Friday, 6 June 2025
อาชญากรรม

เปิดคำสารภาพของสาววัย 20 ปี ผู้ก่อเหตุไล่แทงคนบนรถไฟโตเกียว ภัยเงียบแห่งสังคมญี่ปุ่น ภายใต้อาชญากรรมด้วยเหตุจูงใจที่ ‘ไร้เหตุจูงใจ’

ปี 2024 นี้ ไม่น่าจะใช่ปีที่ดีของชาวญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ เพราะมีเหตุการณ์ร้ายแรงตั้งแต่ต้นปี ทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ เครื่องบินชนกัน ยัน ไฟไหม้ตึก

เช่นเดียวกับคดีที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้ บนรถไฟฟ้ากลางกรุงโตเกียว เมื่อมีคนร้ายใช้มีดไล่แทงผู้คนบนรถไฟสาย ‘JR Yamanote’ ขณะมุ่งหน้าไปสถานีอากิฮาบาระ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 4 คน

เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นในช่วงกลางดึก ราวๆ 23.50 น. ของคืนวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา เมื่อมีหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ใช้มีดทำครัวไล่แทงผู้โดยสารบนขบวนรถไฟสาย JR Yamanote หนึ่งในสายรถไฟหลักชื่อดังของกรุงโตเกียว เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บเป็นชาย 4 คน และ 3 ใน 4 คน ถูกแทงบริเวณกลางหลัง และ ทรวงอก มีอาการบาดเจ็บสาหัส ส่วนอีกคนโชคดีได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

หลังเกิดเหตุ ทางการโตเกียวสั่งหยุดเดินรถไฟ Yamanote ที่สถานีอากิฮาบาระชั่วคราว และได้จับกุมหญิงสาวอายุราวๆ 20 ปี ที่เป็นคนร้าย โดยไม่มีการเปิดเผยชื่อออกสื่อ

และสิ่งที่ได้จากการสอบปากคำคนร้ายสาววัย 20 กว่าๆ นั้น ชวนตะลึงยิ่งกว่าการก่อเหตุของเธอเสียอีก เมื่อเธอให้การรับสารภาพกับตำรวจได้อย่างหน้าตาเฉยว่า “ฉันขึ้นรถไฟมาจากสถานีอุเอโนะ มาเพื่อตั้งใจจะฆ่าคนค่ะ”

ซึ่งเธอมีเจตนามาก่อเหตุจริงๆ เมื่อตำรวจพบหลักฐานเป็นมีดทำครัวที่ใช้ก่อเหตุตกอยู่ภายในรถไฟ และยังพบมีดสำรองอีก 1 เล่มในกระเป๋าของเธอ เรียกได้ว่าเตรียมเผื่อไว้เลย หากมีดเล่มแรกถูกแย่งไป

เจ้าหน้าที่ตำรวจโตเกียวยังหาข้อสรุปสาเหตุจูงใจในการก่อเหตุของเธอได้ แต่หญิงสาวยอมรับว่า เธอมีอาการป่วยทางจิต ที่ส่งผลต่อการกระทำของเธอ แต่ถึงจะอ้างความเจ็บป่วยทางจิตใจ ตำรวจก็จำเป็นต้องตั้งข้อหา ‘เจตนาฆ่า’ ไว้ก่อน และเชื่อว่า คนร้ายกับผู้เคราะห์ร้ายทั้ง 4 คน ไม่เกี่ยวข้องกัน หรือเคยรู้จักกันมาก่อน

อย่างที่รู้กันดีว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก เมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กลับมีคดีไล่แทงคนในที่สาธารณะ การลอบวางเพลิง หรือการก่อเหตุด้วยปืน และระเบิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเองเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่ารูปแบบการก่อเหตุ ก็คือเหตุจูงใจของคนร้าย เพราะหลายครั้งที่เกิดคดีในญี่ปุ่น มักได้รับคำตอบจากคนร้ายว่า “ก่อเหตุเพราะแค่อยากฆ่าใครสักคนเฉยๆ”

ดังเหตุการณ์ร้ายแรงที่เคยเกิดขึ้นในย่านอากิฮาบาระ เช่นกัน เมื่อเดือนมิถุนายน 2008 ‘นายคาโต้ โทโมฮิโระ’ ชายหนุ่มวัย 25 ปี ได้ขับรถไล่ชนผู้คนขณะกำลังข้ามถนนในย่านนี้เป็นจำนวนมาก แล้วยังเอามีดออกมาไล่แทงผู้คนบนท้องถนน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 คน และบาดเจ็บอีกนับ 10 คน

