Sunday, 8 June 2025
สหรัฐฯ

'รอยเตอร์' แฉ!! สหรัฐฯ ฮั้วชาติพันธมิตร ส่งชื่อ รง.ผลิตชิปจีนลง ‘บัญชีดำ’ พร้อมเพิ่มแรงกดดันคู่ค้าจีน หยุดส่งออกเครื่องมือผลิตชิปก้าวหน้าให้ด้วย

เมื่อวานนี้ (18 มิ.ย.67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐฯ ส่งเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเดินทางไปญี่ปุ่น หลังจากที่เข้าพบกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ในความพยายามโน้มน้าวชาติพันธมิตรทั้งสองให้ช่วยกัน ‘เตะสกัด’ จีนไม่ให้เข้าถึงศักยภาพในการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง 

อลัน เอสเตเวซ (Alan Estevez) หัวหน้าฝ่ายนโยบายส่งออกของสหรัฐฯ พยายามสานต่อข้อตกลงในปี 2023 ระหว่างทั้ง 3 ชาติเพื่อจำกัดการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปไปยังจีน ซึ่งสหรัฐฯ อ้างว่าอาจถูกนำไปใช้เพื่อยกระดับศักยภาพกองทัพแดนมังกร

สหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการจำกัดการส่งออกชิปและเครื่องมือผลิตชิปขั้นสูงของผู้ผลิตสัญชาติอเมริกันอย่าง Nvidia และ Lam Research ไปยังจีนมาตั้งแต่ปี 2022

เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่แล้ว ญี่ปุ่นซึ่งมีผู้ผลิตชิปรายสำคัญอย่าง Nikon Corp และ Tokyo Electron เริ่มปรับตัวขานรับนโยบายของสหรัฐฯ ด้วยการจำกัดส่งออกเครื่องมือ 23 ประเภท ตั้งแต่เครื่องจักรที่ใช้สำหรับติดฟิล์มลงบนซิลิคอนเวเฟอร์ เรื่อยไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้กัดลายแผงวงจรไฟฟ้าขนาดจิ๋ว

หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มควบคุมการส่งออกเครื่องมือผลิตชิปแบบ Deep Ultraviolet Lithography (DUV) ของบริษัท ASML ไปยังจีน ในขณะที่สหรัฐฯ ก็จำกัดการขายเครื่องมือ DUV ให้โรงงานของจีนบางแห่งด้วย โดยอ้างว่าเป็นเพราะระบบของ ASML นั้นใช้ชิ้นส่วนและองค์ประกอบบางอย่างจากสหรัฐฯ

ปัจจุบัน ASML ถือเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทำชิปรายใหญ่ที่สุดของโลก

นอกจากนี้ แหล่งข่าวของรอยเตอร์ยังเปิดเผยว่า วอชิงตันกำลังเจรจากับชาติพันธมิตรเพื่อเพิ่มรายชื่อโรงงานผลิตชิปจีนอีก 11 แห่งลงใน ‘บัญชีจำกัดการค้า’ จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 5 แห่ง ซึ่งก็รวมถึงบริษัท SMIC ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ที่สุดของจีนด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น สหรัฐฯ ยังต้องการที่จะควบคุมอุปกรณ์ผลิตชิปเพิ่มเติมอีก ตามข้อมูลจากแหล่งข่าว

ล่าสุด โฆษกกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานนี้

สหรัฐฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยือนเนเธอร์แลนด์เมื่อเดือน เม.ย. ในความพยายามกดดันให้ ASML หยุดให้บริการเครื่องไม้เครื่องมือบางอย่างแก่จีน และสหรัฐฯ เองก็มีกฎห้ามไม่ให้บริษัทอเมริกันมอบบริการด้านเครื่องไม้เครื่องมือแก่โรงงานระดับก้าวหน้าของจีนด้วย

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวชี้ว่า ASML ยังคงมีสัญญามอบบริการแก่จีนอยู่ และรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ก็ไม่สามารถใช้อำนาจนอกอาณาเขต (extraterritorial scope) ที่จะไปสั่งยุติสัญญาด้วย

สถานทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยังไม่ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้เช่นกัน

ปีที่แล้วบริษัท หัวเว่ย (Huawei) ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคมจีนที่ถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธง Huawei Mate 60 Pro ที่ใช้ชิป 7 นาโนเมตรุ่นก้าวหน้าที่สุดของ SMIC จนกลายเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของจีนที่จะเติบโตก้าวหน้าในทางเทคโนโลยีให้ได้ แม้จะถูกสหรัฐฯ กีดกันทุกทางก็ตาม

เจ้าของบ้าน ในรัฐฟลอริดา ฟ้อง ‘นาซา’ เกือบ 3 ล้านบาท เหตุ!! ชิ้นส่วน ‘สถานีอวกาศ’ ตกใส่บ้านจน ‘หลังคา-พื้นบ้าน’ ทะลุ

(23 มิ.ย.67) จากกรณีเมื่อต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุวัตถุปริศนาตกลงมาใส่หลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองเนเปิลส์ รัฐฟลอริดา สหรัฐฯ จนหลังคาและพื้นบ้านทะลุ โดยองค์การอวกาศนาซา (NASA) ได้ยืนยันว่า วัตถุดังกล่าวเป็นชิ้นส่วนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ที่ตกลงมาจากนอกโลกจริง

