Friday, 6 June 2025
ยูเครน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย นางมาเรีย ซัคคาโรว่า แถลงเซเลนสกี้ พูดถึงเงื่อนไขการหยุดยิง 30 วัน โดยต้องเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม จึงจะคุยเรื่องการเจรจาสันติภาพ ว่ามันเข้าใจไขว้เขว

(12 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย นางมาเรีย ซัคคาโรว่า แถลงเซเลนสกี้ พูดถึงเงื่อนไขการหยุดยิง 30 วัน โดยต้องเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม จึงจะคุยเรื่องการเจรจาสันติภาพ ว่ามันเข้าใจไขว้เขว

เธอแถลงว่า ปธน.ปูติน ประกาศออกสาธารณะอย่างชัดเจน เรื่องนัดให้มาเจรจาสันติภาพวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ที่อิสตันบูล เพื่อถกรากเหง้าของความขัดแย้ง จนเป็นสงครามในปัจจุบันเสียก่อน ค่อยพูดถึงการตกลงหยุดยิง

ด้านเซเลนสกี้ทวีตในเอ็กซ์ ว่าจะไปรอคุยกับปูตินที่ตุรเกีย แต่ทางการตุรเกียแถลงว่ายังไม่ได้รับการติดต่อใดๆจากยูเครนเลย (สรุปมันยังใช้ลีลานักแสดงตลก แต่มุกไม่เวิร์ค)

บทวิเคราะห์พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 กับพลวัตด้านอาวุธของ ‘รัสเซีย’ สะท้อน!! การเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ ในการต่อสู้ การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

(12 พ.ค. 68) พิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 ที่จัดขึ้นในกรุงมอสโกเป็นเวทีที่สะท้อนภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารของรัสเซียหลังจากที่เผชิญกับสงครามยูเครนมาเกือบสองปี อาวุธและขีปนาวุธในขบวนของปีนี้มีจำนวนที่น้อยลงกว่าเดิม ทำให้หลายฝ่ายเริ่มตั้งคำถามว่า “รัสเซียอาวุธหมดแล้วหรือ?” ท่าทีนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงทางทหารของรัสเซียแต่ยังสะท้อนยุทธศาสตร์การรับรู้ (perception management) ที่เครมลินอาจตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความกดดันจากภายนอกและภายในประเทศ

หนึ่งในสัญญาณที่เห็นได้ชัดในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 คือการลดลงของการปรากฏตัวของอาวุธหนักที่เคยมีความโดดเด่นในขบวนสวนสนามปีที่ผ่านๆมา จากที่เคยเต็มไปด้วยรถถัง T-90, T-14 Armata, และขีปนาวุธ Iskander ปีนี้กลับถูกแทนที่ด้วยการเลือกไม่แสดงอาวุธหนักอย่างชัดเจน ซึ่งไม่เพียงแต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ แต่ยังทำให้เกิดคำถามถึงสภาพจริงของอำนาจทางทหารของรัสเซียในปัจจุบัน ทรัพยากรทหารที่จำกัดได้กลายมาเป็นปัญหาหลักที่รัสเซียต้องเผชิญ สงครามในยูเครนทำให้การใช้กำลังรบที่มีอยู่ต้องถูกนำไปใช้ในแนวหน้าอย่างต่อเนื่องและไม่มีหยุดพักทำให้การนำอาวุธหนักที่อาจมีความสำคัญสูงออกมาจัดแสดงในพิธีสวนสนามไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสมในช่วงเวลานี้
ในขณะเดียวกันแนวทางการสงวนพลัง (Resource Allocation) ก็เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน รัสเซียไม่สามารถเสี่ยงส่งทรัพยากรทางทหารที่มีจำกัดออกมาให้เห็นเพียงเพื่อโชว์ในพิธีการ เมื่อการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นในยุทธศาสตร์ “การยืดเยื้อ” และการต่อสู้ระยะยาวต้องได้รับการจัดลำดับความสำคัญใหม่ การแสดงอาวุธหนักที่น้อยลงในปีนี้จึงไม่ใช่แค่การขาดแคลนอาวุธ แต่สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะแสดงให้เห็นถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่าและการวางแผนระยะยาวที่จะไม่สูญเสียทรัพยากรไปอย่างเปล่าประโยชน์

