Friday, 6 June 2025
มาเลเซีย

‘ไทย-มาเลเซีย’ เตรียมกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้า-การลงทุน มุ่งการเติบโตระดับภูมิภาค ผ่านการประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน 67

(18 ก.ค. 67) การประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 (Malaysia-China Summit (MCS) 2024) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นเวทีที่นำเสนอโอกาสครั้งสำคัญให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยได้ส่งเสริมการค้าและการลงทุน ไม่ใช่แค่เพียงกับมาเลเซียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศจีนด้วย

ดาโต๊ะ ดร. ตัน ยู ชอง (Dato’ Dr. Tan Yew Chong) กรรมาธิการจัดงาน MCS 2024 กล่าวว่า อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทยจะได้รับประโยชน์จากการพบปะพูดคุยกับผู้จัดแสดงสินค้ามากกว่า 500 ราย และผู้แทนการค้า 10,000 รายจากมาเลเซีย จีน และอาเซียน ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

“ทุกท่านไม่ควรพลาดโอกาสในการเข้าร่วมการจับคู่ทางธุรกิจ การประชุมอุตสาหกรรม การเสวนา การพบปะพูดคุยและสานสัมพันธ์ รวมถึงการแบ่งปันความรู้ในการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือและการทำงานร่วมกันในภูมิภาค” เขากล่าวในงาน MCS 2024: Networking Engagement Series ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ในวันนี้ (17 ก.ค.)

สำหรับการประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 จะจัดขึ้นในหัวข้อ ‘Prosperity Beyond 50’ ภายในงานประกอบด้วยมหกรรมการค้าและการลงทุนนานาชาติระยะเวลา 3 วัน และการประชุมผู้นำระยะเวลา 2 วัน ซึ่งให้ความสำคัญกับ 5 หัวข้อหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีแห่งอนาคต (Future Tech), ความรู้และประสบการณ์แห่งอนาคต (Future Knowledge and Experience), การเดินทางและการเชื่อมต่อแห่งอนาคต (Future Mobility & Connectivity), การเติบโตในอนาคต (Future Growth) และโอกาสในอนาคต (Future Opportunity) โดยมุ่งเน้นไปที่ภาคส่วนหลักมากกว่า 20 ภาคส่วนที่มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ พลังงานหมุนเวียน ยานยนต์ไฟฟ้า สินค้าโภคภัณฑ์ บริการระดับโลก การท่องเที่ยว การศึกษา โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อระดับภูมิภาค อิเล็กทรอนิกส์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ การผลิตขั้นสูง อาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมฮาลาล แฟรนไชส์ และการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม จะได้รับโอกาสมากมายในการสร้างความร่วมมือและการเติบโตในการประชุมสุดยอดครั้งนี้

การประชุมสุดยอดมาเลเซีย-จีน ปี 2567 จัดขึ้นโดยบริษัท คิวบ์ อินทิเกรตเต็ด มาเลเซีย (Qube Integrated Malaysia) ร่วมกับบรรษัทพัฒนาการค้าต่างประเทศมาเลเซีย (MATRADE) เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างมาเลเซียกับจีน ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาคและแสดงจุดแข็งร่วมกันของอาเซียน เนื่องในโอกาสที่มาเลเซียจะได้ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2568 

ทั้งนี้ การประชุมสุดยอดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการค้าระหว่างประเทศของมาเลเซีย (MITEC) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

นายโมฮาเหม็ด ฮาฟิซ มูฮัมหมัด ชาริฟฟ์ (Mr. Mohamed Hafiz Md Shariff) กรรมาธิการการค้าประจำกรุงเทพฯ ของ MATRADE กล่าวว่า “MCS 2024 มอบโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ในการมีส่วนร่วม การทำงานร่วมกัน และการสำรวจเส้นทางการเติบโตใหม่ ๆ ร่วมกับคู่ค้าจากมาเลเซีย จีน และอาเซียน”

“เนื่องจากมีผู้จัดแสดงสินค้าและผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากจากหลากหลายภาคส่วน ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยสามารถขยายขอบเขตการเข้าถึงตลาด สร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ตลอดจนรับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและเทคโนโลยีใหม่ ๆ” เขากล่าว

พร้อมกันนี้ เขาได้ชี้ให้เห็นว่า การประชุมสุดยอดครั้งนี้มุ่งมั่นสร้างโอกาสทางการค้าและการลงทุนคิดเป็นมูลค่าอย่างน้อย 2 พันล้านริงกิต ตลอดจนมอบโอกาสมากมายให้แก่อุตสาหกรรมไทยในการสร้างสรรค์นวัตกรรม สร้างความหลากหลายให้กับธุรกิจ รวมทั้งคว้าประโยชน์จากการประสานความร่วมมือระหว่างตลาดมาเลเซียกับตลาดจีน

ในการกล่าวสุนทรพจน์หลัก ดาตุ๊ก โจจี แซมูเอล (Datuk Jojie Samuel) เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำราชอาณาจักรไทย ได้เชิญชวนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทยมาร่วมกันเสริมสร้างการค้าทวิภาคีกับมาเลเซีย เพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกันของทั้งสองประเทศ นั่นคือ การสร้างการค้ามูลค่ารวม 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2570