ล่าสุด อเลฮานโดร โอตโร และครอบครัว เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว ได้ยื่นเรื่องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากนาซาแล้ว โดยเรียกร้องเงินชดเชย 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 3 ล้านบาท)

สำนักงานกฎหมาย Cranfill Sumner ซึ่งเป็นตัวแทนทางกฎหมายของโอเตโร กล่าวว่า การเรียกร้องของโอเตโรก็เพื่อชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สินที่ไม่มีประกัน การหยุดชะงักทางธุรกิจ ผลกระทบทางอารมณ์และจิตใจ และค่าใช้จ่ายสำหรับหน่วยงานบุคคลที่สามที่ให้ความช่วยเหลือครอบครัว

มิกา เหงียน วอร์ธี ทนายความของครอบครัวโอเตโร กล่าวว่า “ลูกค้าของฉันกำลังเรียกร้องค่าชดเชยที่เพียงพอเพื่อชดเชยความเครียดและผลกระทบที่เหตุการณ์นี้กระทำต่อชีวิตของพวกเขา”

เธอเสริมว่า “พวกเขารู้สึกขอบคุณที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ แต่สถานการณ์ที่ฉิวเฉียดเช่นนี้อาจเป็นหายนะได้ โดยหากเศษชิ้นส่วนกระเด็นไปในทิศทางอื่นอีกไม่กี่ฟุต ก็อาจมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้”

อเลฮานโดรเคยเล่าก่อนหน่านี้ว่า ชิ้นส่วนสถานีอวกาศตกลงมาใส่บ้านของเขาเมื่อวันที่ 8 มี.ค. ขณะที่แดเนียล ลูกชายของพวกเขาอยู่บ้าน แม้โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่จุดที่มันตกลงมาอยู่ห่างจากห้องของลูกชายเขาไปเพียง 2 ห้องเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของนาซาก่อนหน้านี้ระบุว่า วัตถุดังกล่าวมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะทรงกระบอก หลุดออกมาจากอุปกรณ์สนับสนุนการบินที่ใช้ในการยึดแบตเตอรี่บนพาเลทสินค้าเมื่อปี 2021 วัตถุนี้ทำจากโลหะผสมอินโคเนล (Inconel) หรือซูเปอร์อัลลอยที่ทำจากนิกเกิล-โครเมียม มีน้ำหนัก 0.7 กิโลกรัม ยาว 4 นิ้ว และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.6 นิ้ว

เศษชิ้นส่วนดังกล่าวยังคงมีสภาพสมบูรณ์แทนที่จะสลายตัวหลังจากที่มันเข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลกก่อนที่จะตกลงสู่พื้นผิว
การฟ้องร้องคดีนี้เป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง เนื่องจากจะเป็นคดีตัวอย่างสำหรับการเรียกร้องปัญหาและผลกระทบจากขยะอวกาศทั้งที่เกิดจากทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ

ทั้งนี้ นาซาจะมีเวลา 6 เดือนในการตอบสนองต่อคำฟ้องร้องนี้

‘ฟิลิปปินส์’ โวย ‘สหรัฐฯ’ ป้ายสี วัคซีนซิโนแวค ของจีน ทำให้ประชาชนไม่กล้าฉีด สุดท้ายยอดตาย พุ่งหลายหมื่น

(23 มิ.ย.67) รายงานการสืบสวนหนึ่งของรอยเตอร์ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พบว่ากองทัพสหรัฐฯ ได้เปิดยุทธการโฆษณาชวนเชื่อแบบลับๆ ในช่วงพีกสุดของโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์ สำหรับเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนและก่ออิทธิพลสร้างวาทกรรมในวงกว้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวคของจีน เช่นเดียวกับอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมือช่วยชีวิตอื่นๆ ที่จัดหาให้โดยปักกิ่ง

ยุทธการดังกล่าว ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 2020 และลากยาวจนถึงช่วงกลางปี 2021 เกี่ยวข้องกับการใช้บัญชีปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งรอยเตอร์ตรวจพบอย่างน้อย 300 บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยมีเจตนาเพื่อก่อความคลางแคลงใจต่อวัคซีนซิโนแวคในหมู่ประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ขณะที่รอยเตอร์รายงานอ้างว่ายุทธการนี้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อเอาคืนความพยายามของปักกิ่งที่กล่าวโทษวอชิงตัน เป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่

ซิโนแวค เป็นวัคซีนโควิด-19 ตัวแรกที่เข้าถึงได้ในฟิลิปปินส์ แต่การแจกจ่ายวัคซีนตัวนี้ถูกบดบังจากความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของมัน ชาวฟิลิปปินส์มีความลังเลใจต่อวัคซีนซิโนแวคมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยจนถึงเดือนกันยายน 2021 มีถึงเกือบครั้งที่ไม่มีความตั้งใจหรือไม่แน่ใจว่าพวกเขาควรรับวัคซีนยี่ห้อนี้หรือไม่ ตามข้อมูลของเวิลด์แบงก์

บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในแนวหน้า ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ ณ โรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล สถานพยาบาลหลักสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ ระบุว่าประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ต้องกลายเป็นผู้ชดใช้ในปฏิบัติการแอบแฝงของสหรัฐฯ ในความพยายามทำลายความน่าเชื่อถือของวัคซีนจีน

ถ้าโฆษณาชวนเชื่อบิดเบือนข้อมูลนั้นเป็นจริง มุมมองของประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับความสำคัญของวัคซีนอาจได้รับผลกระทบจากการยั่วยุปลุกปั่นทางสังคมในครั้งนี้ เรารู้ว่าชาวฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะคนชรา สามารถเชื่อสิ่งที่พวกเขาอ่านได้อย่างง่ายๆ" แอนโดรน คาร์ล โรโรเนโจ พยาบาลในหออภิบาลกุมารเวชของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล บอกกับอาหรับนิวส์ "ฉันคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องแบบนี้ จะมีคนยอมฉีดวัคซีนมากกว่านี้ในระยะแรกๆ และดังนั้น จะมีอีกหลายชีวิตที่ได้รับการปกป้อง

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในฟิลิปปินส์พุ่งเหนือ 66,000 ราย ส่งผลให้พวกเขากลายเป็นชาติที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นรองเพียงอินโดนีเซีย

ไบรอัน เอลวัมบูเอนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล ในปี 2020 บอกว่าหลายชีวิตอาจอยู่รอดหากไม่มีการบิดเบือนข้อมูล เขาเชื่อว่ายุทธการของสหรัฐฯ ก่ออิทธิพลแก่คนไข้ของเขา หลายคนในนั้นติดเชื้อโควิด-19 อาการรุนแรง "ผมตกใจมาก และพบว่ามันไม่สร้างสรรค์และน่าสมเพช เพราะว่าเราพยายามอย่างสุดความสามารถ แจ้งให้ผู้คนเข้ารับวัคซีนยามที่วัคซีนมีพร้อมแล้ว"

พวกเจ้าหน้าที่สาธารณสุขฟิลิปปินส์ยังได้ย้อนความถึงกรณีที่โรคระบาดใหญ่ทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศอยู่บนขอบเหวของการพังครืน แพทย์และพยาบาลต้องดิ้นรนดูแลคนไข้โควิด-19 ท่ามกลางเคสผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูง

ไดแอนน์ เดอ คาสโตร พยาบาลรายหนึ่งของโรงพยาบาลฟิลิปปินส์ เจเนอรัล เปิดเผยว่าเธอต้องรับหน้าที่ดูแลคนไข้ 24 คนเพียงลำพัง โดยในนั้น 4 คน ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์พยุงชีพ

"มันทำให้ฉันคิดว่า เราอาจปกป้องหรืออย่างน้อยๆ ก็มีอัตราการเสียชีวิตที่น้อยกว่านี้ หลายชีวิตต้องมาสูญเสียไปในช่วงเวลาอันมืดมิดในยุคของเรา ฉันทำงานในด้านสาธารณสุขมาราว 4 ปีก่อนโควิด-19 ฮันไม่เคยรู้สึกกวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน ที่ได้เห็นแม่ๆ พ่อๆ ลูกหลาน ญาติๆ และเพื่อนๆ ต้องมาตายในทุกๆ วัน" เดอ คาสโตร ให้สัมภาษณ์กับอาหรับนิวส์

อุบายเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนแก่สาธารณะ ทำให้ฉันโมโห ฉันยังคงมองว่าซิโนแวคเป็นวัคซีนที่มีศักยภาพสำหรับรับมือโควิด-19 และการเผยแพร่ข่าวลือนี้เท่ากับเป็นการตัดสายออกซิเจนคนคนหนึ่ง ที่กำลังต้องการอากาศหายใจและดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

สำหรับเธอแล้ว เดอ คาสโตร บอกว่ายุทธการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฯ ‘เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ปล้นโอกาสรอดชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ไปจากผู้คน และขโมยเหยื่อผู้เสียชีวิตไปจากครอบครัว

‘สื่อมะกัน’ เผย ‘ไบเดน’ เบลอหนัก ต้องให้เมีย ‘กระซิบบอกบท’ ขอบคุณผู้บริจาค สมาชิกเดโมแครต ไม่เอาด้วย!! เรียกร้องให้ถอนตัว หาคนใหม่ ไม่งั้นแพ้แน่

(6 ก.ค.67) จิลล์ ไบเดน สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ถึงขั้นต้อง ‘กระซิบ’ ข้างหูประธานาธิบดี โจ ไบเดน เพื่อบอกชื่อผู้บริจาครายสำคัญ และเตือนให้ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว ‘ขอบคุณ’ ตามการเปิดเผยของสื่อสหรัฐฯ

นิตยสาร Intelligencer ในนครนิวยอร์กอ้างข้อมูลจากผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งซึ่งระบุว่า ไบเดน เอาแต่ทอดสายตานิ่งและพยักหน้าระหว่างให้การต้อนรับบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนของครอบครัวไบเดน และยังเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้พรรคเดโมแครตที่ทำเนียบขาวเมื่อไม่นานมานี้ จนทำให้ จิลล์ ผู้เป็นภรรยาต้องเข้ามาเตือน

สื่อฉบับนี้ไม่ได้เปิดเผยชื่อผู้บริจาคคนดังกล่าว และไม่ได้ระบุชัดว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่

