Tuesday, 22 April 2025
ฟุตบอลโลก2022

‘ซาอุฯ - ญี่ปุ่น’ เอาชนะอดีตแชมป์บอลโลก ผลสำเร็จจาก ‘ทีมเวิร์กสุดปัง - แรงบันดาลใจสุดเจ๋ง’

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ มีเรื่องหนึ่งที่ถูกพูดถึงในวงกว้างอย่างมาก ทั้งในโลกออฟไลน์และโลกออนไลน์ นั่นก็คือ ‘ฟุตบอลโลก 2022’ ที่ประเทศกาตาร์เป็นเจ้าภาพ โดยประเด็นที่ทำแฟนบอลทั่วโลกตกตะลึงก็คือ การที่ทีมชาติซาอุดีอาระเบียสามารถเอาชนะทีมชาติอาร์เจนตินา ทีมที่เป็นแชมป์ฟุตบอลโลกหลายสมัย และมีสตาร์ดังอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ไปด้วยด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

แต่ความตะลึกยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะถัดมาอีกวันทีมชาติญี่ปุ่น ก็สามารถเอาชนะทีมแนวหน้าของโลกอย่างเยอรมนีไปได้ด้วยสกอร์ 2-1 เช่นกัน 

กลายเป็นว่าคอบอลทั่วโลก (อาจจะรวมถึงแฟนบอลในชาตินั้นๆ) ต้องตกตะลึงถึง 2 วันติดกัน เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าทีมชาติทั้ง 2 ประเทศจากทวีปเอเชีย ที่เคยเป็นเพียงทีมไม้ประดับของเทศกาลฟุตบอลโลก จะสามารถพลิกเกมกลับมาชนะทีมระดับชั้นนำและอยู่ในแนวหน้าของโลกลูกหนังไปได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม และอาจารย์ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในคลิปวิดีโอ ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ ‘Suriyasai Channel’ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 65 ไว้อย่างน่าสนใจ สรุปได้ว่า…

นัดเปิดสนามระหว่างทีมเอกวาดอร์เจอกับทีมชาติกาตาร์ (เจ้าภาพ) จบที่ความปราชัยของเจ้าภาพที่สกอร์ 2-0 จากนั้นในนัดถัดมา ก็เป็นการดวลระหว่างทีมชาติอังกฤษกับทีมชาติอิหร่าน ซึ่งอิหร่านก็พ่ายแพ้ไป 6-2 

จากผลลัพธ์ของทีมเอเชียทั้งสอง ทำให้หลายคนกังวลใจว่าทีมชาติที่มาจากทวีปเอเชียดูจะไม่มีพัฒนาการที่จะไปสู้ทีมชาติจากทวีปอื่นๆ เทียบกับทวีปแอฟริกาแล้ว ยังผลักดันตนเองสามารถพัฒนาทีมมาเป็นคู่แข่งเทียบชั้นชาติแนวหน้าในละตินและยุโรปได้มากกว่า

จนกระทั่ง เมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย. 65 ตามเวลาไทย ทีมชาติซาอุดีอาระเบียต้องฟาดแข้งกับทีมชาติอาร์เจนตินา ขณะที่ทีมชาติญี่ปุ่นฟาดแข้งกับเยอรมนีในวันที่ 23 พ.ย.65 ทั้ง 2 ทีมชาติจากเอเชีย สามารถเอาชนะมาได้ จึงเป็นการลบล้างคำสบประมาทต่างๆ นานาออกไปได้ทันที เพราะว่าทั้งซาอุฯ และญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เก็บชัยชนะ แต่พวกเขาสามารถโค่นเต็งแชมป์และอดีตแชมป์โลกมาหลายสมัยลงได้

เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้น น่าจะทำให้ทีมชาติจากเอเชียถูกจับตามองมากขึ้นอีกแน่ ๆ 

ทั้งนี้หากเทียบความแตกต่างของทั้ง 2 ชาติ คือ ซาอุฯ อาจจะได้เปรียบญี่ปุ่นหน่อย ตรงเรื่องของรูปร่างนักเตะ ซึ่งกายภาพของนักเตะซาอุฯ สามารถเทียบชั้นกับยุโรปได้เลย ในขณะที่ญี่ปุ่นน่าจะพอ ๆ กับไทย 

ศาลสั่งห้าม AIS PLAYBOX ถ่ายสดบอลโลก หลังกลุ่มทรูยื่นฟ้องละเมิดลิขสิทธิ์

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ สั่งคุ้มครองชั่วคราวห้ามบริษัท SBN ผู้ให้บริการ AIS PLAYBOX ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกที่กาตาร์ หลังกลุ่มทรูยื่นฟ้องฐานละเมิดลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดผ่านโครงข่าย IPTV กลุ่มทรูแจงไม่กระทบประชาชนที่รับชมผ่านฟรีทีวีทั่วไป รวมทั้งเคเบิลทีวี-ทีวีดาวเทียม

วันนี้ (26 พ.ย.) มีรายงานว่า หลังจากมีความกังวลต่อการที่ผู้ให้บริการกล่องไอพีทีวีหลายรายได้อ้างกฎ Must Carry และดำเนินการแพร่ภาพสัญญาณการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (FIFA World Cup Final 2022) โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของสิทธิในลิขสิทธิ์ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และจะส่งผลกระทบถึงโอกาสในการรับชมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (FIFA World Cup Final 2022) ในประเทศไทย นั้น

‘กลุ่มทรู’ ในฐานะผู้ได้รับสิทธิในการเผยแพร่การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (FIFA World Cup Final 2022) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยในระบบ IPTV และระบบ OTT ได้ดำเนินการปกป้องสิทธิตามกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา โดยยื่นฟ้องผู้ให้บริการทีวีอินเทอร์เน็ตรายหนึ่งที่ให้บริการผ่านกล่อง AIS PLAYBOX ต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นการชั่วคราวด้วย

