Saturday, 7 June 2025
รัสเซียยูเครน

‘ไบเดน’ เชื่อ จีนยังไม่ส่งอาวุธให้รัสเซีย แต่ยังวางใจไม่ได้ จับตาความสัมพันธ์พิเศษ หลัง ‘สี จิ้นผิง’ เยือนกรุงมอสโก

(26 มี.ค. 66) สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โจ ไบเดน เชื่อว่า จีนยังไม่ได้ส่งอาวุธให้รัสเซียเพื่อใช้ทำสงครามในยูเครน ด้านผู้แทนสหประชาชาติ หรือ ‘ยูเอ็น’ ยอมรับมีความกังวลอย่างยิ่งที่กองกำลังรัสเซียและยูเครนในสนามรบ ได้ทำการประหารชีวิตเชลยสงครามอย่างรวบรัด

ประธานาธิบดีไบเดน แถลงข่าวระหว่างเยือนแคนาดาเมื่อวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า เขาได้ยินตลอด 3 เดือนมานี้ว่า จีนกำลังจะจัดส่งอาวุธสำคัญให้แก่รัสเซีย ซึ่งยังไม่มีการส่งแต่อย่างใด แต่ไม่ได้หมายความว่าจีนจะไม่ส่ง เขาไม่ได้ดูเบาจีนและรัสเซีย แต่รายงานข่าวในเรื่องนี้อาจมีความเกินจริงไปบ้าง อย่างไรก็ตาม หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ชาติตะวันตกก็จะยิ่งรวมตัวกันมากยิ่งขึ้น เพราะสหรัฐฯ มีพันธมิตรด้านความมั่นคงในภูมิภาคแปซิฟิกอย่าง ‘ควอด’ (Quad) ที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย, อินเดีย, ญี่ปุ่น และออคัส (AUKUS) ที่ประกอบด้วย สหรัฐฯ, ออสเตรเลีย และอังกฤษ

‘ทหารสหรัฐฯ’ ยอมรับ ‘ยูเครน’ เผชิญความยากลำบากในการสู้รบ ชี้!! สงครามทวงคืนดินแดนครั้งนี้ไม่คุ้มกับราคาที่ต้องจ่าย

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 66 หลังจากเล่นบทป๋าทุ่มทั้งเงินและอาวุธเพียบช่วยยูเครน วันนี้อเมริกาหน้าจ๋อย บรรดาเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐฯ ยอมรับว่ายูเครนกำลังเผชิญการสู้รบที่ยากลำบาก ปฏิบัติการทวงคืนดินแดนกลับครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องชดใช้ราคาแพง

คำประเมินของสหรัฐฯ ต่อปฏิบัติการตีโต้กลับของเคียฟ มีขึ้นในขณะที่พวกนักรบเชเชน บอกว่า พวกเขาได้เข้าประจำการในแคว้นเบลโกร็อดของรัสเซีย ที่มีชายแดนติดกับยูเครน เพื่อป้องกันการโจมตีของกลุ่มหัวรุนแรงรัสเซียที่ฝักใฝ่ยูเครน

‘ลอยด์ ออสติน’ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ บอกกับที่ประชุมว่า เคียฟจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และยูเครนต้องการอาวุธมากกว่าเดิม ยูเครนยังเหลือพลานุภาพการโจมตีอีกมากสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับ แม้ประสบความสูญเสียในเบื้องต้นจากฝีมือของรัสเซีย

มอสโกเผยแพร่วิดีโอเป็นภาพรถถังเลพเพิร์ดของเยอรมนี และยานต่อสู้แบรนด์ลีย์ ที่บริจาคโดยสหรัฐฯ หลายคัน อ้างว่าสามารถยึดมาได้ ทั้งที่ปฏิบัติการตีโต้ทวงคืนดินแดนจากรัสเซียของยูเครนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น พ.อ.โอเล็กซี ฮโรมอฟ แห่งกองทัพยูเครนว่าจนถึงตอนนี้ยูเครนสามารถทวงคืนถิ่นพักอาศัยทางภาคใต้มาได้ 7 แห่ง และรุกคืบยึดดินแดนคืนมาได้ 100 ตารางกิโลเมตร

บททดสอบสำคัญของปฏิบัติการโจมตีตอบโต้กลับของยูเครนยังคงรออยู่เบื้องหน้า ในขณะที่ทหารเคียฟยังบุกไปไม่ถึงป้อมปราการป้องกันตนเองที่หนาแน่นที่สุดของรัสเซีย เคียฟเชื่อว่าจำเป็นต้องตระเตรียมกองกำลังโจมตีราว 12 กองพัน แต่ละกองพันมีทหารหลายพันนาย และใช้ยานยนต์หุ้มกราะของตะวันตกที่เพิ่งมาถึงล่าสุด

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ยืนยันเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ ว่า กองกำลังยูเครนประสบความสูญเสียมากกว่ารัสเซียถึง 10 เท่า และบอกว่าปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ของยูเครนล้มเหลว

‘ยูเครน’ ผิดหวังอีกครั้ง หลัง ‘นาโต’ ไม่รับเข้าเป็นสมาชิก หรือเส้นทางการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร 15 ปีจะสูญเปล่า?

(13 ก.ค. 66) ‘โวโลดิมีร์ เซเลนสกี’ ประธานาธิบดียูเครน ต้องเผชิญกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่อองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือ ‘นาโต’ ออกแถลงการณ์ร่วมประเทศสมาชิกนาโต ปฏิเสธกำหนดกรอบเวลาชัดเจนรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิก ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ที่กรุงวิลนีอุส ประเทศลิทัวเนีย ซึ่งผู้นำยูเครนหมายมั่นว่า เขาจะได้รับคำตอบที่ชัดเจน เกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโต เพื่อได้รับประกันด้านความปลอดภัยของชาติ จากการรุกรานของรัสเซีย

เพราะเหตุใดกลุ่มประเทศที่ให้การสนับสนุนกับยูเครนมากที่สุด เพื่อรับมือกับกองทัพรัสเซีย จึงไม่สามารถรับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกได้ แม้ว่ายูเครนจะดำเนินการยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกแบบเร่งด่วน และก่อนหน้านี้ ฟินแลนด์ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกชาติที่ 31 ของกลุ่ม ส่วนสวีเดนก็จะได้เข้าเป็นสมาชิกเร็ว ๆ นี้ หลังได้รับการยอมรับจากตุรกีแล้ว

หนทางการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน ดูเหมือนจะหยุดชะงักเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำนาโต ณ บูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย เมื่อปี 2008 ที่การหามติเอกฉันท์ในการรับจอร์เจีย และยูเครน อดีตประเทศสหภาพโซเวียด เข้าเป็นสมาชิกนาโตนั้นล้มเหลว แต่ทั้ง 2 ประเทศได้รับข้อเสนอที่คลุมเครือในการสามารถเข้าเป็นพันธมิตรกลุ่มได้ในอนาคต โดยไม่กำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนว่า พวกเขาจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรทางทหารที่ใหญ่สุดของโลกเมื่อไหร่