หลังก่อเหตุ ตำรวจพบหลักฐานในโทรศัพท์มือถือของเขา เป็นข้อความที่นอกเหนือจากการแสดงความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง อกหัก แฟนทิ้ง ตกงาน พ่อแม่ไม่รัก ยังมีข้อความที่พิมพ์อย่างชัดเจนว่า “ฉันตั้งใจจะฆ่าคนที่อากิฮาบาระ”

คาโต้ โทโมฮิโระ ถูกตัดสินประหารชีวิตและเพิ่งจะประหารไปเมื่อปี 2022 นี้เอง…

ส่วนอีกคดีที่สะเทือนญี่ปุ่นไม่แพ้กัน คือ เหตุไล่แทงที่เมืองซากะมิฮาระ ในจังหวัดคานาคาวะ เมื่อปี 2016 โดย ‘นายอุเมะมัทสุ ซาโตชิ’ หนุ่มวัย 26 ปี อดีตลูกจ้างศูนย์พยาบาลผู้สูงอายุ ก่อเหตุใช้มีดที่พกมาเป็นจำนวนมาก บุกเข้าไปแทงคนชราภายในศูนย์พักพิง เสียชีวิตไปถึง 19 คน 
ต่อมา นายซาโตชิ ได้เขียนคำรับสารภาพว่า เขาตั้งใจก่อเหตุสังหารคนชรา และ คนพิการ เพื่อประโยชน์ของประเทศญี่ปุ่น และ รักษาสันติภาพของโลก ทั้งยังช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ และ ป้องกันสงครามโลกครั้งที่ 3!!

การก่ออาชญากรรมด้วยเหตุจูงใจ ที่ไร้เหตุจูงใจ จึงไม่ต่างจากภัยเงียบในสังคมของคนญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่า คนที่ยืนรอรถไฟอยู่ข้างๆ เราในวันนี้ มีอารมณ์อยากฆ่าใครบางคนขึ้นมาหรือเปล่า…

ตร. เผย สถิติอายัดเงินทัน สูงขึ้น 6 เท่า! อายัดได้รวม 1,789 ล้านบาท หลัง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้

วันนี้ (12 มกราคม 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยการออกกฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน จากการถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกฎหมายได้ให้อำนาจธนาคารในการอายัดเงินชั่วคราวเป็นระยะเวลา 72 ชั่วโมง ทันทีที่มีผู้เสียหายแจ้งว่าถูกหลอกลวงจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ก่อนที่ผู้เสียหายจะไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีและพนักงานสอบสวนจะแจ้งให้ธนาคารทราบเพื่ออายัดเงินจำนวนดังกล่าวต่อไป ซึ่งปัจจุบันผู้เสียหายสามารถแจ้งเหตุเบื้องต้นเพื่อให้ดำเนินการอายัดบัญชีชั่วคราวได้ที่สายด่วน 1441 นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า สถิติการอายัดเงินที่ผู้เสียหายโอนให้กับกลุ่มมิจฉาชีพสูงขึ้นจากเดิมกว่า 6 เท่า โดยก่อนหน้าที่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้ (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 16 มีนาคม 2566) สถิติการขออายัดเงินรวม 1,346 ล้านบาท อายัดเงินได้ทันเพียง 53 ล้านบาท “คิดเป็นร้อยละ 3.9” ของจำนวนเงินที่ขออายัด

ส่วนสถิติหลังจากที่ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีผลบังคับใช้ (ระหว่างวันที่ 17 มีนาคม - 31 ธันวาคม 2566) มีสถิติการขออายัดเงินรวม 7,496 ล้านบาท อายัดเงินได้ทัน 1,789 ล้านบาท “คิดเป็นร้อยละ 23.9” ของจำนวนเงินที่ขออายัด ซึ่งสูงกว่าเดิมถึง 6 เท่า

อย่างไรก็ตาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอเรียนว่า แม้ พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินที่ผู้เสียหายโอนให้กลุ่มมิจฉาชีพได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีเงินอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถอายัดได้ทัน จึงขอให้พี่น้องประชาชนระมัดระวังไม่หลงเชื่อสิ่งที่เห็น หรือได้ยินบนโลกออนไลน์ ตามหลัก “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

