Saturday, 7 June 2025
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเสวนารับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา พร้อมระดมความเห็นแนวทางการพัฒนางานสอบสวน

(14 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) 
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา)” โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี), พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย และ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร.

การจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชน เสนอยกร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยร่างฉบับนี้ ได้เสนอแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานสอบสวน โดยปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น  ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ตร. ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นในเชิงวิชาการและความเห็นจากผู้ปฏิบัติ รวมทั้งภาคประชาชนให้ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาร่างกฎหมาย โดยให้ คณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ รร.นรต. เป็นผู้รับผิดชอบ และมี พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) 
ควบคุมกำกับดูแล  

โดยการเสวนาในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับฟังความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายดังกล่าว รวมถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนของตำรวจ โดยได้เชิญวิทยากรในกระบวนการยุติธรรมและผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ประกอบด้วย พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ก.ร.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , นายสันติ  ผิวทองคำ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดวิเชียรบุรี , รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล , พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวน , พ.ต.อ.เอนก  เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.อุเทน  นุ้ยพิน  รอง ผบก.อก.ภ.6 และ พ.ต.อ.ภูมิรพี  ผลาภูมิ ผกก.สภ.ทัพทัน ร่วมขึ้นเวทีให้แลกเปลี่ยนความเห็นในการเสวนา โดยมี ผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบช., ผบก.ภ.จว., รอง ผบก.ภ.จว. พร้อมด้วย พนักงานสอบสวน และข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวนทุกระดับตั้งแต่ ผกก.-รอง สว. ในสังกัด บช.น. ภ.1 และ ภ.7 และนิติกรในสังกัด กมค. พร้อมด้วยภาคประชาชนเข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 400 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

อนึ่ง สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญาของพรรคประชาชนนั้น มีการเสนอแก้ไขหลักการสอบสวนในหลายประเด็น ได้แก่ การให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน ตั้งแต่อำนาจการให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ อำนาจตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญ รวมทั้งเรื่องการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ บางฝ่ายเห็นว่าเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวนแต่บางฝ่ายก็มองว่าเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนการอาจทำให้กระบวนการสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น เพราะสำนวนการสอบสวนต้องถูกตรวจพยานหลักฐานโดยพนักงานอัยการตามกฎหมายอยู่แล้ว รวมถึงอาจไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการดำเนินคดีอาญาของประเทศไทย
 
ปัจจุบัน ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบตามรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจัดทำข้อเสนอความเห็น พร้อมสรุปผลจากการเสวนาครั้งนี้เพื่อเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางานสอบสวนในภาพรวมขององค์กร

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนผู้ใช้ป้ายทะเบียนรถผิดกฎหมาย ดัดแปลงป้าย เสี่ยงโทษหนัก

(16 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์จราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ขณะนี้พบผู้ขับขี่จำนวนหนึ่งมีการใช้รถที่ติดป้ายทะเบียนไม่ถูกต้อง ดังปรากฏในคลิปวิดิโอที่เผยแพร่ทางสื่อโซเชียล ไม่สามารถมองเห็นชื่อจังหวัดได้ชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงได้ใช้มาตรการเชิงแนะนำ ว่ากล่าวตักเตือนโดยไม่ดำเนินคดี พร้อมให้ผู้ขับขี่แก้ไขให้ถูกต้อง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ลดความขัดแย้งบนท้องถนน และยังมีอีกหลายกรณีที่ไม่ถูกต้อง เช่น ตัวอักษรจาง ตัวอักษรเลอะเลือนใช้กรอบป้ายทะเบียนที่บดบังข้อมูลสำคัญ หรือติดตั้งกันชนหน้า/หลัง แล้วปิดบังข้อความบนแผ่นป้ายทะเบียน เป็นต้น

ทั้งนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ ย้ำว่า การไม่ติดป้ายทะเบียนให้เห็นชัดเจน หรือปล่อยให้เลือนลางจนไม่สามารถอ่านได้ ถือว่าฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 11 มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และหากมีการใช้กรอบป้ายที่บดบังตัวอักษร เข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 7 มีโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท โดยกฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องติดแผ่นป้ายทะเบียนให้สามารถมองเห็นได้โดยสะดวก และต้องไม่มีการปิดบังหรือทำให้แผ่นป้ายชำรุด