“ประตูยังเปิดอยู่ พวกเขาบอกกับเรา แต่พวกเขาไม่ได้บอกเรา ถึงหนทางในการหาประตูเหล่านี้ และวิธีการเข้าไปข้างใน” โอเล็กซี เรซนิคอฟ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมยูเครน กล่าว

ด้านยูเครน และจอร์เจียต่างพบว่า ในช่วงเวลานั้น ตัวเองกำลังตกอยู่ในสองสถานะ นั่นคือ สมาชิกนาโตในอนาคต ขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะไม่ได้รับความคุ้มครองใด ๆ จากชาติพันธมิตร โดยเฉพาะในมาตรา 5 ของนาโต ที่ระบุว่า “การโจมตีสมาชิกประเทศใดประเทศหนึ่งของพันธมิตรนาโต จะเท่ากับการโจมตีสมาชิกทุกประเทศ”

นอกจากนี้ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียได้รับเชิญในฐานะแขกของนาโตเข้าร่วมประชุมครั้งดังกล่าว โดยเขาได้ส่งข้อความถึงนาโตอย่างชัดแจ้งว่า การเข้าเป็นสมาชิกนาโตของจอร์เจียและยูเครน ถือเป็น “ภัยคุกคามโดยตรงของรัสเซีย” หลังก่อนหน้านี้ อดีตผู้นำสหรัฐฯ อย่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และบิล คลินตัน เคยให้สัญญากับรัสเซียว่า นาโตจะไม่ขยายอิทธิพลเข้าไปในกลุ่มประเทศที่เคยเป็นอดีตสหภาพโซเวียต

“สถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซีย คือการนั่งอยู่ในห้องรอคอยของนาโต และพวกเราก็ทำแบบนั้นกับจอร์เจีย และยูเครน เมื่อ 15 ปีที่แล้ว” มาร์กุส ซาห์คน่า รัฐมนตรีต่างประเทศเอสโตเนีย กล่าว

ทั้งนี้ การไม่ลงรอยกันของข้อตกลงในครั้งนั้น ทำให้จอร์เจีย และยูเครนตกเป็นเป้าของการรุกรานจากรัสเซีย เนื่องจากเป็นการยั่วยุปูตินให้ดำเนินการต่อต้านการขยายตัวของนาโตบนชายแดนของเขา และอาจเป็นเพราะความล้มเหลวอย่างชัดเจนของนาโตในการคุ้มครองความปลอดภัยที่จะสามารถครอบคลุมไปยังรัฐเหล่านี้ ส่งผลให้อีกไม่กี่เดือนต่อมา กองทัพรัสเซียได้ยึดออสเซเทียใต้และอับคาเซียของจอร์เจีย นอกจากนี้ ในปี 2014 รัสเซียก็ได้ผนวกดินแดนไครเมีย เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียด้วย

การตัดสินใจว่ายูเครนจะเข้าร่วมนาโตหรือไม่ เป็นหนึ่งในคำถามด้านความมั่นคงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกมากที่สุดของยุโรป เพราะการตัดสินใจยอมรับยูเครนจะเป็นการขยายคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ในมาตรา 5 ของนาโต แม้ว่าการอ้างสิทธิ์ดังกล่าว จะไม่มีผลในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ก็อาจจะทำให้บรรดาผู้นำชาติตะวันตกต้องเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์มากสุดของโลกในอนาคต และยังเสี่ยงทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ถ้ารัสเซียโจมตีประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง

แม้ยูเครนจะได้แรงหนุนจากประเทศสมาชิกบางส่วนในการเข้าร่วมนาโต แต่สมาชิกบางประเทศก็ไม่เห็นด้วยที่จะรับยูเครนเข้ามา โดยเฉพาะโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว CNN เมื่อวันอาทิตย์ (9 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา ว่า ยูเครนยังไม่พร้อมที่จะเข้าสู่นาโต ยิ่งไปกว่านั้น พันธมิตรนาโตยังไม่พร้อมที่จะให้ยูเครนก้าวสู่ประวัติศาสตร์สำคัญในการเข้าร่วมกลุ่ม เพราะนั่นอาจจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดสงครามโดยตรงระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย

“ผมไม่คิดว่า จะมีมติเป็นเอกฉันท์ในนาโตว่า ควรจะนำยูเครนเข้าสู่ครอบครัวนาโตตอนนี้หรือไม่ ในช่วงเวลานี้ ที่อยู่ท่ามกลางสงคราม” ไบเดน กล่าว

ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า ชาติพันธมิตรจำเป็นต้องวางเส้นทางที่มีเหตุผลสำหรับการเป็นสมาชิกของยูเครน ที่ยังขาดข้อกำหนดบางประการในการเข้าร่วมนาโต รวมถึงความเป็นประชาธิปไตยด้วย

ขณะที่ ยูเครนได้เตือนบ่อยครั้งว่า ยูเครนกำลังต่อสู้ในสงครามของยุโรป เพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของรัสเซีย และยูเครนช่วยทำให้ศัตรูตัวฉกาจของนาโตอ่อนแอลง ดังนั้น จึงเป็นเรื่องของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ยูเครนควรได้รับการรับประกันด้านความมั่นคงจากนาโตด้วย

“มันจะเป็นข้อความที่สำคัญที่จะบอกว่า นาโตไม่กลัวรัสเซีย” เซเลนสกี กล่าวให้สัมภาษณ์กับ ABC News เมื่อวันอาทิตย์ (9 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา

ความเสี่ยงในการปะทะกับรัสเซียในอนาคตมีน้ำหนักอย่างมากในความคิดของนักวิเคราะห์หลายคน เบน ฟรีดแมน ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายของ Defense Priorities กล่าวว่า สหรัฐฯ ไม่ควรรับประกันด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครน และไม่ควรทำในตอนนี้ ผ่านกลุ่มนาโต หรือ ช่องทางอื่น ๆ ที่จะรับประกันความมั่นคงทวิภาคีบางประเภท

ฟรีดแมน แย้งด้วยว่า แม้ยูเครนจะยืนหยัดต่อต้านอย่างกล้าหาญ แต่การพิจารณาถึงผลประโยชน์ในวงกว้างของสหรัฐฯ ต้องมาก่อน

“การรับประกันด้านความมั่นคงให้ยูเครนจะเป็นการกัดเซาะความมั่นคงของสหรัฐฯ ด้วยการเพิ่มความเสี่ยงอย่างเห็นได้ชัดในการทำสงครามกับรัสเซีย… นั่นคือความเสี่ยง แน่นอนว่า ทำให้สถานการณ์ด้านนิวเคลียร์เลวร้ายลง และเป็นความเสี่ยงที่สหรัฐฯ ไม่ได้อะไรเลยในแง่ของความมั่นคง

