Monday, 9 June 2025
อัครเดช_วงษ์พิทักษ์โรจน์

'อัครเดช' ชี้!! 'รวมไทยสร้างชาติ' หนุน ‘เอกนัฏ’ นั่งโควตารัฐมนตรี ยัน!! เป็นคนทำงานทุ่มเท คุณสมบัติพร้อม แง้ม!! เจ้าตัวยังไม่ทราบเรื่อง

(5 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวว่า นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค รทสช. ได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี แสดงเจตจำนงให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค รทสช. เป็นรัฐมนตรีแทนโควตาของพรรคที่ว่างอยู่ว่า นายเอกนัฏ ยังไม่ทราบเรื่องหนังสือ แต่เป็นไปได้ว่าหัวหน้าพรรค จะส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ยังไม่มีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรค เนื่องจากติดประชุม

ผู้สื่อข่าวถามว่า ก่อนหน้านี้ทางพรรคได้พูดคุยเรื่องการเสนอชื่อคนที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่? นายอัครเดช กล่าวว่า ทางพรรคยังเหลือโควตารัฐมนตรีอีกหนึ่งตำแหน่ง ดังนั้นข่าวที่ออกมาว่าจะเป็นนายเอกนัฏ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลุดจากคดีความแล้ว และมีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี 

ฉะนั้น กรรมการบริหารพรรค และ สส.ของพรรค คงไม่มีใครปฏิเสธ เนื่องจากนายเอกนัฏ ทำงานด้วยความทุ่มเท และที่ผ่านมาทั้งในช่วงหาเสียงและงานในสภาก็มีผลงานที่ชัดเจน ยืนยันว่า ทุกคนพร้อมสนับสนุนให้นายเอกนัฏ ไปนั่งเป็นรัฐมนตรีในโควตาของพรรค รทสช. ดังนั้นหนังสือไม่ใช่ใจความสำคัญ อย่างไรก็ตาม อำนาจการตัดสินใจสุดท้าย อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ขอทุกฝ่าย 'หยุดชี้นำ-กดดันศาล' ปมยุบก้าวไกล ลั่น!! ต้องเคารพต่อคำพิพากษาของศาล เพื่อให้สังคมเดินหน้าไปได้

(6 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีวันนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ของพรรคก้าวไกล ว่า...

สำหรับกรณีการอ่านคำพิพากษาในคดียุบพรรคก้าวไกลนั้นตนขอเรียกร้องต่อทั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง บุคคล และองค์กรต่าง ๆ ให้ทุกฝ่ายหยุดให้ความเห็นในการชี้นำ หรือกดดันต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากในการพิจารณาตัดสินคดีในศาลล้วนเป็นไปตามข้อกฎหมาย ประกอบกับพยานหลักฐาน การใช้ดุลยพินิจของศาลล้วนไม่เกินกว่าขอบเขตกฎหมาย การกดดัน หรือชี้นำศาลนั้น มีแต่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมขึ้น 

นายอัครเดช กล่าวต่อไปว่า ไม่ว่าคำพิพากษาจะเป็นเช่นใด ตนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในทุกกรณีโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะเมื่อมีข้อพิพาทใด ๆ เกิดขึ้นคำตัดสินของศาลย่อมชี้ขาด และระงับข้อพิพาทดังกล่าว กรณีการตัดสินยุบพรรคก้าวไกลกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน 

"หากทุกฝ่ายเคารพและปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลแล้ว เชื่อว่าสังคมไทยจะสามารถเดินหน้าต่อไปได้" นายอัครเดช กล่าว

'อัครเดช' จี้!! ตำรวจเร่งกวาดล้างมาเฟีย 'เงินกู้-ยาเสพติด' บ้านโป่ง ลั่น!! หากปล่อยเรื้อรัง ไม่พ้น 'ลักทรัพย์-ชิงทรัพย์' ลุกลาม