อีกกรณีที่น่าเป็นห่วงคือ การปลอมแปลง หรือดัดแปลงป้ายทะเบียน เช่น การใช้ตัวเลขหรืออักษรที่ผิดจากทะเบียนจริง การทำเลียนแบบ หรือการแก้ไขข้อมูล ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะฝ่าฝืนพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 60 ที่ห้ามมิให้ผู้ใดปลอมแปลงหรือใช้แผ่นป้ายทะเบียนโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว ยังอาจเข้าข่ายความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 ถึง 100,000 บาท และหากมีการใช้เอกสารราชการปลอมดังกล่าว ยังอาจถูกดำเนินคดีเพิ่มตาม มาตรา 268 ฐานใช้เอกสารปลอมอีกด้วย

หากประชาชนพบว่าป้ายทะเบียนรถของตนมีสภาพชำรุด สูญหาย หรือซีดจางไม่ชัดเจน ขอให้รีบดำเนินการขอเปลี่ยนแผ่นป้ายใหม่โดยเร็ว โดยสามารถยื่นคำร้องได้ที่สำนักงานขนส่งประจำจังหวัด หรือสำนักงานขนส่งพื้นที่ใกล้บ้าน พร้อมแนบเอกสาร ได้แก่ บัตรประจำตัวประชาชนของเจ้าของรถ ,สำเนาทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน) ส่วนกรณีป้ายทะเบียนสูญหาย ต้องมีใบแจ้งความจากสถานีตำรวจแนบประกอบด้วย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน และเป็นการป้องกันไม่ให้ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งลดความเสี่ยงหากมีผู้ไม่หวังดีนำป้ายทะเบียนไปใช้ในทางที่ผิด

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การมีป้ายทะเบียนที่ถูกต้อง ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยและความรับผิดชอบต่อสังคม หากรถเกิดอุบัติเหตุหรือหลบหนีการกระทำผิด การอ่านทะเบียนได้ชัดเจนถือเป็นข้อมูลสำคัญในการช่วยเหลือหรือจับกุมผู้กระทำผิด

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุผิดปกติ ต้องการสอบถามเส้นทาง หรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถติดต่อสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ผบ.ตร. เปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568

(16 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ รองจเรตำรวจแห่งชาติ , พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สิทธิชัย โล่กันภัย ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ และผู้เข้าร่วมสัมมนาระดับ พล.ต.ต. ขึ้นไป หรือเทียบเท่า จากส่วนป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม 10 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรภาค 1-9 , ส่วนสนับสนุนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม 7 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจสันติบาล , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และส่วนการศึกษา 2 หน่วย ได้แก่ กองบัญชาการศึกษา และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รวมจำนวน 185 นาย พร้อมผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เข้าร่วมพิธี ณ สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

โครงการสัมมนาการเสริมสร้างจิตสำนึก และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทย (ครู ก ครู ข) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จัดขึ้นเพื่อปลูกฝังจิตสำนึกผู้สัมมนาให้เกิดความรัก ความหวงแหน พรัอมธำรงรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของไทย อันได้แก่ สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยมีทัศนคติที่ดี รู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการถวายความปลอดภัยและการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ผู้สัมมนา พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เพื่อสร้างกลไกการปฏิบัติงานร่วมกัน ตลอดจนสามารถนำความรู้ความเข้าใจที่ได้รับไปต่อยอด ขยายผล เพื่อเผยแพร่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยและสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยได้อย่างถูกต้อง โดยมี นายกองเอก ธารณา คชเสนี วิทยากรประจำศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และนายหมวดไท น้ำเพ็ชร คชเสนี สัตยารักษ์ วิทยากรพิเศษ กอ.รมน.ภาค 2 ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้

ทั้งนี้ ผบ.ตร. กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ร่วมโครงการทุกท่านจะได้รับในวันนี้ เป็นเรื่องราวและข้อมูลความจริงที่สำคัญ ที่ทุกท่าน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย ทั้งผู้บัญชาการ ผู้บังคับการ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะได้รับฟังเพื่อให้เข้าใจถึงรากเหง้าในความเป็นชาติไทย ความเป็นคนไทย ข้าราชการไทย ที่มีความรักและหวงแหน จงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นและถูกร้อยเรียงเรื่องราว ส่งผลมายังสถานการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน การได้เรียนรู้ความเชื่อมโยงของอดีตและปัจจุบัน จะช่วยให้ทุกท่านตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสม ปกปักรักษาไว้เพื่อชนรุ่นหลังในปัจจุบัน พร้อมกันนี้ขอให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เกิดสำนึกในบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย และนำไปขยายเผยแพร่กับผู้ใต้บังคับบัญชาและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องต่อไป