'โค้ช-ดาวยิงซาอุฯ' ปฏิเสธข่าวลือเจ้าชายฯ แจกรถโรลส์รอยซ์ ชี้!! แค่เฟกนิวส์จากหมอฟันชาวปากีสถาน

แอร์เว่ เรอนาร์ เฮดโค้ชของทีมชาติซาอุดีอาระเบีย ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แจกรถยนต์หรูโรลส์รอยซ์ ให้แก่นักฟุตบอลทุกหลังเอาชนะอาร์เจนติน่า โดยชี้ว่ามันเป็นเพียงแค่เฟกนิวส์ เท่านั้น 

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย แจกรถยนต์โรลส์รอยซ์ รุ่นแฟนทอม ให้แก่นักเตะทุกคนหลังคว่ำอาร์เจนติน่า ในรอบแบ่งกลุ่มฟุตบอลโลก 2022 เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ เดลีเมล สื่อชั้นนำในประเทศอังกฤษ ออกมาเผยว่าต้นตอข่าวดังกล่าวมาจากหมอฟันชาวปากีสถานรายหนึ่งที่มีผู้ติดตาม และมีอิทธิพลด้านโซเชียลมีเดียค่อนข้างสูง ออกมาเผยแพร่เรื่องนี้บททวิตเตอร์แบบลอยๆ เท่านั้น ไม่มีมูลความเป็นจริงแต่อย่างใด 

และล่าสุด แอร์เว่ เรอนาร์ กุนซือใหญ่ออกมาแก้ข่าวดังกล่าวว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์หลังเกมที่ ซาอุดีอาระเบีย พ่ายแพ้ให้กับ โปแลนด์ เมื่อคืนวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา 

"เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เรามีกระทรวงกีฬา และสมาคมฟุตบอล ที่ทำงานกันอย่างเคร่งเครียด มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาทำอะไรแบบนี้เลย" เรอนาร์ กล่าว 

"การแถลงข่าวก่อนเกมพบ อาร์เจนติน่า ผมแค่บอกว่ามันเป็น 1 ใน 3 เกมที่สำคัญมากสำหรับเรา และเรื่องเดียวที่ถือเป็นข่าวดีสำหรับคือ การจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยอันดับ 1 หรือ 2 เท่านั้น" 

ส่วน ซาเลห์ อัล-เชห์รี่ ดาวยิงทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ออกมายืนยันอีกหนึ่งเสียงว่าข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง และนักเตะทุกคนตั้งใจลงสนามเพื่อรับใช้ประเทศ และทำผลงานให้ดีที่สุดอยู่แล้ว

"เรื่องนั้นมันไม่ใช่เลย เราอยู่ที่นี่ตรงนี้เพื่อรับใช้ประเทศบ้านเกิดของเราให้ดีที่สุด นั่นคือผลตอบแทนของพวกเขา" 

'อ.ต่อตระกูล' ไขคำตอบความเย็นในสนามฟุตบอลโลก 2022 พลังไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ เป่าลมเย็นถึงตัวผู้ชมทุกๆ คน

เมื่อตอนที่กาตาร์ ประเทศในเขตทะเลทรายอ่าวอาหรับได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า นักกีฬาและผู้ชมจะรับมือกับสภาพอากาศร้อนระอุทะลุ 40 องศาเซลเซียสได้อย่างไร

การเลื่อนเวลาจัดการแข่งขันไปเป็นช่วงฤดูหนาวคือคำตอบหนึ่งของปัญหานี้ แต่ชาติร่ำรวยอย่างกาตาร์ยังให้คำมั่นจะจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีการอันสุดโต่ง นั่นคือการใช้เทคโนโลยีที่จะช่วยให้แม้แต่ประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนที่สุดสามารถจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ได้ตลอดทั้งปี

สตาฟฟ์ 'กาน่า' อำมหิต!! รุมเซลฟี่ 'ซน' ร้องไห้ หลังเกม 'เกาหลีใต้' พ่ายแพ้ กาน่า 2-3

กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อ ซน ฮึง มิน กองหน้าซุปตาร์ทีมชาติเกาหลีใต้ที่กำลังเสียใจจากการพ่ายแพ้ กาน่า 2-3 แต่โดนสตาฟฟ์ของ กาน่า เข้ามารุมถ่ายภาพเซลฟี่ จนโดนชาวเน็ตตำหนิว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทอย่างที่สุด

ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 เกาหลีใต้ ตัวเเทนจากเอเชีย ลงสนามแพ้ กาน่า 2-3 ส่งผลให้มีเพียงแต้มเดียวจาก 2 นัด และนัดสุดท้ายต้องดวลกับ โปรตุเกส 

ขณะที่หลังจบเกมมีกลุ่มสตาฟฟ์ของทีมชาติกาน่า เดินปรี่มาหา ซน ฮึง มิน ที่กำลังเสียใจจากผลการแข่งขัน เพื่อถ่ายภาพเซลฟี่ดาวเตะชาวเกาหลีใต้ที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับ

เอเชียผงาด!! สรุปผลงานทีมจากเอเชียรอบแรก ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์

ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับรอบแบ่งกลุ่มในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ต้องบอกว่าในหลาย ๆ นัดที่ผ่านมาของรอบแบ่งกลุ่มนั้น ทีมยักษ์ใหญ่ชาติยุโรปหรือจากโซนอเมริกาใต้เจอทีเด็ดฟอร์มแรงจากทีมเอเชียตบหงายเงิบกันไปหลายทีม และในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้มีทีมจากเอเชียอยู่ในทัวร์นาเมนต์นี้มากถึงถึง 6 ทีม ซึ่งเยอะกว่าครั้งไหน ๆ วันนี้ THE STATES TIMES ขอพาไปดูผลงานของทีมจากเอเชียในศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้กันครับ