(7 ส.ค. 67) ที่รัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเขตอำเภอบ้านโป่ง เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะในเรื่องอาชญากรรม ซึ่งทำให้ชาวบ้านหวาดผวาอย่างหนัก หลังจากเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา มีเพจดังในโซเชียลมีเดียได้ลงข่าวเจ้าหนี้ปล่อยเงินกู้นอกระบบได้ทําร้ายร่างกายลูกหนี้และเครือข่าย 

จากเหตุการณ์นี้ จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจ โดยเฉพาะท่านผู้บัญชาการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้ลงไปเร่งรัดจัดการคดีนี้ พร้อมกับเร่งปราบปรามการปล่อยเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเป็นปัญหาอาชญากรรมที่สร้างความหวาดกลัวให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่จนเกิดเป็นข่าวดังในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ยังได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องประชาชน ในเขตอําเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ว่า ขณะนี้เกิดปัญหายาเสพติดระบาดอย่างหนักในพื้นที่ จึงขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจได้เร่งรัดปราบปราม เพราะต้องยอมรับว่า ในช่วงนี้ยาเสพหนักเพิ่มปริมาณขึ้นเยอะมาก จากเดิมที่เคยลงลงพื้นที่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ไม่ค่อยปรากฏว่าพี่น้องประชาชนเข้ามาร้องเรียนเรื่องยาเสพติดเลย แต่ช่วงนี้คงเยอะเป็นพิเศษจนชาวบ้านเริ่มทนไม่ไหว จึงได้เข้ามาร้องเรียนในขณะที่ลงพื้นที่

และแน่นอนว่า เมื่อมียาเสพติดระบาด ยังส่งผลให้มีปัญหาเรื่องการลักทรัพย์และชิงทรัพย์เพิ่มขึ้นด้วยเช่น ซึ่งเมื่อไม่กี่วันนี้ที่ผ่านมา เกิดเหตุกระชากกระเป๋า โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นใต้สะพานโคกหม้อ ถนนทรงพล เขตตําบลปากแรต อําเภอบ้านโป่ง และยังมีปัญหาการลักทรัพย์สินทางราชการโดยเฉพาะสายไฟฟ้าส่องสว่าง ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน แต่ทว่ายังไม่ได้รับการจัดการอย่างจริงจัง ดังนั้น จึงขอให้ทางผู้บัญชาการสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ลงไปเร่งดําเนินการให้ด้วย

นอกจากนั้น ในเขตอําเภอบ้านโป่ง ยังมีการจราจรหนาแน่น และมีการปิดถนนบางช่วงเพื่อทําการก่อสร้าง จึงอยากจะขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตํารวจ เข้ามาช่วยอํานวยการจราจร เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจไม่ค่อยเพียงพอ จึงขอให้ทางผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดราชบุรีได้เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาเจ้าหน้าที่ตํารวจจราจรที่มีจํากัด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้ด้วย

“ขณะเดียวกัน ยังได้รับการร้องเรียนจากนายกเทศมนตรีเทศบาลตําบลห้วยกระบอก ตําบลกรับใหญ่ว่า มีไฟฟ้าตกในเขตเทศบาลตําบลห้วยกระบอกบ่อยครั้ง ขอให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคได้เร่งรัดดําเนินการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกในพื้นที่ให้ด้วย” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

‘อัครเดช’ ยัน!! เก้าอี้กระทรวง ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ยังเป็นของ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ชี้!! ใครจะได้เป็นรัฐมนตรี ต้องอยู่ที่ ‘กรรมการบริหาร’ มีมติให้ ‘หัวหน้าพรรคตัดสินใจ’

(17 ส.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะโฆษกพรรค ให้สัมภาษณ์ถึงโควตารัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค รทสช. ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า ในที่ประชุมสมาชิกพรรคครั้งล่าสุด ก่อนที่จะมีการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร เป็นนายกฯ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. ยืนยันว่าทุกตำแหน่งในโควตารัฐมนตรี ยังเป็นโครงสร้างเหมือนเดิมหมด ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม

นายอัครเดช กล่าวว่า ส่วนผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี กรรมการบริหารพรรคได้มีมติ ให้หัวหน้าพรรคเป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งนายพีระพันธุ์ คงจะปรึกษากับ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช. เพื่อหาบุคคลที่เหมาะสม ดังนั้นจะเป็นบุคคลเดิมหรือไม่ ก็เป็นอำนาจการตัดสินใจของหัวหน้าพรรค รวมถึงโควตารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่ยังว่าง เนื่องจาก นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ลาออก ก็ต้องหาคนใหม่เช่นกัน

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่าจะมีการริบโควตากระทรวงพลังงาน คืนจากพรรครวมไทยสร้างชาติ นายอัครเดช กล่าวว่า “ไม่มี หัวหน้าพรรคยังยืนยันว่าที่ตกลงกันล่าสุด ทุกอย่างยังเหมือนเดิมหมด”

‘กมธ.อุตฯ’ ติดตาม ‘เรือขนฝุ่นเหล็กแดง’ ใกล้ชิด หลังลือเข้าไทย วอนทุกหน่วยงานตรวจเข้ม ยึดความปลอดภัย ปชช. มาอันดับแรก

(21 ส.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้แถลงข่าวถึงแนวทางการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของฝุ่นแดงจากการถลุงเหล็กซึ่งเป็นกากของเสียอันตราย

นายอัครเดช เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวว่าจะมีเรือขนฝุ่นแดง หรือฝุ่นเหล็ก ซึ่งเป็นของเสียจากการถลุงเหล็ก กากของเสียอันตรายบรรทุกขึ้นเรือขนส่งเอกชนรายใหญ่ใส่ตู้คอนเทนเนอร์เกือบ 100 ตู้น้ำหนักรวมประมาณ 816 ตัน ต้นทางจากประเทศแอลเบเนีย มุ่งหน้าปลายทางเข้าสู่ท่าเรือแหลมฉบังประเทศไทย ตามกำหนดจะถึงไทย โดยได้มีหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมนานาชาติในเรื่องนี้ได้แจ้งเตือนมานั้น

กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ติดตามเรื่องของการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกากแคดเมียม หรือ กากของเสียอุตสาหกรรมอื่น ๆ 

ในวันนี้ กมธ.การอุตสาหกรรม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ และกรมศุลกากร เข้ามาให้ข้อมูล 

โดยข้อมูลเบื้องต้นนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แจ้งว่า ฝุ่นแดงเข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาบาเซล และเป็นของเสียเคมีวัตถุตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 ไม่สามารถขนย้ายข้ามประเทศเข้ามายังประเทศไทยได้ 

หากจะมีการขนย้ายเข้ามาในประเทศจะต้องได้รับการอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ชี้แจงว่าในกรณีดังกล่าวไม่มีการอนุญาตให้ขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศ และไม่เคยอนุญาตให้มีการขนย้ายฝุ่นแดงเข้ามาในประเทศมาก่อน 

ด้านกรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อ กมธ.การอุตสาหกรรม ว่า ในส่วนของเรือทั้ง 2 ลำที่ได้รับการแจ้งเตือนนั้น ได้มีการติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเรือลำแรกได้เดินทางออกจากท่าเรือในประเทศสิงคโปร์เดินทางสู่ประเทศจีนโดยไม่มีการจอดที่ประเทศไทย และสำหรับเรือลำที่ 2 ยังอยู่ที่ประเทศโมร็อกโกและยังไม่มีการเดินทางมายังทวีปเอเชีย 

จึงขอเรียนไปยังพี่น้องประชาชนให้สบายใจได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม กมธ.การอุตสาหกรรม ได้ขอให้กรมศุลกากรติดตามเรือทั้ง 2 ลำอย่างใกล้ชิดต่อไป 

สำหรับการตรวจตู้คอนเทนเนอร์เพื่อป้องกันการสำแดงเท็จของในตู้คอนเทนเนอร์นั้น ทางกรมศุลกากรแจ้งว่ามีการตรวจตู้คอนเทนเนอร์ผ่านการ X-Ray และเปิดตู้คอนเทนเนอร์ แต่อย่างไรก็ดีอาจมีการเข้าสู่ประเทศผ่านการสำแดงเท็จอาจเกิดขึ้นได้ ทาง กมธ. จึงได้ขอให้กรมศุลกากรดำเนินการตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อไป