แหล่งข่าวผู้นี้ยืนยันว่า ไบเดน เอ่ยตามที่ภรรยาของเขากระซิบบอกแบบคำต่อคำ

‘เขาดูไม่ค่อยจะดีมาพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งแย่ลงไปอีก’ แหล่งข่าวบอกกับ Intelligencer

นับตั้งแต่ทำผลงานประชันวิสัยทัศน์กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ย่ำแย่เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ไบเดนเผชิญแรงกดดันจากหลายฝ่าย ให้พิจารณาถอนตัวจากศึกเลือกตั้ง แต่เจ้าตัวก็ยังคงพยายามสร้างความเชื่อมั่นกับบรรดาผู้ว่าการรัฐ สส. เจ้าหน้าที่ ผู้บริจาค รวมถึงประชาชนที่เป็นฐานเสียงเดโมแครตว่าตนเองยัง ‘ฟิต’ พอที่จะลงสู้ศึกเลือกตั้งเพื่อเป็นผู้นำสหรัฐฯ อีกสมัย

ไบเดน และทีมหาเสียงพยายามหาเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ดีเบตแพ้ ทรัมป์ ในคืนนั้น ทั้งอ้างว่า ไบเดน ป่วย เตรียมตัวมาไม่ดีพอ รวมถึงมีอาการ ‘เจ็ทแล็ก’

ระหว่างประชุมร่วมกับผู้ว่าการรัฐสายเดโมแครตคนสำคัญ ๆ เมื่อวันพุธ (3 ก.ค.) ไบเดน วัย 81 ปี กล่าวว่าเขาจำเป็นต้อง ‘นอน’ พักผ่อนให้มากขึ้น และจะไม่ทำกิจกรรมหลัง 20.00 น.อีกต่อไป ตามรายงานของ CNN และหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส

อย่างไรก็ตาม สัญญาณความชราที่ปรากฏเด่นชัดขึ้นก็ทำให้ผู้บริจาคสนับสนุน พรรคเดโมแครตหลายคนเริ่มไม่เอาด้วย และเรียกร้องให้ ไบเดน ถอนตัวเสีย หนึ่งในนั้นคือ แอบิเกล ดิสนีย์ ผู้กำกับภาพยนตร์และเศรษฐินีใจบุญทายาทตระกูลดิสนีย์ ที่ประกาศผ่าน CNBC เมื่อวันพฤหัสบดี (4) ว่า เธอจะเลิกบริจาคเงินสนับสนุนพรรคเดโมแครต ‘จนกว่าพวกเขาจะหาผู้สมัครประธานาธิบดีคนอื่นมาแทนที่ ไบเดน’

‘ถ้า ไบเดน ไม่ถอนตัว พรรคเดโมแครตจะแพ้แน่นอน ดิฉันมั่นใจ’ เธอกล่าว

รีด เฮสติงส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix และหนึ่งในผู้บริจาคสนับสนุนพรรคเดโมแครตรายใหญ่ ก็เรียกร้องให้ ไบเดน เสียสละตัวเองออกจากการแข่งขัน เพื่อเปิดทางให้ผู้สมัครรายอื่นที่อาจจะสามารถเอาชนะ ทรัมป์ ได้

‘ไบเดน จำเป็นต้องก้าวออกมา เพื่อเปิดโอกาสให้แกนนำพรรคเดโมแครตสักคนหนึ่งในการเอาชนะทรัมป์ และช่วยให้พวกเรายังคงปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองต่อไปได้’ เฮสติงส์ กล่าวผ่านอีเมลที่ส่งถึงนิวยอร์กไทม์ส

ล่าสุด ผู้นำสหรัฐฯ ยังคงประกาศอย่างแข็งขันเมื่อวานนี้ ว่าจะไม่ถอนตัวจากศึกเลือกตั้ง และอ้างว่าตนเองคือผู้สมัครเดโมแครตที่มีภาษีดีที่สุดในการสกัดกั้น ทรัมป์ ไม่ให้กลับมาครองทำเนียบขาวอีกครั้งหลังวันที่ 5 พ.ย.

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เขาได้ไปตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อม (cognitive test) บ้างหรือไม่? ไบเดน ตอบว่าไม่ได้ทำ ‘และไม่มีใครบอกว่าผมจำเป็นต้องทำ’ 

เปิดการฝึกผสม 'MULTILATERAL CARAT 2024' ไทย-สหรัฐฯ-สิงคโปร์ สร้างความมั่นคงทางทะเล

กองทัพเรือ โดยกองเรือยุทธการ จัดพิธีเปิดการฝึกผสม MULTILATERAL CARAT 2024 ไทย-สหรัฐฯ-สิงคโปร์ 
   
เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.67) พลเรือเอก ชาติชาย ทองสะอาด ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มอบหมายให้พลเรือตรี กรวิทย์ ฉายะรถี รองเสนาธิการกองเรือยุทธการ เป็นผู้แทนเป็นประธานฝ่ายไทย พลเรือตรี โจอาควีน มาติเนส รองผู้บัญชาการกองเรือที่ 7 กองทัพเรือสหรัฐฯ เป็นประธานฝ่ายสหรัฐฯ และพันเอก โฮ จี คีน รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ กองทัพเรือสิงคโปร์ เป็นประธานฝ่ายสิงคโปร์ ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการฝึก MULTILATERAL CARAT 2024 อย่างเป็นทางการ ณ ท่าเรือแหลมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยมีกำลังพลฝ่ายไทย สหรัฐฯ และสิงคโปร์ เข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้ รวม 1,100 นาย