เริ่มกันที่เจ้าภาพ กาตาร์ ก่อนที่จะเริ่มทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลของมวลมนุษยชาติ มีหลายประเด็นที่ถาโถมใส่ชาติเจ้าภาพอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งเรื่องการสร้างสนามที่มีคนงานตายหลายพันคน และความโปร่งใส่ในการจัดฟุตบอลโลกครั้งนี้ที่เป็นประเด็นด้วยเม็ดเงินสูงถึง 200,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณกว่า 7.5 ล้านล้านบาท) และเมื่อศึกฟุตบอลโลกเริ่มไปแล้วก็ยังมีประเด็นประปรายในเรื่องของสิทธิมนุษยชนที่ทีมชาติเยอรมันเอามือปิดปากก่อนเริ่มเกมกับทางญี่ปุ่น ในประเด็นขัดแย้งเรื่องการขู่คว่ำบาตรของฟีฟ่าเกี่ยวกับปลอกแขน ‘OneLove’

มาดูกันที่ผลงานของกาตาร์กัน เข้ามาร่วมศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งแรกและมาในฐานะแชมป์เอเชียและชาติเจ้าภาพในหนนี้ พวกเขาพกดีกรีความเป็นแชมป์เอเชียมาและคิดว่าจะต่อกรกับทีมชั้นนำของโลกได้ พวกเขาอยู่รวมสายกับ เนเธอร์แลนด์ เอกวาดอร์ เซเนกัล ในเกมเปิดสนามกับทีมชาติเอกวาดอร์นั้น เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่างครับในสนาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องประสบการณ์ในสนามกับรายการเมเจอร์ใหญ่ของโลก ประสบการณ์นักเตะของทีมชาติกาตาร์ และเทคนิดความสามารถเพาะตัวของผู้เล่นทั้งสองทีม ต้องบอกว่ากาตาร์ยังห่างชั้นกับเอกวาดอร์เป็นอย่างมาก ในนัดเปิดสนามผลจบลงด้วยชัยชนะของทีมชาติเอกวาดอร์ 2-0 เหนือทีมชาติกาตาร์ กาตาร์ชุดนี้สร้างทีมก่อนปี 2014 วางระบบโดย แอสไปร์ อะคาเดมี่ ซึ่งเป็นอะคาเดมี่ชื่อดังของโลกใช้งบประมาณในการลงทุนมหาศาลคัดสรรเด็กเข้ามาสู่ระบบไม่ว่าจะเป็นการกว้านนักเตะระดับยุวชนฝีเท้าดีจากทั่วโลกมาแปลงสัญชาติและรวมตัวฝึกซ้อมมาอย่างยาวนาน  

แม้ว่าความสำเร็จจะเกิดในการคว้าแชมป์เยาวชน 19 ปีเอเชีย 2014 และต่อยอดสู่ทีมชุดใหญ่คว้าแชมป์เอเชียปี 2019 แต่จุดบอดของกาตาร์ชุดนี้คือความแข็งแกร่งของนักเตะที่ไม่ต่อยอดไปเล่นในลีกชั้นนำของยุโรปในวัยที่ควรได้เกมคุณภาพทำให้ประสบการณ์ในสนามที่แสดงออกยังดูห่างชั้นจากทีมรอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 

ชาติเจ้าภาพที่มีส่วนร่วม 9 วัน ยิงได้ประตูเดียวตกรอบภายใน 5 วัน ผลงานกาตาร์ในฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายแพ้เอกวาดอร์ 0-2, แพ้ เซเนกัล 1-3 และแพ้เนเธอร์แลนด์ 0-2 ตกรอบตั้งแต่ 2 เกมแรกในระยะเวลาเพียง 5 วัน ซึ่งทีมชาติกาตาร์ใช้เวลาโดยรวมบนเวทีฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเพียง 9 วันตั้งแต่วันเปิดสนามจนถึงวันที่ต้องเล่นเกมสุดท้าย 29 พฤศจิกายน 65 คงจะพูดได้ว่าเป็นได้แค่เจ้าภาพไม้ประดับที่ร่ำรวยจริง ๆ ผลงานในสนามครั้งนี้เต็ม 10 ให้ 1 คะแนน 

มาต่อกันที่ทีมชาติอิหร่าน พวกเขาอยู่สาย B ร่วมกับ อังกฤษ เวลล์ และ สหรัฐอเมริกา ทีมชาติอิหร่านนำทัพโดย คาร์ลอส เคยรอซ เฮดโค้ชชาวโปรตุกีส วัย 69 ปี ก่อนหน้านี้เขาเคยคุม อิหร่าน ระหว่างปี 2011-2019 และพาทีมลุยฟุตบอลโลกมาแล้วถึง 2 ครั้งในปี 2014 และ 2018 ดังนั้นฟุตบอลโลก 2022 จึงเป็นเวิลด์คัพสมัยที่ 3 ของ เคยรอซ กับทีมชาติอิหร่าน และสตาร์ของทีมประกอบไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น เมห์ดี้ ทาเรมี่ (ปอร์โต้) ซาแมน ก็อดดอส (เบรนท์ฟอร์ด) อลิเรซา จาฮานบัคช์ (เฟเยนูร์ด) ซาเดก โมฮาร์รามี่ (ดินาโม ซาเกร็บ) คาริม อันซาริฟาร์ด (โอโมเนีย นิโคเซีย) เอซาน ฮาจซาฟี (เออีเค เอเธนส์) และที่ขาดไม่ได้คือ ซาร์ดาร์ อัซมูน ดาวยิงวัย 27 ปีจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น เจ้าของสถิติสุดร้อนแรงลงเล่นทีมชาติ 63 นัดยิงได้ถึง 40 ประตู 