มีการถกเถียงกันทั้งในระยะสั้น และระยะยาวเกี่ยวกับการเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน โดยไบเดน เตือนว่า การทำเช่นนั้น ในช่วงภาวะสงครามจะทำให้พันธมิตรนาโต ต้องปกป้องพันธมิตรใหม่ทันที เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า การป้องกันโดยรวมของกลุ่มนั้นมีความหมาย

“ผมหมายความตามที่ผมพูด มันเป็นพันธสัญญาที่เราต้องทำทั้งหมดไม่ว่าอะไรก็ตาม ถ้าสงครามยังดำเนินอยู่ หากเป็นเช่นนั้น เราทั้งหมดจะเข้าสู่สงคราม เราจะต้องทำสงครามกับรัสเซีย” ไบเดน กล่าว

ขณะที่ ไมเคิล แมคคอล ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศของสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะคุยเรื่องยูเครนเข้าร่วมนาโตในทันที

“ประการแรก ยูเครนต้องชนะฝ่ายรุกราน ประการที่สอง ต้องมีการหยุดยิงและมีการเจรจาหาข้อยุติโดยสันติ เราไม่สามารถรับยูเครนเข้าร่วมนาโตได้ในทันที นั่นจะเป็นการผลักเราเข้าสู่สงครามกับรัสเซีย”

“ดังนั้น ผมคิดว่าบทสนทนาควรจะเกี่ยวกับข้อตกลงด้านความมั่นคงใดที่สามารถใช้กับยูเครนได้ เพื่อเป็นการบ่งชี้ถึงการที่ยูเครนจะเข้าสู่นาโต” เขาพูดพร้อมเสริมว่า “เราต้องระมัดระวังในการทำเช่นนี้” แมคคอล กล่าว

อย่างไรก็ตาม บทความจากสำนักข่าว CNN รายงานว่า การเสนอวันเข้าร่วมหลังสงครามสิ้นสุดให้แก่ยูเครน อาจก่อให้เกิดผลตีกลับได้เช่นกัน เพราะจะทำให้เครมลินมีเหตุผลที่จะไม่มีวันยุติความขัดแย้ง และสิ่งนี้จะทำลายความหวังอันริบหรี่ในการหาข้อยุติทางการเมืองหากกองทัพยูเครนยังไม่สามารถขับกองกำลังรัสเซียออกไปได้ทั้งหมด และเสี่ยงที่จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปูติน โดยจะยิ่งสร้างความชอบธรรมให้กับหนึ่งในเหตุผลของปูตินในการบุกยูเครน ที่เขากล่าวหาว่าชาติตะวันตกเป็นผู้จุดชนวนสงครามโดยใช้ยูเครนเป็นข้ออ้าง เพื่อทำให้อำนาจรัสเซียอ่อนแอ

นับตั้งแต่เกิดสงครามเป็นเวลานานกว่า 17 เดือน ชาติพันธมิตรนาโตได้ให้ความช่วยเหลือทางทหาร และทางด้านการเงินมูลค่ารวมแล้วกว่า 1.6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 5.5 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ให้ความช่วยเหลือทางทหารไปมากกว่า 35,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท ล่าสุด ยังประกาศให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้วยการติดอาวุธให้ยูเครนในการขับไล่รัสเซีย ในการตัดสินใจส่ง ‘ระเบิดพวง’ ซึ่งถูกห้ามใช้ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก ตามอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวง หรือ ‘Convention on Cluster Munitions : CCM’

ขณะที่ ชาวอเมริกันก็ตั้งคำถามว่า ทำไมในท้ายที่สุด ชาวอเมริกัน 330 ล้านคน จะต้องทำสงครามกับรัสเซีย เพื่อปกป้องยูเครน หากเข้าร่วมกับนาโต โดยหวั่นว่าจะเป็นการพาประเทศเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดูเหมือนกำลังกระทำการในสิ่งที่คล้ายกับลักษณะของสงครามตัวแทนในยูเครน

ถึงกระนั้น แม้ไบเดนจะออกมาเปลี่ยนจุดยืนการเร่งเข้าเป็นสมาชิกนาโตของยูเครน แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่า ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ จะปฏิบัติตามพันธกรณีในสนธิสัญญาหรือไม่ โดยโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบสหรัฐฯ ออกมาเตือนไบเดนว่า ไบเดนกำลังพาสหรัฐฯ เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 กับรัสเซีย พร้อมให้คำมั่นว่า เขาจะยุติสงครามในยูเครนภายใน 24 ชั่วโมง หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง ซึ่งความเห็นดังกล่าว ค่อนข้างที่จะให้ความเห็นอกเห็นใจต่อเป้าหมายของปูติน ซึ่งทรัมป์มีความสัมพันธ์ที่ดีกว่า

‘รัสเซีย’ ยิงขีปนาวุธถล่มเมืองทางตะวันออกของ ‘ยูเครน’ อาคาร-บ้านเรือนพังยับ พบผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 ราย

เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 66 สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มอาคาร 2 แห่ง ในเมืองดนีโปรซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้อาคารดังกล่าวเสียหายอย่างหนัก และมีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 5 คน

นักข่าวภาคสนามของบีบีซียืนยันว่า ชั้นบนสุดของอาคารพักอาศัยขนาดใหญ่ถูกทำลายเกือบจนย่อยยับจากการโจมตีของรัสเซียเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 กรกฎาคม

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวด้วยว่า อาคารแห่งหนึ่งของหน่วยงานด้านความมั่นคง (SBU) ของยูเครนก็ถูกโจมตีเช่นกัน ซึ่งเขาได้กล่าวโทษรัสเซียที่ยิงขีปนาวุธจนทำให้อาคารทั้ง 2 เสียหาย

นอกจากนี้ เซเลนสกีกล่าวว่า ตนได้มีการประชุมฉุกเฉินกับ SBU กระทรวงกิจการภายใน หน่วยบริการฉุกเฉิน และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว

‘เซอร์ฮีย์ ไลซัก’ (Serhiy Lysak) ผู้ว่าการภูมิภาคดนีโปรแปตร็อวสก์ กล่าวว่า มีเด็กสองคนอายุ 14 ปี และ 17 ปี อยู่ในกลุ่มผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งกำลังได้รับการรักษาที่บ้าน และว่า ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากการยิงขีปนาวุธของรัสเซียครั้งนี้ ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น.ตามเวลาท้องถิ่น

‘บอริส ฟิลาทอฟ’ (Boris Filatov) นายกเทศมนตรีเมืองดนีโปร กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งล่าสุดถือเป็นการโจมตีครั้งที่สามที่อาคารของหน่วยงาน SBU ตกเป็นเป้าหมายของรัสเซีย ส่วนอาคารที่อยู่อาศัยที่ถูกขีปนาวุธทำลายนั้นเพิ่งสร้างเสร็จและกำลังปล่อยขายห้องว่าง อย่างไรก็ดี ขณะเกิดเหตุไม่ค่อยมีผู้คนอยู่ด้านในอาคารทั้ง 2 แห่ง