ทั้งสองประเทศต่างให้คำมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งตอกย้ำถึงเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจไทยต้องเข้าร่วมงาน MCS 2024 “เป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของเราในการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสำรวจโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ระหว่างทั้งสองประเทศ” เอกอัครราชทูตมาเลเซียกล่าว

นอกจากนี้ เขาได้เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่แน่นแฟ้นระหว่างมาเลเซียกับไทย โดยกล่าวว่าไทยเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของมาเลเซียในระดับโลก และเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ในอาเซียน ขณะที่มาเลเซียเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยในอาเซียน

การพึ่งพาซึ่งกันและกันเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ ตลอดจนโอกาสในการสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

“ในช่วงปี 2560-2566 มาเลเซียและไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีที่แข็งแกร่ง ด้วยมูลค่าการค้าเฉลี่ย 2.473 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยในปี 2566 อันเนื่องมาจากการค้าโลกชะลอตัว แต่มาเลเซียยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยในอาเซียน” เขากล่าวเสริม

“สำหรับในช่วงเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2567 การค้าระหว่างมาเลเซียกับไทยมีมูลค่ารวม 9.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (4.616 หมื่นล้านริงกิต) โดยมีมูลค่าการส่งออก 5.02 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.374 หมื่นล้านริงกิต) และมูลค่าการนำเข้า 4.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (2.242 หมื่นล้านริงกิต)” เอกอัครราชทูตมาเลเซียกล่าว

นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตมาเลเซียยังเน้นย้ำถึงจุดแข็งของมาเลเซียในการส่งออกสินค้าจำเป็นให้กับประเทศไทย เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ฮาลาล เพื่อรองรับชาวมุสลิมจำนวนมากในไทย

“การประชุมสุดยอดครั้งนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราที่อยากเห็นภูมิภาคอาเซียนที่เจริญรุ่งเรืองและเชื่อมโยงกันด้วยการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่ง โดยงานนี้จะเป็นเวทีอันทรงพลังที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับผู้ประกอบธุรกิจทั่วทั้งภูมิภาค” เขาเน้นย้ำ

นอกจากนี้ เขายังตอกย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของประเทศไทยในการผลักดันความร่วมมือระดับภูมิภาคและการเติบโตทางเศรษฐกิจ “ในฐานะสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน มาเลเซียและไทยได้ร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ การบูรณาการ และเสถียรภาพของภูมิภาค เมื่อร่วมมือกัน เราสามารถต่อยอดความสำเร็จของอาเซียน ด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจที่มีความยืดหยุ่น ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขัน และภูมิภาคที่มีความเป็นเอกภาพ”

สำหรับกิจกรรม MCS 2024: Networking Engagement Series ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนรวม 200 คน โดยมีนายเย็บ ซู ชวน (Mr. Yeap Swee Chuan) ประธานกิตติมศักดิ์ของสภาหอการค้ามาเลเซีย-ไทย และแอร์เอเชีย (AirAsia) มาร่วมเป็นวิทยากรภายในงาน

ทั้งนี้ แอร์เอเชียเป็นพันธมิตรสายการบินอย่างเป็นทางการของงาน MCS 2024 ส่วนพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายอื่น ๆ ได้แก่ การท่องเที่ยวมาเลเซีย, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการมาเลเซีย, สภาธุรกิจมาเลเซีย-จีน, สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติมาเลเซีย, สภาหอการค้ามาเลเซีย-จีน, สภาหอการค้าวิสาหกิจจีนในมาเลเซีย, MAYCHAM China, สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมอาเซียน และ Persatuan Muafakat One Belt One Road ในขณะที่พันธมิตรสื่อประกอบด้วย เบอร์นามา (Bernama), เดอะสตาร์ (The Star) และ ซินจิวเดลี (Sin Chew Daily)

‘มาเลเซีย’ เริ่มใช้เส้นจราจรเรืองแสง เพิ่มความสว่าง คาด!! ช่วยลดอุบัติเหตุ ในเวลากลางคืนได้ดี

(22 ก.ค.67) เพจ ‘Motor Thailand’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับถนนในประเทศมาเลเซีย โดยได้ระบุว่า ...

