Sunday, 8 June 2025
สหรัฐฯ

‘ทรัมป์ – สีจิ้นผิง’ ต่อสายพูดคุย!! เดินหน้าความสัมพันธ์ เพื่อ 'จีน – สหรัฐฯ – โลก’ บนเส้นทาง การพัฒนาการค้า

(18 ม.ค. 68) ‘สำนักข่าวซินหัว’ รายงานว่า ‘สีจิ้นผิง’ ประธานาธิบดีจีน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ตามคำเชิญของทรัมป์ โดยสีจิ้นผิงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการแสดงความยินดีกับทรัมป์ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง

สีจิ้นผิงชี้ว่าทั้งเขาและทรัมป์ต่างให้ความสำคัญกับการรักษาปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่ายอย่างยิ่ง หวังว่าสายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ จะมีจุดเริ่มต้นที่ดีในวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และพร้อมผลักดันความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นจากจุดเริ่มต้นใหม่

สีจิ้นผิงเน้นย้ำว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ กำลังไล่ตามความฝันของตัวเองและมุ่งมั่นทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดียิ่งขึ้น โดยจีนและสหรัฐฯ มีผลประโยชน์ร่วมกันมากมายและพื้นที่กว้างขวางสำหรับความร่วมมือ ทั้งสองประเทศสามารถเป็นหุ้นส่วนและมิตรสหาย มีส่วนส่งเสริมความสำเร็จของอีกฝ่าย และประสบความเจริญรุ่งเรืองอันจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศและโลกทั้งใบ

สีจิ้นผิงกล่าวว่าสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงคือจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสองประเทศใหญ่ที่มีสภาพการณ์แตกต่างกัน ย่อมต้องมีข้อแตกต่างไม่ตรงกันบางประการ ทว่ากุญแจสำคัญคือการเคารพผลประโยชน์หลักและข้อวิตกกังวลของอีกฝ่าย และแสวงหาหนทางอันเหมาะสมต่อการแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ

สีจิ้นผิงเสริมว่าปัญหาไต้หวันเกี่ยวข้องกับอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของจีน ซึ่งจีนหวังว่าฝ่ายสหรัฐฯ จะดำเนินการด้วยความระมัดระวัง 

สีจิ้นผิงกล่าวว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-สหรัฐฯ มีลักษณะของการได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ดังนั้นการปะทะคะคานและความขัดแย้งมิควรเป็นตัวเลือกของสองประเทศ

สีจิ้นผิงเรียกร้องทั้งสองฝ่ายยกระดับความร่วมมือ รวมถึงทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นรูปธรรม และดีงามยิ่งขึ้น ซึ่งเกื้อหนุนสองประเทศและโลกบนหลักการเคารพซึ่งกันและกัน การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ เพื่อรักษาทิศทางของเรือลำยักษ์ทั้งสองอย่างจีนและสหรัฐฯ แล่นไปข้างหน้าบนเส้นทางการพัฒนาที่มีเสถียรภาพอันดีและยั่งยืน

ด้านทรัมป์ขอบคุณสีจิ้นผิงสำหรับการแสดงความยินดี กล่าวว่าเขาเชิดชูความสัมพันธ์อันดีของเขากับสีจิ้นผิง คาดหวังว่าจะเดินหน้าการพูดคุยสื่อสารต่อไป และรอคอยจะได้พบสีจิ้นผิงโดยเร็ววัน พร้อมเสริมว่าสหรัฐฯ และจีนเป็นกลุ่มประเทศสำคัญที่สุดในโลกวันนี้ ซึ่งควรรักษามิตรภาพอันยืนยาวและทำงานร่วมกันเพื่อคุ้มครองสันติภาพของโลก

ทั้งนี้ สีจิ้นผิงและทรัมป์ได้แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับประเด็นสำคัญอันเป็นที่วิตกกังวลร่วมกันในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น วิกฤตยูเครน และความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ รวมถึงเห็นพ้องจะจัดตั้งช่องทางการสื่อสารเชิงยุทธศาสตร์และพูดคุยสื่อสารประเด็นสำคัญอันเป็นที่วิตกกังวลร่วมกันเป็นประจำ

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เตรียมเสนอชื่อ ‘ฌอน เคอร์แรน’ ตำรวจลับที่ปกป้องตน เป็น!! ‘ผู้อำนวยการซีเคร็ตเซอร์วิส’ ชี้!! มีความเหมาะสม เป็นผู้รักชาติ

(18 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ เตรียมคัดเลือกหนึ่งในทีมตำรวจลับที่ปกป้องตนในวันที่ถูกคนร้ายลอบยิงระหว่างปราศรัยหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย เป็นหัวหน้าหน่วยซีเคร็ตเซอร์วิส (Secret Service)

โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ระบุว่า บิดาของเขาจะเสนอชื่อ ฌอน เคอร์แรน (Sean Curran) ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยอารักขา ทรัมป์ ในวันนั้นขึ้นเป็นผู้อำนวยการซีเคร็ตเซอร์วิสคนใหม่

“ฌอน เป็นผู้รักชาติที่ยอดเยี่ยม และจะเข้ามาหยุดความบ้าคลั่งทุกอย่างเอาไว้ ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากไปกว่าเขา!!”