ทั้งนี้ การโจมตีในเมืองดนีโปรมีขึ้นหลังจากที่รัสเซียกล่าวเมื่อวันศุกร์ (28 ก.ค.) ว่าได้ยิงสกัดกั้นขีปนาวุธยูเครนจำนวน 2 ลูก เหนือภูมิภาครอสตอฟทางตอนใต้ซึ่งมีพรมแดนติดกับยูเครน มอสโกกล่าวว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 15 คน จากซากปรักหักพังที่ร่วงลงมาในเมืองท่าทางทาแกนร็อก (Taganrog)

กระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า ขีปนาวุธเอส-200 (S-200) ลูกแรกมีเป้าหมายโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางที่อยู่อาศัยในเมืองทาแกนร็อก ที่มีประชากรประมาณ 250,000 คน หลังจากนั้นไม่นาน มอสโกกล่าวว่า ได้ยิงขีปนาวุธ S-200 ลูกที่สองตกใกล้กับเมืองอซอฟ (Azov) โดยมีเศษชิ้นส่วนตกลงในพื้นที่ที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย

‘เซเลนสกี’ เตรียมพบ ‘โจ ไบเดน’ ขอความช่วยเหลือต่อสู้กับรัสเซีย  เชื่อ!! สหรัฐฯ หนุนต่อ แม้เสียงคัดค้านจาก ‘รีพับลิกัน’ เริ่มหนาหู

เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 66 ที่ทำเนียบขาวของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครนจะเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 78 ที่นครนิวยอร์ก เพื่อพบหารือกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน และเข้าประชุมร่วมกับรัฐสภาสหรัฐฯ

ด้าน นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า การเดินทางเยือนสหรัฐฯ ของผู้นำยูเครนในครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาวิกฤต และประธานาธิบดีไบเดน ยืนยันที่จะให้การสนับสนุนยูเครน ซึ่งกำลังปกป้องเอกราช อธิปไตย และบูรณาภาพแห่งดินแดน จากการรุกรานของรัสเซีย

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีไบเดน กำลังเผชิญกับการคัดค้านสมาชิกรัฐสภาจากพรรครีพับลิกัน ในการจัดส่งความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ยูเครน อีก 13,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และอีก 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในยูเครน

'รัสเซีย' ลั่น!! 'รัสเซีย-ยูเครน' ไม่ได้เป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม เท่ากับศาลอาญาโลกไม่มีสิทธิสั่ง 'มองโกเลีย' รวบ 'ปูติน' ระหว่างการเยือน

(2 ก.ย. 67) นาย ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกของวังเครมลิน กล่าวกับกลุ่มผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า มอสโกไม่กังวลเกี่ยวกับหมายจับของศาลอาญาระหว่างประเทศที่ให้จับกุมนาย วลาดิมีร์ ปูติน  ประธานาธิบดีของรัสเซีย พร้อมเน้นว่าทุกประเด็นปัญหาในความเป็นไปได้ที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเยือนของปูตินจะได้รับการจัดการแยกกันเป็นการล่วงหน้า 

จากการกล่าวหาว่า ประธานาธิบดีรัสเซียได้ทำการบังคับเนรเทศประชาชนอย่างผิดกฎหมายและบังคับขนย้ายประชากร (เด็ก) จากพื้นที่ยึดครองในยูเครน ไปยังสหพันธรัฐรัสเซีย 

นาย ฟาดิ เอล-อับดัลเลาะห์ โฆษกของศาลอาญาระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซีในวันศุกร์ที่ผ่านมาเช่นกันว่า ทุกรัฐที่ลงนามในธรรมนูญกรุงโรม "มีพันธสัญญาที่ต้องให้ความร่วมมือ สอดคล้องกับบทบัญญัติภาค 9 ของธรรมนูญกรุงโรม" ทั้งนี้ ธรรมนูญกรุงโรม เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งศาลแห่งนี้ขึ้นมา และทางมองโกเลียได้ให้สัตยาบันรับรองในปี 2002

"ในกรณีที่ไม่ให้ความร่วมมือ บรรดาผู้พิพากษาของศาลอาญาระหว่างประเทศ อาจดำเนินการตรวจสอบผลกระทบในเรื่องดังกล่าว และแจ้งต่อสมัชชารัฐภาคีแห่งธรรมนูญกรุงโรมในเรื่องนี้ จากนั้นทางสมัชชาฯ จะเป็นคนตัดสินใจใช้มาตรการใดๆ ที่พวกเขาเล็งเห็นว่ามีความเหมาะสม" เอล-อับดัลเลาะห์กล่าว

อย่างไรก็ตาม ธรรมนูญกรุงโรมได้ให้ข้อยกเว้น ครั้งที่การจับกุมใดๆ นั้นเป็นการละเมิดพันธสัญญาในสนธิสัญญาหนึ่งที่ทำไว้กับประเทศอื่น หรือละเมิดเอกสิทธิ์คุ้มกันทางการทูตของบุคคลหรือสินทรัพย์ของประเทศที่ 3

อ้างอิงจากรัฐบาลในกรุงเคียฟ ทางยูเครนได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการ เรียกร้องให้ มองโกเลียทำการจับกุมนายวลาดิมีร์ ปูติน เช่นกัน ทว่าต่อมา ทางโฆษกของวังเครมลินยังคงปฏิเสธคำกล่าวอ้างในการจับกุมดังกล่าวว่าเป็นเรื่องไร้สาระ โดยเน้นว่าการอพยพพลเรือนออกจากพื้นที่สู้รบไม่ใช่อาชญากรรม ยิ่งไปกว่านั้นทั้งรัสเซียและยูเครน ก็ไม่ได้เป็นรัฐภาคีของธรรมนูญกรุงโรม นั่้นหมายความว่าศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีขอบเขตอำนาจในเรื่องนี้

ถอดรหัส ‘ปูติน’ ปฏิเสธพบ ‘เซเลนสกี’ ที่อิสตันบูล เหตุเพราะรัสเซียมองยูเครนเป็น 'รัฐหุ่นเชิด' ของตะวันตก

นับตั้งแต่การรุกรานยูเครนโดยสหพันธรัฐรัสเซียในปี ค.ศ. 2022 เป็นต้นมา กระบวนการเจรจาสันติภาพยังคงไม่สามารถบรรลุผลในระดับสูงสุดได้ หนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญคือการปฏิเสธของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินที่จะพบกับประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน ณ กรุงอิสตันบูลซึ่งเสนอโดยตุรกีในฐานะตัวกลางแต่คำตอบจากมอสโกกลับชัดเจน "ไม่มีเหตุผลที่ต้องพบ" ประธานาธิบดีเซเลนสกีเคยกล่าวไว้ในการให้สัมภาษณ์กับ The Economist ว่า ผมพร้อมเจรจากับปูติน ผมพร้อมมานานสองปีแล้วและผมเชื่อว่า หากไม่เจรจากันเราจะไม่สามารถยุติสงครามนี้ได้ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีปูตินตอบโต้ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียในช่วงปี 2022 ว่า 

“ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกับคนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของวอชิงตัน หากยูเครนอยากเจรจาพวกเขาต้องแสดงให้เห็นก่อนว่ามีอำนาจตัดสินใจเป็นของตนเอง” การปฏิเสธครั้งนั้นไม่เพียงเป็นการปิดประตูเจรจา หากยังเผยให้เห็นภาพใหญ่ของสงครามที่ใหญ่กว่ายูเครน — สงครามเพื่อกำหนดระเบียบโลกใหม่ (global order) สงครามแห่งอัตลักษณ์ (identity war) และสงครามของการรับรองความชอบธรรม (legitimacy war) การตัดสินใจของปูตินไม่ใช่เพียงการคำนวณทางยุทธศาสตร์ในสนามรบ หากยังเป็นคำประกาศเชิงอุดมการณ์ว่า รัสเซียจะไม่ยอมเจรจากับสิ่งที่ตนมองว่าเป็น “รัฐหุ่นเชิด” ของตะวันตก บทความนี้จึงมุ่งวิเคราะห์การปฏิเสธครั้งประวัติศาสตร์ของผู้นำรัสเซียผ่านกรอบภูมิรัฐศาสตร์ อำนาจเชิงสัญลักษณ์และจิตวิทยาผู้นำ พร้อมผนวกบทวิเคราะห์จาก Pyotr Kozlov ผู้สื่อข่าวรุ่นใหญ่แห่ง The Moscow Times ที่ชี้ให้เห็นว่าเครมลินใช้การเจรจาเป็นเพียง 'กลยุทธ์ซื้อเวลา' (playing for time) มากกว่าความตั้งใจจริงในการหาทางออกทางการทูตแล้วเราจะเข้าใจว่า "ไม่พบ" นั้น หมายถึงอะไรที่ลึกซึ้งกว่าคำว่า "ไม่พร้อม"

1) เมื่อวิเคราะห์ด้วยกรอบทางภูมิรัฐศาสตร์จะพบว่ารัสเซียกับยูเครนอยู่บนภูมิรัฐศาสตร์ของความไม่เท่าเทียม รัสเซียไม่มองยูเครนเป็นรัฐอิสระสมบูรณ์ ในสายตาของมอสโกยูเครนไม่ใช่รัฐเอกราชหากเป็น “ดินแดนหลงทาง” ที่เคยอยู่ในครรลองของจักรวรรดิรัสเซียและยังคงถูกผูกโยงกับโครงสร้างอำนาจและอัตลักษณ์เชิงประวัติศาสตร์ของรัสเซียอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แนวคิดนี้ฝังลึกในจิตสำนึกภูมิรัฐศาสตร์ของเครมลิน โดยเฉพาะในยุคของวลาดิมีร์ ปูติน ผู้ซึ่งเคยกล่าวไว้ว่าชาวยูเครนและชาวรัสเซียคือประชาชนชาติเดียวกัน... ยูเครนคือรัฐที่ถูกสร้างขึ้นเทียม ๆ ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเล่น ๆ หากเป็นการกำหนด “ฐานคิด” ทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียที่มองความสัมพันธ์กับยูเครนผ่านกรอบของอารยธรรมร่วม (civilizational unity) มากกว่าจะยอมรับความเป็น “เพื่อนบ้านอธิปไตย” นี่คือรากเหง้าของแนวคิดความไม่เท่าเทียม (asymmetric geopolitics) ที่ทำให้การเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนแทบจะเป็นไปไม่ได้เพราะมันไม่ใช่การพูดคุยระหว่างสองรัฐที่เท่าเทียมกัน แต่เป็นการ “กำหนดชะตา” ของดินแดนที่ถูกเครมลินมองว่ายังอยู่ภายใต้อิทธิพลที่ชอบธรรมของรัสเซีย ในสายตาของปูตินการนั่งเจรจากับเซเลนสกีจึงเป็นเรื่อง “น่าอับอาย” พอ ๆ กับการยอมรับว่ารัสเซียต้องขอความเห็นชอบจากใครสักคนก่อนจะจัดระเบียบ “พื้นที่หลังบ้าน” ของตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการเปิดช่องให้ยอมรับอัตลักษณ์ของยูเครนในฐานะ “ชาติแยกขาด” ซึ่งเป็นสิ่งที่สวนทางกับแนวคิดจักรวรรดิใหม่ของรัสเซียอย่างรุนแรง

ภูมิรัฐศาสตร์ของรัสเซียในศตวรรษที่ 21 ถูกขับเคลื่อนด้วยความพยายามฟื้นฟู “อิทธิพลเหนือพื้นที่หลังโซเวียต” (post-Soviet space) โดยมียูเครนเป็นเสาหลักของอัตลักษณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์นี้ หากยูเครนหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงของรัสเซียไปอย่างสิ้นเชิงและกลายเป็นสมาชิกของ NATO หรือสหภาพยุโรปเมื่อไร—โครงสร้างอำนาจแบบ “โลกหลายขั้ว” ที่รัสเซียพยายามสถาปนาก็จะพังทลายลงในทันที การพบกับเซเลนสกีในฐานะ “ผู้นำที่เท่าเทียม” จึงเท่ากับการรับรองความชอบธรรมของรัฐบาลเคียฟ ซึ่งสวนทางกับกรอบความคิดหลักของรัสเซียว่ารัฐยูเครนปัจจุบันคือ puppet regime หรือรัฐบาลหุ่นเชิด ความลังเลในการยอมรับเซเลนสกีจึงเป็นผลโดยตรงจากกรอบความคิดแบบจักรวรรดินิยมใหม่ (neo-imperialism) ที่ยังฝังรากในอุดมการณ์ของผู้นำรัสเซีย โดยเฉพาะในยุทธศาสตร์ “Russian World” (Russkiy Mir) ซึ่งมองว่าดินแดนยูเครนเป็นพื้นที่ที่ควรถูกดึงกลับเข้าสู่อิทธิพลของมอสโกอีกครั้ง กล่าวโดยสรุป การปฏิเสธของปูตินที่จะนั่งโต๊ะเจรจากับเซเลนสกีจึงไม่ใช่เพียงการปฏิเสธข้อเสนอเพื่อสันติภาพแต่เป็นการยืนยันอย่างแข็งกร้าวว่า รัสเซียไม่เคยและจะไม่ยอมรับว่ายูเครนคือ “รัฐเอกราชที่มีอำนาจเทียบเท่า” หากเป็นเพียงภูมิภาคหนึ่งของโลกที่ต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของจักรวรรดิรัสเซียใหม่เท่านั้น