การฝึกผสม CARAT เป็นการฝึกพหุภาคี ระหว่างกองทัพเรือไทยกับกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนถึงปัจจุบัน โดยในปีนี้กองทัพเรือสิงคโปร์ ได้ส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมการฝึกด้วย เป็นการฝึกผสมรวม 3 ประเทศ  เรียกรหัสการฝึกว่า "MULTILATERAL CARAT 2024" ทั้งนี้กองทัพเรือ ได้มอบหมายให้กองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นหน่วยรับผิดชอบการฝึก โดยมี พลเรือตรี ณัฐพงศ์ ปานโสภณ ผู้บัญชาการกองเรือฟริเกตที่ 2 กองเรือยุทธการ เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการฝึกผสม MULTILATERAL CARAT 2024

วัตถุประสงค์การฝึก เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกองทัพเรือไทย กองทัพเรือสหรัฐฯ และกองทัพเรือสิงคโปร์ ในการร่วมกันพัฒนาความสามารถของกำลังพลทั้ง 3 ประเทศ ในการปฏิบัติภารกิจทางทะเลร่วมกันในทุกระดับ และเสริมสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจอันดีในการปฏิบัติการ ตลอดจนยกระดับขีดความสามารถภาพสถานการณ์ทางทะเลให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน  

กิจกรรมในการฝึก แบ่งเป็น 3 ห้วงการฝึก ได้แก่ การฝึกในท่า การฝึกในทะเล และการสรุปผลการฝึก ระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 - 3 สิงหาคม 2567 รวม 21 วัน  

มีการฝึกในทะเลที่สำคัญ ประกอบด้วย การค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล การปฏิบัติการทางเรือสาขาต่าง ๆ การฝึกประลองยุทธ์ การฝึกยิงอาวุธประจำเรือ และการฝึกยิงอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่อากาศ แบบ ESSM โดยมีกำลังเข้าร่วมการฝึกของกองทัพเรือไทย ประกอบด้วย เรือหลวงตากสิน และเรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช  อากาศยานและ อากาศยานไร้คนขับ ในส่วนกองทัพเรือสหรัฐฯ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึก ประกอบด้วย เรือรบ USS แกเบรียล จิฟฟอร์ด 1 ลำ และอากาศยาน ในส่วนกองทัพเรือสิงคโปร์ จัดกำลังเข้าร่วมการฝึกเรือรบ 1 ลำ คือ เรือ RSS เวเลียนท์

โดยห้วงการฝึก ระหว่างวันที่ 18 – 25 กรกฎาคม 2567 ทำการฝึกในท่าเรือพื้นที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และการฝึกในทะเลบริเวณอ่าวไทยตอนบน ทั้งนี้ สามารถติดตามการฝึกผสม MULTILATERAL CARAT 2024 ในท่าเรือและการฝึกในทะเล ได้ในโอกาสต่อไป

ส่องอิทธิพลทางเศรษฐกิจของ ‘มหาอำนาจโลก’ ที่มีต่อประเทศในอาเซียน

ไม่มีมนุษย์ผู้ใดสามารถอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกอันแสนกว้างใหญ่ไปได้ 

ในระดับประเทศก็เช่นเดียวกัน เพราะการพึ่งพา พึ่งพิงกันในทุก ๆ ด้านเป็นเรื่องปกติ 

สำหรับในระดับประเทศส่วนหนึ่งของการพึ่งพาย่อมหนีไม่พ้นเรื่องของเศรษฐกิจ THE STATES TIMES ชวนสำรวจอิทธิพลทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียน

‘สหรัฐฯ’ ชี้ ‘อิสราเอล’ โจมตี ‘อิหร่าน’ เป็นการป้องกันตนเอง หลังถูกรัฐบาลเตหะราน โจมตีด้วยขีปนาวุธ เมื่อหลายวันก่อน

(26 ต.ค. 67) นายฌอน ซาเวตต์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวแถลงเมื่อกลางดึกวันศุกร์ (25 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น

เจ้าหน้าที่กลาโหมสหรัฐคนหนึ่งกล่าวว่า สหรัฐ ‘ได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง’ เจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่า อิสราเอลแจ้งล่วงหน้ากี่วันหรือบอกข้อมูลใดให้ทราบบ้าง

ต่อมาทำเนียบขาวออกแถลงการณ์เพิ่มเติมว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ได้รับข้อมูลสรุปเรื่องการโจมตีแล้ว ทีมความมั่นคงแห่งชาติจะแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้ทราบเรื่อย ๆ

‘เกาหลีใต้’ เตรียม!! ถอนการลงทุน ‘โรงงานอีวี’ ในสหรัฐอเมริกา จากนโยบาย ยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า ของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(10 ธ.ค. 67) บริษัทสัญชาติเกาหลีใต้อยู่ในช่วงพิจารณาแผนลงทุนเพื่อสร้างโรงงานแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐ มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.89 แสนล้านบาท) อีกครั้ง เนื่องจากกังวลว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจยกเลิกเครดิตภาษียานยนต์ไฟฟ้า