ทรัมป์ จูเนียร์ โพสต์ X เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.)ซีเคร็ตเซอร์วิส ถูกเพ่งเล็งและกดดันอย่างหนักเรื่องการทำงานที่หละหลวม หลัง ทรัมป์ ได้รับบาดเจ็บถูกกระสุนถากเข้าที่ใบหูจากความพยายามลอบสังหารเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ปีที่แล้ว ณ เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย นอกจากนี้ ยังมาถูกคนร้ายพยายามปลิดชีพครั้งที่ 2 ที่สนามกอล์ฟในรัฐฟลอริดาเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ซึ่งครั้งหลังนี้โชคดีที่ ทรัมป์ ไม่ได้รับอันตราย

สิ่งที่คนพูดกันมากก็คือ เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นไม่มีการประสานงานที่ดีพอ ทำให้คนร้ายมีโอกาสปีนขึ้นไปบนหลังคาอาคารและยิงใส่ ทรัมป์ ระหว่างหาเสียง ก่อนจะถูกมือปืนสไนเปอร์ยิงปลิดชีพ

หลังถูกยิงที่บัตเลอร์ ทรัมป์ เอามือจับไปที่หูข้างขวาซึ่งมีเลือดอาบก่อนจะหมอบลงโดยมี เคอร์แรน และเจ้าหน้าที่ซีเคร็ตเซอร์วิสคนอื่นๆ เข้ามาช่วยป้องกัน จากนั้น ทรัมป์ ได้ยืนขึ้นอีกครั้งโดยมีตำรวจลับคุ้มกันรอบตัว พร้อมกับชูกำปั้นขึ้นฟ้าประกาศ “สู้! สู้! สู้!” ก่อนถูกนำตัวลงจากเวที

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ เผยกับ ‘เอ็นบีซี’ อาจเลื่อนกำหนด ‘แบนติ๊กต็อก’ ไปอีก 90 วัน หลังรับตำแหน่งในวันจันทร์ จากที่ต้องหยุดให้บริการในสหรัฐ วันอาทิตย์นี้

(19 ม.ค. 68) “เป็นไปได้มากที่จะยืดเวลาออกไป 90 วันเพราะมีความเหมาะสม ถ้าผมตัดสินใจแบบนั้น ผมอาจจะประกาศในวันจันทร์” ทรัมป์ กล่าวกับเอ็นบีซีเมื่อวันเสาร์ (18 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

แอปติ๊กต็อกของจีนมีผู้ใช้ชาวอเมริกัน 170 ล้านคนหรือเกือบครึ่งหนึ่ง แอปช่วยเสริมพลังธุรกิจและสร้างวัฒนธรรมออนไลน์รูปแบบใหม่

เมื่อวันศุกร์ (17 ม.ค.) ติ๊กต็อกประกาศว่าต้องจอดำที่สหรัฐในวันอาทิตย์จนกว่ารัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะรับประกันว่า บริษัทอย่างแอปเปิ้ลและกูเกิล จะไม่ถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติตามเมื่อคำสั่งห้ามมีผลบังคับใช้

กฎหมายแบนติ๊กต็อกออกมาเมื่อปีก่อน ศาลฎีกามีมติเอกฉันท์พิพากษายืนเมื่อวันศุกร์ ให้เวลาตัดขาดกับไบต์แดนซ์ บริษัทแม่ที่มีฐานปฏิบัติการในจีนก่อนวันอาทิตย์ ไม่เช่นนั้นแล้วจะถูกห้ามใช้ในสหรัฐ เพื่อแก้ไขข้อกังวลติ๊กต็อกเสี่ยงเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงแห่งชาติ

ด้านทำเนียบขาวเมินความเห็นของติ๊กต็อกเมื่อวันศุกร์ มองว่าเป็นมุกและย้ำในวันเสาร์ว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังจะเข้ามาว่าจะทำอย่างไร จึงยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ว่าติ๊กต็อกต้องถึงคราวจอดำในวันอาทิตย์

“เราไม่เห็นเหตุผลสำหรับติ๊กต็อกหรือบริษัทอื่นๆ ที่จะทำอะไรไม่กี่วันก่อนรัฐบาลทรัมป์รับตำแหน่งในวันจันทร์” แครีน ฌ็อง ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาวแถลง

หากไบเดนไม่ตัดสินใจอย่างเป็นทางการที่จะเลื่อนกำหนดเส้นตายออกไป 90 วัน บริษัทที่ให้บริการแก่ TikTok หรือโฮสต์แอปอาจต้องเผชิญกับภาระทางการเงินมหาศาล

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ทรัมป์อาจสั่งการโดยตรงให้กระทรวงยุติธรรม “ไม่ให้ความสำคัญ” หรือไม่บังคับใช้กฎหมาย แต่ไม่แน่ชัดว่าการทำเช่นนั้นจะให้ความคุ้มครองทางกฎหมายได้เพียงพอแก่เจ้าของแอปสโตร์อย่างแอปเปิ้ลและกูเกิล รวมถึงบริษัทให้ข้อมูลสำคัญอย่างออราเคิล และบริการอื่นๆ ในติ๊กต็อก

เมื่อปี 2020 ทรัมป์เคยพยายามบีบให้ติ๊กต็กขายกิจการมาแล้ว และลั่นวาจาว่าจะแบนแต่ถูกศาลสหรัฐขวาง

ทรัมป์สั่งสร้างโล่เหล็ก 'America Iron Dome' ป้องแผ่นดินสหรัฐฯ จากขีปนาวุธตามรอยอิสราเอล