ทีมชาติอิหร่านลงประเดิมสนามเกมแรกของกลุ่มเจอกับเต็งแชมป์โลกอย่างอังกฤษผลงาน 90 นาที ในแมตซ์แรกของทีมชาติอิหร่านเริ่มเกมมาได้ไม่กี่นาที อิหร่านต้องเสียผู้รักษาประตูมือ 1 ของทีม เนื่องจากบินปัดลูกเปิดของทีมชาติอังกฤษ ทำให้ผู้รักษาประตูกับกองหลังทีมชิตอิหร่านชนกันเองเป็นเหตุให้ ผู้รักษาประตูมือ 1 จมูกหักเล่นต่อไมไหว เล่นเอา คาร์ลอส เคยรอซ เฮดโค้ชชาวโปรตุกีส เอามือกุมหัวเลยครับจังหวะนี้เพราะเสียผูเล่นคนสำคัญของทีม จบเกมแรกกับอังกฤษพวกเขาโดนสิงโตคำรามถล่มไป 6-2 และในเกมที่ 2 กับเวลล์ อิหร่านเอาชนะเวลล์ ได้ 2-0 ถือไปชัยชนะที่สำคัญในการลุ้นเข้ารอบต่อไป ในแมตช์ที่ 2 กับเวลล์นั้นทีมชาติอิหร่านเล่นดี ๆ จริง ๆ และเหมาะสมที่ได้ 3 แต้ม และเป็น 3 แต้มของทีมเอเชียที่จุดประกายความหวังเข้ารอบ 16 ทีม ซึ่งในนัดสุดท้ายพวกเขาต้องเจอกับสหรัฐอเมริกา แต่ผลงานก็อย่างที่ทราบกันครับ อิหร่านแพ้สหรัฐอเมริกา 1-0 ตกรอบแรกอย่างน่าเจ็บใจ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเก็บชัยชนะได้ 1 นัด และสร้างความลำบากให้กับทั้งเวลล์และอเมริกาได้ไม่น้อย ชัยชนะเหนือเวลล์ 2-0 ผมเชื่อว่าเป็นแรงผลักดันชั้นยอดให้กับทีมจากทวีปเอเชียในการต่อกรกับทีมชั้นนำของโลก 5 เต็ม 10 คะแนน 

ทีมต่อมาต้องบอกว่าแค่นัดแรกเท่านั้นสร้างปรากฏการณ์ไปทั้งโลก ซาอุดีอาระเบีย พวกเขาอยูสาย C ร่วมกับ แชมป์โลก 2 สมัย อาร์เจนตินาที่มีราชาฟุตบอลแห่งยุคอยู่ในทีมอย่าง ลิโอเนล เมซซี่ ต้องบอกว่าขุนพลฟ้าขาวในทัวร์นาเมนต์นี้ระดับพระกาฬทั้งนั้น และอีก 2 ทีมประกอบด้วย โปแลนด์ เม็กซิโก ซึ่งต้องบอกว่า 2 ทีมนี้ตัวผู้เล่นก็ไม่ธรรมดา ซาอุฯ ลงสนามนัดแรกเจอกับอาร์เจนตินาก่อนเกมหลายสื่อมองไปทางเดียวกันว่ายังไงอาร์เจนตินาก็ชนะแต่จะชนะกี่ลูกเท่านั้น ครึ่งแรกอาร์เจนตินานำ 1-0 จากจุดโทษของเมซซี่และทำท่าว่าจะได้อีกหลายลูกแต่ก็ไม่ได้ เริ่มครึ่งหลังได้ไม่เท่าไร ซาอุฯ ช็อกคนทั้งโลกด้วยการยิง 2 เม็ด แซงอาร์เจนตินา และจบด้วยสกอร์ 2-1 เอาชนะแชมป์โลก 2 สมัย ที่มีเมซซี่ 

สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ประกาศให้วันที่ 23 พ.ย. เป็นวันชาติ และให้หยุด 1 วัน เพื่อเฉลิมฉลองกับชัยชนะประวัติศาสตร์ของพวกเขา 3 แต้มสำคัญนี้สร้างขวัญและกำลังใจอย่างมหาศาลและเพิ่มโอกาสเข้ารอบ 16 ทีมเป็นครั้งที่ 2 ของทีมชาติซาอุดีอาระเบียอย่างแท้จริง คนทั้งชาติร้องเฮดีใจ ก็ชนะอาร์เจนตินาที่ในทีมนั้นตัวผู้เล่นระดับโลกทั้งทีม มันเป็นความรู้สึกใหม่ ๆ ของคนทั้งชาติและอาจคนทั้งโลกด้วยที่ชมเกมอยู่ในวันนั้น แต่ชัยชนะครั้งนี้ก็ไม่สามารถพาพวกเข้าเข้ารอบ 16 ทีม เพราะใน 2 นัดหลัง ซาอุฯ ทำผลงานได้ไม่ดี แพ้โปแลนด์ 0-2 และแพ้เม็กซิโก 1-2 ในนัดสุดท้าย ลงสนาม 3 นัด ชนะ 1 แพ้ 2 มี 3 แต้ม จบอันดับบ๊วยของกลุ่ม ถึงแม้จะตกรอบแรกแต่ชัยชนะเหนืออาร์เจนตินา 2-0 คงต้องทำให้ทีมจากทวีปอื่น ๆ มองฝั่งเอเชียใหม่และชัยชนะนัดนี้ผมคิดว่าเป็นหมุดหมายที่ดีเป็นแรงผลักดันให้กับฟุตบอลทวีปเอเชียครับ ผลงานครั้งนี้ 6 เต็ม 10

เราพูดถึงในส่วนทีมเอเชียที่ตกรอบแรกกันไปแต่สร้างผลงานได้เป็นที่น่าพอใจ อิหร่าน และ ซาอุฯ อย่างน้อยพวกเขาก็สร้างความลำบากให้กับทีมร่วมสายกันได้ ทีนี่เราไปดูผลงานอีก 3 ทีม จากเอเชียที่ทะลุเข้ารอบ 16 ทีม ได้กันบ้าง