2) เป็นกลยุทธ์การถ่วงเวลา การไม่พบเพื่อซื้อเวลาและปรับแต้มต่อให้กับทางรัสเซีย ในโลกของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ “การเจรจา” อาจไม่ใช่การเดินหน้าเพื่อหาทางออกแต่อาจเป็น “การถ่วงเวลา” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเกมที่ใหญ่กว่า สำหรับรัสเซียภายใต้การนำของวลาดิมีร์ ปูติน โต๊ะเจรจาไม่ใช่ที่สำหรับสร้างสันติภาพ แต่เป็นสนามประลองเชิงจิตวิทยาที่สามารถใช้เปลี่ยนจังหวะรุกให้เป็นจังหวะตั้งรับ ตั้งรับเพื่อเก็บข้อมูล ตั้งรับเพื่อพักฟื้นยุทธศาสตร์ และตั้งรับเพื่อรุกกลับอย่างทรงพลังในจังหวะถัดไป การปฏิเสธจะพบกับเซเลนสกีในกรุงอิสตันบู ไม่ใช่การปฏิเสธเพราะไร้เหตุผล แต่เป็น “การปฏิเสธเชิงยุทธศาสตร์” ที่มาพร้อมกับการคำนวณอย่างแม่นยำ หากพบกันตอนนี้รัสเซียยังไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะได้เปรียบเพียงพอ ดังนั้นจึงยังไม่ควรเล่นไพ่ใบนี้แนวคิดนี้คือการเล่นกับเวลา (strategic temporality) ซึ่งเป็นกลยุทธ์คลาสสิกในสงครามและการทูตแบบมหาอำนาจ โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งต้องการเปลี่ยน “สภาพแวดล้อมเชิงอำนาจ” (power environment) ให้เป็นประโยชน์ต่อฝั่งตนเองมากขึ้นเสียก่อน เช่น การรอให้อาวุธจากตะวันตกส่งไปถึงยูเครนล่าช้า การสร้างความแตกแยกในกลุ่ม NATO หรือแม้แต่การผลักความเหนื่อยล้าเข้าสู่ฝ่ายประชาชนยูเครนผ่านสงครามที่ยืดเยื้อ กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปูตินอาจไม่ได้ปฏิเสธการเจรจาโดยสิ้นเชิง แต่เขาปฏิเสธ “จังหวะนี้” เพราะยังไม่ใช่เวลาที่เขาได้เปรียบมากพอ 

นี่คือสิ่งที่ Pyotr Kozlov เรียกว่า “the diplomacy of delay” การทูตที่ไม่ได้หวังข้อตกลง แต่หวังให้เวลาทำงานแทน การไม่พบจึงไม่ใช่ความล้มเหลวของการทูต แต่มันคือ “การใช้การทูตเป็นเครื่องมือในการทำสงครามแบบไม่ใช้กระสุน” หรืออีกนัยหนึ่งคือ โต๊ะเจรจากลายเป็นสนามเพาะกล้าแห่งความสับสน ที่จะเบ่งบานเป็นความได้เปรียบในสนามรบ ดังนั้นถ้าเซเลนสกีเรียกร้องให้พบหน้า ปูตินอาจไม่ได้หวั่น แต่เขาจะถามกลับว่า—"ทำไมต้องรีบ? ในเมื่อเวลาทำงานให้รัสเซียอยู่แล้ว"

3) การเมืองภายใน การแสดงถึงความเข้มแข็งของผู้นำกับความชอบธรรมในสายตาประชาชน สำหรับวลาดิมีร์ ปูตินการเมืองระหว่างประเทศไม่เคยแยกขาดจากการเมืองภายในประเทศหากแต่เป็นกระจกสะท้อน “ภาพลักษณ์ของผู้นำ” ที่ต้องแกร่ง แน่น และแน่วแน่ “ไม่มีวันอ่อนข้อ ไม่มีวันอ่อนแอ” โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ระบอบการปกครองของเขากำลังเผชิญความท้าทายจากแรงต้านภายใน ทั้งเศรษฐกิจที่บีบคั้นจากมาตรการคว่ำบาตรและความล้าจากสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเกินกว่าที่โฆษณาชวนเชื่อของรัฐจะกลบได้ทั้งหมด การพบกับเซเลนสกีในโต๊ะเจรจา ณ กรุงอิสตันบูล จึงไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายต่างประเทศแต่คือเกมเดิมพันภาพลักษณ์ของผู้นำสูงสุดที่ต้อง “แข็งกร้าวพอที่จะไม่ต่อรองกับศัตรูที่ด้อยกว่า” ในสายตาของรัฐเครมลิน “ถ้าจะคุยก็ต้องคุยกับวอชิงตัน ไม่ใช่กับหุ่นเชิดในเคียฟ” 

ซึ่งเป็นคำกล่าวไม่เป็นทางการของเจ้าหน้าที่รัสเซียรายหนึ่งที่หลุดออกมาทางสื่อ ซึ่งสะท้อนจุดยืนว่า เซเลนสกีไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะได้ “เกียรติ” มานั่งโต๊ะกับปูตินในจิตสำนึกของระบอบอำนาจนิยมแบบรัสเซีย ความชอบธรรม (legitimacy) ไม่ได้มาจากกระบวนการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่มาจากการ “แสดงให้เห็นว่าผู้นำคือผู้ปกป้องชาติ” โดยไม่ยอมก้มหัวต่อแรงกดดันใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นตะวันตกหรือตัวแทนจากยูเครน เพราะการที่ปูตินจะ “พบหน้า” กับเซเลนสกี หมายถึงการยอมรับอีกฝ่ายว่าอยู่ในสถานะเท่าเทียม และนั่นคือภาพที่อาจทลายความชอบธรรมที่เขาสร้างมาตลอดกว่า 20 ปี ยิ่งไปกว่านั้นในบริบทของรัสเซียหลังปี ค.ศ. 2022 ความเข้มแข็งของปูตินไม่ได้ถูกวัดจากผลลัพธ์ของสงครามเท่านั้นแต่ยังวัดจากท่าทีเชิงสัญลักษณ์ เช่น การปฏิเสธไม่พบ การไม่เดินทางไปเจรจา หรือแม้แต่การปล่อยข่าวลือเรื่องการเจรจาที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เพื่อรักษาอำนาจเชิงวาทกรรมไว้กับเครมลินเพียงฝ่ายเดียว ในโลกของเครมลิน “การไม่พูด” อาจดังกว่า “การพูด” และการ “ไม่พบ” ก็อาจทรงพลังยิ่งกว่าการ “พบแล้วแพ้”