เมื่อวันที่ (27 ม.ค.68) ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารในด้านการปฏิรูปกองทัพฯ หลายคำสั่ง โดยหนึ่งในคำสั่งที่ทรัมป์ลงนาม คือการริเริ่มให้มีการสร้างระบบป้องกันภัยทางอากาศ 'ไอรอนโดม' สำหรับสหรัฐฯ แบบเดียวกับที่อิสราเอลใช้สกัดขีปนาวุธหลายพันลูก 

“ภายใน 60 วันนับจากวันที่ออกคำสั่งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้อง  ส่งมอบแบบพิมพ์เขียวของระบบ ความต้องการตามขีดความสามารถ และแผนการดำเนินการสำหรับโล่ป้องกันขีปนาวุธรุ่นถัดไปให้แก่ประธานาธิบดี” คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์ระบุ

ระบบ America Iron Dome จะรวมถึงแผนการป้องกันขีปนาวุธร่อนแบบวิถีโค้ง ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง และขีปนาวุธล้ำหน้า เร่งการติดตั้งเซ็นเซอร์ติดตามขีปนาวุธจากอวกาศที่มีความเร็วเหนือเสียงและแบบวิถีโค้ง และพัฒนาและติดตั้งเครื่องสกัดกั้นขีปนาวุธจากอวกาศที่สามารถสกัดกั้นขีปนาวุธได้ในช่วงส่งเสริมการโจมตี เอกสารระบุ ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเน้นย้ำว่าภัยคุกคามจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธและการโจมตีทางอากาศขั้นสูงอื่น ๆ "ยังคงเป็นภัยคุกคามที่เลวร้ายที่สุดที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ"

ระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบใหม่ที่คล้ายกับ Iron Dome ของอิสราเอลนี้จะใช้ชื่อว่า 'America Iron Dome' ระบบนี้จะสามารถป้องกันภัยจากขีปนาวุธทั่วไป ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค ขีปนาวุธนำวิถี และรูปแบบใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยงบประมาณหรือกรอบเวลาการพัฒนาระบบนี้

"เราจำเป็นต้องเริ่มก่อสร้างโล่ป้องกันขีปนาวุธล้ำสมัย ไอรอนโดม ซึ่งจะสามารถปกป้องชาวอเมริกัน" ทรัมป์ บอกกับที่ประชุมระดมความคิดของรีพับลิกันในไมอามี พร้อมบอกว่า 'ระบบนี้จะผลิตที่นี่ ในสหรัฐฯ'

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายให้ความเห็นว่า ระบบไอรอนโดมอาจไม่เหมาะสมกับการรับมือภัยคุกคามทางอากาศของสหรัฐฯ เนื่องจากระบบที่ใช้ในอิสราเอลซึ่งเป็นแบบที่ทรัมป์อยากได้นั้น ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับภัยคุกคามพิสัยใกล้ ทำให้มันไม่เหมาะสมสำหรับป้องกันการโจมตีใด ๆ ด้วยขีปนาวุธข้ามทวีป ที่เป็นตัวอันตรายหลักสำหรับสหรัฐฯ มากกว่า 

ทั้งนี้ นอกจากคำสั่งสร้าง America Iron Dome แล้ว ทรัมป์ยังลงนามคำสั่งปฏิรูปกองทัพสหรัฐในอีกหลายคนสั่ง เช่น การสั่งห้ามบุคคลข้ามเพศ หรือทรานส์เจนเดอร์ เข้ารับราชการในกองทัพสหรัฐฯ โดยทรัมป์เรียกคำสั่งนี้ว่า "การกำจัดลัทธิหัวรุนแรงทางเพศในกองทัพ" ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายและความเท่าเทียมในกองทัพ

ก่อนหน้านี้ ในสมัยแรกที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่ง เขาเคยประกาศห้ามกลุ่มทรานส์เจนเดอร์เป็นทหาร โดยให้เหตุผลว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของทหารข้ามเพศสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม คำสั่งดังกล่าวไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง จนกระทั่งปี 2021 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ขณะที่ข้อมูลจากองค์กรเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเพศระบุว่า ในจำนวนทหารอเมริกันทั้งหมด 1.3 ล้านคน มีทหารที่ระบุว่าตนเองเป็นทรานส์เจนเดอร์ไม่ต่ำกว่า 15,000 คน แต่ทางการสหรัฐฯ ชี้ว่ามีเพียงไม่ถึงพันคน

‘Apple’ เลือกใช้ AI ของ 'อาลีบาบา' หวังเพิ่มทางรอดธุรกิจ ในสมรภูมิ!! 'สงครามการค้า' ระหว่าง ‘สหรัฐฯ - จีน’

(16 ก.พ. 68) แอปเปิล (Apple) กำลังพยายามปรับโฉมใน “จีน” ครั้งใหญ่ด้วย เทคโนโลยี AI ที่จะเปิดตัวภายในกลางปี 2568 เพื่อเพิ่มยอดขายใจตลาดสำคัญ เดิมพันครั้งใหญ่ในการเพิ่มยอดขาย แต่ Apple ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการเปิดตัวฟีเจอร์ดังกล่าวในประเทศจีน เนื่องจากกฎระเบียบของรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้ Apple นำความร่วมมือกับ OpenAI ผู้ผลิต ChatGPT เข้ามาในประเทศได้

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา “โจ ไช่” ประธานของอาลีบาบา (Alibaba) เปิดเผยว่า บริษัทจะร่วมมือกับ Apple ในด้านเทคโนโลยี AI สำหรับ iPhone ที่จำหน่ายในประเทศจีน 