จับจริง! ปราบน้ำมันเถื่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโชว์ผลปฏิบัติ 4 เดือน จับแล้วเกือบ 400 คดี

(19 พ.ค. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยในส่วนของการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ศปนม.ตร. มีผลการดำเนินงานในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2568 ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 4 มิติหลักอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้

1. มิติการตรวจป้องกัน : ดำเนินการตรวจทั้งทางบกและทางน้ำรวม 4,642 ครั้ง มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ (4,400 ครั้ง) คิดเป็น 105.5% โดยตรวจทางบก 4,480 ครั้ง และทางน้ำ 162 ครั้ง

2. มิติการดำเนินคดี : สามารถจับกุมคดีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 393 คดี แบ่งเป็นคดีที่อยู่ในชั้นสอบสวน 166 คดี และคดีที่เปรียบเทียบปรับแล้ว 227 คดี รวมมีผู้ต้องหา 335 คน เป็นชาย 249 คน หญิง 106 คน ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาต่างชาติ 4 คน และเป็นนิติบุคคล 22 ราย

3. มิติของกลาง : ของกลางที่ยึดได้จากการดำเนินคดีมีปริมาณน้ำมันกว่า 832,000 ลิตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 24.9 ล้านบาท และก๊าซปิโตรเลียมเหลวกว่า 58,000 กิโลกรัม มูลค่าราว 2.1 ล้านบาท

4. มิติเงินค่าปรับ : จากคดีที่เปรียบเทียบปรับแล้ว 226 คดี ได้เงินค่าปรับรวมกว่า 4.3 ล้านบาท และยังมีคดีที่อยู่ระหว่างสอบสวนอีก 166 คดี ซึ่งคาดว่าจะมีค่าปรับเพิ่มขึ้นอีกหลังการดำเนินการเสร็จสิ้น

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงความจริงจังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการลดความเสียหายด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ โดยหลังจากนี้จะมีการเร่งสืบสวนขยายผลไปถึงเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังอย่างเข้มข้น โดยไม่มีการละเว้นผู้กระทำผิดไม่ว่าเป็นใคร

พร้อมกันนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันสอดส่อง และแจ้งเบาะแส หากพบการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน หรือจำหน่ายก๊าซผิดกฎหมาย รวมถึงหากพบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1599
เพื่อร่วมกันปกป้องความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแสดงความเสียใจต่อครอบครัวตำรวจที่เสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก สั่งให้ความช่วยเหลือและตรวจสอบสาเหตุเร่งด่วน

(24 พ.ค. 68) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์เมื่อ เวลา 13.10 น. ที่ผ่านมา เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รุ่น BELL 212 ตกบริเวณพื้นที่บ้านหนองกก ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ เบื้องต้นได้รับรายงานมีข้าราชการตำรวจเสียชีวิต จำนวน 3 ราย ได้แก่ พ.ต.ต.ประเทือง ชูเลิศ นักบิน , ร.ต.อ.ทรงพล บุญชัย นักบิน และ ร.ต.ท.ทินกฤต สุวรรณน้อย ช่างเครื่อง

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติสั่งการด่วนไปยังหน่วยที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบเหตุการณ์โดยด่วน และช่วยเหลือเยียวยาให้กำลังครอบครัวผู้เสียชีวิต และในนามสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอไว้อาลัยและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อความสูญเสียในครั้งนี้ 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดทำ 'โครงการถนนปลอดภัย' บังคับใช้กฎหมายจราจรเข้มข้น ป้องกันอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร คิกออฟ 1 มิถุนายนนี้ พร้อมกันทั่วประเทศ

(27 พ.ค.68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยจัดทำ “โครงการถนนปลอดภัย” โดยให้ดำเนินการเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้การบริหารงานจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

พล.ต.อ.ไกรบุญฯ สั่งการให้ดำเนินโครงการ “โครงการถนนปลอดภัย” โดยให้กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ พิจารณาเลือกถนนสายสำคัญในพื้นที่ หรือถนนที่มีการฝ่าฝืนกฎจราจรจำนวนมาก หรือถนนที่มีอุบัติเหตุในเส้นทางบ่อยครั้ง หรือถนนที่มีที่ตั้งของสถานศึกษาอยู่หลายแห่ง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในทุกมิติ โดยเฉพาะการสวมหมวกนิรภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถจักรยานยนต์ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 100% ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก มาตรา 122 กำหนดให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ ต้องสวมหมวกนิรภัยเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และมีโทษปรับเป็น 2 เท่า หากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ขับขี่ในขณะที่คนโดยสารรถจักรยานยนต์มิได้สวมหมวกนิรภัย โดยให้บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถหรือการใช้ทางบนถนนดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

