Wednesday, 3 July 2024
อัครเดช_วงษ์พิทักษ์โรจน์

'อัครเดช' ห่วงไทยไร้มาตรฐานดับเพลิงไหม้จากแบตฯ รถ EV เตรียมตั้งคณะกรรมเร่งศึกษาเรื่องนี้ต่อรัฐบาลโดยเร็ว

เมื่อวานนี้ (20 พ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร แถลงถึงมาตรการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้จากยานยนต์ไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ว่า...

จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ในภาคอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในปัจจุบัน ทำให้พบว่ามาตรการระงับเพลิงไหม้และการควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ของประเทศไทยยังต้องพัฒนาให้สอดคล้องกับรูปแบบของการประกอบอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ประเทศไทยได้ตั้งเป้าเป็นประเทศของศูนย์กลางในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกพบว่า ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 170,000 คัน สถานีชาร์จไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 2,500 แห่ง กระจายทั่วทั้งประเทศ นอกจากนี้ยังมีสถานีชาร์จไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือน และตัวเก็บประจุไฟฟ้าที่มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ปัจจุบันความรู้ความเข้าใจรวมถึงมาตรการอุปกรณ์ในการระงับเพลิงไหม้และควบคุมผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากเหตุเพลิงไหม้ในลิเทียมไออน ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้านั้น ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจมาตรการการควบคุมอุปกรณ์ที่เหมาะสมในการดำเนินการระงับเหตุเพลิงที่เกิดจากการลุกไหม้ของ ลิเทียมไอออน 

ด้วยเหตุนี้ กมธ.อุตสาหกรรมจึงได้ประสานงานและ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของไฟที่ลุกไหม้จากลิเทียมไอออนหรือแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งวิธีการระงับเหตุเพลิงไหม้และผลกระทบจากเพลิงไหม้ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงคู่มือและฝึกอบรมในการรับมือกับเหตุฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงของเหตุเพลิงไหม้ และความปลอดภัยในด้านอื่นๆ พร้อมผลักดันให้มีการทดสอบสารเคมีที่สามารถช่วยในการระงับเหตุเพลิงไหม้ได้อย่างสมบูรณ์

ทั้งนี้ ทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้แนะให้หน่วยงานภาครัฐเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้และการควบคุมเพลิงไหม้จากแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่ทำมาจากลิเธียมไอออน รวมถึงเพลิงไหม้โรงงานผลิตแบตเตอรี่ดังกล่าวและโรงงานผลิตรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมเป็นอุปกรณ์ติดรถยนต์อีกด้วย โดยกรรมาธิการอุตสาหกรรมจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวนำเสนอรัฐบาลเป็นวาระเร่งด่วนต่อไป

‘อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ’ ไม่เห็นด้วยตัด สส.ปาร์ตี้ลิสต์ทิ้ง ชี้!! สส. 2 ระบบดีอยู่แล้ว ช่วยกันดูแล ปชช. เชิงนโยบาย-ลงพื้นที่

(25 มิ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยกเลิก สส.ระบบบัญชีรายชื่อ เหลือเพียง สส.ระบบแบ่งเขต ว่า การมี สส.ทั้ง 2 ระบบเป็นสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว และเป็นระบบที่อยู่กับการเมืองไทยมายาวนาน ถือว่าเป็นพัฒนาการทางการเมือง 

ซึ่ง สส.ระบบบัญชีก็มีข้อดีอย่างหนึ่งในการทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชนในภาพรวมเชิงนโยบาย โดยไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่หนักในเชิงลึกแต่ทำพื้นที่ในภาพกว้าง ส่วน สส.แบ่งเขตก็มีข้อดีอีกอย่างหนึ่ง มีความใกล้ชิดพี่น้องประชาชน นำปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่มาสะท้อนให้ฝ่ายบริหารได้เร่งแก้ปัญหา นอกจากทำหน้าที่นิติบัญญัติ ดังนั้น สส.เขตจึงต้องทำพื้นที่อย่างหนักในการเข้าถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ

“การมี สส.ทั้ง 2 ระบบ มีความสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ผมไม่เห็นด้วยที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เหลือระบบเดียว แต่ทั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติก็พร้อมที่จะสู้กับทุกกติกาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ภายใต้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม“ นายอัครเดช กล่าว