ถึงแม้ความร่วมมือกับ Alibaba จะช่วยให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายการเปิดตัว Apple Intelligence ในประเทศจีนมากขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบบางประการที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ อาจเป็นเหตุผลให้ Apple Intelligence ซึ่งเป็น AI ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2566 จึงยังไม่ได้เปิดตัวสู่ตลาดต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของ Apple

ก่อนหน้านี้ Apple ทดสอบโมเดลและหารือถึงความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำด้าน AI ของจีนหลายราย เช่น Baidu, ByteDance, Moonshot, Zhipu และ Tencent รวมถึงทดสอบโมเดลของ DeepSeek ด้วยเช่นกัน  

หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีศุลกากรรอบใหม่กับจีน 10% ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ Apple ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรครั้งนี้หรือไม่ ในขณะเดียวกันทางการจีนกำลังดำเนินการตรวจสอบค่าธรรมเนียมและนโยบายการดำเนินงานต่างๆ ของ App Store

สิ่งที่สร้างความยุ่งยากมากกว่านั้นคือ การที่ Apple ถูกดึงเข้ามาอยู่ในสถานะผู้ต่อรองในสงครามการค้าโดยไม่เต็มใจ โดยมีรายงานว่า Apple ถูกรวมอยู่ในรายชื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่อาจถูกจับตามองจากทางการจีน ในฐานะส่วนหนึ่งของการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลทรัมป์

หลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 10% ไม่นาน ปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวน Google ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alphabet Inc. แม้การสอบสวนดังกล่าวจะถือเป็นเพียงการส่งสัญญาณเตือนเท่านั้น เนื่องจาก Google มีธุรกิจในจีนเหลืออยู่น้อยมาก แต่ในกรณีของ Apple นั้นแตกต่างออกไป เพราะบริษัทยังคงพึ่งพารายได้ส่วนใหญ่จากตลาดผู้บริโภคในจีน

เมื่อปีที่แล้ว หน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำของจีนได้ระบุกับ Financial Times ว่า Apple จำเป็นต้องร่วมมือกับบริษัทจีนเพื่อให้สามารถผ่านขั้นตอนการอนุมัติได้ง่ายยิ่งขึ้น 

การผนึกกำลังด้าน AI ระหว่าง Alibaba และ Apple เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับ Apple ซึ่งกำลังเผชิญกับยอดขาย iPhone ที่ลดลงในประเทศจีน ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Huawei

นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นว่า การขาดคุณสมบัติ AI ขั้นสูง ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญของสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด เป็นจุดอ่อนที่สำคัญสำหรับ Apple ในตลาดจีน

Apple สูญเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ตโฟนจีนให้กับผู้ผลิตในประเทศ แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจีน และความท้าทายที่ Apple กำลังเผชิญอยู่ โดย Canalys พบว่ายอดขาย iPhone ในประเทศจีนลดลงถึง 17% ในปี 2024 

อีกหนึ่งความท้าทายที่ Apple เผชิญคือ การที่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ จะสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple หรือไม่ เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า Apple Intelligence จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทประสบความสำเร็จในประเทศจีนในช่วงที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในประเทศ เช่น Huawei, Xiaomi และ Vivo

Ethan Qi รองผู้อำนวยการบริษัท Counterpoint กล่าวว่า ตลาดสมาร์ทโฟนของจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 โดยยอดขายโดยรวมลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภค “ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น” และหลังจากมีข่าวลือเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่าง Apple และ Alibaba นักวิเคราะห์จาก Jefferies ระบุว่า ข้อตกลงนี้ไม่น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขาย iPhone 17 ในประเทศจีนได้

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่ทั้ง 2 บริษัททำธุรกิจร่วมกัน ในปี 2557 ทิม คุก CEO ของ Apple ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการ "แต่งงาน" ระหว่าง Apple Pay และแพลตฟอร์มการชำระเงินของ Alibaba อย่าง Alipay โดยแสดงความชื่นชมต่อผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Jack Ma เขาบอกว่าเขาชอบทำงานร่วมกับ "คนที่ผลักดันเรา และเราก็ชอบผลักดันพวกเขา"

‘ทรัมป์’ บีบ!! ‘ยูเครน’ มอบทรัพยากรครึ่งประเทศ แลกเงินช่วย โดยไม่มี!! ‘หลักประกันด้านความมั่นคง’ ตอบแทน

เมื่อวานนี้ (22 ก.พ. 68) ‘ยูเครน’ กำลังพิจารณาข้อเสนอใหม่จาก ‘รัฐบาลทรัมป์’ ซึ่งกำหนดให้ต้องแบ่งรายได้จากทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงแร่ ก๊าซ และน้ำมัน ให้กับสหรัฐฯ โดยไม่มีหลักประกันด้านความมั่นคงใดๆ ตอบแทน

เอกสารร่างข้อตกลงฉบับล่าสุดลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ระบุว่า ยูเครนต้องแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่งจากทรัพยากรธรรมชาติให้สหรัฐฯ รวมถึงรายได้จากท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นเงื่อนไขเดียวกับร่างข้อตกลงก่อนหน้านี้ที่ยูเครนเคยปฏิเสธเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เพราะเห็นว่าเป็นภาระเกินไป