นอกจากนี้ ให้ทุกหน่วยรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน หน่วยงานเจ้าของถนน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฝ่ายปกครอง หน่วยงานภาครัฐ และสถานศึกษาที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อทราบถึง “โครงการถนนปลอดภัย” ของหน่วยตนเอง และเชิญชวนให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎจราจร ช่วยกันรณรงค์และตรวจตราผู้ใช้เส้นทาง มิให้มีการฝ่าฝืนกฎจราจรในถนนเส้นดังกล่าว ตลอดจนเสริมสร้างการใช้มาตรการองค์กรร่วมกับภาคเอกชนในพื้นที่ ให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในถนนเส้นดังกล่าวในทุกมิติ ทั้งนี้ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุจราจร สร้างความปลอดภัยให้แก่ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน และเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นลูกหลานของเราอีกด้วย

ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์และขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนร่วมกันสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน และหากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุต้องสงสัย หรือสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม  แจ้งอุบัติเหตุจราจร และขอความช่วยเหลือด้านการจราจร สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดโครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ปี 2568 

(28 พ.ค. 68) เวลา 08.30 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดกิจกรรม “Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน” ตามโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ซึ่งเป็นกิจกรรมการเข้าค่ายส่งเสริมความรู้ด้านการวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้ สำหรับข้าราชการตำรวจและครอบครัว โดยมีข้าราชการตำรวจ และคู่สมรส เข้าร่วมโครงการ จำนวน 27 ครอบครัว และบุคคล 6 คน รวม 60 คน ระหว่างวันที่ 28-30 พฤษภาคม 2568 ณ The Cop Seminar & Resort อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

โดยมี พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล เป็นประธานกล่าวเปิดงาน , คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ Money Management & Investment กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดโครงการ และ คุณเศรษฐพล ธรรมจินดา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมแม่บ้านตำรวจ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วย คณะสมาคมแม่บ้านตำรวจ และผู้ร่วมโครงการ ร่วมพิธีเปิดโครงการ 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมแม่บ้านตำรวจ ตระหนักถึงสภาพปัญหาทางการเงินและหนี้สินของข้าราชการตำรวจ และต้องการส่งเสริมให้มีความรู้ความเข้าใจ มีวินัยทางการเงิน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว สร้างขวัญกำลังใจของข้าราชการตำรวจ ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้จัดทำโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ขึ้นเพื่อส่งเสริมความรู้ด้านการเงินและการลงทุน นำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาว และการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ คุณกนกวรรณ พันธุ์เพ็ชร์ นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะทำงานโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตข้าราชการตำรวจและครอบครัว และ คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นที่ปรึกษาโครงการฯ โดยมีแผนงานการส่งเสริมความรู้ทางการเงิน แก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว 3 โครงการหลัก ได้แก่

1. โครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ผ่านหลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน เพื่อปลูกฝังแนวคิดและทักษะเรื่องการบริหารเงินและจัดการหนี้สิน ต่อยอดความรู้ผ่านการฝึกปฏิบัติจริง รับคำปรึกษาจากวิทยากร เพื่อให้สามารถวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้สินได้อย่างยั่งยืนแก่ข้าราชการตำรวจและครอบครัว รวมทั้ง ต่อยอดความรู้ด้านการเงิน และการลงทุน แก่บุคคลต้นแบบและต้นกล้าผ่านแคมเปญ 21-Day Challenge กองทุนรวม เสริมสร้างนิสัยการเรียนรู้การลงทุนใน 21 วัน เพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวผ่านกองทุนรวม

2. โครงการ Happy Money, Happy Young Old ปูนนี้ (ก็) มีใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเกษียณแก่ข้าราชการตำรวจ เสริมทักษะและฝึกวางแผนการเงินจริง ผ่าน Workshop ผ่านหลักสูตรบริหารเงินหลังเกษียณ ให้สามารถจัดสรรเงินออมก้อนสุดท้ายได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การมีชีวิตหลังเกษียณอย่างมีความสุข

