Saturday, 7 June 2025
อิหร่าน

จีน-รัสเซีย-อิหร่าน ประกาศซ้อมรบทางทะเล ยกระดับความร่วมมือทางทหาร กระชับอำนาจในอ่าวเปอร์เซีย

(11 มี.ค. 68) สำนักข่าว Sputnik รายงานว่า กระทรวงกลาโหมจีนประกาศว่า จีน, รัสเซีย และอิหร่าน จะร่วมกันซ้อมรบทางทะเลบริเวณน่านน้ำใกล้ท่าเรือจาบาฮาร์ของอิหร่าน ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้

แถลงการณ์จากกระทรวงกลาโหมจีนระบุว่า การซ้อมรบครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่ การเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล การต่อต้านภัยคุกคามทางยุทธศาสตร์ และการประสานงานทางทหาร ระหว่างกองทัพเรือของทั้งสามประเทศ ซึ่งถือเป็นการขยายความร่วมมือทางทหารที่สำคัญ

การซ้อมรบระหว่าง จีน-รัสเซีย-อิหร่าน เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศที่มีความตึงเครียด โดยก่อนหน้านี้ รัสเซียเพิ่งเสร็จสิ้นการซ้อมรบครั้งใหญ่ "Ocean-2024" ในทะเลญี่ปุ่นร่วมกับจีน ขณะที่จีนและอิหร่านก็กำลังพัฒนาความสัมพันธ์ทางทหารอย่างต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์มองว่าการซ้อมรบครั้งนี้ อาจเป็นการส่งสัญญาณถึงชาติตะวันตกว่า พันธมิตรฝั่งตะวันออกกำลังแข็งแกร่งขึ้น และพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของตนในภูมิภาค โดยเฉพาะในบริเวณอ่าวเปอร์เซียและมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์สำคัญทางเศรษฐกิจและการทหาร

ทั้งนี้ รายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการซ้อมรบ รวมถึงจำนวนกองกำลังและยุทโธปกรณ์ที่เข้าร่วม ยังคงต้องรอติดตามจากแถลงการณ์เพิ่มเติมของทั้งสามประเทศ

‘อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี’ เตือนประชาคมโลกอย่าหลงเชื่อคำพูดสหรัฐฯ ชี้วอชิงตันใช้การเจรจาเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพลักษณ์

(13 มี.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวในระหว่างการบรรยายสาธารณะว่า การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เผยพร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านและเชิญชวนให้เจรจา นั้นเป็นเพียงการหลอกลวงความคิดของประชาคมโลก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของการเปิดการสนทนาและการยอมรับการเจรจาเท่านั้น

“การกล่าวถึงการเจรจาของสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงความพยายามที่จะหลอกลวงประชาคมโลกเกี่ยวกับการแสดงออกของอเมริกาในการไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของอิหร่าน” ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าว พร้อมกับเสริมว่า “อิหร่านจะไม่ถูกหลอกให้เชื่อในคำพูดของสหรัฐฯ ซึ่งมีประวัติในการทำลายข้อตกลงระหว่างประเทศ”

การแถลงของผู้นำสูงสุดของอิหร่านเกิดขึ้นหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เคยกล่าวในหลายโอกาสว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะเจรจากับอิหร่านเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ในอนาคต โดยประธานาธิบดีไบเดนหวังว่าจะสามารถหาทางออกเพื่อยุติความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ผ่านการเจรจา

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 มี.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยว่าเขาได้ส่งจดหมายถึง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเชิญชวนให้อิหร่านเข้าร่วมการเจรจาเกี่ยวกับ โครงการนิวเคลียร์ ระหว่างสองประเทศ โดยเขาระบุว่า การเจรจานี้จะเป็นการหาทางออกอย่างสันติ และ “จะช่วยหลีกเลี่ยงความตึงเครียดในภูมิภาค”