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงใหม่นี้ยังคง ไม่มีหลักประกันด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ ตามที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เรียกร้อง ก่อนหน้านี้ยูเครนเสนอให้สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรด้านทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อแลกกับการสนับสนุนทางทหารเพิ่มเติม แต่ข้อตกลงเดิมไม่มีข้อผูกพันด้านความมั่นคง ทำให้เซเลนสกีปฏิเสธการลงนาม

ข้อตกลงฉบับล่าสุดยังระบุว่า รายได้จากทรัพยากรของยูเครนจะถูกส่งเข้าสู่กองทุนที่สหรัฐฯ ถือสิทธิทางการเงิน 100% โดยยูเครนต้องจ่ายเข้ากองทุนจนกว่าจะถึง 500,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ทรัมป์เรียกร้องเป็น “ค่าตอบแทน” สำหรับความช่วยเหลือที่สหรัฐฯ มอบให้ยูเครน

ตัวเลข 500,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่ารายได้จากทรัพยากรของยูเครนเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่เพียง 1,100 ล้านดอลลาร์ และมากกว่าสี่เท่าของมูลค่าความช่วยเหลือสหรัฐฯ ที่ให้ยูเครนจนถึงปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ตัวเลขนี้ไม่เคยถูกระบุในร่างข้อตกลง แต่ทรัมป์เคยพูดไว้ต่อสาธารณะว่าเป็นจำนวนที่เขาต้องการ

ยูเครนเจอแรงกดดันหนักจากทรัมป์

เจ้าหน้าที่ในเคียฟกำลังศึกษาข้อตกลงและยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือไม่ รัสลัน สเตฟานชุก ประธานรัฐสภายูเครนเผยว่า ยูเครนต้องการหลักประกันด้านความมั่นคง หากจะต้องยอมให้สหรัฐฯ เข้าถึงทรัพยากรของตน

ในช่วงไม่กี่วันมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเซเลนสกีกับทรัมป์ตกต่ำลงอย่างหนัก ทรัมป์เรียกเซเลนสกีว่า “เผด็จการที่ไร้การเลือกตั้ง” ขณะที่เซเลนสกีโต้กลับว่า ทรัมป์ติดอยู่ใน “ใยข้อมูลเท็จ” หลังจากทรัมป์กล่าวหาอย่างผิดๆ ว่ายูเครนเป็นฝ่ายเริ่มสงครามกับรัสเซีย

เอกสารระบุว่า หากยูเครนได้รับความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ หลังลงนามข้อตกลง ยูเครนจะต้องจ่ายคืนเป็นมูลค่าถึง 2 เท่าของเงินที่ได้รับ

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวระบุว่า ข้อตกลงนี้ถือเป็น “หลักประกันความมั่นคง” ของยูเครน เนื่องจากการมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในยูเครนจะช่วยป้องกันประเทศจากรัสเซีย

ไมค์ วอลซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่า “เซเลนสกีจะต้องลงนามในข้อตกลงนี้ และคุณจะเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้”

ขณะที่ทรัมป์กล่าวในทำเนียบขาวว่า “เราจะต้องได้ข้อตกลง หรือจะเกิดปัญหาใหญ่กับพวกเขา”

มันจบแล้วกี้ บทเรียนของ ‘ขี้ข้า’ ประเทศมหาอำนาจ หลัง ‘เซเลนสกี’ ถูกถีบออกมาจาก ‘ห้องทำงานรูปไข่’

เป็นมีมไปทั่วโลกหลังที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกประธานาธิบดีของยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกีไปหารือแต่สุดท้ายกลายเป็นภาพที่เซเลนสกีถูกถีบออกมาจากห้องทำงานรูปไข่ นั่นทำให้ประเทศอื่นๆที่ยืนเคียงข้างยูเครนอย่างยุโรปสั่นคลอน เพราะหากมองกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของสงครามคือการที่ยูเครนต้องการจะเข้านาโต้ โดยการสนับสนุนจากชาติสมาชิกนาโต้โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในเวลานั้น

ย้อนกลับไปในการประชุมสุดยอดผู้นำองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO (North Atlantic Treaty Organization) ประจำปี 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 9-11กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการประกาศถึงกร้าวในที่ประชุม NATO ระบุข้อความชัดเจนในปฏิญญาวอชิงตันว่า “พันธมิตร NATO จะยับยั้งและป้องกันภัยคุกคามทางอากาศและขีปนาวุธทั้งหมดด้วยการปรับปรุงการป้องกันทางอากาศและขีปนาวุธแบบผสมผสาน” และยืนยันว่า “NATO ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อรับประกันความน่าเชื่อถือ ความมีประสิทธิผล ความปลอดภัย และความมั่นคงของภารกิจป้องปรามด้วยนิวเคลียร์” โดยขณะนั้นพี่ใหญ่ของนาโต้คือ สหรัฐอเมริกา นั่นเอง

คำถามคือเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน นโยบายระดับชาติเปลี่ยนได้หรือ….?