มาเลเซียเริ่มใช้เส้นจราจรเรืองแสง เพื่อความปลอดภัยบนถนนแล้ว

โครงการก่อสร้างถนน Shining Line ที่บาตูปาฮัต รัฐยะโฮร์ ในมาเลเซีย ใช้การตีเส้นจราจรแบบเรืองแสง ยิ่งมืด เส้นจราจรจะยิ่งสว่างเพื่อความปลอดภัยบนถนน เส้นจราจรเรืองแสงจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ดีในเวลากลางคืน

การประยุกต์ใช้เครื่องหมายจราจรเรืองแสงในที่มืดนี้จะเน้นไปที่บริเวณที่ไม่มีสายไฟฟ้า หรือบริเวณที่ไม่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งเสาไฟฟ้า รวมไปถึงบริเวณที่มืด บริเวณทางโค้งอันตราย และบนถนนที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ

มาเลเซียจัดเป็นประเทศที่มีคุณภาพถนนดีที่สุดเป็น อันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ที่ครองอันดับ 1 ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 4 จากการจัดอันดับของ World Global Economy

ข้อมูลเพิ่มเติม https://motor-th.com/?p=434

‘มาเลเซีย’ ออกกฎหมายต่อสู้กับอาชญากรรมในโลกออนไลน์ บังคับทุกแพลตฟอร์ม ‘โซเชียลมีเดีย’ ต้องขอใบอนุญาตจากภาครัฐ

รัฐบาลมาเลเซียเอาจริงกับปัญหาสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศ เมื่อคณะกรรมการการสื่อสารและมัลติมีเดียแห่งมาเลเซีย (MCMC) กำหนดให้แพลตฟอร์มผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และส่งข้อความออนไลน์ ที่มีบัญชีผู้ใช้งานตั้งแต่ 8 ล้านบัญชีขึ้นไปในมาเลเซีย ต้องขึ้นทะเบียนเพื่อขอใบอนุญาตตามกรอบกฎหมายการกำกับดูแลใหม่ ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 มกราคม 2568

กรอบระเบียบใหม่นี้ สอดคล้องกับการตัดสินใจในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่ว่าโซเชียลมีเดียและบริการส่งข้อความทางอินเทอร์เน็ตจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของมาเลเซีย เพื่อต่อสู้กับคดีอาชญากรรมและการฉ้อโกงทางไซเบอร์ รวมถึงพฤติกรรมการกลั่นแกล้งกันบนโลกออนไลน์ และอาชญากรรมทางเพศต่อเด็กและเยาวชน ผ่านสื่อโซเชียลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก 

โดยรัฐบาลมาเลเซียเชื่อมั่นว่า กรอบระเบียบใหม่นี้ จะช่วยสร้างระบบนิเวศออนไลน์ที่ปลอดภัย มีคุณภาพ เพื่อประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้งานทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กและครอบครัว

นั่นหมายความว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ อาทิ Facebook, Instagram, WhatsApp, Line, Youtube, TikTok, Telegram, X และอื่น ๆ ที่มีผู้ใช้งานในมาเลเซียเกิน 8 ล้านบัญชี ต้องมาลงทะเบียนขอใบอนุญาต และปฏิบัติตามกรอบกฎหมายใหม่นี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2567 นี้เป็นต้นไป จนถึงภายในวันที่ 1 มกราคม 2568 มิฉะนั้น จะถือเป็นความผิด ที่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายของมาเลเซีย ที่อาจมีผลถึงการถูกระงับการเผยแพร่ หรือใช้งานภายในประเทศได้

ก่อนหน้านี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และสื่อออนไลน์ ได้รับการยกเว้นในการขอใบอนุญาตตามระเบียบข้อบังคับกิจการสื่อในมาเลเซีย ซึ่งแตกต่างจากสื่อออฟไลน์ดั้งเดิม ที่ต้องอยู่ภายในกฎหมายควบคุมของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด และนั่นจึงกลายเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่การก่ออาชญากรรมมากมาย ที่ใช้ช่องทางโซเชียลเข้าถึงเหยื่อผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก

จากข้อมูลของ MCMC พบว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 - ตุลาคม 2023 มีคดีหลอกลวงทางไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายให้แก่เหยื่อ เป็นมูลค่าสูงกว่า 506 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีคดีเกี่ยวข้องกับการ กลั่นแกล้ง และเผยแพร่คำพูดแสดงความเกลียดชังผ่านโซเชียลถึง 3,419 รายการ

และล่าสุดจากกรณีการฆ่าตัวตายของ ‘Esha’ หรือ ราชาสวารี อัพพาหุ TikToker สาวชื่อดังชาวมาเลเซีย ที่ทำคอนเทนต์ด้านความงาม และการใช้ชีวิตแบบคิดบวก แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต่อสู้กับข้อความบูลลี่ คุกคาม ไปจนถึงการขู่ฆ่าทางออนไลน์ได้ จนเกิดอาการซึมเศร้าและจบชีวิตตนเองเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นที่ชาวมาเลเซียวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงมาตรการป้องกันการกลั่นแกล้ง ดูหมิ่นกันในโลกออนไลน์อย่างเหมาะสม

แต่เมื่อรัฐบาลมาเลเซียตัดสินใจที่จะจัดระเบียบโซเชียลใหม่ ก็มีกลุ่มต่อต้านมองว่า รัฐบาลกำลังใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมสื่อออนไลน์ เป็นการละเมิดเสรีภาพทางการพูด และนำเสนอข่าวทางสื่อสาธารณะ ที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่จะนำไปสู่การปิดกั้น และ ปราบปรามกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง ที่ต่อต้านรัฐบาลได้ในภายหลัง