หลักสูตรสืบสวนคดีอาญา ท๊อปจี สานตำนานสร้างนักสืบ ต่อสู้อาชญากรรมยุคใหม่

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.  เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. ดูแลงานสืบสวน, และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ให้เกียรติเดินทางเป็นประธานพิธีเปิดหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา ขั้นพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล หรือ สืบสวน TOP G หลักสูตรสืบสวนที่มีความเข้มข้น และเฉพาะทาง ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดยมี พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น./ผู้อำนวยการฝึกอบรม, พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช. ประจำ สง.ผบ.ตร., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น./รองผู้อำนวยการฝึกอบรม, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น./ผู้อำนวยการฝึกอบรม, พล.ต.ต. ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง โฆษก ตร., คณะครูพี่เลี้ยง และผู้เข้ารับการฝึกอบรม 30 คน ณ ห้องประชุมอัจฉริยะ ชั้น 4 อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล

ย้อนไปเมื่อปี 2540 พล.ต.ท.โสภณ วาราชนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในขณะนั้น ได้มีแนวคิดสร้าง “ปฐมบทของชีวิตนักสืบ” เมืองหลวง โดยมอบหมาย พล.ต.ต.ปรีชา ธิมามนตรี อดีตรอง ผบช.สตม. ตำนานนักสืบระดับอาจารย์ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปรมาจารย์นักสืบ เป็นหนึ่งในครูฝึก บ่มเพาะตำนาน 30 นักสืบ ซึ่งต่อมาในปัจจุบัน 30 นักสืบดังกล่าว ได้กลายมาเป็น นักสืบมือฉกาจคลี่คลายคดีสำคัญหลายคดี อย่าง พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล
​ต่อมาในปัจจุบัน ตามวิสัยทัศน์ของ พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์  สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คือ การมุ่งเน้นการสร้างองค์กรตำรวจให้เป็น “องค์กรปราบปรามอาชญากรรมและบังคับใช้กฎหมายในระดับมาตรฐานสากลที่ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา” และค่านิยมหลัก “พิทักษ์ราษฎร์ ปราบภัย รับใช้ประชาชน” เป็นการเน้นย้ำการบังคับใช้กฎหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องการพัฒนาบุคลากรให้เท่าทันกับรูปแบบอาชญากรรมใหม่ๆ  

โดยเฉพาะการสืบสวนแสวงหาข้อเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐานของการกระทำความผิด  เพื่อนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ และทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในองค์กรสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทว่าในปัจจุบัน ข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนระดับปฏิบัติการมีจำนวนไม่เพียงพอต่ออาชญากรรมที่เพิ่มมากขึ้น และมีรูปแบบการกระทำความผิดที่ซับซ้อนและทวีความรุนแรง ทำให้ต้องฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้านเทคโนโลยีการสืบสวน ที่ทันสมัยให้เท่าทันกับสังคมยุค 5G  ตลอดจนการปลูกฝังคุณธรรม อุดมการณ์ จิตวิญญาณ และการอุทิศตนของข้าราชการตำรวจฝ่ายสืบสวนให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ
​จึงได้มอบหมาย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จัดทัพ นำโดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล คัดสรรค์ข้าราชการตำรวจระดับรองสารวัตรหรือเทียบเท่า ชั้นยศ ร้อยตำรวจโท-ร้อยตำรวจเอก สังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการ จำนวน 30 คน เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมเป็นยอดนักสืบ เป็นเวลา 20 สัปดาห์ ณ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ภายใต้โครงการฝึกอบรมหลักสูตรการสืบสวนคดีอาญา ขั้นพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (TOPG)

ตำรวจ - กสทช. - กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดปฏิบัติการ TAKE DOWN SCAMMER ทลายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ค้น 3 จุด นครศรีธรรมราช รวบ 63 ต่างชาติ - ไทย ซุกโรงแรม โกดังของมือ 2 ยึดซิมผีนับพัน

จากนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รอง ผบ.ตร. ) รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติมาตั้งฐานอยู่ทางภาคใต้ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. บูรณการกำลังเข้าปฏิบัติการ