ดังนั้นการที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงขีปนาวุธรุ่นใหม่หรืออาวุธหนักในพิธีสวนสนาม Victory Parade 2025 จึงเป็นกลยุทธ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนที่รัสเซียเลือกใช้เพื่อควบคุมการรับรู้ (perception management) ทั้งในและนอกประเทศ รัสเซียเลือกใช้วิธีนี้เป็นเครื่องมือทางการทูตและการทหารที่มีความลึกซึ้งมากกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็นซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องโอ้อวดหรือแสดงออกทางทหารในขณะที่ยังคงมีความสามารถในการต่อสู้ โดยสามารถวิเคราะห์กลยุทธ์ดังกล่าวของรัสเซียได้ดังนี้

1) การจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศ 
การที่รัสเซียเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 เป็นการจัดการภาพลักษณ์ระหว่างประเทศที่แยบยล ในสถานการณ์ที่ถูกคว่ำบาตรหนักและเผชิญกับสงครามยืดเยื้อรัสเซียต้องการส่งสัญญาณว่าสามารถดำเนินสงครามได้โดยไม่ต้องโอ้อวดพลังทหาร การไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของคู่แข่งโดยเฉพาะประเทศตะวันตก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังเกี่ยวกับศักยภาพทางทหารที่ซ่อนเร้นของรัสเซีย การไม่แสดงพลังทหารยังเป็นการส่งสัญญาณไม่ต้องการยั่วยุซึ่งเป็นการเพิ่มความตึงเครียดในสงคราม และยังสะท้อนถึงการรักษาความสงบภายในประเทศโดยไม่ทำให้ประชาชนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สงคราม ขณะเดียวกันรัสเซียยังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงซึ่งช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือในการควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามยังอาจสะท้อนถึงการส่งสัญญาณความพร้อมในการเจรจาโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาผ่านการเจรจายังคงเป็นทางเลือกที่เปิดกว้างซึ่งช่วยลดความตึงเครียดและเพิ่มโอกาสในการหาทางออกทางการทูต

2) สัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ต่อฝ่ายตะวันตก 
ในด้านการทูตการเลือกที่จะ “เงียบ” ในการแสดงพลังทหา อาจเป็นกลยุทธ์การส่งสัญญาณไปยังฝ่ายตะวันตกและพันธมิตรว่า รัสเซีย ไม่จำเป็นต้องแสดงขีดความสามารถทหารในที่สาธารณะ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกถึงความ “เบาบาง” หรือ “สงบ” ในสถานการณ์แม้ว่าภายในจริงๆ แล้วอาจมีการเตรียมพร้อมในรูปแบบอื่นๆ อย่างลับๆ หรือไม่แสดงออกให้เห็นโดยตรง

3) การสะท้อนอำนาจที่ไม่จำเป็นต้องถูกแสดงออก
รัสเซียอาจต้องการส่งข้อความไปยังประเทศที่ไม่เป็นมิตรว่า “เราไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธเพื่อแสดงพลัง” หรือแม้กระทั่งการใช้ "ความเงียบ" ในการแสดงให้เห็นว่า “เรายังคงมีกลยุทธ์และความสามารถที่แฝงตัวอยู่” การเลือกที่จะไม่แสดงออกอาจเป็นการทำให้โลกเห็นว่ารัสเซียไม่ต้องการการยั่วยุหรือไม่ต้องการให้ทุกฝ่ายเห็นความสามารถที่แท้จริงของตนในสนามรบ

4) การสร้างอารมณ์ในประเทศ
ในมุมมองภายในประเทศการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามอาจเป็นการส่งสัญญาณให้ประชาชนรับรู้ถึงความมั่นคงว่ารัสเซียไม่จำเป็นต้องแสดงอาวุธหนักเพื่อพิสูจน์ความแข็งแกร่งและการสงวนพลังนั้นเป็นการเตรียมพร้อมในระยะยาว แม้ในเวลาที่มีการท้าทายจากต่างประเทศการแสดงความมั่นใจโดยไม่ต้องแสดงพลังทหารสามารถทำให้ประชาชนรู้สึกถึงการควบคุมสถานการณ์และไม่จำเป็นต้องเกิดความวิตกกังวล