มากไปกว่านั้น แหล่งข่าววงในของบลูมเบิร์ก เผยว่า บริษัทเกาหลีบางแห่งได้ชะลอหรือหยุดการก่อสร้างโรงงานบางแห่งเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงรวมทั้งท่าทีด้านภาษีของทรัมป์ โดย Posco Future M ผู้ผลิตแคโทดให้กับ General Motors Co. ระบุในเอกสารเมื่อเดือนก.ย.ว่าอยู่ในช่วงเลื่อนการก่อสร้างโรงงานในนครควิเบก ประเทศแคนาดาออกไปเนื่องจาก ‘เหตุผลภายในท้องถิ่น’

เคนนี คิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ SNE Research บริษัทวิจัยในกรุงโซลที่มุ่งเน้นไปที่บริษัทผลิตแบตเตอรี่เกาหลี กล่าวว่า แม้บริษัทจำนวนหนึ่งยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ แต่ผู้ประกอบการจากเกาหลีใต้จำนวนมากเริ่มกังวล "อย่างมาก" ว่าทรัมป์จะปรับลดเงินอุดหนุนสำหรับตลาดยานยนต์ไฟฟ้าลง

ก่อนหน้านี้ทรัมป์วิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของประธานาธิบดีโจ ไบเดนเรื่องการอุดหนุนยานยนต์ไฟฟ้าผ่านพระราชบัญญัติพลังงานที่ชื่อว่า ‘Inflation Reduction Act’ มาโดยตลอด โดยรัฐบาลใหม่ของทรัมป์มีแผนลดข้อกำหนดในการประหยัดเชื้อเพลิง และตามรายงานของรอยเตอร์สเมื่อเดือนที่แล้ว คณะบริหารอาจจะยกเลิกเครดิตภาษีผู้บริโภครายละ 7,500 ดอลลาร์

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า การยกเลิกเงินอุดหนุน เครดิตภาษี และแรงจูงใจอื่นๆ จำนวนหลายร้อยพันล้านดอลลาร์มีผลเชิงลบต่อการจ้างงานในสหรัฐหลายหมื่นตำแหน่ง และทำลายความพยายามในการเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานยานยนต์ไฟฟ้าให้ห่างออกจากจีน นอกจากนี้ยังอาจกระทบรายได้ของบริษัทเกาหลีซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ จากความพยายามลดการพึ่งพาผู้ผลิตจากจีนท่ามกลางช่วงเวลาที่พวกเขากำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัว และราคาแบตเตอรี่ที่ลดลง

"เราติดตามทุกคำพูดจากทรัมป์เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า" บยองฮุน คิม ซีอีโอของ Ecopro Materials Co. ผู้จัดหาวัตถุดิบสำหรับแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าของ Ford Motor Co. และ General Motors Co. กล่าว

"เราถือว่า Inflation Reduction Act เป็นประเด็นสำคัญมาตลอด" คิม กล่าว พร้อมเสริมว่า "หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เราอาจต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของเราด้วย"

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลไบเดนเสนอเงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยในการร่วมทุนระหว่าง Samsung SDI Co. และ Stellantis NV ในการสร้างโรงงานผลิตเซลล์ในรัฐอินเดียนา อย่างไรก็ตาม คณะทำงานเพื่อการเปลี่ยนผ่านของทรัมป์รีบตั้งคำถามกับข้อเสนอนี้ วิเวค รามาสวามี หนึ่งในสองรายนามที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานร่วมของกระทรวงประสิทธิภาพของรัฐบาล (D.O.G.E) กล่าวในโพสต์บน X ว่าคณะกรรมการฯ จะตรวจสอบการช่วยเหลือของคณะทำงานของไบเดนอย่างละเอียด

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า หลังจาก Inflation Reduction Act มีผลบังคับใช้ในปี 2022 ทางการสหรัฐต่างประกาศอย่างโจ่งแจ้งต่อโรงงานในเกาหลีกว่า 50% ว่าจะมีการสร้างงานมากกว่า 20,000 ตำแหน่งบริเวณ Battery Belt’ ของสหรัฐซึ่งครอบคลุมพื้นที่จากมลรัฐมิชิแกน โอไฮโอ เคนทักกี ไปจนถึงจอร์เจีย

เกาหลีใต้ได้มีส่วนในการสร้างงาน และการลงทุนในพื้นที่ Rust Belt พัคแท ซอง รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่เกาหลี กล่าว พร้อมกล่าวเสริมว่าการมีผู้ผลิตแบตเตอรี่จากเกาหลีจะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐในการแข่งขันกับห่วงโซ่อุปทานที่จีนครองตลาดยานยนต์ไฟฟ้า และกลุ่มของเขาอยู่ในช่วงเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐเพื่อเจรจาล็อบบี้เพื่อรักษานโยบายจูงใจด้านยานยนต์ไฟฟ้าไว้

ศูนย์วิจัย Reshoring Initiative เปิดเผยว่า แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการย้ายฐานการผลิตกลับมาในสหรัฐ ระหว่างปี 2021 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2024 นอกจากนี้ ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการลงทุนโดยตรง และการย้ายฐานการผลิตของเกาหลีในสหรัฐสร้างงานในอเมริกาเหนือ ได้ 20,360 ตำแหน่งในปี 2023 มากกว่าประเทศอื่นใดๆ