อย่างไรก็ตาม, อิหร่าน ยังคงยืนยันในจุดยืนที่ไม่ยอมรับการเจรจาต่อเงื่อนไขเดิมที่ไม่เป็นธรรม และยังคงมีการวิพากษ์วิจารณ์สหรัฐฯ ต่อการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ เช่น ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ซึ่งสหรัฐฯ ถอนตัวในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดำรงตำแหน่งเมื่อครั้งก่อน 

นับเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ในการจัดการกับปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยทรัมป์ได้กล่าวว่า ข้อตกลงนี้ไม่สามารถปกป้องสหรัฐฯ และพันธมิตรจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านได้ และกล่าวหาว่าอิหร่านยังคงดำเนินกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในภูมิภาค

“เกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ มีคำกล่าวกันว่าจะไม่ยอมให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์ แต่หากเราต้องการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ อเมริกาก็ไม่สามารถหยุดเราได้ เป็นความจริงที่ว่าเราไม่มีอาวุธนิวเคลียร์และไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ก็เพราะตัวเราเองไม่ต้องการมัน” คาเมเนอี กล่าว

สำหรับการที่ อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมาพูดในครั้งนี้ได้รับความสนใจจากประชาคมโลกอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ยังคงตึงเครียดและไม่มีท่าทีที่จะคลี่คลายในอนาคตอันใกล้ 

ทั้งนี้ คำพูดของผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในเจตนาของสหรัฐฯ โดยอิหร่านมองว่าการเสนอเจรจาของสหรัฐฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ในการบิดเบือนความจริงและไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของอิหร่านได้

อิหร่าน-รัสเซีย-จีน หารือนิวเคลียร์ที่ปักกิ่ง เตรียมเดินเกมใหม่บนเวทีโลก ท้าทายแรงกดดันจากสหรัฐฯ

(14 มี.ค. 68) สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า นักการทูตระดับสูงจากอิหร่าน รัสเซีย และจีน ได้ประชุมหารือร่วมกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อหารือเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน การประชุมครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่อิหร่านปฏิเสธคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้อิหร่านกลับมาเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์

นายคาเซม การีบาบาดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน และนายเซอร์เกย์ รยาบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้เข้าร่วมการประชุมสามฝ่ายนี้ โดยมีนายหม่า เจ้าโซ่ว ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เป็นประธานการประชุม การหารือครั้งนี้ครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน, การยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร และประเด็นอื่น ๆ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน

“ฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องควรมีพันธะในการขจัดสาเหตุหลักของสถานการณ์ปัจจุบัน และละทิ้งแรงกดดันในการคว่ำบาตรและการคุกคาม” หม่า จ้าวซู่ รองรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าว

การประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) จัดการหารือแบบวงปิดเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่านที่นครนิวยอร์ก สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา

เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้ส่งจดหมายถึงอยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน เพื่อเสนอการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ พร้อมระบุว่า “การจัดการกับอิหร่านมีเพียง 2 ทางเลือก คือ ใช้กำลังทหาร หรือทำข้อตกลงเท่านั้น”

ทว่าประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียนแห่งอิหร่าน ยืนยันว่าจะไม่ยอมเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้การถูก “ข่มขู่” และไม่มีทางยอมทำตาม “คำสั่ง” ของสหรัฐฯ ที่บีบให้ต้องเจรจา

“มันเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ที่พวกเขาจะมาบอกว่า เรากำลังออกคำสั่งให้คุณอย่าทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนั้น หรือเราควรทำสิ่งนี้ ผมจะไม่เจรจาใด ๆ กับคุณ เอาเลย ทำอะไรที่น่ารังเกียจตามที่คุณต้องการ” ประธานาธิบดีมาซูด กล่าว

ทั้งนี้ จีนและอิหร่านได้ร่วมกันเรียกร้องให้มีการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน เพื่อเปิดทางให้ทุกฝ่ายกลับคืนสู่โต๊ะเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์อีกครั้ง

การประชุมครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างอิหร่าน รัสเซีย และจีน ในการแก้ไขปัญหาโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และความพยายามในการหาทางออกที่สันติและยั่งยืนสำหรับประเด็นที่ซับซ้อนนี้