ขอเริ่มที่ ออสเตรเลีย พวกเขาอยู่สายเดียว D สายเดียวกับ แชมป์โลก 2 สมัยและครั้งล่าสุด อย่างฝรั่งเศส นำทัพมาโดยท่านประธาน คีลียัน เอ็มปั้บเป้, อองตวน กรีสมันส์ และอุสมาน เดมเบเล่ เอาแค่ชื่อ 3 คนนี้ทีมร่วมสายทีมอื่นแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว อีก 2 ทีม ประกอบไปด้วย เดนมาร์ค และ ตูนีเซีย ออสเตรเลียประเดิมสนามเกมแรกกับฝรั่งเศสที่มีซูเปอร์สตาร์เต็มทีม ผลก็อย่างที่คาดครับฝรั่งเศสจัดเต็มคาราเบลลออสซี่ไปแบบจุก ๆ 4-1 ทำให้หลังจบเกมแรกพวกเขาจมบ๊วยท้ายตารางโอกาสตกรอบแรกสูงเหลือเกิน แต่ในเกมที่ 2 และ 3 ออสเตรเลียมีผลงานที่ดี ตบทั้งตูนีเชีย และ เดนมาร์ก สกอร์ 1-0 ทั้ง 2 เกม ทำให้พวกเขาพลิกสถานการ์ณเข้ารอบ 16 ทีม เป็นหนที่ 2 ของออสเตรเลีย 

เกรแฮม อาร์โนลด์ โค้ชทีมชาติออสเตรเลีย เผยเคล็ดลับเด็ดที่ทำให้พวกเขาเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2022 เขาได้สั่งให้นักเตะของเขาทุกคนงดเล่นโซเชียลมีเดีย เพื่อที่จะได้มีสมาธิกับงานของตัวเองอย่างเต็มที่ “คืนนี้ไม่มีงานฉลองใดๆ นั่นแหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงชนะ หลังจากคว้าชัยเหนือ ตูนิเซีย ได้อย่างยอดเยี่ยม” อาร์โนลด์ กล่าวหลังเกม “ไม่ฉลอง, ไม่แสดงอารมณ์, งดเล่นโซเชียล, เข้านอน” ผลงานในครังนี้ทะลุเข้าถึงรอบ 16 ทีม ได้ เอาไป 8 เต็ม 10 เลย

ตัดเชือก 4 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2022 ฝรั่งเศสจะย้ำชัย หรือแชมป์หน้าใหม่จะบังเกิด

4 ทีมสุดท้ายในเวิลด์คัพ คุณคิดว่าใครจะเป็นแชมป์?

ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ เราก็ได้เห็น 4 ทีมสุดท้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบรองชนะเลิศ 

ทีมแรกที่เข้ามาในรอบนี้เป็นทีมแรกคือ เหล่าขุนพลทัพฟ้าขาว อาร์เจนตินา นำทัพโดย ลิโอเนล เมสซี่ ที่ลงสนามร่ายมนต์พาอาร์เจนเข้ารอบรองโดยหักด่านรอบ 16 ทีมด้วยการล้มออสเตรเลีย 3-1 และชนะการดวลจุดโทษ เนเธอร์แลนด์ 4-3 หลังใน 120 นาที เสมอกัน 2-2 

ในเกมรอบ 8 ทีม ที่พบกับอัศวินสีส้ม เนเธอร์แลนด์ ดูเหมือนจะเป็นงานง่ายๆ เพราะออกนำ 2-0 โดยได้ประตูช่วงครึ่งแรกจาก มานูเอล โมลิน่า นาทีที่ 35 และจุดโทษของ เมสซี่ นาทีที่ 73 เกมทำท่าว่าจะจบด้วยชัยชนะของทัพฟ้าขาว แต่เข้าสู่ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม เนเธอร์แลนด์ได้ประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-2 จาก วูท เว็กซ์ฮอสร์ท ช่วงทดเวลา 10 นาที นาทีที่ 90+10 ใครจะคิดว่า เนเธอร์แลนด์จะตีเสมอ 2-2 นาทีสุดท้ายของสุดท้าย กล้องจับภาพไปที่กองเชียร์ทั้ง 2 ฝั่ง คนละอารมณ์เลย กองเชียร์ทัพฟ้าขาวถึงกับ ‘ช็อตฟีล’ 

ในจังหวะนี้ ถ้าเนเธอร์แลนด์ทำไม่ได้คือจบเกมไปเลย แต่นี้ต้องอยู่ด้วยกันต่อไปลุ้นที่การดวลจุดโทษ ผลปรากฏว่า อาร์เจนตินายิงแม่นกว่าเนเธอร์แลนด์ เบียดเอาชนะไป 4-3 ในการดวลจุโทษ หลังเสมอ 2-2 ใน 120 นาที และส่งให้ขุนพลทัพฟ้าขาวลุ้นแชมป์โลกสมัยที่ 3 เส้นทางที่ เมสชี่ จะพาอาร์เจนตินาไปเป็นแชมป์โลกยังคงเปิดกว้างและในรอบรองต้องชนกับ ทัพตราหมากรุก โครเอเชีย ซึ่งไม่ง่ายเลยและเป็นถึงรองแชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีที่แล้ว

ทีมที่ 2 ที่เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้ด้วยการล้มเต็ง 1 อย่างบราซิลของรายการนี้ ในรอบ 16 ทีม คือโครเอเชีย แต่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด เพราะต้องเล่นญี่ปุ่น จนถึงดวลจุดโทษ แอบเสียดายญี่ปุ่นอยู่นิดๆ มาทัวร์นาเมนต์นี้ดีจริง ๆ ล้มอดีตแชมป์โลกได้ 2 ทีม (เยอรมันและสเปน) เข้ามาเป็นที่ 1 ของสายชนโครแอต ในรอบ 16 ทีม ความเก๋าเกม บวกกับมีลูก้า โมดริช ที่คอยคุมจังหวะเทมโป้ของเกมทำให้ทัพโครเอเชียคว้าชัยเบียดญี่ปุ่นเข้ารอบ 8 ทีม ไปชนกับเต็ง 1 อย่างบราซิลของรายการนี้ ที่นำทัพมาโดยสุดยอดกองหน้าทั้งนั้น นำโดย เนย์มาร์ จูเนียร์ ราฟิณญ่า ริชาร์ลิซอน แอนโตนี่ มาติเนลลี่ และ เฆซุส แล้วก็เป็น ลูก้า โมดริช คนดีคนเดิมของคนโครแอตที่หักด่านบราซิลในการดวลจุดโทษ แต่คนที่พาโครเอเชียเข้ารอบมาจริงๆ เป็นพระเอกของงานนี้ทั้ง 2 รอบ โดมินิค ลิวาโควิช ผู้รักษาประตูทีมชาติโครเอเชีย ต้องบอกว่านี้โกล์หรือกาว เหนียวเกินพ่อเอ้ยยย เชฟจุดโทษทั้งรอบ 16 และ รอบ 8 ทีมแบบโคตรเทพ พาทัพตราหมากรุกเข้ารอบรองชนะเลิศเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน โดยจะชนกับ อาร์เจนตินา ในวันที่ 13 ธ.ค. นี้ เป็นการรีแมตซ์เมื่อ 4 ปีก่อนที่โครเอเชียอัดทัพฟ้าขาว 3-1 ในฟุตบอลโลก 2018 ในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก 