และมีการส่งจดหมายเปิดผนึกจากองค์กรอิสระ 44 แห่งและนักเคลื่อนไหว 23 คน ถึงนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ประณามการออกกฎหมายควบคุมสื่อโซเชียลมีเดียดังกล่าวว่า เป็นการใช้อำนาจมิชอบอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อโจมตีระบอบประชาธิปไตย และลดการมีส่วนร่วมของประชาชน

ในขณะเดียวกัน กฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ของมาเลเซีย กำลังจะกลายเป็นต้นแบบให้กับรัฐบาลอื่น ๆในอาเซียน อย่างอินโดนีเซีย และ สิงคโปร์ ที่กำลังพิจารณากฎหมายควบคุมสื่อสังคมออนไลน์ด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันอาชญากรรมทางออนไลน์ไม่ให้ประชาชนของชาติตกเป็นเหยื่อ

หากรัฐบาลหลายชาติเริ่มออกมาเคลื่อนไหวในการกำหนดกรอบกติกาการใช้สื่อโซเชียลมีเดียมากขึ้น ก็ต้องมาติดตามว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่ว่าจะออกมาปรับตัวให้อยู่ในกรอบเพื่อรักษาตลาด หรือ ปลุกกระแสต่อต้านเพื่อรักษาคำว่า "เสรีภาพสื่อ" ที่ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฎหมายของชาติใด

‘นายกฯ มาเลย์’ ควันออกหู!! ‘เฟซบุ๊ก’ ลบโพสต์ไว้อาลัยผู้นำฮามาส ประณาม ‘Meta’ เลิกเป็นเครื่องมือให้ ‘ไซออนิสต์อิสราเอล’ เสียที

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.67) นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ออกมาประณาม เมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) อย่างดุเดือดว่าทำตัว ‘ขี้ขลาดตาขาว’ หลังถูกเฟซบุ๊กลบโพสต์ที่ตนเองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุลอบสังหาร อิสมาอีล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส

มาเลเซียซึ่งมีพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามถือเป็นชาติที่แสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขันเรื่อยมา และนายกฯ อันวาร์ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบันทึกการสนทนาระหว่างตนกับเจ้าหน้าที่ฮามาสคนหนึ่ง เพื่อแสดงความโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของฮานิเยห์ ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกเฟซบุ๊กลบออกไป

เหตุลอบสังหารอุกอาจครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ ฮานิเยห์ เดินทางไปยังกรุงเตหะรานของอิหร่าน เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี มาซูด เปเซสเคียน ผู้นำอิหร่านคนใหม่

หลายฝ่ายมองว่า นี่คือการเติมเชื้อไฟให้กับความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงอยู่แล้ว และอาจทำให้การสู้รบในกาซาลุกลามขยายวงกว้างจนกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค

อันวาร์ ซึ่งมีโอกาสได้พบ ฮานิเยห์ ที่กาตาร์เมื่อเดือน พ.ค. ระบุว่า ตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำทางการเมืองของฮามาส แม้มาเลเซียจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนสนับสนุนฮามาสในด้านการทหารก็ตาม

“ขอให้นี่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนแจ่มแจ้งถึงเมตา : หยุดแสดงอาการขี้ขลาดตาขาวแบบนี้เสียที และเลิกทำตัวเป็นเครื่องมือให้กับระบอบไซออนิสต์อิสราเอล!” อันวาร์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ เมตา ยังไม่ออกมาตอบคำถามสื่อมวลชนในวันที่ 1 ส.ค.67 ขณะที่กระทรวงสื่อสารของมาเลเซียระบุว่า จะมีการเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลมาเลเซียเคยประท้วงเมตามาแล้วหลายครั้งเรื่องการปิดกั้นคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมถึงข่าวที่ อันวาร์ ไปพบกับ ฮานิเยห์ ครั้งสุดท้าย ซึ่งต่อมาทางเมตาก็ได้ยอมปลดบล็อกโพสต์ดังกล่าวให้

โดย เมตา ออกมาอธิบายในตอนนั้นว่า ‘ไม่ได้มีเจตนา’ ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊ก และก็ไม่เคยใช้มาตรการจำกัดเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ด้วย

อย่างไรก็ตาม เมตา ถือว่าฮามาสซึ่งเป็นขบวนการอิสลามิสต์ที่ปกครองฉนวนกาซาคือหนึ่งใน ‘องค์กรอันตราย’ (dangerous organization) และห้ามการเผยแพร่เนื้อหายกย่องเชิดชูคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้เมตายังใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติร่วมกับทรัพยากรบุคคลในการลบโพสต์หรือติดป้ายคำเตือนภาพกราฟิกต่าง ๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎของแพลตฟอร์มด้วย

รัฐบาลมาเลเซียประกาศจุดยืนสนับสนุนทางออกแบบ 2 รัฐควบคู่ (two-state solution) เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเปิดการประชุมร่วมตำรวจไทย-มาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 ส่งเสริมความร่วมมือในกิจการตำรวจ และการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