3. การส่งเสริมความรู้ผ่าน SET e-Learning ชุดหลักสูตร “การวางแผนการเงินและบริหารจัดการหนี้” 3 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตรเงินทองต้องวางแผน 2. หลักสูตรรู้ก่อนเป็นหนี้จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง และ 3. หลักสูตรเป็นหนี้แล้ว จัดการยังไง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแผนจะดำเนินการพัฒนาและเชื่อมต่อระบบ e-Learning เพื่อให้ข้าราชการตำรวจและครอบครัว นักเรียนนายร้อยตำรวจ และนักเรียนนายสิบตำรวจ ได้เข้าถึงองค์ความรู้ที่เหมาะสม สามารถบริหารจัดหนี้ วางแผนการออม และมีเงินไว้ใช้จ่ายเพียงพอในยามเกษียณ

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวว่า ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินกิจกรรมที่ 1 คือ โครงการ Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ผ่านหลักสูตร Happy Money in Action เส้นทางสร้างสุขทางการเงิน เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เพื่อให้ทุกคนเปิดใจ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง รู้จักวางแผนการใช้จ่าย วางแผนการออมเงิน วางแผนเกษียณอย่างเป็นสุข เก็บเงินไว้ใช้หลังเกษียณ มีเงินออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับครอบครัว และเพื่อสร้างบุคคลต้นแบบและบุคคลต้นกล้าทางการเงินต่อไป

คุณณฐิกา ปิตะนีละบุตร อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ในฐานะที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า การดำเนินโครงการ Money Management & Investment จากปี 2564 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 5 ปี ข้าราชการตำรวจและครอบครัวได้รับความรู้ทางด้านการเงินรวมทั้งสิ้นกว่า 25,000 นาย คิดเป็นร้อยละ 10 ของข้าราชการตำรวจทั้งหมด และได้สร้างต้นแบบและต้นกล้าทางการเงินประเภทบุคคลและครอบครัวจาก 12 กองบัญชาการ รวมทั้งสิ้น 34 คน เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางการเงิน อาทิ ประหยัดค่าใช้จ่าย 171,000 บาท มีเงินออมเพิ่มขึ้น 375,000 บาท และหนี้สินลดลง 781,000 บาท

โดยในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังคงตระหนักถึงสภาพปัญหาทางการเงินและหนี้สินของข้าราชการตำรวจ และเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและครอบครัว ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายการบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะสนับสนุนการส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้กระจายอย่างทั่วถึง ให้ทุกกองบัญชาการมีต้นแบบทางการเงิน จึงจัดให้มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของข้าราชการตำรวจและครอบครัว และจัดการอบรมโครงการ Money Management & Investment “ส่งสุข ทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” เพื่อปรับทัศนคติในการใช้ชีวิต ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงิน การออม การลงทุน และการจัดการหนี้สินอย่างถูกต้อง โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินประกบระยะเวลา 2 เดือน และสร้างครอบครัวต้นแบบและต้นกล้า เพื่อส่งต่อและแบ่งปันประสบการณ์ความสำเร็จจากการแก้ไขปัญหาการเงินที่ทำให้เค้าชีวิตมีความสุขมากขึ้น ให้กับเพื่อนข้าราชการตำรวจด้วยกัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเปิดรายชื่อถนน 94 จุดทั่วประเทศ เข้มงวดบังคับใช้กฎหมายจราจร ตาม “โครงการถนนปลอดภัย” คิกออฟวันนี้พร้อมกันทั่วประเทศ

(1 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยจัดทำ “โครงการถนนปลอดภัย” ให้ดำเนินการเสริมสร้างวินัยจราจรและสร้างความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้การบริหารงานจราจรเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยให้บังคับใช้กฎหมายจราจรทางบกและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรถหรือการใช้ทางบนถนนดังกล่าวอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยในการสัญจร โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ กองบังคับการ/ตำรวจภูธรจังหวัด ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้พิจารณาเลือกถนนสายสำคัญในพื้นที่ หรือถนนที่มีการฝ่าฝืนกฎจราจรจำนวนมาก หรือถนนที่มีอุบัติเหตุในเส้นทางบ่อยครั้ง หรือถนนที่มีที่ตั้งของสถานศึกษาอยู่หลายแห่ง เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องปฏิบัติตามกฎหมายจราจรในทุกมิติ รวมจำนวนถนนที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 94 จุด ทั่วประเทศ แบ่งเป็น พื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล จำนวน 11 จุด , ตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 2 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 3 จำนวน 10 จุด , ตำรวจภูธรภาค 4 จำนวน 13 จุด , ตำรวจภูธรภาค 5 จำนวน 8 จุด , ตำรวจภูธรภาค 6 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 7 จำนวน 9 จุด , ตำรวจภูธรภาค 8 จำนวน 8 จุด และตำรวจภูธรภาค 9 จำนวน 8 จุด 