‘เมสซี’ โชว์เทพ พา ‘ฟ้าขาว’ ดับ ‘โครแอต’ 3-0 ลิ่วรอบชิง ลุ้นแชมป์โลกสมัยที่ 3

ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ คืนวันที่ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบ 4 ทีมสุดท้าย คู่แรก ‘ฟ้าขาว’ อาร์เจนตินา ลงสนามพบ ‘ตราหมากรุก’ โครเอเชีย ฟาดแข้งกันที่ ลูซาอิล ไอคอนิค สเตเดียม

ครึ่งแรก อาร์เจนตินา ครองเกมบุกได้เหนือกว่า และนาทีที่ 34 ก็มาได้จุดโทษจากจังหวะที่ ฆูเลียน อัลบาเรซ โดน โดมินิค ลิวาโควิช ออกมาสกัดล้มลงไป และเป็นลิโอเนล เมสซี สังหารไม่พลาด ‘ฟ้าขาว’ นำ 1-0 ทำให้เจ้าตัวยิง 5 ประตูเท่ากับ คีเลียน เอ็มบัปเป ในฟุตบอลโลก 2022

ต่อมานาทีที่ 39 ‘ฟ้าขาว’ มาได้ประตูหนีห่าง 2-0 จากจังหวะที่ ฆูเลียน อัลบาเรซ กระชากบอลมาตั้งแต่กลางสนาม แม้จะตะกุกตะกักเล็กน้อยแต่บอลยังเข้าทางเจ้าตัวยิงด้วยขวาเข้าประตูไป และจบ 45 นาทีแรกไปด้วยสกอร์นี้

ย้อนอดีตสตาร์อาภัพ ผู้พลาดแชมป์บอลโลก ฤๅ ‘เมสซี’ จะก้าวผ่านหรือเจ็บซ้ำรอยอีกหน

(14 ธ.ค. 65) หลังฟุตบอลโลก 2022 ผ่านพ้นมาจนถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ก็คงได้เห็นหน้าตาทีมชาติที่ผ่านเข้ารอบมาแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ ยิ่งเมื่อคืน (13 ธ.ค. 65) กับอีกคู่คำสำคัญในการโคจรมาเจอกันระหว่างทีมชาติอาร์เจนตินา ที่มีดาวเด่นอย่าง ลิโอเนล เมสซี กับทีมชาติโครเอเชีย ที่ทัวร์นาเมนต์นี้ทำผลงานเข้าตาแถมนายประตูก็เหนียวราวกับตุ๊กแก แต่สุดท้ายผลการแข่งขันก็เป็นทีมอาร์เจนตินาที่เป็นฝ่ายคว้าชัย เข้ารอบรอลุ้นในรอบตัดเชือก (ไม่รู้ว่าจะได้เจอฝรั่งเศสหรือโมร็อกโก) 

แต่ก่อนที่จะไปลุ้นว่าใครจะได้แชมป์ฟุตบอลโลกในหนนี้ ก็อยากชวนย้อนอดีตถึงเหล่าดาวเด่นที่เคยมีโอกาสคว้า ‘เวิลด์คัพ โทรฟี่’ แต่สุดท้ายก็คว้าได้เพียงความฝัน

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคมนักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม และอาจารย์ ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในคลิปวิดีโอ ที่เผยแพร่ทางช่องยูทูบ ‘Suriyasai Channel’ ชื่อว่า ‘เหลียวหลังแลหน้าซุปตาร์ผู้ผิดหวัง ในมหกรรมบอลโลก’ ความว่า…

ย้อนกลับไปเกือบ ๆ 50 ปีที่แล้ว ในปี 1974 ตอนนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก ‘โยฮัน ไกรฟฟ์’ เจ้าของฉายานักเตะเทวดา เป็นศูนย์หน้าของเนเธอแลนด์ แต่เขาไม่สามารถพาทีมชาติเนเธอร์แลนด์คว้าแชมป์ในฟุตบอลโลกในปี 1974 ได้ ทั้งๆ ที่เป็นซูเปอร์สตาร์ที่ทุกคนยอมรับในฝีมือ โดยพ่ายแพ้ให้เยอรมัน และได้เป็นเพียงแค่รองแชมป์เท่านั้น เรียกว่าไปไม่ถึงฝัน

แต่ตำนานนักเตะของเนเธอร์แลนด์ไม่ได้มีแค่ ‘โยฮัน ไกรฟฟ์’ เท่านั้น เพราะหลังจากนั้นก็มีนักเตะดาวรุ่นอีก 3 คน หรือเรียกว่า 3 ทหารเสือ ประกอบด้วย มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และรุด กุลลิท ยุคนั้นเรียกว่ายุคอัศวินสีส้ม และเป็นยุคที่สามารถวิ่งสลับตำแหน่งกันได้ แต่ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาไว้ได้ 