5) ความหมายของการสงวนพลังในระยะยาว
การเลือกที่จะ “เงียบ” และไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามนั้นอาจสะท้อนถึงความคิดที่ว่ารัสเซียกำลังมองไปข้างหน้าในสงครามระยะยาวที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความเข้มแข็งเพียงแค่ในวันนั้น ๆ แต่ต้องมีการจัดการทรัพยากรอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อไปในสนามรบในอีกหลายปีข้างหน้า ดังนั้น การแสดง “ความเงียบ” จึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้พลังอย่างมีกลยุทธ์ในอนาคต

นักวิชาการรัสเซียมองว่าการไม่แสดงอาวุธหนักในพิธีสวนสนามเป็นการดำเนินกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงกับการรักษาภาพลักษณ์ทางการทูตและการทหารในระดับโลก แม้รัสเซียจะเผชิญกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการทูตแต่การจัดแสดงอาวุธในระดับใหญ่จะไม่สอดคล้องกับเป้าหมายในยุทธศาสตร์การรักษาความมั่นคงภายในและการคงสถานะของประเทศในเวทีการทูต เช่นเดียวกับการหลีกเลี่ยงการยั่วยุฝ่ายตะวันตก ในทัศนะของ ดร. เซอร์เกย์ คารากานอฟ (Sergey Karaganov) นักวิชาการด้านการทูตและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัสเซียมองว่าการที่รัสเซียไม่แสดงอาวุธหนักเป็นการบ่งบอกถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์และไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามมองเห็นจุดอ่อนในพลังทหารของรัสเซีย ในขณะที่อเล็กซานเดอร์ ดูกิน (Alexander Dugin) ได้อธิบายถึงการใช้ความสงบในพิธีสวนสนามเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่รัสเซียสามารถควบคุมสถานการณ์และดำเนินการสงครามได้ในลักษณะที่ไม่ต้องแสดงพลังทหารอย่างโจ่งแจ้ง การที่รัสเซียไม่แสดงขีปนาวุธหรือรถถังที่มีชื่อเสียงในพิธีสวนสนามเป็นการส่งสัญญาณให้ฝ่ายตะวันตกว่า รัสเซียไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถทางทหารทั้งหมด การเลือกใช้การสงวนพลัง (power preservation) ถือเป็นกลยุทธ์ที่รัสเซียใช้เพื่อไม่ให้คู่แข่งสามารถคาดเดาทิศทางของรัสเซียได้

สื่อมวลชนฝั่งรัสเซียเช่น RT และ Sputnik News ได้เสนอบทวิเคราะห์ที่สนับสนุนการตัดสินใจไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 โดยให้เหตุผลว่าการแสดงออกเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางการทูตที่มุ่งเน้นการลดความตึงเครียดระหว่างประเทศ และส่งสัญญาณว่าแม้รัสเซียจะเผชิญกับสงครามในยูเครน แต่รัสเซียยังคงมีอำนาจทางทหารที่ไม่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง การเลือกที่จะสงวนอาวุธหนักทำให้รัสเซียสามารถรักษาภาพลักษณ์ของความสงบและความมั่นคงได้ในขณะที่ยังคงรักษาความแข็งแกร่งในด้านการทหาร ในขณะที่ Izvestia ได้รายงานเกี่ยวกับการที่รัสเซียยังคงสามารถผลิตอาวุธและใช้เทคโนโลยีทหารที่ทันสมัย เช่น โดรน และ สงครามไซเบอร์ โดยไม่ต้องแสดงอาวุธหนักในการแสดงในที่สาธารณะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ "สงครามรูปแบบใหม่" ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการแสดงพลังทหารในสนามรบแบบเดิม ๆ การแสดงในพิธีสวนสนามเป็นเพียงแค่การแสดงออกทางการเมืองที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกับความสามารถจริงในสนามรบ

อย่างไรก็ตามมุมมองจากฝั่งตะวันตกมองว่ารัสเซียอาจกำลังเผชิญกับการขาดแคลนอาวุธระยะยาว เช่น ขีปนาวุธที่มีระยะยิงไกลและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่สามารถเข้าถึงเป้าหมายในระยะไกลได้ องค์กรInternational Institute for Strategic Studies (IISS) หรือ The Economist ได้ชี้ว่า รัสเซียประสบปัญหาในการผลิตกระสุนและอาวุธบางประเภทที่ใช้ในการสงคราม เช่น กระสุนหนักสำหรับปืนใหญ่และอาวุธปล่อยที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ซึ่งมีผลมาจากการคว่ำบาตรจากตะวันตกและการขาดแคลนเทคโนโลยีที่ทันสมัย รัสเซียต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากพันธมิตรเช่น จีนและอิหร่านเพื่อเติมเต็มช่องว่างในส่วนนี้ อย่างไรก็ตามปัญหานี้ยังคงเป็นอุปสรรคที่สำคัญในการดำเนินสงครามอย่างยั่งยืน นักวิชาการบางคนมองว่าการที่รัสเซียไม่มีอาวุธเหล่านี้ในมือเทียบเท่ากับในอดีตอาจเป็นสัญญาณของการที่ประเทศกำลังสูญเสียความสามารถในการขยายสงครามไปยังพื้นที่อื่น ๆ และมุ่งเน้นการต่อสู้ภายในยูเครนเท่านั้น นักวิเคราะห์จากฝ่ายตะวันตกยังชี้ว่าการคว่ำบาตรจากตะวันตกได้จำกัดการเข้าถึงชิ้นส่วนและวัสดุที่จำเป็นในการผลิตอาวุธขั้นสูงอาทิ ชิปเซ็ต เทคโนโลยีการผลิตมิสไซล์หรืออุปกรณ์การผลิตที่ล้ำสมัยซึ่งจำกัดความสามารถของรัสเซียในการผลิตอาวุธที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทสรุป การเลือกที่จะไม่แสดงอาวุธหนักใน Victory Parade 2025 ไม่เพียงแค่เป็นกลยุทธ์ทางการทูตเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของรัสเซียในเวทีโลก แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงการควบคุมการรับรู้ของฝ่ายตรงข้าม การไม่ยั่วยุ และการสร้างความมั่นคงภายในประเทศ โดยทั้งนักวิชาการและสื่อรัสเซียมองว่า การแสดงพลังทหารในที่สาธารณะอาจไม่จำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบันที่การจัดการกับวิกฤติโดยไม่แสดงพลังทางทหารให้เห็นนั้นเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสม

ทูตสหรัฐฯ ยืนยัน การเจรจาสันติภาพ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ ต้องได้รับ ‘ไฟเขียว’ จากปูติน ระบุหากไม่มีความคืบหน้า สหรัฐฯ พร้อมถอนตัว จากความพยายามไกล่เกลี่ย

(13 พ.ค. 68) สตีฟ วิตคอฟฟ์ (Steve Witkoff) ทูตพิเศษของสหรัฐฯ ระบุว่า ความเห็นชอบจากประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน เป็นเงื่อนไขสำคัญของการบรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยย้ำชัดว่า “จะไม่มีข้อตกลงใดเกิดขึ้น หากไม่มีลายเซ็นของปูติน”

ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อ Breitbart เมื่อวันอังคาร วิตคอฟฟ์กล่าวว่าเขาได้พูดคุยกับทั้งประธานาธิบดีปูติน ประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากทั้งสองฝ่าย พร้อมชี้ว่า “เขาเป็นผู้นำของสหพันธรัฐรัสเซีย การไม่พูดคุยกับปูตินจึงเป็นตรรกะที่ไม่เข้าใจ เราต้องเปิดโต๊ะเจรจากับทุกฝ่าย”