นอกจากนี้กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันมีโรงงานที่ได้รับอนุญาตให้ถลุงฝุ่นแดงในประเทศไทยทั้งสิ้น 8 โรงงาน ยังมีการดำเนินการอยู่ 5 โรงงาน โดยเป็นการถลุงเฉพาะฝุ่นแดงในประเทศไทยเท่านั้น 

อย่างไรก็ตามทาง กมธ. ได้ขอให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการลักลอบถลุงฝุ่นแดงจากต่างประเทศ

“คณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม ได้ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ และขอยืนยันว่าจะดำเนินการติดตามตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนต่อไป”

‘อัครเดช’ ย้ำจุดยืน ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ แก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่แตะหมวด 1-2 พร้อมยึดหลักการปราบทุจริต-คอร์รัปชัน

นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อวันที่ 20 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ว่า 

“สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติยังเหมือนเดิม คือจะต้องไม่มีการแก้ไขในหมวด 1 และ หมวด 2 พร้อมทั้งต้องคงไว้ซึ่งหลักการการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด” นายอัครเดช กล่าว

'อัครเดช-รวมไทยสร้างชาติ' ย้ำ!! นโยบายรัฐบาลใหม่ ห้ามแก้ ม.112 พร้อมชูโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรมกับประชาชน

(4 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรีและฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค ที่ประชุมได้มีมติ 2 เรื่องสำคัญ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจะมีการลงมติวาระที่ 3 ในวันที่ 5 กันยายน 2567 พรรครวมไทยสร้างชาติมีมติผ่านร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เนื่องจากมีความต้องการให้รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เกิดการกระจายเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ การมีมติพรรคในการผ่านกฎหมายฉบับนี้จะส่งผลให้รัฐบาลสามารถดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป

นายอัครเดช กล่าวว่า ในเรื่องต่อมาคือนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่จะบรรจุในนโยบายของรัฐบาลที่จะมีการแถลงนโยบายประกอบด้วย 2 เรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องแรกเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายพรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันจุดยืนเดิมว่าจะต้องไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมถึงห้ามให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวด 1 หมวด 2 และในประเด็นเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันในรัฐธรรมนูญ

นายอัครเดช กล่าวว่า เรื่องสุดท้ายจะเป็นนโยบายของพรรคในเรื่องพลังงาน ที่จะต้องมีการสร้างโครงสร้างราคาพลังงานที่เป็นธรรมกับประชาชน และการดำเนินการตามแนวทางรื้อ-ลด-ปลด-สร้าง นโยบายนี้จะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนได้อย่างมาก ซึ่งจะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อร่างกฎหมายโครงสร้างพลังงานผ่านเป็นกฎหมายแล้ว พรรครวมไทยสร้างชาติขอยืนยันว่าพร้อมจะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวที่ยกร่างโดยนายพีระพันธุ์ต่อไป

‘อัครเดช’ เชื่อ!! นโยบาย ‘พลังงาน-อุตสาหกรรม’ ตอบโจทย์ประชาชน ฝากฝ่ายค้าน!! อภิปรายให้สร้างสรรค์ เพื่อส่งผลดี ‘ด้านการค้า-การลงทุน’

(8 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณีการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา ว่า

ในวันที่ 12-13 กันยายน 2567 นี้จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 

ลำดับแรกพรรครวมไทยสร้างชาติ เชื่อมั่นอย่างยิ่งในนโยบายของรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมที่ได้มีการทำงานอย่างต่อเนื่อง 

สำหรับในกระทรวงพลังงานภายใต้การกำกับของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นั้นนโยบายหลักในการ ‘รื้อ ลด ปลด สร้าง’ โครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนไม่ว่าจะเป็นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซ และค่าไฟฟ้า ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงถึงความคืบหน้าเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการแล้วเสร็จในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้ 