ทรัมป์ขู่อิหร่าน หยุดหนุนฮูตี ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป

(20 มี.ค. 68) ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งคำเตือนถึงอิหร่าน ยุติการส่งอาวุธให้กลุ่มฮูตีโดยทันที รวมถึงกลุ่มติดอาวุธในเยเมน ท่ามกลางความตึงเครียดในตะวันออกกลาง 

“การโจมตีของสหรัฐฯ ต่อกลุ่มฮูตีจะเลวร้ายลงอีก และพวกเขาจะถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง!” ทรัมป์ระบุผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social

คำเตือนของทรัมป์มีขึ้นหลังจากกลุ่มฮูตีเปิดฉากโจมตีเรือสินค้าและเรือรบที่ผ่านทะเลแดงอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ต่ออิสราเอลจากสงครามในฉนวนกาซา ซึ่งสหรัฐฯ มองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อเส้นทางการค้าโลก

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้ออกคำสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อฐานที่มั่นของฮูตีในเยเมน เพื่อตอบโต้การโจมตีเรือสินค้า และย้ำว่า ปฏิบัติการดังกล่าวจะดำเนินต่อไปจนกว่าฮูตีจะยุติการโจมตีในทะเลแดง

ทรัมป์ยังเน้นย้ำว่า อิหร่านต้องรับผิดชอบต่อการสนับสนุนกลุ่มฮูตี และเตือนว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นในอนาคตจากกลุ่มติดอาวุธดังกล่าว อิหร่านจะต้องเผชิญกับผลกระทบอย่างรุนแรง

ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการควบคุมสถานการณ์ในทะเลแดง และส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการลดละความพยายามในการทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตี หากพวกเขายังคงคุกคามเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ

สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนบนเวทีโลก โดยหลายฝ่ายจับตาดูว่าคำเตือนของทรัมป์จะส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

‘เนทันยาฮู-ทรัมป์’ จับมือสกัดนิวเคลียร์อิหร่าน หากยังดื้อเดินหน้าโครงการต่อ ชี้ทางเลือกสุดท้ายคงต้องใช้กำลัง

(9 เม.ย. 68) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกแถลงการณ์อย่างแข็งกร้าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ภายหลังการหารือร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ทำเนียบขาว โดยทั้งสองผู้นำยืนยันเจตนารมณ์ร่วมกันว่า “อิหร่านจะต้องไม่มีวันครอบครองอาวุธนิวเคลียร์”

เนทันยาฮูเปิดเผยว่า มีการพูดคุยอย่างละเอียดเกี่ยวกับแนวทางจัดการโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะต้องมีการทำ “ข้อตกลงใหม่” ซึ่งสหรัฐฯ จะมีบทบาทหลักในการ เข้าไปควบคุม ทำลาย และรื้อถอน เครื่องมือ อุปกรณ์ และสถานที่ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่าน

“ข้อตกลงนี้ไม่ใช่แค่เอกสาร แต่คือการลงมือปฏิบัติจริง เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านเข้าใกล้อาวุธนิวเคลียร์แม้แต่น้อย” เนทันยาฮูกล่าว

เนทันยาฮูยังเน้นว่า หากอิหร่านไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว “ก็จะไม่เหลือทางเลือกมากนัก นอกจากต้องใช้ปฏิบัติการทางทหาร” ซึ่งเป็นสิ่งที่ “ทุกฝ่ายเข้าใจดี” ถึงความจำเป็นในกรณีที่การเจรจาล้มเหลว

แม้ยังไม่มีรายละเอียดอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว แต่ท่าทีของทั้งทรัมป์และเนทันยาฮูส่งสัญญาณชัดเจนว่า ยุทธศาสตร์ต่ออิหร่านจะกลับมาแข็งกร้าวอีกครั้ง ภายใต้ความร่วมมือของสหรัฐฯ และอิสราเอล