ต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าชาติสมาชิกนาโต้ในยุโรปต้องไขว้เขวเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นมาและประกาศกร้าวว่าจะเป็นคนกลางเพื่อจบปัญหาสงครามยูเครน จุดนี้นี่แหละที่ทำให้การสนทนา 10 นาทีสุดท้ายเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างยูเครนและสหรัฐจาก ดีล เป็น โดดเดี่ยว  หากมองว่ามาถึงวันนี้ที่ยูเครนเข้าประเทศชาติ และพลเรือนมาเป็นตัวแปรในขณะที่สหรัฐอเมริกาไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แถมยังมาขอเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่วันนั้นสัญญาว่าจะให้เองตามที่ปรากฏในหน้าสื่อ ทำให้เซเลนสกี ถึงเลือกที่จะพูดว่าก็ใช่ไงสงครามมันไม่ได้เกิดที่หน้าบ้านคุณนี่ และคำนี้นี่แหละที่ทำให้โดนัลด์ ทรัมป์สติหลุด

นับตั้งแต่เหตุการณ์ที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์มา อเมริกาก็ซ่อนตัวอยู่หลังสงครามมาตลอด แม้ฝ่ายตนจะบอบช้ำจากการทำสงครามแต่หากเทียบกับคนในประเทศที่อเมริกาไปทำสงครามนั้น เทียบความสูญเสียกันไม่ได้เลยแถมการทำสงครามที่ผ่านมาหลายครั้งอเมริกาเลือกจะใช้วิธีการใช้ตัวแทนในการทำสงครามไม่ว่าจะในยูเครน ตะวันออกกลางหรือแม้กระทั่งใกล้บ้านเราอย่างผู้ก่อการร้ายทางภาคใต้หรือข้างบ้านเราอย่างสงครามระหว่างกองทัพกะเหรี่ยงและกองทัพเมียนมา  หลายครั้งจะเห็นได้ว่าการที่ฝ่ายต่อต้านมีอาวุธที่ทันสมัยขนาดกองทัพเมียนมายังไม่มีนั่นคงไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆกองกำลังเหล่านี้จะสามารถผลิตมันขึ้นมาเองได้หากไม่ได้มีเงินทุนจัดหาและสนับนุน

จากที่มีรายการรายงานเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาว่า มีการตรวจพบหลักฐานสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ากลุ่ม NGO สัญชาติอเมริกันและ USAIDS ให้การสนับสนุนทั้งด้านเงินทุนและยุทโธปกรณ์ให้กับเครือข่ายกบฏในพื้นที่ โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วยเอกสารการโอนเงิน จากเครือข่าย NGO และ USAIDS ไปยังบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มกบฏ  อาวุธและอุปกรณ์สื่อสาร บางส่วนที่ตรวจพบมีเครื่องหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ NGO ต่างชาติ  รวมถึงข้อมูลปฏิบัติการลับ ที่บ่งชี้ว่าเงินทุนที่ได้รับจากองค์กรเหล่านี้ ถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของไทย  นั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าองค์กรเหล่านี้เคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งลับของสหรัฐฯนั่นเอง  เช่นกันในฝั่งเมียนมาก็มีรายงานว่าองค์กร NGO อย่าง Free Burma Ranger ก็เป็นหนึ่งในองค์กรที่รับเงินทุนจาก NGO เหล่านี้ด้วยเช่นกันในการสนับสนุนสงครามให้แก่กองกำลังกะเหรี่ยงที่ทำสงครามกับกองทัพเมียนมาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

ทรัมป์มองออกว่าการที่เขาจ่ายเงินไปในสงครามแบบนี้มันคือการจ่ายเงินไปให้คนอื่นใช้แต่ผลที่ได้ในแต่ละที่ไม่ได้เกิดประโยชน์กับสหรัฐฯอย่างเป็นรูปธรรมเลย หากสหรัฐฯจะมองใหม่ว่าเข้าไปขอคืนดีกับผู้นำกองทัพเมียนมาและช่วยเมียนมาแก้ปัญหาภายในประเทศนั่นอาจจะทำให้เมียนมามีทางเลือกที่จะไม่ไปคบค้ากับจีนและรัสเซียมากไปกว่านี้  ซึ่งน่าจะเป็นการหยุดการแผ่ขยายอำนาจของจีนและรัสเซียในภูมิภาคนี้ได้ด้วย

สุดท้ายเอย่าก็หวังแค่ว่ากลุ่มกองกำลังทั้งหลายคงได้ตระหนักถึงสิ่งที่สหรัฐฯ กระทำกับยูเครน  หากกองกำลังเหล่านั้นคิดแค่เพียงว่า “สู้แล้วรวย” คนซวยคือชาวบ้านที่เป็นกองเชียร์ต่อไป แต่หากคิดได้ว่าที่เขาให้มาไม่มีอะไรฟรี  หากคิดถึงคนของตัวเองในวันที่สหรัฐฯจะมาขอค่าอาวุธคืนโดยจ่ายเป็นทรัพยากรที่คุณมี  คุณจะยอมไหม  อย่างน้อยวันนี้กี้ก็เห็นธาตุแท้ของอเมริกาแล้ว

‘ทรัมป์’ เล็ง!! ถอนทหาร 35,000 นาย ย้ายจาก ‘เยอรมนี’ ไป!! ‘ฮังการี’

(9 มี.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในยุโรปด้วยการ ถอนทหารอเมริกัน 35,000 นายออกจากเยอรมนี ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะเป็นการเปลี่ยนเกมด้านความมั่นคงของ NATO และอาจทำให้สัมพันธ์สหรัฐฯ–ยุโรปเดือดพล่านยิ่งขึ้น

แหล่งข่าวจากทำเนียบขาวเผยว่า “ทรัมป์หงุดหงิดกับยุโรป เพราะพวกเขาดูเหมือนจะเร่งสถานการณ์ไปสู่สงคราม” ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทรัมป์เคยส่งสัญญาณหลายครั้งว่า สหรัฐฯ จะไม่คุ้มกันประเทศที่ไม่ลงทุนด้านความมั่นคงของตัวเองอย่างจริงจัง

ฮังการี - เป้าหมายใหม่ของกองกำลังสหรัฐฯ?