ต่อมาคือ ‘โรแบร์โต บัจโจ’ เป็นกำลังหลักของทีมอิตาลี แต่มาไกลสุดได้แค่รองแชมป์ฟุตบอลโลก เพราะในรอบชิงพ่ายแพ้ให้แก่ทีมชาติบราซิล ซึ่งผลงานที่แฟนบอลจำไม่ลืมคือการยิงจุดโทษข้ามคาน ทำให้ ‘โรแบร์โต บัจโจ’ และทีมชาติอิตาลีไปไม่ถึงฝัน

คนถัดมา คนนี้พิเศษกว่าคนอื่น ๆ เพราะเขามีตำแหน่งเป็นนายทวารและเป็นกัปตันทีมของเยอรมัน ‘โอลิเวอร์ คาห์น’ เตะบอลในนามทีมชาติราว ๆ 15 ปี แต่ไม่เคยเข้าถึงแชมป์ฟุตบอลโลกได้สักครั้ง เพราะในปีที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพ เขาพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติบราซิลไปอย่างน่าเสียดาย แต่ถึงอย่างไร ฝีมือและผลงานก็จัดอยู่ในขั้นซูเปอร์สตาร์ของโลกฟุตบอล

The Last Dance การเต้นรำครั้งสุดท้ายของ ลิโอเนล (เมสซี่) จากผู้ปลุกผีฟ้าขาวที่ชื่อ ลิโอเนล (สกาโลนี่)

และแล้วเราก็ได้คู่ชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์ 

โค้งสุดท้ายแล้ว เกือบ 1 เดือนเต็มที่หลายคนอดตาหลับขับตานอนเพื่อดูฟุตบอลโลก ชมและเชียร์ทีมรักให้ถึงเป้าหมาย และอย่างที่ทราบครับ อาร์เจนติน่า เป็นทีมแรกที่เข้าไปชิงชนะเลิศในปีนี้ โดยคู่แข่งคนสำคัญในนัดชิงคือ แชมป์โลกครั้งที่แล้ว ฝรั่งเศส สมน้ำสมเนื้อครับ

สิ่งที่น่าสนใจที่อยากมาเล่า คือ บทสัมภาษณ์ของ เมสซี่ ที่ครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยบอกว่าฟุตบอลโลกหนนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้ายของเค้าแล้ว เพราะตอนนี้ก็อยู่ในวัย 35 ปีแล้ว อะไรที่เค้ามีและสามารถช่วยทีมได้ ก็จะพยายามทุ่มเทให้กับทีมชาติอาร์เจนติน่า

แน่นอนว่า ชื่อชั้นของ เมสซี่ เกิดขึ้นอย่างว่องไว ด้วยวัย 22 ที่คว้าบัลลังดอร์มาครองครั้งแรกได้ แต่ต่อให้ทำได้ดีแค่ไหนก็มักจะมีเสียงวิจารณ์ถูกเป็นแพะรับบาปในวันที่อาร์เจนติน่าไม่ชนะบอลโลกกับเขาเสียที 

แม้ผลงานที่โดดเด่นในระดับสโมสรจะส่งให้ เมสซี่ เหมือนอยู่ในตำแหน่งที่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ซึ่งเป็นจุดที่ใครๆ ก็โยนความคาดหวังให้กับชายคนนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีหลายครั้งที่มีการพูดถึง เมสซี่ ว่าเป็นคนคาตาลันรึป่าว เค้าจึงไม่พร้อมหรือไม่เต็มทีกับทีมชาติอาร์เจนติน่า เมสซี่ ใหญ่เกินไป ใหญ่เกินทีมทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นยาก หรือบ้างก็อาจจะพูดถึงในเชิงอิทธิผลของ เมสซี่ ที่เหนือกว่าโค้ช

วิบากกรรมของ เมสซี เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะผลงานในฟุตบอลโลก ยังไม่ถึงฝั่งฝันในการคว้าโทรฟี่นี้มาครอง ซึ่งหากย้อนกลับไปช่วงทีมชาติตั้งแต่ครั้งแรกในปี 2005 จนถึงปัจจุบัน 2021 อาร์เจนติน่ายังคงวนเวียนอยู่กับความรู้สึกเดิม ๆ เรื่องเดิม ๆ ของความผิดหวังใกล้เคียงที่สุดในการเป็นรองแชมป์โลกในปี 2014 แพ้เยอรมนี รวมถึงการเป็นรองแชมป์โคปาอเมริกา แต่มันก็ยังไม่ถึงแชมป์ตามตั้งใจสักทีนั้นคือเหตุผลที่ทำให้ เมสซี่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง

ครั้งนึงถึงขั้น ดิเอโก้ มาราดอนน่า ตำนานของทัพฟ้าขาวยังเคยออกมาสนับสนุนให้ เมสซี่ เลิกเล่นทีมชาติจริงๆเพราะว่าโดนเยอะมากและเห็นใจ เมสซี่มากๆ และมองว่าเหตุการณ์ไหนที่พาอาร์เจนฯ พ่ายแพ้ แพะที่ชื่อเมสซี่จะปรากฎโดยทันควัน จนแนะให้เลิกเล่นทีมชาติเพื่อเซฟตัวเองน่าจะดีกว่า

ขณะที่ ฮอร์เก้ ซามเปาลี อดีตกุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่า ก็เคยออกมาเปิดเผยภายหลังว่าปัญหาของทีมชุดนี้มันอาจเป็นเพราะ เมสซี่ แบกทีมมากเกินไป ไม่มีใครพยายามช่วยเค้าเลย โดนรุมกินโต๊ะอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถสร้างการเล่นได้มหัศจรรย์เหมือนแบบที่ บาร์เซโลน่า อาร์เจนติน่าจะไปได้ไกลแค่ไหนส่วนสำคัญมันขึ้นอยู่กับความเฉลียวฉลาดของ เมสซี่ แต่ทีมของเราไม่มีนักเตะไปเชื่อมโยงการเล่นกับค้าได้เลยมันจึงน่าผิดหวังมากๆ และน่าโมโห แรงผลักดันของทีมๆ นี้ก็คือ เมสซี่ แต่เรากลับหาเค้าไม่เจอ เราไม่มีความเป็นทีมเลย เราขาดการทำงานรวมกัน นั้นคือภาพรวมก้อนใหญ่ๆ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ติทีมชาติตั้งแต่ปี 2005 บทบาทของ เมสซี่ กับ อาร์เจนติน่ามันคือ THE แบก มันคือ One For All ถึงแม้จะยังไม่เกียรติยศในรูปธรรมแต่ส่วนนึงก็ต้องยอมรับว่าเป็นระยะเวลาเกิน 15 ปี กับเมสซี่ที่ต้องรับบทบาทนี้และเค้าก็ทำมันอย่างเต็มที่