วันนี้ (6 สิงหาคม 2567) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการประชุมร่วมระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 ณ โรงแรมดิ แอทธินี โฮเท็ล แบงค็อก กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.อ.ตัน ศรี ราซารุดิน บิน ฮุสเซน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธี การประชุมร่วมระหว่างตำรวจไทยและตำรวจมาเลเซีย ระดับบริหาร ครั้งที่ 27 เป็นการประชุมประจำปีที่จัดขึ้นสลับกันระหว่างทั้งสองประเทศ ในปีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 5 - 8 สิงหาคม 2567 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนข้อมูล 9 หัวข้อ ได้แก่  
1. การลักลอบนำเข้าและการค้าอาวุธ  
2. การลักลอบนำเข้ายานพาหนะที่ถูกโจรกรรมระหว่างสหพันธรัฐมาเลเซียและราชอาณาจักรไทย  
3. การค้ามนุษย์และการลักลอบหลบหนีเข้าเมือง 
4. อาชญากรรมทางเศรษฐกิจและอาชญากรรมทางไซเบอร์  
5. การลักลอบนำเข้าและการค้ายาเสพติด 
6. การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนตามแนวชายแดน  
7. อาชญากรรมทางทะเลและการกระทำอันเป็นโจรสลัด 
8. การก่อการร้าย ซึ่งส่งผลกระทบต่อราชอาณาจักรไทยและสหพันธรัฐมาเลเซียและงานข่าวกรอง 
9. การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากร 

พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ฯ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการส่งเสริมความร่วมมือในกิจการตำรวจ และรักษาคำมั่นของทั้งสองฝ่ายในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน ผ่านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญ ตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้มีร่วมกัน และสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาความสงบเรียบร้อย การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคสังคมของทั้งสองประเทศ ยืนยันว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย มีความมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือระดับทวิภาคี เพื่อนำมาซึ่งความปลอดภัยและความมั่นคงของทั้งสองประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

‘นทท.จีน’ หลงเสน่ห์ ‘ป้าย ธ.Maybank’ บน Gaya Street มาเลเซีย ดันเป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตที่ต้อง ‘แชะภาพ-เช็กอิน’ อวดลงโซเชียล

กลายเป็น Maybank เมย์ใจ ชาวจีนไปเสียแล้ว เมื่อเกิดกระแสฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวจีน ที่แห่กันมาถ่ายรูปป้ายธนาคาร Maybank ที่ตั้งอยู่กลางสี่แยกถนน Gaya Street ในโกตากีนาบาลู เมืองหลวงของรัฐซาบะห์ ในมาเลเซีย จนกลายเป็นจุด Check in สุดฮิปยอดนิยมในโลกโซเชียลจีนอยู่ในขณะนี้

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า จุดเริ่มต้นของกระแสถ่ายป้ายธนาคาร Maybank ของนักท่องเที่ยวจีนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่การแวะถ่ายป้ายธนาคาร Maybank เริ่มนิยมในหมู่เซเลปคนดังใน Xiaohongshu แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีน และมีการส่งต่อกันจนกลายเป็นไวรัลไปทั่วจีน จึงเริ่มมีนักท่องเที่ยวจีนตามรอยมาถ่ายรูปป้ายธนาคาร Maybank ในสาขานี้กันเป็นจำนวนมาก และมีจำนวนไม่น้อยที่เจาะจงเดินทางมาถึงเมืองโกตากีนาบาลู เพื่อถ่ายรูปป้ายธนาคารแห่งนี้โดยเฉพาะ

ปรากฏการณ์กระแสป้ายธนาคาร Maybank สร้างความประหลาดใจให้กับหลายคน ว่าเหตุใด ป้ายชื่อธนาคารสีเหลืองเรียบ ๆ ที่มีโลโก้หัวเสือโคร่ง และชื่อธนาคารอักษรสีดำ ที่เห็นทั่วไปในมาเลเซีย จึงกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมายังถนนแห่งนี้ จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแนะนำอีกแห่งสำหรับการถ่ายรูปลง Instagram ของโกตากีนาบาลู

และกระแสความนิยมนี้ ส่งผลให้ธนาคารอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกัน ต้องปรับลุคป้ายธนาคารใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูปเช่นเดียวกัน 

กระแสความธรรมดา ที่ไม่ธรรมดานี้ ถือเป็นโอกาสที่จะกระตุ้นการท่องเที่ยวในรัฐซาบะห์ ที่มีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ และ ร้านอาหารดี ๆ มากมายไม่แพ้รัฐอื่น ๆ ในมาเลเซีย เพียงแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติอาจจะยังไม่รู้จัก 

ซึ่ง โทนี่ เฟอร์นานเดซ CEO ของสายการบิน AirAsia กล่าวว่า ถึงเราจะไม่เข้าใจว่า ทำไมป้ายธนาคาร Maybank ของที่นี่ถึงได้ฮิตนัก แต่ถ้าสามารถใช้เป็นจุดขายในการโปรโมตการท่องเที่ยว ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับธุรกิจสายการบินเช่นกัน และเขาหวังว่าจะสามารถรักษากระแสความนิยมนี้ให้ไปต่อได้เรื่อย ๆ 