The Telegraph รายงานว่า เป้าหมายที่เป็นไปได้ของการโยกย้ายครั้งนี้คือ "ฮังการี" ประเทศที่รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซียมาโดยตลอด และเพิ่งสร้างแรงกระเพื่อมใน EU ด้วยการวีโต้มาตรการสนับสนุนยูเครนเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา

วิกเตอร์ ออร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการี เป็นหนึ่งในผู้นำยุโรปที่มักค้านการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า การที่ทรัมป์อาจย้ายทหารไปที่นั่นเป็นการเดินเกมในลักษณะใดกันแน่ เพราะหากเกิดขึ้นจริง ก็หมายความว่าสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณถึง NATO ว่า “จ่ายเยอะ—ได้เยอะ, จ่ายน้อย—จัดการตัวเอง”

โฆษกด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ไบรอัน ฮิวจ์ส ให้ความเห็นว่า "แม้ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การโยกย้ายกำลังทหารเป็นเรื่องที่กองทัพสหรัฐฯ พิจารณาอยู่เสมอ เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามในปัจจุบัน" ซึ่งฟังดูเหมือนแถลงการณ์กลาง ๆ แต่แปลเป็นภาษาชัด ๆ ได้ว่า "เรากำลังหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเอง"

NATO สะเทือน!! ทรัมป์ไม่สนใจ สมาชิกที่จ่ายไม่ถึงเป้า

ทรัมป์ย้ำหลายครั้งว่า ประเทศสมาชิก NATO ต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมให้เป็นไปตามเกณฑ์ ซึ่งในปี 2024 มีเพียง 23 จาก 32 ประเทศ เท่านั้นที่ทำได้ โดย โปแลนด์ เป็นประเทศที่ลงทุนหนักสุดที่ 4.1% ของ GDP ขณะที่สหรัฐฯ ใช้ 3.4% ซึ่งทรัมป์มองว่า "เป็นภาระที่อเมริกันชนไม่ควรต้องแบก"

ทรัมป์เคยพูดตรง ๆ ว่า "ถ้าคุณไม่จ่าย ผมก็ไม่ช่วย" และถึงขั้นบอกว่า “ถ้าประเทศไหนใน NATO ไม่ยอมจ่าย ผมจะปล่อยให้รัสเซียจัดการเอง” ซึ่งนับว่าเป็นคำเตือนที่ชัดเจน และอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมทรัมป์ถึงสนใจย้ายกำลังไปประเทศที่ "จริงจัง" เรื่องงบกลาโหมมากกว่า

เยอรมนีอาจต้องรับมือเอง หากทรัมป์เดินหน้าถอนกำลัง

หากแผนนี้เดินหน้าจริง เยอรมนีอาจต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายทางความมั่นคงแบบไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากฐานทัพสหรัฐฯ หลายแห่งในเยอรมนี เช่น Ramstein Air Base และ กองบัญชาการสหรัฐฯ ประจำยุโรป ล้วนเป็นหัวใจสำคัญของ NATO ในยุโรป

การถอนกำลังออกจากเยอรมนีจะเป็นการตัดแรงสนับสนุนที่สำคัญสำหรับ NATO และอาจทำให้เยอรมนีต้อง เร่งเพิ่มงบกลาโหม และพิจารณาทางเลือกใหม่ ๆ ในการปกป้องประเทศของตนเอง

ในขณะที่ยุโรปกำลังจับตาว่าสหรัฐฯ จะดำเนินนโยบายนี้อย่างไร สัญญาณจากทรัมป์ดูเหมือนจะชัดเจนว่า “อเมริกาไม่ใช่ผู้คุ้มกันฟรี ๆ อีกต่อไป” และ NATO อาจต้องเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

เกาหลีเหนือเผยโฉมเรือดำน้ำนิวเคลียร์เป็นครั้งแรก ท้าทายมหาอำนาจโลก สั่นสะเทือนคาบสมุทรเกาหลี

(10 มี.ค. 68) สำนักข่าว KCNA ของเกาหลีใต้ เผยแพร่ภาพถ่ายเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็น “เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ติดขีปนาวุธนำวิถีทางยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามเสริมสร้างขีดความสามารถทางทหารของเกาหลีเหนือ

รายงานของ KCNA ยังเปิดเผยว่า คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ได้เดินทางไปเยี่ยมชม อู่ต่อเรือแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้สร้างเรือรบของประเทศ โดยเขาได้ตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการพัฒนาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และกล่าวย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างกำลังทางทะเลเพื่อป้องกันภัยคุกคามจากศัตรู

แหล่งข่าวทางทหารจากเกาหลีใต้และสหรัฐฯ กำลังวิเคราะห์ภาพถ่ายและข้อมูลที่เผยแพร่ เพื่อตรวจสอบความสามารถที่แท้จริงของเรือดำน้ำลำนี้ โดยเฉพาะศักยภาพในการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งหากได้รับการยืนยัน จะถือเป็นก้าวสำคัญของเกาหลีเหนือในด้านยุทธศาสตร์นิวเคลียร์ทางทะเล