วิตคอฟฟ์ยังเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ได้กำหนดเส้นตายที่ชัดเจน หากไม่มีความคืบหน้าที่แท้จริงในการเจรจา สหรัฐฯ จะถอนตัวออกจากกระบวนการทั้งหมด โดยเน้นว่าหน้าที่หลักของสหรัฐฯ คือการผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายมาเจรจา และแสดงให้เห็นว่าทางเลือกอื่นจะเลวร้ายกว่าการประนีประนอม

ทั้งนี้ การออกมาแสดงจุดยืนครั้งนี้สะท้อนถึงท่าทีจริงจังของฝ่ายสหรัฐฯ ต่อการหาทางยุติสงครามยูเครน ซึ่งยังคงยืดเยื้อมานานกว่า 2 ปี โดยความร่วมมือหรือการยอมรับจากรัสเซียถือเป็นปัจจัยชี้ขาดในกระบวนการสันติภาพที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

‘ปูติน-ทรัมป์’ ไม่ร่วมวงเจรจาสันติภาพที่อิสตันบูล ทิ้ง ‘เซเลนสกี’ ผู้นำยูเครนผิดหวัง…มองรัสเซียไม่จริงใจ

(16 พ.ค. 68) แผนการเจรจาสันติภาพระหว่างผู้นำยูเครนและรัสเซียในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันพฤหัสบดีต้องล่มไม่เป็นท่า หลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม แม้ก่อนหน้านี้ปูตินเคยส่งสัญญาณว่า “พร้อมเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไข” ขณะที่ทรัมป์กดดันให้ยูเครนเข้าร่วมการพูดคุยทันที

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนระบุว่าเขาจะยินดีเข้าร่วมก็ต่อเมื่อผู้นำรัสเซียเข้าร่วมด้วยตนเอง แต่สุดท้ายรายชื่อของปูตินไม่ปรากฏในคณะผู้แทนของรัสเซีย โดยมีเพียงวลาดิมีร์ เมดินสกี ผู้ช่วยประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับรองของกระทรวงกลาโหมและการต่างประเทศ

เซเลนสกี แสดงความผิดหวังพร้อมกับเผยว่า ระดับของคณะผู้แทนรัสเซียสะท้อนว่ามอสโกว์ยังไม่จริงใจ และตั้งคำถามถึงอำนาจในการตัดสินใจของตัวแทนดังกล่าว “เราทุกคนรู้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจในรัสเซีย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าคณะผู้แทนของยูเครนประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร และที่ปรึกษาประธานาธิบดี

ด้านสหรัฐฯ ส่งตัวแทนระดับสูง ได้แก่ สตีฟ วิตคอฟ, คีธ เคลล็อก และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ เข้าร่วมการเจรจาแทนทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้โพสต์เรียกร้องให้ยูเครน “มีการเจรจาเดี๋ยวนี้” เพื่อให้รู้แน่ชัดว่า ข้อตกลงสันติภาพเป็นไปได้หรือไม่ และให้ชาติตะวันตกเตรียมรับมือในทุกกรณี

ชาวยูเครนวัย 21 ส่อถูกตั้งข้อหาหนัก วางเพลิงบ้านเก่า ‘สตาร์เมอร์’ นายกฯ เมืองผู้ดี

(16 พ.ค. 68) ตำรวจนครบาลลอนดอนเผยว่า โรมัน ลาฟรินโนวิช (Roman Lavrynovych) สัญชาติยูเครน อายุ 21 ปี ถูกตั้งข้อหาวางเพลิงโดยมีเจตนาเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยหนึ่งในเหตุการณ์คือการจุดไฟเผาประตูหน้าบ้านหลังเก่าของนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ (Sir Keir Starmer) ในย่านเคาน์เตสโรด ทางเหนือของกรุงลอนดอน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

บ้านหลังดังกล่าวเป็นที่พักอาศัยของนายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์มานานเกือบ 20 ปี ก่อนย้ายไปยังบ้านพักนายกฯ ที่ดาวน์นิงสตรีท ปัจจุบันเขาให้เช่าบ้านหลังนี้ ขณะที่ตำรวจระบุว่า ลาฟรินโนวิชยังเชื่อมโยงกับเหตุวางเพลิงอีก 2 จุด ได้แก่ เหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ในวันที่ 8 พ.ค. และอาคารพักอาศัยอีกแห่งในวันที่ 12 พ.ค.

ตำรวจหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายเข้าร่วมสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหายมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลสาธารณะระดับสูง โดยลาฟรินโนวิชถูกจับกุมเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม และยังคงถูกควบคุมตัวระหว่างรอการพิจารณาคดี

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากเชื่อว่าเหตุวางเพลิงทั้ง 3 ครั้งอาจมีเป้าหมายมุ่งร้ายต่อบุคคลสำคัญของประเทศอย่างชัดเจน

‘ทหารรัสเซีย’ ยืนยัน!! พวกเขาพร้อมที่จะลุย จนกว่าจะปลดปล่อย ดินแดนรัสเซียได้สำเร็จ

(18 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

รายงานผลสำรวจความเห็นของทหารรัสเซียเกี่ยวกับแนวคิดการหยุดยิง

ทหารรัสเซียยืนยันว่าพวกเขาพร้อมที่จะสู้จนกว่าจะปลดปล่อยดินแดนรัสเซียได้สำเร็จ
จากการสอบถามทหารรัสเซียทั้งหมด 11 นาย ทั้งหมดปฏิเสธข้อเสนอของยูเครนและชาติตะวันตกในการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข

“เราต้องการยึดครองทุกพื้นที่ เพื่อที่ในอนาคตเราจะไม่ต้องต่อสู้เพื่อพวกมันอีก ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกคนเหล่านี้จะต้องตายไปเปล่าๆ ใช่ไหม” ทหารคนหนึ่งชื่อเซอร์เกย์บอกกับหนังสือพิมพ์

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่าคณะผู้แทนที่เจรจาในนามของประธานาธิบดีรัสเซียได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อยูเครนให้ออกจาก 4 ภูมิภาคซึ่งตามรัฐธรรมนูญระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐรัสเซียแล้ว

อย่าให้แผ่นดินนี้กลายเป็นยูเครนหรือไต้หวัน บทเรียนจากสงครามและการต่อรองที่ต้องจดจำ

(19 พ.ค. 68) ช่วงนี้โลกเรามันก็วุ่นวายเหลือเกินนะ แค่เปิดทีวีหรือเข้าโซเชียลก็เจอแต่ข่าวสงคราม ความขัดแย้ง และความสูญเสีย ดูอย่างยูเครนสิ เมื่อก่อนก็เป็นประเทศที่เต็มไปด้วยความหวังและความฝัน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นซากปรักหักพัง ชีวิตผู้คนถูกทำลาย ทรัพย์สินโดนยึดไปอย่างน่าสลดใจ

เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ออกมาพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “สหรัฐฯ และยุโรปเก็บเกี่ยวยูเครนมาเป็นเวลาสามปี เหมือนกับต้นหอม” คำพูดนี้มันสะท้อนถึงความจริงที่โหดร้ายสุด ๆ ที่ยูเครนต้องเผชิญ ถูกใช้เหมือนเครื่องมือ พอหมดประโยชน์ก็ถูกทิ้งแบบไม่ใยดี

ตอนนี้คนยูเครนต้องเดินเท้า 5 กิโลเมตรเพื่อหาน้ำดื่ม ในเมืองคาร์คิฟ โรงไฟฟ้าถูกทำลายไป 65% เหลือแต่ซาก กองทัพก็กลายเป็นทาสหนี้ให้กับพ่อค้าอาวุธจากสหรัฐฯ คนละ 150,000 ดอลลาร์ นี่มันราคาของ ‘พันธมิตร’ หรือ ‘ทาสยุคใหม่’ กันแน่?