ขณะที่ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ทูตพิเศษของทรัมป์ จะนำคณะผู้แทนสหรัฐฯ เข้าร่วมเจรจากับอิหร่านในวันเสาร์นี้ที่ประเทศโอมาน ตามรายงานของ Axios เมื่อวันอังคารโดยอ้างแหล่งข่าวสองรายที่ทราบแผนดังกล่าว

รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับวิทคอฟฟ์ ผู้ซึ่งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทางการทูต มากกว่าไมเคิล วอลท์ซ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติผู้มีท่าทีแข็งกร้าว และมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้ซึ่ง “มีความสงสัย” ต่อกระบวนการทางการทูตของสหรัฐฯ 

แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า แผนดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายที่จะร่วมมือกับอิหร่านโดยตรง โดยความคิดริเริ่มทางการทูตเริ่มต้นเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อทรัมป์ส่งจดหมายถึงอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดอิหร่าน โดยให้เวลาเตหะรานสองเดือนในการบรรลุข้อตกลง

เมื่อวันจันทร์ ทรัมป์กล่าวว่าการเจรจาเป็น “ผลประโยชน์สูงสุดของอิหร่าน” ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะใช้มาตรการทางทหารหากการเจรจาล้มเหลว พร้อมเตือนว่าเตหะราน “จะตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง” หากไม่มีข้อตกลง 

ด้าน อับบาส อาราฆชี รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของอิหร่าน ยอมรับถึงความเสี่ยงที่สูง โดยกล่าวในโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารว่า “มันเป็นทั้งโอกาสและการทดสอบ ลูกบอลอยู่ในสนามของอเมริกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

‘สหรัฐฯ’ ประกาศคว่ำบาตรน้ำมัน ‘อิหร่าน’ มุ่งเป้าสกัดโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กของจีน

(17 เม.ย. 68) รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ซึ่งคราวนี้รวมถึงการคว่ำบาตรโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กของจีน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Teapot Refinery" เป็นครั้งแรก

กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุว่า โรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กแห่งหนึ่งของจีนได้ซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการละเมิดมาตรการคว่ำบาตร และนับเป็นโรงกลั่นน้ำมันจีนแห่งที่สองที่ถูกดำเนินมาตรการลงโทษจากฝั่งสหรัฐฯ

ที่ผ่านมา โรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กของจีนมักไม่ถูกรวมอยู่ในรายชื่อเป้าหมายของการคว่ำบาตร เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับระบบการเงินของสหรัฐฯ ค่อนข้างน้อย ต่างจากบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของรัฐบาลจีนที่ได้หยุดซื้อน้ำมันจากอิหร่านไปก่อนหน้านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ

ที่ผ่านมา โรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กของจีนมักไม่ถูกรวมอยู่ในรายชื่อเป้าหมายของการคว่ำบาตร เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับระบบการเงินของสหรัฐฯ ค่อนข้างน้อย ต่างจากบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของรัฐบาลจีนที่ได้หยุดซื้อน้ำมันจากอิหร่านไปก่อนหน้านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบ

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังได้คว่ำบาตร บริษัทและเรือบรรทุกน้ำมันหลายแห่ง ที่มีบทบาทในการขนส่งน้ำมันของอิหร่านไปยังจีน ผ่านเครือข่ายลับที่เรียกว่า “กองเรือเงา (Shadow Fleet)” ซึ่งถูกใช้ในการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบและเลี่ยงมาตรการจากนานาชาติ

จีนในฐานะ ผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิหร่าน ยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาดพลังงานโลก โดยเฉพาะโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็กที่ยังคงเป็นลูกค้าหลักของอิหร่านผ่านระบบการค้าทางเลือกที่ใช้ เงินหยวน แทนดอลลาร์สหรัฐ และอาศัยเครือข่ายตัวกลางเพื่อลดการตรวจสอบจากสหรัฐฯ

สำหรับมาตรการล่าสุดนี้สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลวอชิงตันในการปิดช่องโหว่ทางเศรษฐกิจของอิหร่าน และกดดันจีนให้ร่วมมือในประเด็นการบังคับใช้คว่ำบาตรระดับโลก