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่ออีกว่า การที่มีการออกมาให้ข่าวลักษณะนี้ส่งผลกระทบกับพรรคการเมืองที่มีอยู่ ทำให้เป็นประเด็นการเมือง ตนไม่อยากให้มีข่าวลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น เพราะเป็นข่าวที่ไม่มีมูลเหตุ และขณะนี้ไม่ได้อยู่ในช่วงที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะกำลังทำกฎหมายประชามติอยู่ในวาระ 2 ทำให้เกิดความสับสนทางการเมือง และยังจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การเมือง จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายได้หยุดประเด็นทางการเมือง ช่วยกันทำให้การเมืองนิ่ง เพื่อให้รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาความเดือดร้อนเศรษฐกิจปากท้องให้กับประชาชน

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' แนะ!! ให้ สว. ชุดใหม่พิสูจน์ผลงานก่อน ส่วนปมร้องเรียนการทุจริต ขอให้เป็นหน้าที่ กกต. เร่งหาความชัดเจน

(28 มิ.ย.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ว่า ต้องให้โอกาส สว. ที่ได้รับการคัดเลือกมาทั้งหมดได้ทำงานก่อน เพราะได้รับการคัดเลือกมาตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ดังนั้นคงต้องให้โอกาส สว.ทั้ง 200 คนได้ทำงานก่อน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของ สว. ชุดนี้ก็จะเป็นตัวชี้วัดว่ากระบวนการคัดเลือกด้วยวิธีนี้เหมาะสมหรือไม่ ถ้าผลงานไม่ดีก็อาจจะต้องนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้าผลงานออกมาดีก็ไม่จำเป็นต้องแก้

ส่วนกรณีที่มีบางจังหวัดไม่มี สว. นั้น นายอัครเดช กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่า สว.ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนตั้งแต่แรกมาอยู่แล้ว เพราะเจตนารมณ์ของอดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องการให้ สว. เป็นตัวแทนของกลุ่มสาขาอาชีพ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย และต้องการให้ สว. ปลอดการเมือง ดังนั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมี สว. ทุกจังหวัด 

“เมื่อเจตนารมณ์ของผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องการให้ สว. เป็นตัวแทนของกลุ่มอาชีพทุกกลุ่ม การที่บางจังหวัดไม่มี สว. ก็ไม่แปลกอะไร เพราะในทุกจังหวัดก็มีทุกอาชีพ ดังนั้น สว. ที่เข้าไปทำงานก็เป็นตัวแทนของทุกอาชีพในทุกจังหวัดอยู่แล้ว” นายอัครเดช กล่าว 

นายอัครเดช กล่าวต่อถึงกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในการคัดเลือก สว. ว่า เป็นหน้าที่ของ กกต. ที่ต้องชี้แจงให้ได้ถึงการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. และทุกประเด็นที่เป็นข่าวที่สังคมมีความเคลือบแคลงใจ รวมถึงต้องเร่งสืบสวนสอบสวนให้เกิดความชัดเจน เพื่อความโปร่งใสของ กกต. และเพื่อให้ภาพลักษณ์ของ สว. ที่ผ่านการคัดเลือกมาจะได้มีความสง่างาม

‘อัครเดช’ เผย ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ดันกม.ปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน เรียก สส. คุย-หารือ 2 ก.ค. เตรียมความพร้อมก่อนเปิดสมัยประชุม

(1 ก.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า เนื่องจากมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2567 ในวันที่ 3 กรกฎาคม 2567 นี้นั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ได้นัดประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2567 เวลา 16.00 น. เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมในการเปิดสมัยประชุมครั้งนี้ 

โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวต่อว่า ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติได้เตรียมร่างกฎหมายที่จะเสนอไปเข้าสู่การพิจารณาของสภาหลายฉบับ ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนในหลายเรื่อง โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการรื้อ ลด ปลด สร้าง ปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งทางหัวหน้าพรรคและทีมกฎหมายของพรรคได้เร่งดำเนินการ เพื่อคืนความเป็นธรรมทางด้านพลังงานเชื้อเพลิงให้ประชาชนทั้งประเทศ