4) รัสเซียมองว่าอิสตันบูลเป็นพื้นที่กึ่งกลางที่ไม่เป็นกลาง ในทางภูมิรัฐศาสตร์ “เมือง” ไม่ได้เป็นเพียงจุดบนแผนที่ หากแต่คือ “สัญลักษณ์” ของอำนาจ วาระ และตำแหน่งทางการเมือง อิสตันบูลเป็นเมืองแห่งสองทวีปและอดีตศูนย์กลางของจักรวรรดิออตโตมัน แม้ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่เจรจาที่ “กึ่งกลาง” ระหว่างตะวันตกกับตะวันออก แต่สำหรับรัสเซียแล้วอิสตันบูลไม่เคยเป็นกลางและไม่เคย “ว่างเปล่าจากความหมายทางอำนาจ” ทำไมปูตินจึงไม่อยากเจรจาในอิสตันบูล? คำตอบอยู่ในประวัติศาสตร์ ความรู้สึกและกลยุทธ์ที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะเจรจา ในสายตาของเครมลินอิสตันบูลคือเวทีของตะวันตกในคราบตะวันออกเป็นพันธมิตร NATO ที่แฝงความไม่ไว้ใจ เป็นประเทศที่แม้จะ “ไม่คว่ำบาตรรัสเซียแบบเปิดหน้า” แต่กลับเปิดประตูให้อาวุธตะวันตกเดินทางเข้าสู่ยูเครนทางอ้อม และที่สำคัญคือ ผู้ที่สนับสนุน Bayraktar TB2 โดรนรบที่ยูเครนใช้โจมตีเป้าหมายของรัสเซีย อย่างได้ผลในช่วงต้นสงคราม นอกจากนี้ตุรกีเองก็เล่นเกมสองหน้าในแบบ “เออร์โดกันสไตล์” ที่พร้อมจะเจรจากับทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์เชิงยุทธศาสตร์ของตน ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงธัญพืชยูเครน (Black Sea Grain Deal) หรือการเสนอเป็นคนกลางในการปล่อยเชลยศึก 

ซึ่งรัสเซียมองว่าตุรกีไม่ได้เป็นกลาง แต่คือผู้หวังผลจากการสวมบทกลาง “To sit in Istanbul is to play Erdogan’s game.” นี่คือคำพูดที่นักวิเคราะห์การเมืองรัสเซียคนหนึ่งกล่าวไว้แบบตรงไปตรงมา อิสตันบูลจึงกลายเป็น “พื้นที่ที่ดูเหมือนกลาง แต่ไม่เคยกลางจริง” เป็นเหมือนสนามแข่งขันที่วางกับระเบิดทางการเมืองไว้ใต้โต๊ะ สำหรับปูตินการเลือกสถานที่เจรจาคือการเลือก “สัญญะของอำนาจ” และเขาไม่มีวันยอมเสียแต้มด้วยการไปปรากฏตัวในสถานที่ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็น “สนามของอีกฝ่าย” ไม่ว่าจะโดยภาพถ่าย การแถลงข่าว หรือข่าวกรองที่เล็ดลอดออกมา เพราะแค่ปรากฏตัวก็อาจตีความได้ว่าอ่อนข้ และในสงครามที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรีชาติ เรื่องแบบนี้คือสิ่งที่เครมลินรับไม่ได้ อิสตันบูลจึงไม่ใช่พื้นที่แห่งความหวังในสายตาของรัสเซีย แต่มันคือเวทีที่ “ข้างหนึ่งหวังจะเจรจา ขณะที่อีกฝ่ายหวังจะซื้อเวลา” และนั่นทำให้โต๊ะเจรจาไม่มีวันเกิดขึ้นจริงแม้จะปูพรมไว้พร้อมแล้วก็ตาม

5) สงครามที่ใหญ่กว่ายูเครน การประลองเชิงอารยธรรมและโครงสร้างโลก สงครามในยูเครนไม่ใช่แค่การยึดดินแดน ไม่ใช่แค่การแย่งเมือง ไม่ใช่แค่สงคราม “ชายแดน” แต่มันคือสงคราม “ชายขอบของระเบียบโลก” สงครามที่เปิดฉากขึ้นเพื่อท้าทายโครงสร้างโลกเสรีนิยมตะวันตกที่ปกครองโลกมานับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามเย็น ในมุมมองของเครมลิน ยูเครนไม่ใช่เพียงประเทศเพื่อนบ้าน แต่คือ “แนวหน้า” ของสงครามอารยธรรม  การต่อสู้ระหว่างอารยธรรมรัสเซียแบบยูเรเชีย (Eurasianism) กับอารยธรรมตะวันตกแบบแองโกล-แซกซัน การเมืองของวลาดิมีร์ ปูตินไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์แห่งรัฐ แต่คือการฟื้นฟู “อารยธรรมรัสเซีย” ที่เขาเชื่อว่าตะวันตกพยายามจะบดขยี้ให้เหลือเพียงรอยจารึกในพิพิธภัณฑ์ “ยูเครนไม่ใช่เป้าหมายสุดท้าย แต่คือเวทีแรกของการรบที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น” เป็นวาทกรรมที่สะท้อนออกมาจากทั้งสื่อรัฐและนักคิดสายภูมิรัฐศาสตร์ในรัสเซียอย่างชัดเจน การปฏิเสธที่จะพบกับเซเลนสกีจึงไม่ใช่แค่การดูแคลนเชิงบุคคลหรือการชะลอการเจรจาแต่มันคือการปฏิเสธที่จะ “ลดสงครามเชิงอารยธรรม” ให้กลายเป็นแค่ข้อพิพาทระดับทวิภาคีเพราะในสายตาของปูตินและวงการนโยบายรัสเซีย ยูเครนไม่ใช่ผู้เล่นที่แท้จริงแต่อเมริกาต่างหากคือศัตรูที่เขากำลังประจันหน้า และในเกมระดับนี้การนั่งโต๊ะกับเซเลนสกีเท่ากับลดระดับการต่อสู้ครั้งนี้ลงเป็นแค่ “ความขัดแย้งชายแดน” เท่านั้น 

ขณะเดียวกันโลกก็กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของระเบียบอำนาจ — จากโลกแบบขั้วเดียว (unipolarity) ที่อเมริกาครองอำนาจนำมาเป็นโลกแบบหลายขั้ว (multipolarity) ที่จีน รัสเซีย อินเดีย อิหร่า และกลุ่มประเทศโลกใต้เริ่มโผล่หัวขึ้นมาเรียกร้อง “อธิปไตยเชิงอารยธรรม” ของตนเอง รัสเซียไม่ใช่แค่พยายามเอาชนะยูเครน แต่กำลังขยับบทบาทตนในฐานะ “ทัพหน้าแห่งการต่อต้านโลกาภิวัตน์แบบตะวันตก”ดังนั้นโต๊ะเจรจาที่มีแค่เซเลนสกีจึงไม่ใหญ่พอสำหรับปูติน และไม่เพียงพอสำหรับ “โครงการฟื้นฟูรัสเซียในฐานะขั้วอำนาจโลก” ที่เขาหวังจะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ สงครามนี้จึงไม่ได้เกี่ยวกับแผนที่ แต่เกี่ยวกับแบบแผนโลกไม่ใช่แค่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่อง “ความหมายของการมีอยู่” ของอารยธรรมตะวันออกท่ามกลางโลกที่ตะวันตกเขียนบทมาตลอดศตวรรษ