โลกของฟุตบอล One For All มันอาจไม่ตอบโจทย์เพราะนี้คือเกมของการเล่นเป็นทีม มันต้องเปลี่ยนให้เป็น All For One ให้ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องช่วยเหลือกันเพื่อความเป็นทีม เป็น 1 เดียวให้ได้และนั้นคือสิ่งที่ อาร์เจนติน่าเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนจะมาบอลโลกในครั้งนี้ แต่แน่นอนครับแฟนบอลรอคอยในการที่จะดูฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของ เมสซี่ ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน

จุดพลิกผัน!!

ภายหลังทีมชาติอาร์เจนติน่าเริ่มต้นหลังจากตกรอบ 16 สุดท้าย ปี 2018 แพ้ฝรั่งเศส 4-3 ฮอร์เก้ ซามเปาลี กุนซือทีมชาติอาร์เจนติน่าอำลาทีมไป คนที่เข้ามาคือ ลิโอเนล สกาโลนี่ จากตอนแรกขึ้นมาในหน้าที่โค้ชรักษาการ เพราะ สกาโลนี่ เคยทำงานอยาในทีมของ ซามเปาลี อยู่แล้วเพียงแต่ว่าโค้ชหนุ่มคนนี้ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน เปลี่ยนแปลงให้ทุกอย่างกลายเป็นเนื้อเดียวกันแล้วค่อยๆ แก้ไขจุดอ่อน สกาโลนี่ บอกว่าขอสรุปในการล้มเหลวจากบอลโลกปี 2018 ผมพบว่าการที่เราแพ้ให้ ฝรั่งเศส และ โครเอเชีย เป็นเพราะว่าเสียบอลในตำแหน่งที่ไม่ควรเสียมากเกินไป เราตั้งขบวนเกมรับไม่เป็น ขนาดที่พวกเค้าซ้อมกันมาเป็นอย่างดีและใช้เวลาแค่ 3-4 วินาที เข้าโจมตีและเปลี่ยนโอกาสนั้นให้เป็นประตู ซึ่งนี้คือต้นแบบโมเดิร์นฟุตบอล แล้วสกาโลนี่ก็ค่อยๆ นำศาสตร์ตรงนี้เข้ามาปรับเปลี่ยนทีมชาติอาร์เจนติน่า เล่นบอลให้จังหวะน้อยลง ตรงไปตรงมา เล่นไดเร็คฟุตบอลมากขึ้น บอลจากรับสู่รุกใช้เวลาน้อยลง ส่วนเรื่องนอกสนาม สกาโลนี่ ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ ความเป็นรุ่นพี่ค่อยๆ ประคับประคองให้เกิดความปรองดอง 

โรดริโก้ เดอ ปอล 1 ในนักเตะอาร์เจนชุดนี้ บอกว่าช่วงแรกที่ สกาโลนี่เข้ามาเป็นโค้ชคนใหม่หลายคนมีความวิตกกังวล หวาดระแวง ไม่ยอมเปิดใจต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างมาเหมือนพักเบรคจากการทำงานแล้วก็มารวมตัวกันแล้วก็แยกย้ายมันออกไปแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ซ้อมเสร็จประชุมเสร็จแยกย้ายเข้าห้อง แต่มันก็เริ่มค่อยๆ ดีขึ้น

3ปีผ่านไป เห็นสิ่งที่มันแตกต่าง!!

เดอ ปอล บอกว่า สกาโลนี่ปลูกฝั่งทัศนคติของผู้ชนะให้กับนักเตะทุกคน เค้ารวมทีมได้เป็น 1 จากการทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีเช่น มีวินัยในการกิน ออกกำลังกาย ทักทายทุกคน ทำให้ทุกๆ คนอย่ในทีมจริงๆ และช่วยเหลืออย่างที่ควรจะเป็นสร้างปฏิสัมพันธ์ด้วยตลอดเวลา ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างมันลงตัวขึ้น

ลิโอเนล เมสซี่ ก็ยังยอมรับว่า นาทีนี้มันเป็นบรรยากาศของทีมชาติในช่วงที่น่าจะดีที่สุดตั้งแต่เค้าเล่นให้อาร์เจนติน่ามา ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นอย่างรูปธรรมคือการคว้าแชมป์โคปาอเมริกาเมื่อปี 2021 เอาชนะบราซิล 1-0 สกาโลนี่ ทำให้ทีมก้าวกระโดดขึ้นไป 

เมสซี่ พูดถึง สกาโลนี่ว่าโค้ชคนนี้สะท้อนให้เห็นว่าเค้าเป็นพวกเดียวกับเรา รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ เป็นคนใจกล้า ใจกว้าง โดยเฉพาะการเข้ามารับงานในช่วงที่ดูสุ่มเสี่ยง เพราะหลังจาตกรอบฟุตบอลโลก 2018 มันดูเหมือนเป็นยุคมืดของทีมชาติอาร์เจนติน่าด้วยซ้ำไป แต่ สกาโลนี่ กล้าหาญมากที่ขึ้นมารับงาน เค้าเชื่อใจนักเตะทุกคน ผู้เล่นหน้าใหม่ๆ อายุน้อย หรือตัวเก๋าประสบการณ์ สกาโลนี่ เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างให้เติบโตและเดินไปพร้อมๆ กัน นั่นคือสาเหตุสำคัญที่เค้าแสดงออก และเด็ก ๆ มีความมั่นใจและเชื่อใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top