ดังนั้นการตัดเครดิตภาษีของทรัมป์จะกระทบกับบริษัทแบตเตอรี่ของเกาหลีอย่างหนัก ในช่วงที่บริษัทเหล่านี้กำลังประสบกับความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่อ่อนตัวลง ราคาลิเทียม ซึ่งเป็นแร่สำคัญที่เชื่อมโยงกับราคาขายของแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า ดิ่งลงเกือบ 90% จากจุดสูงสุดในปี 2022 เนื่องจากปริมาณการนำไปใช้ในรถไฟฟ้าน้อย และช้ากว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

LG Energy Solution พันธมิตรสำคัญของ GM ได้บันทึกเครดิต Inflation Reduction Act ประมาณ 1 ล้านล้านวอน (773 ล้านดอลลาร์) ในบัญชีของตัวเองในปีนี้ แต่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขาดทุนสุทธิในปีงบประมาณ 2023 ด้าน SK On พันธมิตรของ Ford ได้รับเครดิตภาษีจากสหรัฐประมาณ 2.11 แสนล้านวอนในสามไตรมาสแรก แต่ยังคงเผชิญกับสภาวะขาดทุน

บริษัทสัญชาติเกาหลียังกังวลว่าทรัมป์อาจอนุญาตให้บริษัทแบตเตอรี่ของจีนเข้าสู่สหรัฐโดยรอยเตอร์สรายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า Contemporary Amperex Technology Co. Ltd หรือ CATL ของจีนจะพิจารณาสร้างโรงงานในสหรัฐหากทรัมป์เปิดประตู

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา Inflation Reduction Act ของไบเดนปิดกั้นการลงทุนจากจีนมาจนถึงปัจจุบัน โดยขอให้ผู้ผลิตรถยนต์ค่อยๆ ลดการจัดหาแร่ธาตุสำคัญสำหรับแบตเตอรี่จาก ‘Foreign Entities of Concern’ หรือ FEOC ซึ่งหมายความถึงบริษัทต่างชาติที่ดำเนินกิจการแล้วอาจกระทบความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย จีน รัสเซีย และเกาหลีเหนือ

ด้าน ปาร์ค ชุลวาน ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมยานยนต์ มหาวิทยาลัยซอจอง กล่าวว่า "การเข้ามาของจีนในสหรัฐจะเป็นหายนะสำหรับเกาหลี" และ "บริษัทแบตเตอรี่ของจีนจะเสนอราคาที่ต่ำกว่ามาก"

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางส่วนมีความหวังว่าทรัมป์จะไม่ตัดเครดิตสำหรับผู้ผลิตแบตเตอรี่ เนื่องจากโรงงานส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในรัฐที่บริหารโดยพรรครีพับลิกัน

คิตาเอะ คิม ซีอีโอของ SungEel Recycling Park Indiana โรงรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเมือง ไวท์สทาวน์ รัฐอินเดียน่า กล่าวว่า  "ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้น้อยมากที่ [ทรัมป์] จะลดสิทธิประโยชน์จาก Inflation Refuction Act"

ทั้งนี้ หุ้นของ LG Energy ปรับตัวขึ้น 0.3% ในวันจันทร์ ขณะที่หุ้นของ Samsung SDI ร่วงลง 2.8%

ด้าน แพท วิลสัน คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงาน SK On สามแห่ง กล่าวในอีเมลถึงบลูมเบิร์ก นิวส์ ว่าจอร์เจียจะช่วยให้บริษัทเกาหลี "สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"

"ตลาดสหรัฐยังคงเป็นตลาดผู้บริโภคที่สำคัญที่สุดในโลก" เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "บริษัทเกาหลีรู้เรื่องนี้มาก่อนยุคของรัฐบาลไบเดน และข้อเท็จจริงนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงแม้มีรัฐบาลใหม่"

‘TikTok’ ร้อง!! ศาลสหรัฐ ให้ระงับการแบนแอป จนกว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะขึ้นเป็นประธานาธิบดี

(10 ธ.ค. 67) Tiktok ยื่นคำร้องเมื่อวันจันทร์ว่า ศาลอุทธรณ์สหรัฐเขตโคลัมเบียควรออกคำสั่งห้ามนับถอยหลังวันครบกำหนดขายหุ้นหรือแบนแพลตฟอร์ม (ซึ่งมีระยะเวลาให้ทำตามข้อกำหนดน้อยกว่า 6 สัปดาห์) เพื่อให้ศาลฎีกาสามารถพิจารณาคำเรียกร้องของบริษัทที่อ้างว่า การเรียกร้องของรัฐบาลสหรัฐละเมิดสิทธิในเสรีภาพของการพูดและสิทธิตามรัฐธรรมนูญอื่น ๆ

ติ๊กต็อกและไบท์แดนซ์ ระบุในคำร้องที่ยื่นต่อศาลว่า “การสั่งห้ามเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้รัฐบาลชุดใหม่มีเวลาพิจารณาจุดยืนของตนเอง ซึ่งอาจช่วยให้เกิดการหารือถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นและความจำเป็นในการพิจารณาของศาลฎีกา”