แต่ในความเห็นของ ดร.แฮมซา ชาฮาบ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาการตลาดดิจิทัล ของมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮม มาเลเซีย ให้ความเห็นว่า กระแสของป้ายธนาคาร Maybank อาจไม่ใช่ความบังเอิญ แต่สะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบ และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่เริ่มเปลี่ยนไป

จากเดิมที่เคยนิยมมาเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำยอดนิยมตามคู่มือท่องเที่ยว แต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวเริ่มมองหาแหล่งท่องเที่ยวที่สะท้อนวิถีความเป็นท้องถิ่นที่จริงใจ ที่บ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องที่นั้นจริง ๆ ที่หาไม่ได้ในคู่มือท่องเที่ยว อีกทั้งกระแสที่ส่งผ่านทางโซเชียล ยิ่งกระตุ้นให้เกิดกระแสตามรอย เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์

และจากกระแสนี้ ยังส่งผลย้อนกลับให้ชาวมาเลเซียหันมาลองสำรวจเมืองท้องถิ่นของตัวเอง หรือแม้แต่มาตามรอยที่ Gaya Street เพื่อหาคำตอบว่านักท่องเที่ยวจีนหลงใหลสิ่งใดในถนนสายนี้ ที่เป็นเสน่ห์ของมาเลเซีย ที่ชาวมาเลยเซียแท้ ๆ มองข้ามไป 

แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ จากกระแสป้ายธนาคาร Maybank คือ คุณค่าที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลงทุนข้ามน้ำ ข้ามทะเล เพื่อมาตามหา อาจเรียบง่ายกว่าที่เราคิด โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนปรุงแต่งอย่างอลังการ จนความเป็นท้องถิ่นของเราหายไปก็เป็นได้ 

‘การรถไฟไทย-มาเลฯ’ เห็นชอบเปิดเดินรถ ‘กรุงเทพอภิวัฒน์-บัตเตอร์เวอร์ธ’ เชื่อมต่อการเดินทาง-กระตุ้นท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ ระหว่าง 2 ประเทศ

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 13-16 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา นายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนการรถไฟฯ เดินทางเข้าประชุมร่วมระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟมาเลเซีย ครั้งที่ 42 (42nd KTMB - SRT Joint Conference) ณ เมืองโคตา คินาบาลู รัฐซาบาห์ สหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อขยายความร่วมมือการให้บริการเดินรถเชื่อมต่อระหว่างไทย-มาเลเซีย อำนวยความสะดวกการเดินทางแก่ประชาชน การขนส่งสินค้าของทั้งสองประเทศแบบไร้รอยต่อ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายของ นายสุรพงษ์ ปิยะโชติ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐบาล

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ หัวหน้าสำนักงานผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การเดินทางไปร่วมประชุมฯ ของนายอวิรุทธ์ ทองเนตร รองผู้ว่าการการรถไฟฯ และคณะผู้แทนการรถไฟฯ กับการรถไฟมาเลเซียครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความร่วมมือการให้บริการขนส่งทางรางของทั้ง 2 ประเทศร่วมกันในทุกมิติ ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบหลักการจัดเดินขบวนรถจากสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์-ปาดังเบซาร์-บัตเตอร์เวอร์ธ รัฐปีนัง สหพันธรัฐมาเลเซีย เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางของชาวไทยและชาวมาเลเซียให้ไปมาหาสู่กันแบบไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังได้เห็นชอบให้มีการขยายเส้นทางขบวนรถไฟท่องเที่ยว MySawasdee จากมาเลเซียมาไทย จากเดิมเปิดให้บริการถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ ให้ขยายมาถึงสถานีสุราษฎร์ธานี หลังขบวนรถท่องเที่ยว MySawasdee ได้รับผลตอบรับที่ดีเยี่ยม มีจำนวนผู้โดยสารเต็มทุกเที่ยว การขยายเส้นทางรถไฟท่องเที่ยวนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อการช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว และนำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น โดยหลังจากนี้ทั้ง 2 หน่วยงานจะมีการตกลงรายละเอียด และระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ประชุมฯ เห็นชอบในหลักการแล้ว จะได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อพิจารณาการเปิดให้บริการขบวนรถไฟเส้นทางต่อขยายจากสถานีกลางกรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ไปยังสถานีบัตเตอร์เวอร์ธ โดยในช่วงแรกจะเป็นการทดลองการเดินรถเป็นระยะเวลา 6 เดือน  

‘มาเลเซีย’ ระดมกำลัง ค้นหาร่างนทท.ชาวอินเดีย หลังตกหลุมลึก 8 เมตรกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

กลายเป็นงานใหญ่ระดับชาติไปเสียแล้ว สำหรับภารกิจค้นหาร่างนักท่องเที่ยวหญิงชาวอินเดียวัย 48 ปี ที่เคราะห์ร้ายตกลงไปในหลุมยุบที่มีความลึก 8 เมตร ใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในช่วงเช้าของวันที่ 23 สิงหาคม 67 ที่ผ่านมา ขณะที่เธอเดินไปทำบุญที่วัด แต่ผ่านไปแล้วถึง 5 วันจนถึงวันนี้ ก็ยังหาไม่พบ