ถอดรหัส 'การส่งออกก๊าซระหว่างรัสเซียและอิหร่าน' การสร้างพันธมิตรทางพลังงานและผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์

ในระยะหลังความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในแง่ของการค้าพลังงาน ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก การตกลงของรัสเซียที่จะเริ่มการส่งก๊าซไปยังอิหร่านในปีนี้ถือเป็นการเปิดโอกาสใหม่ในความร่วมมือทางพลังงานระหว่างสองประเทศนี้ ข้อตกลงดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและอิหร่าน แต่ยังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อทิศทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางและมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนแปลงสมดุลอำนาจในระดับโลกได้

อิหร่านเป็นหนึ่งในประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานสำคัญ โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติในขณะที่รัสเซียก็เป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ของโลก การที่ทั้งสองประเทศสามารถทำข้อตกลงในเรื่องการส่งก๊าซจะทำให้ทั้งสองฝ่ายมีอำนาจในการควบคุมตลาดพลังงานในภูมิภาคและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับทั้งสองประเทศ ขณะเดียวกันการร่วมมือด้านพลังงานนี้ยังช่วยเสริมสร้างบทบาทของทั้งสองประเทศในฐานะ "ผู้เล่นสำคัญ" ในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีความขัดแย้งและการแทรกแซงจากประเทศภายนอกรวมถึงสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก

จากมุมมองของรัสเซียการส่งก๊าซไปยังอิหร่านไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างพันธมิตรทางพลังงานที่สามารถช่วยให้รัสเซียมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวแต่ยังเป็นการแสดงออกถึงอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ซึ่งการมีอำนาจในตลาดพลังงานเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันอิหร่านก็จะได้รับประโยชน์จากการเพิ่มการจัดหาก๊าซในตลาดภายในประเทศและเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้ากับหนึ่งในประเทศที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก อย่างไรก็ตามข้อตกลงนี้ไม่เพียงแต่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองภายในสองประเทศเท่านั้นแต่ยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในระบบภูมิรัฐศาสตร์โลกโดยเฉพาะในแง่ของการยกระดับความตึงเครียดกับชาติตะวันตกและการสร้างแนวทางใหม่ในการคัดค้านการแทรกแซงจากมหาอำนาจต่างๆ การขยายตัวของความสัมพันธ์พลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่เพียงแต่ในแง่ของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแต่ยังมีผลต่อการปรับเปลี่ยนทิศทาง ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ในด้านเศรษฐกิจรัสเซียได้เผชิญกับผลกระทบจากการคว่ำบาตรที่เข้มข้นจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในด้านการส่งออกพลังงาน ทำให้ต้องหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนการสูญเสียตลาดยุโรปที่มีมูลค่าสูง ขณะเดียวกันการขยายตลาดไปยังเอเชียกลางและตะวันออกกลางช่วยให้รัสเซียสามารถรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดพลังงานโลก อิหร่านเองก็มีสถานการณ์คล้ายกัน เนื่องจากการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรทำให้การส่งออกก๊าซและน้ำมันของประเทศถูกจำกัด การมีพันธมิตรในรัสเซียจึงเป็นโอกาสที่อิหร่านสามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการคว่ำบาตรและเพิ่มการเข้าถึงตลาดพลังงานใหม่ๆ ทั้งในแง่ของการส่งออกและการบริโภคในประเทศ การตกลงเพื่อส่งก๊าซระหว่างทั้งสองประเทศจึงมีความสำคัญในฐานะการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและเศรษฐกิจของทั้งรัสเซียและอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การกดดันทางเศรษฐกิจจากประเทศตะวันตกยังคงมีอยู่