ลำดับต่อมาในส่วนของการอภิปรายการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของคณะรัฐมนตรีนั้น เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าสมาชิกสภาผู้แทนราฎรในส่วนของฝ่ายค้านจะอภิปรายตรงข้อบังคับที่มีข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ดังเช่นที่ได้อภิปรายในช่วงการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ที่ไม่มีการประท้วงมากนัก

และตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการอภิปรายในครั้งนี้จะไม่ใช้เวทีของรัฐสภาเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรี

หากการอภิปรายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์แล้ว ตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการใช้กลไกของรัฐสภาเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองที่ดี จะส่งผลด้านดีในด้านอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการค้า การลงทุน เป็นต้น

ท้ายที่สุดตนเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทุกกระทรวงโดยเฉพาะใน 2 กระทรวง ได้แก่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม การแถลงนโยบายจะเป็นไปอย่างชัดเจนและสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่พี่น้องประชาชนได้อย่างแน่นอน

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘การเลือกตั้ง’ เท่ากับประชาชนได้ใช้อำนาจตาม รธน. ติง!! ‘หัวหน้าพรรคส้ม’ ไม่ควรสร้างวาทกรรมทำให้สังคมแตกแยก

(16 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณี ผลการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ว่า ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี กับ ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 หลังจากที่ได้รับเสียงจากพี่น้องประชาชนให้มาทำงานในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขณะเดียวกัน ตนขอชื่นชมในสปิริตของพรรคประชาชน ที่ออกมาแสดงความยินดีและยอมรับในผลการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ดี ขอติงและฝากข้อเสนอแนะไปถึง ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรคประชาชน กรณีออกมาระบุว่า "หนทางในการเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนนั้นไม่ง่าย" นั้น ตนมองว่าไม่เหมาะสม ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็บัญญัติไว้อยู่แล้วว่า อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย 

ดังนั้นการที่ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถือว่าเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การแสดงวาทกรรมของหัวหน้าพรรคประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก กับวาทกรรมแบบนี้

"ดังนั้น พรรคประชาชนควรยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่ามาจากอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอยู่แล้วในปัจจุบันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและขอให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรมให้แตกแยกกันในสังคม ควรมุ่งเน้นทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะดีกว่า” นายอัครเดช กล่าว

‘รวมไทยสร้างชาติ’ เตรียมชง ‘กม.สุรารวมไทย’ เข้าสภาฯ ปลดล็อก ‘การผลิตสุราสี’ เพิ่มมูลค่าสินค้าทางการเกษตร

(17 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า

จากการประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งนำโดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ  

การประชุมในครั้งนี้พรรครวมไทยสร้างชาติได้มีการหารือเพื่อเตรียมความพร้อมในการพิจารณากฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรในสัปดาห์นี้ 

โดยเฉพาะกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครวมไทยสร้างชาติ คือ ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 

กฎหมายฉบับนี้จะเป็นกฎหมายมีสาระสำคัญคือการอนุญาตให้วิสาหกิจชุมชนสามารถผลิตสุราสีได้ จากเดิมที่สามารถผลิตได้เพียงสุราขาวเท่านั้น 

การเพิ่มส่วนของการผลิตสุราสีเช่นนี้ จะทำให้สินค้าทางการเกษตรมีมูลค่าที่สูงยิ่งขึ้น และเชื่อได้ว่าในแต่ละพื้นที่แต่ละชุมชนจะมีการนำผลผลิตในชุมชนมาผลิตเป็นสุราสีประเภทนี้ อาทิ สุราลำไย จาก จ.ลำพูน / สุราสับปะรด จาก จ.ราชบุรี และสุรามะยงชิด จาก จ.นครนายก 

นอกจากนี้การเสนอกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มอุปทานในอุตสาหกรรมปลายน้ำให้แก่สินค้าทางการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าทางการเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย 

ท้ายที่สุดกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการเพิ่มผู้ผลิตสุราสีในประเทศ เป็นการทำลายทุนผูกขาดในกลุ่มสุรา และพรรครวมไทยสร้างชาติหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการสนับสนุนหลังจากการเสนอร่างกฎหมาย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top