จากงานที่คาดว่าน่าจะค้นหาร่างของหญิงอินเดียได้ในเวลาไม่นาน กลับยากมากกว่าที่คิดมาก โดย ซูลิซมี สุไลมาน รองผู้บัญชาการตำรวจเขตดังวางี ของกรุงกัวลาลัมเปอร์ กล่าวว่า อุปสรรคใหญ่ในการค้นหาเกิดจากกระแสน้ำใต้ดินที่ไหลเชี่ยวรุนแรงบริเวณรอบท่อระบายน้ำ จากฝนที่ตกหนักก่อนหน้านี้ 

และยังมีเศษซากคอนกรีต และหินต่าง ๆ กีดขวางช่องทางใต้ดิน ที่การใช้เครื่องพ่นน้ำแรงดันสูงเพื่อทำลายเศษซากต่าง ๆ ก็ยังไม่เพียงพอ ต้องนำเทคนิคการระเบิดและสลายวัตถุมาปรับใช้ด้วย 

ทางหน่วยกู้ภัยประสานงานให้รัฐบาลกรุงกัวลาลัมเปอร์จัดกระสอบทรายมาเพิ่มอีก 100 กระสอบ มาตั้งกำแพงปิดทางน้ำไหลใต้ดินเพื่อลดอุปสรรคในการค้นหา และได้ตรวจสอบโรงงานบำบัดน้ำเสียอินดาห์ ที่บันไต ดาลัม ที่เป็นปลายทางของระบบท่อระบายน้ำใต้ดินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ 

เมื่อสื่อมาเลยเซียสอบถามว่า จะมีการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในภารกิจการค้นหาครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ซูลิซมี อธิบายว่า เบื้องต้นทางการมาเลเซียได้ระดมกำลังผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายหน่วยงานของประเทศเข้าร่วมการค้นหาอย่างเต็มที่แล้ว และหวังว่าจะสัมฤทธิ์ผลในไม่ช้านี้ 

โดยได้มีการจัดตั้งกองกำลังพิเศษซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยาและกรมโยธาธิการ เพื่อศึกษาสภาพดินและธรณีวิทยาในพื้นที่ เกณฑ์กำลังตำรวจเพิ่มเพื่อกันประชาชนออกจากพื้นที่ และกั้นเขตขยายพื้นที่ค้นหาเพิ่ม

ด้านนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแห่งมาเลเซีย ได้ออกมาแสดงความเสียใจต่อครอบครัวนักท่องเที่ยวอินเดียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา และสั่งการให้ดูแลคนในครอบครัวของ นาง วิจายาลักษมี ที่บางส่วนเดินทางมาจากอินเดียเพื่อมานั่งรอ เฝ้าติดตามภารกิจอย่างใกล้ชิด โดยขยายวีซ่าให้อีก 1 เดือน พร้อมที่พัก อาหาร และบริการด้านการให้คำปรึกษา และยืนยันว่า มาเลเซียจะมุ่งมั่นค้นหาร่างของนาง วิจายาลักษมี อย่างเต็มกำลัง 

ส่วนกรณีหลุมยุบขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นกลางเมืองหลวง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า ยังไม่สามารถระบุสาเหตุได้ ต้องรอรายงานฉบับสมบูรณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะสรุปได้หลังจากปฏิบัติการเสร็จสิ้น

แต่รัฐบาลมีแผนในการป้องกันไม่ให้หลุมยุบเกิดขึ้นซ้ำ โดยเตรียมที่จะทำแผนที่เชิงธรณีวิทยาใหม่ จากข้อมูลที่รวบรวมจากกรมแร่ธาตุและธรณีวิทยา เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และเขตใกล้เคียงยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัย

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ชาวกรุงกัวลาลัมเปอร์เคยมีประเด็นถกเถียงอย่างร้อนแรงในโลกโซเชียลมาก่อนตั้งแต่ปี 2558 ว่ามีหลุมยุบซ่อนเร้นอยู่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นจำนวนมาก ที่พร้อมยุบตัวได้ทุกเมื่อ และเคยวิจารณ์ว่ากรุงกัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ไม่ปลอดภัยที่สุดในมาเลเซีย 

โดยครั้งนั้น นายกเทศมนตรีของกัวลาลัมเปอร์ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาของชาวเน็ต และรับประกันว่า กัวลาลัมเปอร์เป็นเมืองที่ปลอดภัยสำหรับการดำเนินชีวิตประจำวัน 

'โรงหนังมาเลเซีย' ผุดไอเดีย 'ฮอตพอต ซินีมา' ดูหนังไปกินหม้อไฟไป ชาวมาเลย์ฯ ตั้งตารอ