ผลประโยชน์ที่ทั้งสองชาติจะได้รับจากการส่งออกก๊าซ
รัสเซีย: การส่งก๊าซไปยังอิหร่านถือเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจที่สำคัญในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคที่มีความต้องการพลังงานสูงในช่วงนี้ การมีตลาดพลังงานใหม่ในอิหร่านและพื้นที่ตะวันออกกลางจะทำให้รัสเซียสามารถกระจายการพึ่งพาตลาดยุโรปได้มากขึ้น นอกจากนี้การเป็นผู้ส่งออกก๊าซหลักไปยังอิหร่านจะช่วยเพิ่มบทบาทของรัสเซียในฐานะผู้นำทางพลังงานของโลกในระดับภูมิภาคและทั่วโลก

อิหร่าน: สำหรับอิหร่านการรับก๊าซจากรัสเซียจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงในด้านพลังงานภายในประเทศ ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาการผลิตพลังงานภายในที่ลดลงจากการคว่ำบาตรต่างๆ การมีรัสเซียเป็นพันธมิตรทางพลังงานจะช่วยให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกและสะดวกสบายยิ่งขึ้นซึ่งจะมีผลดีต่ออุตสาหกรรมต่างๆ ของประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มศักยภาพในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานพลังงานภายในประเทศและยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในทางภูมิรัฐศาสตร์ความร่วมมือทางพลังงานนี้ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างรัสเซียและอิหร่าน โดยทำให้ทั้งสองประเทศสามารถรับมือกับการแทรกแซงจากต่างชาติได้ดีขึ้นทั้งในระดับเศรษฐกิจและการเมือง ส่งผลให้พวกเขามีอิทธิพลมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ

การตอบสนองของโลกตะวันตกต่อการขยายอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาค
ข้อตกลงระหว่างรัสเซียและอิหร่านในเรื่องการส่งออกก๊าซธรรมชาติได้สร้างความวิตกกังวลในหมู่ประเทศตะวันตกที่อาจมองว่าการร่วมมือทางพลังงานระหว่างสองประเทศนี้อาจเสริมสร้างอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในบริบทที่รัสเซียและอิหร่านมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความมั่นคงทางทหารและภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสองประเทศต่างมีความมุ่งมั่นที่จะท้าทายอิทธิพลของสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกในตะวันออกกลางและพื้นที่อื่น ๆ การที่รัสเซียสามารถส่งออกก๊าซให้กับอิหร่านได้มากขึ้น น่าจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างกัน ซึ่งสามารถมีผลต่ออำนาจการต่อรองในหลาย ๆ สนาม

การขยายความสัมพันธ์ทางพลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านคงจะไม่ได้ผ่านไปอย่างราบรื่น เนื่องจากโลกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และประเทศในยุโรปมีท่าทีต่อต้านการพัฒนาเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการส่งออกพลังงานในปริมาณมาก สิ่งนี้สามารถเสริมสร้างสถานะของอิหร่านในฐานะผู้ผลิตพลังงานสำคัญในภูมิภาคและลดผลกระทบของการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ และ EU ได้ใช้กับอิหร่านมาก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรในยุโรปอาจตอบสนองด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เช่น การจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงาน หรือการห้ามการลงทุนในโครงสร้างพลังงานของอิหร่าน นอกจากนี้อาจมีการใช้มาตรการทางการทูตเพื่อกดดันรัสเซียและอิหร่านให้ลดความร่วมมือในภาคพลังงานรวมถึงการขยายการคว่ำบาตรจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติหรือ G7 เพื่อลดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศ

การร่วมมือระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานสร้างความท้าทายทางการทูตที่ซับซ้อนสำหรับโลกตะวันตก โดยเฉพาะในกรณีที่สหรัฐฯ และพันธมิตรไม่สามารถหาทางออกที่สามารถหยุดยั้งการเติบโตของความสัมพันธ์นี้ได้ ความพยายามที่จะจำกัดการเข้าถึงทรัพยากรพลังงานและการส่งออกของอิหร่านอาจทำให้เกิดปัญหาทางการทูตในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น การขยายบทบาทของรัสเซียในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น ในซีเรีย หรือลงลึกไปในการช่วยเหลือด้านพลังงานที่อาจสนับสนุนโครงการทางทหารของอิหร่านที่มีความเสี่ยงสูง

ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ สหรัฐฯ และพันธมิตรอาจมีการปรับกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อเผชิญหน้ากับการพัฒนาความสัมพันธ์ทางพลังงานของรัสเซียและอิหร่าน โดยการเจรจากับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อเพิ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือการสนับสนุนการดำเนินการทางการทูตที่มีลักษณะเชิงรุกมากขึ้น การขยายมาตรการคว่ำบาตรและเพิ่มแรงกดดันต่อทั้งรัสเซียและอิหร่านอาจกลายเป็นเครื่องมือหลักในการปกป้องผลประโยชน์ของโลกตะวันตกและสกัดกั้นการเติบโตของอิทธิพลรัสเซียในตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่น ๆ การพัฒนาความสัมพันธ์ทางพลังงานนี้ยังอาจเป็นการทดสอบการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงประเทศในเอเชียกลางที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ในบริเวณนี้ ท่ามกลางความกังวลที่มีต่อการขยายอิทธิพลของรัสเซียและอิหร่านในเชิงพลังงานและการเมือง

ผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลาง
การตกลงระหว่างรัสเซียและอิหร่านในการส่งออกก๊าซธรรมชาติอาจเสริมสร้างอำนาจของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับประเทศในภูมิภาคมีความเข้มแข็งขึ้น รัสเซียได้เข้ามามีบทบาทในหลายพื้นที่สำคัญของตะวันออกกลาง อาทิเช่น ซีเรีย โดยที่การสนับสนุนของรัสเซียต่อรัฐบาลของบาชาร์ อัล-อัสซาดยังคงมีบทบาทสำคัญในการคงอำนาจของรัฐบาลในดามัสกัสและการป้องกันไม่ให้กลุ่มอำนาจตะวันตกขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้การที่รัสเซียสามารถส่งออกก๊าซไปยังอิหร่านได้มากขึ้นยิ่งทำให้รัสเซียกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักทางเศรษฐกิจในภูมิภาคซึ่งสามารถขยายอิทธิพลในระดับภูมิรัฐศาสตร์โดยการใช้พลังงานเป็นเครื่องมือในการต่อรองและการสร้างพันธมิตรกับประเทศต่าง ๆ ในตะวันออกกลาง การมีส่วนร่วมของรัสเซียในการดำเนินการทางพลังงานของอิหร่านและการส่งออกก๊าซยังช่วยเสริมความสามารถของรัสเซียในการเข้าถึงตลาดพลังงานที่สำคัญของโลกซึ่งจะทำให้รัสเซียสามารถใช้พลังงานเป็นเครื่องมือในการปรับกลยุทธ์ทางการทูตและภูมิรัฐศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในขณะที่การขยายความร่วมมือทางพลังงานกับรัสเซียจะมีผลกระทบสำคัญต่อทิศทางการดำเนินนโยบายพลังงานของอิหร่านโดยเฉพาะในด้านการส่งออกก๊าซและน้ำมันที่สำคัญ อิหร่านที่เคยต้องพึ่งพาความสัมพันธ์กับประเทศในภูมิภาคและตะวันตกในการค้าขายพลังงานอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การพึ่งพารัสเซียมากขึ้นในการพัฒนาและส่งออกก๊าซธรรมชาติ การร่วมมือในโครงการพลังงานกับรัสเซียจะช่วยให้การส่งออกพลังงานของอิหร่านเติบโตขึ้นขณะเดียวกันก็ช่วยลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่โลกตะวันตกได้ใช้กับอิหร่านก่อนหน้านี้ นอกจากนี้อิหร่านยังสามารถใช้ความสัมพันธ์ทางพลังงานกับรัสเซียเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในประเทศซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน เช่น การขุดเจาะและขนส่งก๊าซรวมถึงการสร้างงานในภาคพลังงานภายในประเทศโดยเฉพาะในช่วงที่อิหร่านมีความพยายามในการหลีกเลี่ยงการพึ่งพิงจากประเทศตะวันตก

การขยายความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านในด้านพลังงานไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อรัสเซียและอิหร่านเท่านั้นแต่ยังส่งผลกระทบต่อลักษณะของความสัมพันธ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางในหลาย ๆ ด้าน ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ หรือชาติในยุโรปอาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการขยายอำนาจของรัสเซียและอิหร่าน การเพิ่มขึ้นของอิทธิพลรัสเซียในภูมิภาคอาจทำให้ประเทศเหล่านี้มองว่าการร่วมมือระหว่างรัสเซียและอิหร่านเป็นการท้าทายอำนาจของตะวันตกในตะวันออกกลาง สำหรับประเทศที่เคยพึ่งพาพลังงานจากอิหร่านหรือรัสเซีย เช่น ประเทศในแถบอ่าวเปอร์เซีย ประเทศเหล่านี้อาจต้องปรับตัวในด้านการพัฒนาพลังงานและการตลาดใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงการขยายตัวของความสัมพันธ์ทางพลังงานระหว่างรัสเซียและอิหร่านที่อาจทำให้การแข่งขันในตลาดพลังงานเพิ่มสูงขึ้น การเพิ่มความร่วมมือในด้านพลังงานระหว่างสองประเทศนี้ยังอาจทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคที่มีอยู่แล้วระหว่างประเทศต่าง ๆ เช่น ซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ทวีความรุนแรงขึ้นและอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการลงทุนในโครงสร้างพลังงานของประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง

บทสรุป ข้อตกลงการส่งก๊าซระหว่างรัสเซียและอิหร่านในปีนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โดยเฉพาะในด้านพลังงานและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแค่เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศแต่ยังเพิ่มความแข็งแกร่งในการเจรจาทางการทูตของทั้งรัสเซียและอิหร่านในเวทีโลก นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างอำนาจของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางและสามารถปรับสมดุลพลังงานในตลาดโลกได้ การส่งออกก๊าซไปยังอิหร่านไม่เพียงแค่ช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของทั้งสองประเทศ แต่ยังเสริมสร้างอำนาจและอิทธิพลของรัสเซียในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีการแข่งขันสูง ข้อตกลงนี้ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการลดผลกระทบจากการคว่ำบาตรของตะวันตกและช่วยให้รัสเซียและอิหร่านมีความสามารถในการต่อรองทางเศรษฐกิจและการทูต ในอนาคต ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและอิหร่านคาดว่าจะยังคงแข็งแกร่งขึ้นโดยเฉพาะในด้านพลังงานและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การส่งออกก๊าซจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมสร้างอิทธิพลของทั้งสองประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ขณะเดียวกันก็จะส่งผลให้เกิดการปรับตัวของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อรักษาความสมดุลและผลประโยชน์ทางพลังงานของตนเอง ความร่วมมือนี้อาจมีผลต่อทิศทางภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคในระยะยาวและกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอนาคตของการเมืองโลก

รมว.กลาโหมของสหรัฐฯ เพิ่งประกาศสงครามกับ อิหร่าน (หรือเปล่า) หลัง ‘อิหร่าน’ ให้การสนับสนุน ‘ฮูตี’ ลั่น!! จะต้องชดใช้ผลที่ตามมา

(1 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

รมว.กลาโหมของ #สหรัฐฯ เพิ่งประกาศสงครามกับ #อิหร่าน หรือเปล่า??

สารถึงอิหร่าน

สหรัฐฯเห็นว่าอิหร่านสนับสนุนกลุ่มฮูตีเต็มร้อย สหรัฐฯรู้ดีว่าอิหร่านกำลังทำอะไรอยู่
อิหร่านรู้ดีอยู่แล้วว่ากองทัพสหรัฐฯ มีศักยภาพแค่ไหน — และอิหร่านได้รับคำเตือนแล้ว
อิหร่านจะต้องชดใช้ผลที่ตามมาในเวลาและสถานที่ที่สหรัฐฯกำหนด”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top