วันนี้ ( 29 มีนาคม 2567 ) เวลา 16.30 น. ที่ สภ.ฉวาง จว.นครศรีธรรมราช พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ นายไตรรัตน์ วิริยะศิรติกุล รักษาการ เลขาธิการ กสทช. พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการหลอกลวงประชาชนทางออนไลน์เครือข่ายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี( ผบช.สอท. ) , พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5, พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลง

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวนเชิงรุกของตำรวจ ร่วมกับ กสทช.และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผนวกกับการตรวจสอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตำรวจ สอท. 5 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายค้นจากศาล เข้าตรวจค้น 3 จุด จุดแรกโรงแรมแห่งหนึ่งในตำบลจันดี อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรรมราช และอีก 2 จุด คือ บ้านพัก ใน อ.ฉวาง ขยายผลไปยัง โกดังจำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นมือสอง ในพื้นที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธธรมราช พบผู้ต้องหา และของกลางจำนวนมาก โดยพบความเชื่อมโยงกัน สถานที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ทำเป็นขบวนการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน โดยจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ 63 ราย สัญชาติไทย 12 ราย สัญชาติอื่น 51 ราย พร้อมของกลางประกอบด้วย

1. คอมพิวเตอร์ 223 เครื่อง
2. โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดผี 1,300 รายการ
3. เราเตอร์กระจายสัญญาณ 12 เครื่อง
4 .สมุดบัญชีธนาคาร ( บัญชีม้า )  80 เล่ม

ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา ในความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าวฯ, พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ, พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ ประกาศ กสทช. เรื่อง การยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการฯ และจะมีการขยายผลการกระทำผิดไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด

“แก๊งนี้ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ โดยในครั้งนี้ทางทูตตำรวจจีน และญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมตรวจสอบการกระทำผิดเพื่อนำไปสู่การขยายผลการกระทำผิดในประเทศจีนและญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นการตอบสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าว 

ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการสื่อสารข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์  และซักถามกลุ่มผู้ต้องหาพบว่าแก๊งหลอกลวงทางออนไลน์แก๊งนี้มีพฤติการณ์ดังนี้

• หาเหยื่อผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแอปพลิเคชันเทเลแกรม
• ชักชวนเหยื่อให้ช่วยแนะนำรีวิวโรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ต่าง ๆ โดยล่อลวงว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นที่พัก หรือตั๋วเครื่องบินฟรี
• หลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ
• เมื่อเหยื่อหลงกลจะส่งข้อความแนบลิงก์เพื่อยืนยันการรับรางวัล ทั้งที่ความจริงเป็นลิงก์อันตราย ติดตั้งแอปฯ ควบคุมโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล ( รีโมท )
• จากนั้นคนร้ายจะใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เหยื่อให้ไว้เข้าถึงบัญชีธนาคารผ่านโมบายแบงก์กิ้ง ดูดเงินออกจากบัญชีของเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีกลอุบายหลอกให้ลงทุนด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วย
 
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวด้วยว่า ในการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจ กสทช. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ได้ทำการรื้อถอน และตรวจยึดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมทั้งซิมการ์ด ซึ่งเป็น ซิมผี ไม่ได้ลงทะเบียนหรือลงทะเบียนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและประกาศ กสทช.กำหนด ไปตรวจสอบทางเทคนิคเพื่อขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความมุ่งมั่นในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างจริงจัง เด็ดขาด

ทั้งนี้ขอย้ำเตือนภัยแก่พี่น้องประชาชนขอให้ระมัดระวังไม่หลงเชื่อกลลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ใช้อุบายต่าง ๆ ในการล่อลวง และหากตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุ อายัดเงินด่วน ได้ทางสายด่วน โทร.1441 ศูนย์ AOC โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊กใด ๆ และสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ช่องทางเดียวเท่านั้น โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊ก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือน 7 ภัยออนไลน์วัยเกษียณ ที่คนร้ายตีเนียนมาหลอกลวง