ที่เจ็บแสบที่สุดคือ ข้อตกลงแร่ธาตุที่สหรัฐฯ ผลักดันให้ยูเครนเปิดพื้นที่เหมืองแร่หายาก 18 แห่ง เพื่อแลกกับการล้างหนี้ แต่สหรัฐฯ ไม่คิดช่วยเหลือทางทหารสักเหรียญเดียว! คือแบบนี้มันแฟร์เหรอ? เหมือนมัดมือชกกันชัด ๆ

ที่สหภาพยุโรปก็ไม่ต่างกันเลย พวกเขาจัดให้ “ปัญหาความมั่นคงของยูเครน” อยู่อันดับที่ 27 ในการประชุมที่บรัสเซลส์ รองจากการปรับปรุงอาหารกลางวันในโรงเรียน! ชีวิตคนทั้งชาติ โดนจัดให้อยู่ท้ายแถวในวาระการประชุม แบบนี้มันไม่ใช่แค่โดนทิ้งนะ แต่มันคือการโดนหักหลัง!

คิสซิงเจอร์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นศัตรูของสหรัฐฯ เป็นเรื่องอันตราย แต่การเป็นเพื่อนกับสหรัฐฯ น่ากลัวยิ่งกว่า” คำพูดนี้มันเหมือนพยากรณ์ถึงชะตากรรมของไต้หวันเลยนะ

ไต้หวันเองก็เหมือนกับยูเครนในหลายแง่มุม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไต้หวันกลายเป็นสนามประลองของอำนาจมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือสหรัฐฯ แต่สิ่งที่น่าเศร้าคือ ในขณะที่ไต้หวันทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไปกับการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ กลับไม่มีสิ่งใดกลับมานอกจากหนี้สินและคำสัญญาที่ว่างเปล่า

ก่อนที่สงครามในช่องแคบไต้หวันจะปะทุขึ้น สหรัฐฯ ได้ยึดเอา TSMC บริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวันไปใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจและการเมือง ไม่ต่างจากที่เขาเคยทำกับแหล่งแร่ธาตุของยูเครน และตอนนี้ไต้หวันก็ต้องแบกรับหนี้สินจากการซื้ออาวุธในระดับที่หนักหน่วง โดยที่นักการเมืองในไต้หวันก็ทำได้เพียงแค่ก้มหน้ายอมรับสภาพ

แย่กว่านั้น ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีไต้หวันยังต้องเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเข้าพบและขอการยอมรับ ไม่ต่างจากการ ‘แสวงบุญ’ ที่ต้องผ่านการสัมภาษณ์และการพิจารณาจากผู้นำต่างชาติอย่างน่าหดหู่ เหมือนกับว่าอนาคตของประเทศไม่ได้อยู่ในมือประชาชนตัวเอง แต่อยู่ในมือของมหาอำนาจที่อยู่อีกซีกโลก

คนไทยเราเห็นแล้วก็ต้องคิดบ้าง อย่าให้ใครมายุยงปลุกปั่นให้เราแตกแยก อย่าให้ใครเอาผลประโยชน์หรืออำนาจมาล่อลวง เราต้องรักและหวงแหนแผ่นดินของเราเอง อย่าให้แผ่นดินนี้ต้องกลายเป็น ‘ยูเครนเวอร์ชั่น 2’ หรือ ‘ไต้หวันเวอร์ชั่น 2’ เพราะสุดท้ายแล้ว คนที่จ่ายราคาแพงที่สุด ก็คือพวกเราคนไทยเอง

ประเทศไทย... พึงตระหนัก!

‘อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย’ ฟาด IMF–ธนาคารโลก ละเมิดพันธกิจ! หนุนเงินสงครามยูเครนแทนฟื้นฟูเศรษฐกิจ

(21 พ.ค. 68) ดมีทรี เมดเวเดฟ รองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งรัสเซีย และอดีตประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวอย่างเผ็ดร้อนบนเวที St. Petersburg International Legal Forum โดยย้ำว่าขณะนี้ 'สันติภาพ' ต่างหากคือสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่ 'การหยุดยิงชั่วคราว' กับยูเครน พร้อมตอกย้ำว่ารัสเซียพร้อมเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของ 'ความเป็นจริงในสนามรบ' และข้อเสนอที่ฝ่ายรัสเซียได้กำหนดไว้

