังคงดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ผ่านกลไกที่มีอยู่ทั้งหมด ได้แก่ คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมการชายแดนทั่วไปกัมพูชา-ไทย (GBC)และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543 (MOU2543) เพื่อให้แนวชายแดนของทั้งสองประเทศเป็นชายแดนแห่งสันติภาพ มิตรภาพ ความร่วมมือ และการพัฒนา

2.ทั้งสองฝ่ายจะควบคุมสถานการณ์ตามสภาพเดิม อดทนอดกลั้น และแก้ไขปัญหาทั้งหมดผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะมีการประชุมภายใน 2 หรือ 3 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ

3.ฝ่ายกัมพูชาขอให้มีการเคารพในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 อีก

4.ฝ่ายกัมพูชาจะไม่ถอนกำลังหรือวางกำลังโดยไม่ติดอาวุธ ณ จุดที่เกิดการปะทะ เพราะบริเวณดังกล่าวฝ่ายกัมพูชาได้ครอบครองมาตั้งแต่ก่อนมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการรังวัดและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชาปี 2543

แถลงการณ์กัมพูชาระบุว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องและยอมรับในทั้ง 4 ข้อข้างต้น และการหารือได้สิ้นสุดลงเมื่อเวลา 16.15 น. ของวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นฝ่ายไทยได้แถลงข้อสรุปการหารือมีเพียง 3 ข้อ ได้แก่

1.ให้ทั้งสองฝ่ายดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็นครั้งนี้ผ่านคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) ซึ่งจะจัดขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์

2.ให้ทั้งสองฝ่ายอยู่ในจุดที่เหมาะสม หรือ 200 เมตรจากจุดปะทะ ลดการเผชิญหน้า

3.ให้รักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ให้ใช้ความอดทนอดกลั้น

‘ฮุน เซน’ สร้างเรื่อง!! เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ ชายแดนไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ ‘จุดเริ่มต้น’

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ข่าวใหญ่ที่คนทั้งสองฝั่งชายแดนต้องจับตา คือเหตุการณ์ 'ปะทะชายแดนช่องบก' ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เสียงปืนดังไม่ถึงสิบนาที แต่ 'เสียงการเมือง' ดังไกลเกินค่าย และหนึ่งในเสียงที่ดังกว่าคนอื่น ก็คือ 'สมเด็จฮุน เซน' ถึงแม้จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เขาก็ยังโผล่หน้ากล้อง พูดชัดๆ ว่า “ตรงนี้เป็นดินแดนของเรา! ฉันเคยนั่งอยู่ตรงนี้ในปี 2009 แล้วจะไม่ใช่ของเรายังไง?”

ใครฟังก็รู้สึกว่า ฮุน เซนดูโกรธ ดูจริงจัง เหมือนกำลังจะทวงแผ่นดินคืน แต่พอเรามองให้ลึกลงไป…
สิ่งที่เขาทำ อาจไม่ใช่แค่ 'การปกป้องชายแดน' แต่มันคือ 'การปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัว' จากบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น...

ในประเทศกัมพูชา มีเรื่องหนึ่งที่พูดกันมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเคลียร์ คือความใกล้ชิดของฮุน เซนกับ 'เวียดนาม' ย้อนกลับไปปี 1979 ฮุน เซนคือคนที่เวียดนาม 'เลือก' มาตั้งรัฐบาลหลังโค่นเขมรแดง นับแต่นั้นมา เขาก็มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮานอย
บางคนบอกว่า 'เวียดนามช่วยเรา' แต่บางคนกลับมองว่า 'เวียดนามครอบงำเรา'
และนั่นแหละ คือจุดอ่อนที่ฮุน เซนหนีไม่พ้น 

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ในกัมพูชาก็เริ่มตั้งคำถาม
ทำไมเรายังยอมเวียดนามอยู่?
ทำไมรัฐบาลถึงลงนามแนวเขตที่อาจเสียเปรียบ?
ทำไมนักลงทุนเวียดนามได้สิทธิพิเศษเยอะกว่า?
คำถามพวกนี้แรงขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะในโซเชียลของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และ NGO

แล้วฮุน เซนตอบยังไง?
แทนที่จะตอบตรงๆ…
เขาหันหน้าไปยัง 'ชายแดน' แล้วพูดว่า
> “ไทยกำลังจะมายึดแผ่นดินเรา!”
จบเลยครับ
คนหันไปสนใจเรื่องภายนอก แทนที่จะตั้งคำถามกับเวียดนาม
เหมือนเวลามีคนถามเรื่องที่เราไม่อยากตอบ เราก็ชี้ไปทางอื่นแล้วพูดว่า
> “ดูนั่นสิ ไฟไหม้!”