นิกเกอิเอเชีย ระบุว่า ติ๊กต็อกสามารถยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาคำตัดสินของศาลแขวง แต่ต้องมีเสียงจากผู้พิพากษา 4 ใน 9 ที่ตกลงจะพิจารณาคดีนี้ จึงจะได้รับการพิจารณาต่อไป

ติ๊กต็อกได้ขอให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินคำร้องสั่งห้ามนับถอยหลังกำหนดขายหุ้น ภายในวันที่ 16 ธ.ค. นี้ ขณะที่กระทรวงยุติธรรมขอให้ศาลปฏิเสธคำร้องของบริษัทโดยไม่ต้องมีการพิจารณาคดีเพิ่มเติม

การยื่นคำร้องขอสั่งห้ามของติ๊กต็อกมีขึ้นหลังจากศาลตัดสินเมื่อวันศุกร์ (6 ธ.ค.) ยกฟ้องการท้าทายทางกฎหมายของติ๊กต็อกต่อ พระราชบัญญัติคุ้มครองชาวอเมริกันจากแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดยปรปักษ์ต่างชาติ (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act.)

คำสั่งของศาลที่ออกมาเมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ผู้พิพากษา 3 คน บอกว่า การสั่งให้ขายหุ้นหรือแบนแอพลิเคชัน ไม่ได้ปิดกั้นเสรีภาพในการพูด และไม่ได้ละเมิดการคุ้มครองด้านความเท่าเทียม

อนึ่ง วันครบกำหนดให้ไบท์แดนซ์ขายติ๊กต็อกคือวันที่ 19 ม.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายที่มีขึ้นก่อนวันว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.

แม้ทรัมป์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของการแบนติ๊กต็อก แต่เขาได้เปลี่ยนจุดยืนในระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง โดยบอกว่าตนไม่เห็นด้วยกับความเคลื่อนไหว (การแบนติ๊กต็อก) ดังกล่าว ซึ่งการสนับสนุนของเขามีขึ้นหลังจากได้พบกับมหาเศรษฐีเจฟฟ์ แยส ที่เป็นผู้ลงทุนรายแรกในไบท์แดนซ์ และเป็นหนึ่งในผู้บริจาคเงินทางการเมืองรายใหญ่สุดของการหาเสียงของทรัมป์

ทั้งนี้ ติ๊กต็อกอาจต้องสูญรายได้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และบรรดาครีเอเตอร์อาจสูญเสียรายได้รวมกันเกือบ 300 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 1 เดือน ถ้าไม่ยุติการแบนแอปฯ

ติ๊กต็อกเผยเมื่อวันจันทร์ว่า แพลตฟอร์มมีผู้ใช้งานชาวอเมริกันมากถึง 170 ล้านคน และว่าการโฆษณา การตลาด และการเข้าถึงแบบออร์แกนิกบนแอปฯนั้น สร้างเม็ดเงินให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐ 24,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 ในขณะที่การดำเนินงานของบริษัทเองก็มีส่วนหนุนจีดีพีสหรัฐอีก 8,500 ล้านดอลลาร์

Temu ครองยอดดาวน์โหลดสูงสุด บน App Store ในสหรัฐฯ

(18 ธ.ค.67) แอปเปิล (Apple) เปิดเผยผลการจัดอันดับแอปพลิเคชันและเกมที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดบนแอปสโตร์ (App Store) ในสหรัฐฯ ซึ่งพบว่า 'เทมู' (Temu) แอปพลิเคชันชอปปิงของจีนครองอันดับหนึ่งอีกครั้งในฐานะแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ในปี 2024

รายงานระบุว่าเทมูขึ้นมาครองอันดับหนึ่งในปี 2023 แทนที่ติ๊กต็อก (TikTok) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในสหรัฐฯ ในปี 2022 โดยติ๊กต็อกครองอันดับสามในปี 2024 รองจากแอปพลิเคชันเธรดส์ (Threads) ในเครืออินสตาแกรมของเมตา (Meta) ที่ขึ้นมาอยู่อันดับสองหลังจากอยู่อันดับสามในปี 2023

ด้านแอปพลิเคชันแชตจีพีที (ChatGPT) เป็นแอปพลิเคชันฟรีที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดอันดับ 4 ในสหรัฐฯ ในปี 2024 แซงหน้าแอปพลิเคชันเสิร์ช (Search) สำหรับค้นหาข้อมูลของกูเกิล

หลายแอปพลิเคชันของเมตายังคงติดการจัดอันดับแอปพลิเคชันที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในปี 2024 แต่ครองอันดับต่ำลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอินสตาแกรมและวอตส์แอป (WhatsApp) ครองอันดับ 6 และอันดับ 7 ตามด้วยแคปคัต (CapCut) ของไบต์แดนซ์ (ByteDance) ยูทูบ จีเมล กูเกิลแมปส์ ชีอิน และเฟซบุ๊กในอันดับ 13

ส่วนอันดับ 14-20 ได้แก่ เทเลแกรม (Telegram) สแนปแชต (Snapchat) แคชแอป (Cash App) สปอติฟาย (Spotify) แม็กซ์ (Max) แม็คโดนัลด์ และแอมะซอน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top