วันนี้ (11 มิถุนายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพที่มีเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นวัยที่มีทรัพย์สินและเงินออมจำนวนมาก ขาดการป้องกันตนเอง และขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์รูปแบบภัยออนไลน์ที่พุ่งเป้ามาที่ผู้สูงอายุวัยเกษียณ เพื่อให้ท่านรู้เท่าทันอาชญากรรม ดังนี้
1. การหลอกลวงซื้อขายสินค้าออนไลน์ โดยหลอกให้ซื้อขายสินค้าแต่ไม่มีเจตนาที่จะส่งสินค้าให้จริง
2. การหลอกลงทุน โดยหลอกชักชวนให้ลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง ในเวลาอันสั้น ที่ไม่มีอยู่จริง
3. การหลอกให้รัก โดยหลอกเข้ามาตีสนิท สร้างความสัมพันธ์ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อหวังเอาทรัพย์สิน
4. การหลอกให้กลัว หรือ Call Center โดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งว่าท่านเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด หลอกให้โอนเงินให้ตรวจสอบ
5. การหลอกขายยาและอาหารเสริม โดยหลอกขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยา อ้างว่าสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งอาจไม่ได้ผลจริงและเป็นอันตราย
6.การหลอกขายประกันสุขภาพ โดยอ้างว่าเป็นตัวแทนจากบริษัทประกันสุขภาพ เพื่อขอข้อมูลส่วนตัวหรือขายประกันที่ไม่เป็นความจริง
7. การหลอกรับสวัสดิการผู้สูงอายุ โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานราชการที่ดูแลเรื่องบำนาญหรือสวัสดิการผู้สูงอายุ และขอข้อมูลส่วนตัวหรือขอให้โอนเงินเพื่อดำเนินการ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเตือนพี่น้องประชาชนให้ระมัดระวังไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพในรูปแบบดังกล่าว และขอให้คอยสอดส่องดูแลบุคคลในครอบครัวของท่าน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงโดยมิจฉาชีพที่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่สถานีตำรวจในพื้นที่ และสำหรับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘สหรัฐฯ’ หนักข้อ!! คนร้ายเกือบร้อย บุกปล้นมินิมาร์ทในโอ๊คแลนด์ ‘รื้อข้าวของ-พังร้านยับเยิน’ สร้างความเสียหาย 3.6 ล้านบาท

(8 ก.ค.67) คนร้ายหลายสิบคนบุกปล้นร้านสะดวกซื้อภายในสถานีบริการน้ำมันแห่งหนึ่ง ใกล้สนามบินนานาชาติโอ๊คแลนด์ ในเมืองโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ในตอนเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 ก.ค.) ส่งผลให้มินิมาร์ทแห่งนี้เสียหายยับเยิน

ทั้งนี้ จากภาพจากกล้องวงจรปิดพบเห็นบรรดาผู้ต้องสงสัยจับกลุ่มกันเป็นแฟลชม็อบ ปล้นทำลายร้านสะดวกซื้อพังเละเทะ โดยพวกเขากรูกันเข้าไปรื้อค้นตามแผนกตู้แช่และชั้นวางสินค้าต่าง ๆ ทุบทำลายข้าวของ หยิบฉวยสินค้าออกไปเท่าที่จะเอาไปได้

ด้าน แซม มาร์เดย์ เจ้าของร้าน 76 แก๊สสเตชัน และมินิ มาร์เก็ต ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ คาดหมายว่า มีราว 80-100 คนที่บุกเข้ามาในร้าน และพวกคนร้ายได้งัดเอาเงินสดจากเครื่องคิดเงินไป 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 910,000 บาท) และกวาดเอาสินค้าบนชั้นวางรวมทั้งเครื่องดื่มในตู้แช่ใส่กล่องและตะกร้า

โดยเขาบอกด้วยว่าพวกคนร้ายก่อความเสียหายทั้งสิ้นราว 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.6 ล้านบาท) พร้อมกับข่มขู่พนักงาน 2 คน ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งนี้แก๊งคนร้ายใช้เวลาอยู่ในร้านราว 45 นาทีก่อนหลบหนีไป

คลิปจากกล้องวงจรปิดเผยให้ความวุ่นวายภายในร้าน รวมทั้งสินค้าที่ตกกระจายเต็มพื้น มาร์เดย์เผยว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ พนักงานปิดล็อคประตูและให้บริการเฉพาะผู้มาเติมน้ำมันผ่านช่องหน้าต่างเท่านั้น แต่กลุ่มคนร้ายใช้วิธีพังประตูเข้ามา ซึ่งมาร์เดย์เปิดเผยว่าสถานการณ์ที่เมืองโอ๊คแลนด์นับวันยิ่งเลวร้าย พร้อมเรียกร้องเจ้าหน้าที่รัฐให้ลุกขึ้นมาจัดการ