ทั้งนี้ การเปิดตัวเรือดำน้ำติดอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลียังคงสูงขึ้น ท่ามกลางการซ้อมรบร่วมระหว่างเกาหลีใต้และสหรัฐฯ ซึ่งเปียงยางมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อความมั่นคงของตน

นักวิเคราะห์เชื่อว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเกาหลีเหนืออาจกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาค และเพิ่มความกังวลในหมู่ชาติตะวันตกเกี่ยวกับเสถียรภาพและสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี

‘จอห์นส์ ฮอปกินส์’ ปลดพนักงานกว่า 2,000 ตำแหน่ง ภายหลังที่ ‘รัฐบาลทรัมป์’ ตัดงบ ‘USAID’ มหาศาล

(15 มี.ค. 68) มหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ประกาศปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบัน หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ตัดงบประมาณจาก สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) ไปกว่า 800 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้โครงการวิจัยและพัฒนาระดับโลกหลายโครงการต้องปิดตัวลง

การปลดพนักงานครั้งนี้กระทบ พนักงานนานาชาติถึง 1,975 คนใน 44 ประเทศ และอีก 247 ตำแหน่งในสหรัฐฯ ขณะที่พนักงานอีก 100 คนถูกลดชั่วโมงการทำงาน หรือถูกพักงานโดยไม่มีกำหนด ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการที่มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

"นี่เป็นวันที่ยากลำบากสำหรับชุมชนของเรา" มหาวิทยาลัยระบุในแถลงการณ์ พร้อมย้ำว่า การตัดงบประมาณของ USAID ทำให้ต้องยุติภารกิจสำคัญที่เคยช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโครงการดูแลสุขภาพแม่และเด็ก การป้องกันโรคระบาด การพัฒนาระบบน้ำสะอาด รวมถึงความพยายามด้านมนุษยธรรมอื่น ๆ ที่เคยเป็นหัวใจสำคัญขององค์กร

ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่การสูญเสียตำแหน่งงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อภาควิชาสำคัญหลายแห่งของมหาวิทยาลัย รวมถึงคณะแพทยศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ศูนย์โครงการสื่อสารด้านสุขภาพ (Center for Communication Programs) และ Jhpiego องค์กรด้านสุขภาพมารดาและการป้องกันโรค

ผลพวงจากแนวทางบริหารรัฐบาลทรัมป์

การปลดพนักงานครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการผลักดันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ต้องการลดขนาดรัฐบาลกลาง โดย มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพิ่งประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ว่ารัฐบาลทรัมป์จะ ยกเลิก 83% ของโครงการภายใต้ USAID และเตรียมโอนภารกิจที่เหลือไปอยู่ภายใต้กระทรวงการต่างประเทศ

จอห์นส์ ฮอปกินส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยวิจัยชั้นนำของโลก ได้รับงบประมาณมากถึง 50% จากการทำงานร่วมกับรัฐบาลกลาง และในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นกำลังหลักในการดำเนินโครงการวิจัยด้านสุขภาพระหว่างประเทศ

โรนัลด์ แดเนียลส์ อธิการบดีมหาวิทยาลัย ได้ส่งข้อความถึงบุคลากรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เตือนว่าการตัดงบประมาณครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อ งบประมาณ บุคลากร และโครงการต่าง ๆ โดยระบุว่ามหาวิทยาลัยอยู่ระหว่างกระบวนการยุติโครงการที่ได้รับทุนจาก USAID ในบัลติมอร์และระดับนานาชาติ

“จากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เราจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายข้างหน้า” แดเนียลส์กล่าว พร้อมย้ำว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปรับลดขนาดโครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและงบประมาณที่เปลี่ยนแปลงไป”

วงการการศึกษาสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความไม่แน่นอน

นอกจากจอห์นส์ ฮอปกินส์แล้ว มหาวิทยาลัยหลายแห่งทั่วสหรัฐฯ กำลังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของเงินทุนรัฐบาลกลางภายใต้การบริหารของทรัมป์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มหาวิทยาลัยโคลัมเบียสูญเสียเงินทุน 400 ล้านดอลลาร์ หลังจากรัฐบาลทรัมป์ระงับสัญญาและโครงการต่าง ๆ โดยอ้างเหตุผลว่ามหาวิทยาลัย "ล้มเหลวในการจัดการปัญหาการต่อต้านชาวยิวในมหาวิทยาลัย"

ขณะเดียวกัน สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ให้ทุนสนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพ ได้ลดเพดานงบประมาณที่มหาวิทยาลัยสามารถขอรับสำหรับค่าใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อาคารและการบำรุงรักษา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า อาจส่งผลกระทบต่อสถานะของสหรัฐฯ ในฐานะผู้นำด้านการวิจัยระดับโลก

สถานการณ์นี้นำไปสู่การยื่นฟ้องร้องของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง รวมถึงจอห์นส์ ฮอปกินส์ ที่ต้องการระงับการตัดงบประมาณจาก NIH ผ่านกระบวนการศาล

สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของตัวเลขหรือการบริหารงานภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่สะท้อนถึง แนวโน้มของรัฐบาลทรัมป์ที่จะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในเวทีความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และหันมาให้ความสำคัญกับแนวทางบริหารที่มุ่งลดค่าใช้จ่ายภาครัฐเป็นหลัก

นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า ยุคแห่งความมั่นคงด้านงบประมาณของวงการศึกษาสูงและงานวิจัยระดับโลกอาจกำลังสิ้นสุดลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top