พูดง่ายๆ คือ...
ฮุน เซนไม่ได้กลัวไทยรุกล้ำดินแดน
แต่เขากลัว 'คนในประเทศ' จะรุกล้ำความชอบธรรมของตระกูลตัวเอง

จบตอน
เหตุการณ์ที่ชายแดน คือหมากเบี่ยงประเด็น
คำพูดแข็งกร้าว คือกำแพงป้องกันศัตรูที่มองไม่เห็น
และในขณะที่โลกกำลังมองว่าไทย-กัมพูชาจะปะทะกันไหม?
ฮุน เซนกำลังชนะอยู่เงียบๆ บนกระดานภายในบ้านของเขาเอง

‘ฮุน เซน’ เตือนปมชายแดนไทย-กัมพูชา อาจกลายเป็น ‘กาซา’ เสนอพึ่งศาลโลก หวั่นความขัดแย้งเรื้อรังไม่สิ้นสุด

(2 มิ.ย. 68) สมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตือนว่าหากปัญหาพรมแดนระหว่างกัมพูชากับไทยไม่ได้รับการแก้ไขผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) อาจนำไปสู่ความขัดแย้งเรื้อรังคล้ายสถานการณ์ในกาซาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ พร้อมย้ำว่า “หากเราจริงใจ ทำไมต้องกลัวศาลโลก?”

ล่าสุด ฮุน เซนโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า ในการประชุมร่วมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและวุฒิสภาเช้าวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา สมาชิก 182 คนลงมติเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ต่อแผนการของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ในการยื่นข้อพิพาทพรมแดนกับไทยเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก โดยถือเป็นมติสนับสนุนจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างชัดเจน

ฮุน เซนยังกล่าวว่า บันทึกความเข้าใจ (MOU) เมื่อปี 2000 ที่เคยลงนามร่วมกับไทยนั้น “หมดความหมาย” หลังผ่านมา 25 ปีโดยไม่มีความคืบหน้า พร้อมเปิดเผยว่ามีทหารกัมพูชาถูกยิงเสียชีวิตในเหตุปะทะล่าสุด ถือเป็นอีกหลักฐานว่าความขัดแย้งยังไม่ยุติ

ด้านนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ระบุว่ากัมพูชาจะเดินหน้ายื่นเรื่องต่อ ICJ ไม่ว่าจะได้รับความร่วมมือจากไทยหรือไม่ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนทุกฝ่ายสามัคคี สนับสนุนกองทัพ และงดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลาสำคัญนี้

หากสถานการณ์บานปลาย ฮุน เซนยืนยันว่ากัมพูชาจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอการแทรกแซงระหว่างประเทศ โดยย้ำว่ากัมพูชาไม่มีเจตนายึดครองดินแดน แต่จะไม่ยอมสูญเสียพื้นที่อีกแม้แต่ตารางนิ้วเดียว 

ขณะที่กองทัพบกของไทย ชี้แจงว่าการเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่จะนำข้อพิพาทไปยังศาลโลกนั้น เป็นเรื่องทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีมาก่อนหน้า และ “ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง” กับกรณีเหตุการณ์ล่าสุดบริเวณชายแดน 

รัฐบาลไทย เบรกแผนกองทัพปิดด่าน หลังผู้นำกัมพูชาต่อสายร้องขอ หวั่นกระทบเศรษฐกิจชายแดน

(2 มิ.ย. 68) มีรายงานว่า รัฐบาลโดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ขอให้กองทัพใช้ความอดทนอดกลั้นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังพบว่ากัมพูชาเพิ่มกำลังทหารและอาวุธหนักในพื้นที่ช่องบก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ โดยฝ่ายกัมพูชาหันปืนใหญ่เข้าสู่ฝั่งไทย

กองทัพไทยแจ้งต่อรัฐบาลว่า ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามายังเขตแดนของไทย จึงเสนอปิดด่านชายแดนทั้งหมด เพื่อกดดันให้กัมพูชาถอนกำลังออกไป โดยมองว่าหากนิ่งเฉยจะเป็นการยอมรับการล้ำแดน ซึ่งสร้างความไม่สบายใจต่อฝ่ายทหาร

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ ขอให้ชะลอแผนปิดด่านออกไป เนื่องจากกังวลว่าจะกระทบต่อการค้าชายแดน และซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมระบุว่ากำลังจะมีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นเวทีทางการทูตที่ควรให้โอกาสก่อน

รายงานระบุเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ พล.อ. เตีย เซ็ยฮา รองนายกฯ และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ได้โทรศัพท์หานายภูมิธรรม ร้องขอไม่ให้ไทยปิดด่านชายแดน ซึ่งนำไปสู่การพูดคุยภายในรัฐบาล และมีคำสั่งให้กองทัพยับยั้งมาตรการแข็งกร้าวไว้ชั่วคราว เพื่อหลีกเลี่ยงความตึงเครียดที่จะลุกลามบานปลาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top