เจ้าของร้านรายนี้ให้สัมภาษณ์กับฟ็อกซ์นิวส์ต่อว่า ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงกว่าที่ตำรวจจะตอบสนองในเรื่องนี้ หลังจากเบื้องต้นอาชญากรรมนี้ถูกจัดอยู่ในฐานะมีความสำคัญลำดับรองลงไป ซึ่งหมายถึงว่าไม่มีพวกผู้ต้องสงสัยอยู่ในสถานที่เกิดเหตุแล้ว

ตอนที่เดินทางมาถึงสถานีบริการน้ำมัน มาร์เดย์ โทรศัพท์แจ้งกรมตำรวจโอ๊คแลนด์ แต่เขาได้รับการบอกกล่าวให้ยื่นใบแจ้งความทางออนไลน์ จากนั้นเขาพยายามติดต่อไปยัง ฟลอยด์ มิตเชลล์ ผู้บัญชาการตำรวจโอ๊คแลนด์ แต่ได้รับแจ้งว่าจำเป็นต้องนัดหมายล่วงหน้า

ในเวลาต่อมาทางกรมตำรวจโอ๊คแลนด์ ชี้แจงว่าเจ้าของร้านโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกิดขึ้นหลังจากพวกผู้ต้องสงสัยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุแล้ว เพราะฉะนั้นมันจึงถูกจัดอยู่ในฐานะอาชญากรรมที่มีความสำคัญรองลงไป

ถ้อยแถลงระบุว่า "ต่อมาได้มีการมอบหลักฐานวิดีโอแก่กรมตำรวจโอ๊คแลนด์ ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงขอบเขตและรายละเอียดของเหตุการณ์ ในนั้นรวมถึงผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก และเหตุการณ์นี้ถูกยกระดับให้เป็นอาชญากรรมที่มีความสำคัญสุดในทันที กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุเพื่อติดต่อเจ้าของ และเวลานี้ทีมสืบสวนกำลังเก็บหลักฐานและทำงานโดยตรงร่วมกับเจ้าของสถานีบริการน้ำมัน"

เมืองโอ๊คแลนด์ถูกรุมเร้าไปด้วยอาชญากรรมรุนแรงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีเหตุอาชญากรรมโดยรวมเพิ่มขึ้น 18% ขณะที่อาชญากรรมรุนแรงเพิ่มขึ้น 21% ในนั้นรวมถึงเหตุอาชญากรรม ที่เพิ่มจาก 78 คดี ในปี 2019 เป็น 126 คดีในปีที่แล้ว

เหตุอาชญากรรมที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด คือการปล้นที่พักอาศัย ซึ่งใน 4 เดือนแรกของปี 2024 เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วถึง 118%

รรท.รอง ผบ.ตร. หารือหน่วยงานความมั่นคง สาธารณรัฐประชาชนจีน มุ่งยกระดับความร่วมมือ เพิ่มประสิทธิภาพการปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทในภูมิภาค

ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกประเภท สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ในระดับพหุภาคีและระดับสากล

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. เป็นผู้แทน ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ที่ปรึกษา ผบ.ตร.ด้านต่างประเทศ, พล.ต.ต.วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ รอง ผบช.ส., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.ประจำ บช.ก. และเจ้าหน้าที่ ตท. ให้การต้อนรับ นายหู ปินเฉิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน, นายอู๋ จืออู่ อัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย, นายหนิว ไห่เฟิง รองอธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ, นายหวาง เทา ผอ.สำนักงานต่อต้านการก่อการร้าย, นางหลิว ต้านลู่ ผอ.สำนักงานกฎหมาย และคณะ ในโอกาสเข้าเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับ ตร. ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 ตร.

ผลการหารือข้อราชการ ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันใน 4 ประเด็น ดังนี้
1.เร่งรัดขยายขอบเขตแห่งความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยต้องมีแผนปฏิบัติความร่วมมือให้ชัดเจน
2.ความร่วมมือระหว่างประเทศในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเน้นอาชญากรรมออนไลน์ คอลเซนเตอร์ และฉ้อโกงออนไลน์
3.ฝ่ายจีนร้องขอให้จับกุมชาวจีนที่กระทำผิด กลับไปดำเนินคดีที่จีน โดยคดีสำคัญให้ใช้การส่งผู้ร้ายข้ามแดนส่วนคดีอื่นๆให้พิจารณาใช้การผลักดัน 
4.คณะตำรวจจากมณฑลกวางตุ้งจะมาเยือนไทย ในเดือน ส.ค.67 เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่าง ตร.จีน และ ตร.ไทย โดยเน้นย้ำให้ความสำคัญในการแลกเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยระหว่างกัน

พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกประเทศสมาชิก ตลอดจนหน่วยงานความมั่นคงทั้งในและระหว่างภูมิภาค ที่จะส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับสากล เคียงข้างและร่วมมือกันป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและปัญหาความมั่นคงทุกประเภท นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทในภาพรวม เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

‘มาเลเซีย’ ออกกฎหมายต่อสู้กับอาชญากรรมในโลกออนไลน์ บังคับทุกแพลตฟอร์ม ‘โซเชียลมีเดีย’ ต้องขอใบอนุญาตจากภาครัฐ

รัฐบาลมาเลเซียเอาจริงกับปัญหาสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศ เมื่อคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) กำหนดให้แพลตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และส่งข้อความออนไลน์ ที่มีบัญชีผู้ใช้งานตั้งแต่ 8 ล้านบัญชีขึ้นไปในมาเลเซีย ต้องขึ้นทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตตามกรอบกฎหมายการกำกับดูแลใหม่ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม 2568

กรอบระเบียบใหม่นี้ สอดคล้องกับการตัดสินใจในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ว่าโซเชียลมีเดียและบริการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของมาเลเซีย เพื่อต่อสู้กับคดีอาชญากรรมและการฉ้อโกงทางไซเบอร์ รวมถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กและเยาวชน ผ่านสื่อโซเชียลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก 

โดยรัฐบาลมาเลเซียเชื่อมั่นว่า กรอบระเบียบใหม่นี้ จะช่วยสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เพื่อประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งานทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กและครอบครัว

นั่นหมายความว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ อาทิ Facebook, Instagram, WhatsApp, Line, Youtube, TikTok, Telegram, X และอื่น ๆ ที่มีผู้ใช้งานในมาเลเซียเกิน 8 ล้านบัญชี ต้องมาลงทะเบียนขอใบอนุญาต และปฏิบัติตามกรอบกฎหมายใหม่นี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 นี้เป็นต้นไป จนถึงภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 มิฉะนั้น จะถือเป็นความผิด ที่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของมาเลเซีย ที่อาจมีผลถึงการถูกระงับการเผยแพร่ หรือใช้งานภายในประเทศได้

ก่อนหน้านี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ ได้รับการยกเว้นในการขอใบอนุญาตตามระเบียบข้อบังคับกิจการสื่อในมาเลเซีย ซึ่งแตกต่างจากสื่อออฟไลน์ดั้งเดิม ที่ต้องอยู่ภายในกฎหมายควบคุมของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด และนั่นจึงกลายเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่การก่ออาชญากรรมมากมาย ที่ใช้ช่องทางโซเชียลเข้าถึงเหยื่อผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก

จากข้อมูลของ MCMC พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 - ตุลาคม 2023 มีคดีหลอกลวงทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้แก่เหยื่อ เป็นมูลค่าสูงกว่า 506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีคดีเกี่ยวข้องกับการ กลั่นแกล้ง และเผยแพร่คำพูดแสดงความเกลียดชังผ่านโซเชียลถึง 3,419 รายการ

และล่าสุดจากกรณีการฆ่าตัวตายของ ‘Esha’ หรือ ราชาสวารี อัพพาหุ TikToker สาวชื่อดังชาวมาเลเซีย ที่ทำคอนเทนต์ด้านความงาม และการใช้ชีวิตแบบคิดบวก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต่อสู้กับข้อความบูลลี่ คุกคาม ไปจนถึงการขู่ฆ่าทางออนไลน์ได้ จนเกิดอาการซึมเศร้าและจบชีวิตตนเองเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ชาวมาเลเซียวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้ง ดูหมิ่นกันในโลกออนไลน์อย่างเหมาะสม

แต่เมื่อรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจที่จะจัดระเบียบโซเชียลใหม่ ก็มีกลุ่มต่อต้านมองว่า รัฐบาลกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมสื่อออนไลน์ เป็นการละเมิดเสรีภาพทางการพูด และนำเสนอข่าวทางสื่อสาธารณะ ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่จะนำไปสู่การปิดกั้น และ ปราบปรามกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง ที่ต่อต้านรัฐบาลได้ในภายหลัง