(27 ส.ค. 67) รายงานข่าวแจ้งว่า ชาวเน็ตมาเลเซียต่างแชร์โพสต์จากเฟซบุ๊ก ‘Dadi Cinema’ ของโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา ชั้น 5 ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล (Pavilion KL) ย่านบูกิต บินตัง (Bukit Bintang) ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของประเทศมาเลเซีย ที่พบว่ามีการโพสต์ภาพเมื่อวันที่ 24 ส.ค. เป็นการเนรมิตโรงภาพยนตร์ผสมผสานกับเมนูอาหารสุกียากี้ ภายใต้ชื่อ ‘ฮอตพอต ซินีมา’ (Hotpot Cinema) เป็นแห่งแรก ซึ่งจะเปิดให้บริการเร็ว ๆ นี้

โดยรูปแบบการให้บริการจะมีการเสิร์ฟสุกียากี้ที่ปรุงด้วยน้ำซุปพร้อมกับเนื้อสัตว์และผักต่าง ๆ ขณะชมภาพยนตร์เรื่องโปรด ซึ่งในภาพจะเป็นโรงภาพยนตร์ชั้นสตาร์พลัส แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม แต่ได้โพสต์ภาพดังกล่าวลงบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมของทางโรงภาพยนตร์ ทำให้บรรดาผู้ชมภาพยนตร์ต่างตั้งตารอที่จะใช้บริการ แต่ก็มีคนวิจารณ์ว่าจะปรุงและรับประทานสุกียากี้อย่างไรภายในโรงภาพยนตร์ที่มืด อีกความเห็นหนึ่งระบุว่า ดูไม่สะดวกสบาย ถ้าในโรงภาพยนตร์มีหม้อไฟเสิร์ฟ จะทำให้มีสมาธิในการดูภาพยนตร์น้อยลง เพราะจะโฟกัสไปที่การกินมากเกินไป

สำหรับโรงภาพยนตร์ดาดี้ ซินีมา เป็นธุรกิจในเครือดาดี้ มีเดีย ซึ่งเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 2543 เป็นเครือข่ายโรงภาพยนตร์สัญชาติจีนที่มีโรงภาพยนตร์ 2,936 โรง ใน 191 แห่งทั่วประเทศจีน ก่อนที่จะขยายกิจการมายังประเทศมาเลเซียเป็นประเทศแรกเมื่อปี 2564 ปัจจุบันมี 2 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าพาวิเลียน เคแอล กรุงกัวลาลัมเปอร์ และศูนย์การค้าดาเมน มอลล์ เมืองสุบังจายา รัฐสลังงอร์

สตูล ส่งมอบเรือของกลางคืนมาเลเซีย หลังถูกโจรกรรมมาซุกในสตูล พร้อมเดินหน้าตามหาคนผิดต่อไป การส่งมอบคืนในครั้งนี้เป็นการร่วมมือในการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการแก้ปัญหาความมั่นคงทางทะเล

(30 ส.ค. 67) ที่ผ่านมา ที่ด่านศุลกากรตำมะลัง จังหวัดสตูล มีพิธีส่งมอบเรือของกลางคืนให้แก่ทางการมาเลเซีย โดยนายศักระ กปิลกาญจน์  ผู้ว่าราชการจังหวัด  ผอ.ศรชล.ได้มอบหมายให้  น.อ.แสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธี สำหรับเรือลำนี้เป็นเรือประมงสัญชาติมาเลเซีย ชื่อ KHF 818 ขนาด 38.46 กรอสตัน ถูกพบเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2567 โดยเจ้าหน้าที่ตรวจท่าปฏิบัติการ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคจังหวัดสตูล พบว่าเรือลำนี้เข้ามาจอดที่อู่เรือในตำบลตำมะลัง อำเภอเมืองสตูล โดยไม่ได้รายงานการเข้ามาต่อเจ้าท่าตามกฎหมาย จากการสอบสวนพบว่า เรือลำนี้เป็นของนายอี เทีย จาย สัญชาติมาเลเซีย ซึ่งถูกโจรกรรมมาจากท่าเรือประมงกัวลาเคดาห์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2565 และได้มีการแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจกัวลาเคดาห์แล้ว ในการส่งมอบครั้งนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจังหวัดสตูลเข้าร่วม อาทิ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสตูล ,นายด่านศุลกากรสตูล, ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการด่านตรวจประมงเขต 9 สตูล, ประมงจังหวัดสตูล,หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลเกาะหลีเป๊ะ (สตูล),กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 5,กองร้อยตำรวจตะเวนชายแดนที่ 436 สตูล และเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสตูลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับฝ่ายมาเลเซียมีมูฮัมหมัด ไครูลานัวร์ บิน อิบราฮิม รองสารวัตรตำรวจน้ำลังกาวี รัฐเคดาห์ และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานประมงรัฐเคดาห์ มารับมอบเรือ

ทั้งสองฝ่ายได้ตรวจสอบสภาพเรือและยืนยันว่าไม่มีความเสียหายเพิ่มเติม การส่งมอบครั้งนี้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายและไม่มีการเรียกร้องผลประโยชน์ใดๆ ทางการไทยยังเน้นย้ำว่าจะเร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีโดยเร็ว การส่งมอบเรือคืนครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความร่วมมืออันดีระหว่างไทยและมาเลเซียในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ และการรักษาความมั่นคงทางทะเลร่วมกัน

นิตยา แสงมณี // ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดสตูล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top