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า วันนี้ได้เริ่มดำเนิน “โครงการถนนปลอดภัย” พร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งเป็นโครงการที่ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มุ่งเป้าลดการเกิดอุบัติเหตุจราจร สร้างความปลอดภัยให้แก่ทุกคนที่ใช้รถใช้ถนน พร้อมขอเชิญชวนผู้ใช้รถใช้ถนนให้ร่วมกันปฏิบัติตามกฎจราจร ไม่ฝ่าฝืนกฎจราจรในถนนเส้นดังกล่าวในทุกมิติ เพราะหากพบการกระทำผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรจะกวดขันดำเนินคดีอย่างเข้มงวดทุกกรณี

หากประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนพบเหตุต้องสงสัย หรือสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม  แจ้งอุบัติเหตุจราจร และขอความช่วยเหลือด้านการจราจร สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบตำรวจภูธรภาค 4 จัดเสวนาสัญจรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา ของพรรคประชาชน

(5 มิ.ย.68) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” โดยมี พล.ต.ท.ฉัตรชัย สุรเชษฐพงษ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (ผบช.ภ.4) , พล.ต.ต.สรรธาน อินทรจักร์ รอง ผบช.ภ.4 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาและอดีตผู้บังคับบัญชาของตำรวจภูธรภาค 4 ได้แก่ พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.อ.กวี สุภานันท์ อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจจบูลย์ อดีต ผบช.ภ.4 , พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ์ อดีต ผบช.ภ.4 , พล.ต.ท.จตุพล ปานรักษา อดีต ผบช.ภ.4  ตลอดจนผู้บังคับการตำรวจภูธรทุกจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมพิธี ณ ห้องประชุม ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4         

การเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่ สส.พรรคประชาชน ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยเสนอแก้ไขกฎหมายปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น โดยเฉพาะการให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน และการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ แม้บางฝ่ายจะเห็นว่าร่างกฎหมายเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวน แต่มีอีกหลายความเห็นที่มองว่าจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนงานสืบสวนสอบสวนที่ซ้ำซ้อน จนทำให้เกิดความล่าช้าโดยไม่จำเป็น กระทบสิทธิของผู้เสียหายที่จะได้รับสิทธิของการอำนวยความยุติธรรมด้วยความรวดเร็ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นต่อร่างกฎหมายดังกล่าวจากข้าราชการตำรวจ  องค์กรในกระบวนการยุติธรรม และประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยได้เริ่มรับฟังความเห็นในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1 และตำรวจภูธรภาค 7 ไปแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยมีคณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ เป็นผู้จัดงานเสวนา  

สำหรับพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายให้ตำรวจภูธรภาค 4 และคณาจารย์ของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชนบนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เชิญวิทยากรจากอัยการจังหวัดในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 4  อาจารย์ และผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ร่วมการเสวนา ประกอบด้วย พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร  นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ/อดีตที่ปรึกษาพิเศษ ตร. , พ.ต.ต.สันติ มุริจันทร์  อัยการจังหวัดหนองบัวลำภู , นายอภิศิษฏ์  ภู่ภัทรางค์ รองอัยการจังหวัดขอนแก่น , ดร.สุชาติวัฒน์  ณัฏประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ร่วมขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนความเห็น และมีพนักงานสอบสวน ข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวน ระดับผู้กำกับการถึงรองสารวัตร ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ตำรวจภูธรภาค 3 และตำรวจภูธรภาค 4) อาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และวิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย พร้อมด้วยภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 300 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญา ของพรรคประชาชนนั้น มีหลักการให้พนักงานอัยการเข้ามากำกับดูแลงานสอบสวน เช่น ให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ รวมทั้งตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญหรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งในการเสวนาวันนี้ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนวิเคราะห์ถึงผลกระทบของร่างกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนกันของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาล ซึ่งอาจทำให้กระบวนการสืบสวนสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น รวมทั้งไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาของประเทศไทย และไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติงานของพนักงานอัยการที่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน 

ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้สรุปผลการเสวนาของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือในครั้งนี้ รวบรวมกับการเสวนาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ครั้งก่อน (พื้นที่กรุงเทพมหานคร และภาคกลาง) รวมทั้งที่จะจัดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือและภาคใต้ในช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2568 รวมทั้งสิ้นจำนวน 4 ครั้ง นำมาจัดทำเป็นความเห็นที่มีต่อร่างกฎหมายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานไปยังสภาผู้แทนราษฎรต่อไป  


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top