นายอัครเดช ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงของการปิดสมัยประชุมที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ได้กำชับให้ สส. ลงพื้นที่อย่างหนักเพื่อรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เพื่อที่จะได้นำปัญหาเหล่านั้นเข้าสู่สภา โดยการใช้กลไกของสภา ทั้งการเสนอเป็นญัตติ การตั้งกระทู้ รวมไปถึงผ่านคณะกรรมาธิการคณะต่าง ๆ เพื่อสะท้อนไปยังรัฐบาลให้ได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนต่อไป

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ระดมหัวกะทิ ลุยแผนรับมือเพลิงไหม้โรงงาน ยกบทเรียนไฟไหม้ถังเก็บสารเคมี ‘มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล’ เป็นแม่แบบ

(3 ก.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส. จังหวัดราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรม คณะผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด ว่า จากเหตุการณ์เพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของประชาชนในบริเวณนั้นอย่างกว้างขวาง คณะกรรมาธิการได้เล็งเห็นถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุไฟไหม้ และความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ควรต้องทบทวนและถอดบทเรียนจากเหตุการณ์ไฟไหม้ดังกล่าว เพื่อหาแนวทางร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อป้องกันเหตุและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ในวันนี้ คณะกรรมาธิการ จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีไฟไหม้ถังเก็บสารเคมี บริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด คือ กรมควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดระยอง สํานักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง สํานักงานเทศบาลเมืองมาบตาพุด และบริษัท มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล จํากัด มาให้ข้อมูลแก่ทางคณะกรรมาธิการ

โดยคณะกรรมาธิการ ได้พิจารณาใน 2 ประเด็น คือ ประเด็นที่ 1 แผนการเผชิญเหตุเพลิงไหม้สารเคมีในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม ในเบื้องต้น ได้ให้ความเห็นว่า การดำเนินการดับเพลิงล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น จึงได้มอบหมายให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทบทวนแผนการดำเนินการดับเพลิง กรณีเพลิงไหม้สารเคมีและเพลิงไหม้ที่ต้องใช้สารเคมีในการดับเพลิงในพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม 

โดยให้ทบทวนถึงจำนวนรถดับเพลิงที่บรรจุสารเคมี บุคลากรที่มีความชำนาญในการดับเพลิงที่ใช้สารเคมีว่ามีความจำนวนเหมาะสมกับความเสี่ยงหรือไม่อย่างไร 

อย่างไรก็ตาม แม้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดระยอง จะได้ชี้แจงว่าได้มีแผนการดำเนินงานระหว่าง พ.ศ. 2564 ถึง พ.ศ. 2570 อยู่แล้ว และทางการนิคมอุตสาหกรรมจะได้ชี้แจงว่าปัจจุบันมีรถดับเพลิงที่ใช้สำหรับกรณีเกิดจากสารเคมีโดยเฉพาะอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพิจารณาถึงการนำมาใช้ที่ความเหมาะสมได้ ดังนั้น จึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลับไปพิจารณาทบทวนแผนการเผชิญเหตุ เพื่อให้จังหวัดระยองเป็นจังหวัดต้นแบบในการเผชิญเหตุเพลิงไหม้ในอุตสาหกรรมหนักที่ไม่สามารถใช้น้ำในการดับเพลิงได้ และจะมีการเข้าชี้แจงต่อ กมธ. อุตสาหกรรมอีกครั้งหนึ่ง 

นายอัครเดช กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 คือประเด็นผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งแบ่งออกเป็นผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องประชาชน และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม 

สำหรับผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนนั้นปรากฏว่า กรมควบคุมมลพิษได้ร่วมกับสาธารณสุขจังหวัดระยองได้มีการดูแลช่วยเหลือประชาชนเป็นอย่างดี และไม่พบปัญหาใด ๆ 

สำหรับด้านสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการตรวจวัดความปนเปื้อนในน้ำทะเล อากาศ และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ บริเวณโดยรอบพบว่าในช่วงแรกของเหตุการณ์มีการปนเปื้อน แต่กลับเข้าสู่ภาวะปกติในเวลาต่อมา 

ขณะที่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นได้มีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไปแล้วประมาณ 10 ล้านบาท ทาง กมธ. อุตสาหกรรม จึงได้เสนอแนะให้เยียวยาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติ 

“ในฐานะตัวแทนคณะกรรมาธิการอุตสาหกรรมขอยืนยันว่า คณะกรรมาธิการจะดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีกในอนาคต” นายอัครเดชกล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top