นอกจากกล่าวถึงยูเครน เมดเวเดฟยังออกโรงจวกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกว่า 'กำลังละเมิดพันธกิจหลัก' ด้วยการอัดฉีดงบประมาณสนับสนุนรัฐบาลยูเครนที่นำไปใช้ในการทำสงคราม มากกว่าฟื้นฟูเศรษฐกิจตามภารกิจดั้งเดิมขององค์กรเหล่านี้ “สิ่งที่พวกเขากำลังทำ ไม่ใช่การช่วยเหลือประเทศที่กำลังฟื้นฟู แต่คือการหล่อเลี้ยงสงคราม” เขากล่าว

เมดเวเดฟยังกล่าวเตือนถึงภัยคุกคามที่อาจขยายวง หากยังมีทหารจากชาติพันธมิตรหรือ 'Coalition of the willing' เข้ามาป้วนเปี้ยนในยูเครน โดยระบุว่าสถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งกลายเป็น 'ภัยคุกคามที่ไม่มีวันจบสิ้น' พร้อมกันนี้ เขายังวิจารณ์ผู้นำยุโรปหลายคนอย่างตรงไปตรงมา อาทิ โบริส จอห์นสัน, เอ็มมานูเอล มาครง และเซอร์คีร์ สตาร์เมอร์ ว่าใช้วิกฤตยูเครนเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศตัวเอง มากกว่าจะจริงใจในการสร้างสันติภาพ

“นี่คือโอกาสสุดท้ายของยูเครน ที่จะรักษาอนาคตของตัวเองไว้ได้” เมดเวเดฟกล่าวปิดท้าย พร้อมทิ้งข้อเตือนใจถึงฝ่ายที่ยังเลือกใช้กำลังและแรงกดดัน แทนการหาทางออกด้วยสติและการเจรจา

รมต.ต่างประเทศรัสเซีย อยากให้เลือกตั้งปธน.ยูเครนก่อนเซ็นสัญญา เกรง!! สัญญาอาจเป็นโมฆะ หากผู้ลงนาม ไม่มีอำนาจลงนามสันติภาพ

(24 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Ethan Hunts’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า …

รมต.ต่างประเทศรัสเซีย นายเซอร์เก ลาฟรอฟ เผย!! รัสเซียต้องการให้ยูเครนจัดการเลือกตั้ง ให้ได้ประธานาธิปดีเสียก่อน การตกลงสัญญาสันติภาพ

เนื่องจากทางการรัสเซียมองว่า นี่เป็นการรับประกันความชอบธรรมในการเป็นตัวแทนยูเครน ลงนามรับรองสนธิสัญญา

น่าจะเกรงว่า สัญญาอาจเป็นโมฆะ หากผู้ลงนามไม่มีอำนาจลงนาม ก็เป็นได้

ทรัมป์จวกปูติน ‘บ้า’ ปมถล่มยูเครนครั้งใหญ่ เตือนรุกรานยูเครนมาก จะพารัสเซียล่มสลาย

(26 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ วิจารณ์ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียอย่างรุนแรงผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social โดยระบุว่าปูติน “บ้าไปแล้ว” และเตือนว่าหากยังคงพยายามยึดครองยูเครนทั้งหมด จะนำไปสู่ “จุดจบของรัสเซีย”

ทรัมป์แสดงความไม่พอใจต่อการที่รัสเซียยิงขีปนาวุธและโดรนโจมตีเมืองต่างๆ ในยูเครน พร้อมระบุว่าเป็นการสังหารผู้บริสุทธิ์โดยไม่จำเป็น และกำลังพิจารณาคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม

นอกจากปูติน ทรัมป์ยังวิจารณ์ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน โดยกล่าวว่าท่าทีแข็งกร้าวของเซเลนสกี “สร้างปัญหา” และ “ควรหยุดพูดแบบนั้นได้แล้ว” พร้อมชี้ว่าความขัดแย้งนี้เป็นผลจาก “ความไร้ความสามารถ”

ทรัมป์ย้ำว่าสงครามยูเครนจะไม่เกิดขึ้นหากเขายังเป็นประธานาธิบดี โดยโยนความรับผิดชอบไปที่ปูติน เซเลนสกี และอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดน พร้อมยืนยันว่าเขาเพียงต้องการ “ช่วยดับไฟสงครามที่ใหญ่และน่าเกลียดนี้”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top