และมีการส่งจดหมายเปิดผนึกจากองค์กรอิสระ 44 แห่งและนักเคลื่อนไหว 23 คน ถึงนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ประณามการออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมีเดียดังกล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจมิชอบอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อโจมตีระบอบประชาธิปไตย และลดการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในขณะเดียวกัน กฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ของมาเลเซีย กำลังจะกลายเป็นต้นแบบให้กับรัฐบาลอื่น ๆในอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ ที่กำลังพิจารณากฎหมายควบคุมสื่อสังคมออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางออนไลน์ไม่ให้ประชาชนของชาติตกเป็นเหยื่อ

หากรัฐบาลหลายชาติเริ่มออกมาเคลื่อนไหวในการกำหนดกรอบกติกาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้น ก็ต้องมาติดตามว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ว่าจะออกมาปรับตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อรักษาตลาด หรือ ปลุกกระแสต่อต้านเพื่อรักษาคำว่า "เสรีภาพสื่อ" ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายของชาติใด

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการประชุมร่วมตำรวจไทย-มาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 ส่งเสริมความร่วมมือในกิจการตำรวจ และการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

วันนี้ (6 สิงหาคม 2567) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุมร่วมระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเท็ล แบงค็อก กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ.ตัน ศรี ราซารุดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธี การประชุมร่วมระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 เป็นการประชุมประจำปีที่จัดขึ้นสลับกันระหว่างทั้งสองประเทศ ในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 5 - 8 สิงหาคม 2567 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล 9 หัวข้อ ได้แก่  
1. การลักลอบนำเข้าและการค้าอาวุธ  
2. การลักลอบนำเข้ายานพาหนะที่ถูกโจรกรรมระหว่างสหพันธรัฐมาเลเซียและราชอาณาจักรไทย  
3. การค้ามนุษย์และการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 
4. อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและอาชญากรรมทางไซเบอร์  
5. การลักลอบนำเข้าและการค้ายาเสพติด 
6. การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดน  
7. อาชญากรรมทางทะเลและการกระทำอันเป็นโจรสลัด 
8. การก่อการร้าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อราชอาณาจักรไทยและสหพันธรัฐมาเลเซียและงานข่าวกรอง 
9. การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากร 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการส่งเสริมความร่วมมือในกิจการตำรวจ และรักษาคำมั่นของทั้งสองฝ่ายในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญ ตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้มีร่วมกัน และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความสงบเรียบร้อย การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคสังคมของทั้งสองประเทศ ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือระดับทวิภาคี เพื่อนำมาซึ่งความปลอดภัยและความมั่นคงของทั้งสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ตำรวจไซเบอร์ บก.สอท.3 สร้างเขี้ยวเล็บด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เสริมทักษะความชำนาญเฉพาะทาง

เมื่อวานนี้ (21 สิงหาคม 2567) เวลา 10.00 น. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 เป็นประธานพิธีเปิดโครงการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และประสิทธิภาพด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 (บก.สอท.3) ณ ห้องประชุม เดอะกรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 สิงหาคม 2567 มีข้าราชการตำรวจในสังกัด บก.สอท.3 จำนวนทั้งสิ้น 160 นาย เข้ารับการฝึกอบรม

พล.ต.ต.สถิตย์ฯ กล่าวว่า บก.สอท.3 มีหน้าที่และอำนาจความรับผิดชอบเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และกฎหมายอื่นอันเป็นความผิดทางอาญาที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ 20 จังหวัดภาคอีสาน 

ปัจจุบันในการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ข้าราชการตำรวจจำเป็นต้องมีความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งต้องมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือพิเศษ ที่เป็นความรู้ความชำนาญเฉพาะทาง เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และติดตามสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี การเก็บหลักฐานพยานของกลางในระบบดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการสืบสวนสอบสวน รวมถึงการตรวจพิสูจน์พยานหลักฐานทางดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงมีนโยบายให้ดำเนินการโครงการฝึกอบรมเพิ่มความรู้และประสิทธิภาพด้านการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ของ บก.สอท.3 ในครั้งนี้ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมนำความรู้ความสามารถ และทักษะต่างๆ ที่ได้จากการฝึกอบรม ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลประชาชน สร้างความสงบสุขแก่สังคม ให้ปราศจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top