ปีเตอร์ โคซลอฟ (Pyotr Kozlov) นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสแห่งหนังสือพิมพ์ The Moscow Times ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่าไม่ได้มองการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนว่าเป็นความพยายามทางสันติภาพอย่างแท้จริง หากแต่เขาขยี้ให้เห็นชัดว่านี่คือ “สงครามอีกรูปแบบหนึ่งที่เงียบกว่า แต่อันตรายไม่แพ้สนามรบจริง” โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายรัสเซียเป็นผู้ถือไพ่ในเกมนี้ Kozlov ชี้ว่าตั้งแต่ต้นสงครามรัสเซียไม่เคยตั้งใจเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้งอย่างแท้จริงแต่กลับใช้ “การเจรจา” เป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจของฝ่ายตะวันตกและเป็นการซื้อเวลาให้กับกองทัพในการจัดระเบียบยุทธศาสตร์ใหม่ อีกทั้งยังใช้โต๊ะเจรจาเป็นพื้นที่ปฏิบัติการเชิงจิตวิทยาเพื่อปลูกฝังความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ยูเครนและชาติตะวันตกตายใจ 

สำหรับเครมลิน การเจรจาไม่เคยเป็นของจริง มันคือฉากบังหน้าเพื่อเบี่ยงแรงกดดันในขณะที่รัสเซียปรับยุทธศาสตร์ใหม่ การทูตที่แท้จริงได้ตายไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการแสดงสำหรับผู้ชมจากต่างประเทศ เขายังชี้ว่าเหตุผลที่ปูตินปฏิเสธจะพบเซเลนสกีไม่ใช่เพราะไม่สามารถพูดคุยกันได้ แต่เป็นเพราะ “การไม่พบ” นั้นทรงพลังกว่า “การพบ” หลายเท่า เพราะมันทำให้ยูเครนตกอยู่ในภาวะคลุมเครือ (strategic ambiguity) ไม่สามารถวางแผนระยะยาวได้ และบั่นทอนความชอบธรรมของเซเลนสกีในฐานะผู้นำที่มีสิทธิเจรจาโดยตรงกับรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้น Kozlov ยังชี้ให้เห็นว่า เครมลินไม่ได้มองเซเลนสกีในฐานะ “คู่เจรจา” แต่เป็นเพียง “ตัวแทน” ของตะวันตกเท่านั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่ปูตินจะต้องลดตัวลงไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับผู้นำที่ถูกมองว่า “ไร้อำนาจตัดสินใจจริง” ในสายตาของมอสโก สิ่งที่ชัดเจนในบทวิเคราะห์ของโคซลอฟคือภาพของ “โต๊ะเจรจา” ในบริบทของรัสเซีย คือสนามที่รบด้วยถ้อยคำ บิดเบือนด้วยเวลา และสั่นคลอนด้วยการเล่นกับความหวังของฝ่ายตรงข้าม ยิ่งเครมลินลากเกมออกไปนานเท่าไร พันธมิตรของยูเครนก็จะเริ่มเหนื่อยล้า แตกแถว และหมดความอดทน นี่คือสงครามแห่งความอึดและจิตวิทยา ที่ปูตินรู้ดีว่าตนได้เปรียบในเกมยืดเยื้อ

บทสรุป การที่วลาดิมีร์ ปูตินปฏิเสธที่จะพบกับโวโลดีมีร์ เซเลนสกีในอิสตันบูลไม่ใช่การปฏิเสธเจรจาเฉพาะหน้า แต่คือการปฏิเสธ 'กรอบการรับรู้' ที่ตะวันตกพยายามจะวาดภาพสงครามให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองรัฐ ทว่าในมุมมองของรัสเซียมันคือศึกชี้ชะตาแห่งอารยธรรมการต่อสู้เพื่อยึดคืนสมดุลของโลกที่เปลี่ยนผ่านไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ภายใต้ฉากหน้าของการทูต ยังมีเกมที่ใหญ่กว่า การซื้อเวลา การกำหนดพื้นที่ต่อรองและการรักษาภาพผู้นำล้วนเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มองเกินกว่ายูเครน มองทะลุไปถึงความพยายามในการจัดระเบียบโลกใหม่ที่ไม่ขึ้นกับอำนาจตะวันตก โต๊ะเจรจาในอิสตันบูลจึงไม่ใช่จุดหมายแต่มันเป็น “สนามทดลอง” ที่รัสเซียเลือกจะเดินหนีเพื่อไปยังสมรภูมิอื่นที่เดิมพันสูงกว่าและหากความขัดแย้งครั้งนี้คือสงครามเพื่ออารยธรรมการเจรจากับผู้นำที่รัสเซียไม่ยอมรับความชอบธรรมก็ย่อมไม่ต่างจากการประกาศยอมแพ้โดยไม่จำเป็น สงครามในยูเครนจึงยังไม่จบ ไม่ใช่เพราะขาดข้อตกลงแต่เพราะขาด 'ความเข้าใจร่วม' ว่าเรากำลังต่อสู้อยู่ในสงครามแบบไหนและเพื่ออะไร

ปูตินเดือด! ยูเครนถล่มสนามบินรัสเซีย ประกาศ ‘ไม่มีเส้นแดงอีกต่อไป’ ขู่ตอบโต้เต็มรูปแบบ

(2 มิ.ย. 68) ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ประกาศว่า “ไม่มีเส้นแดงอีกต่อไป” หลังจากยูเครนโจมตีสนามบินของรัสเซียเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2025 โดยปูตินกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าไม่มีทางออกที่สงบสุขที่เป็นไปได้ อีกต่อไป และยูเครนจะต้องเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป

หลังจากแถลงการณ์ของปูตินไม่นาน กระทรวงกลาโหมรัสเซียรายงานว่า ได้ยิงขีปนาวุธอิสกันเดอร์ (Iskander) เข้าใส่ค่ายฝึกอบรมของกองทัพยูเครนในพื้นที่โดนีโปรเปตรอฟสค์ ส่งผลให้มีทหารยูเครนเสียชีวิตอย่างน้อย 12 นาย และบาดเจ็บกว่า 60 นาย

ขณะเดียวกัน สหรัฐอเมริกาได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้รับข้อมูลล่วงหน้าเกี่ยวกับการโจมตีของยูเครนต่อสนามบินรัสเซีย โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ยูเครนไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงแผนการดังกล่าว

ทั้งนี้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และอาจส่งผลกระทบต่อการเจรจาสันติภาพที่กำลังจะมีขึ้นในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top