Monday, 19 May 2025
พีระพันธุ์สาลีรัฐวิภาค

‘พล.ต.ท.เรวัช’ เผย!! ‘ท่านพีระพันธุ์’ ตั้งให้เป็นประธานสอบทุจริต ลั่น!! ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ใครถูกก็ว่าไปตามถูก ไม่มียกเว้น

(7 ธ.ค. 67) พลตำรวจโท เรวัช กลิ่นเกษร อดีตผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ตำรวจมือปราบผู้ซื่อสัตย์และเที่ยงตรง ได้โพสต์คลิป โดยมีใจความว่า ...

ผมได้รับการติดต่อจาก ท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ติดต่อทาบทามมาขอให้ผมเป็นประธาน 

สอบสวนเกี่ยวกับการไม่ชอบมาพากลของการ จัดซื้อจัดจ้าง ของหน่วยงานในสังกัดดูแลของท่าน

สืบเนื่องมาจากในการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จะจ้างบริษัทมาขนถ่านหิน เงินงบประมาณ 7,250 ล้าน แล้วมันจัดซื้อจัดจ้างกันยังไงไม่รู้ ไปจัดวิธีพิเศษ จัดวิธีพิเศษไม่มีการประมูลแข่งขันกันอะไรกัน 

ผมก็ยินดีทําเพื่อประเทศชาติ แล้วมันจะทําให้ผลประโยชน์ตกแก่ประชาชน จะได้ประหยัดงบประมาณ อาจจะทําให้ค่าไฟฟ้าถูกลง

ผมยินดี และเต็มใจ ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวอาทิตย์หน้าคงจะเซ็นแต่งตั้งให้ผมเป็นประธานตรวจสอบ

แต่ผมก็กราบเรียนท่านว่า ถ้าตั้งผมแล้วเนี่ยอย่าให้ใครมาขอนะ ใครผิดก็ต้องว่าไปตามผิดนะ ใครถูกก็ว่าไปตามถูกนะ

ใครผิดก็ต้องรับกรรมไปนะ

ผมไม่ไปสนใจทั้งนั้น ว่าใคร จะเป็นอะไรยังไง ถ้าผิดก็ต้องว่าตามผิด ถูกก็ว่าตามถูก ท่านบอกท่านตัดสินใจเลือกผมเพราะรู้ว่าผมเป็นคนไม่ยอมใคร ถูกก็ถูกผิดก็ผิด

มันก็เป็นนิสัยของผมมาตั้งแต่ผมยังเป็นดํารงตําแหน่งแค่เป็นสารวัตร

ตอนนั้นเป็นสารวัตรตลาดไร่เก่าปี 2537 มันก็มีการจัดประมูลงานของแขวงการทางที่แขวงการทางที่ชายทะเล ผู้รับเหมามากันหลายร้อยเลยต่างคนต่างขนอาวุธยุทธภัณฑ์กันมาข่มขู่กัน มาล็อกงาน ล็อกกันไม่ให้บริษัทอื่น มาซื้อซองเข้าประมูลได้

ผมเห็นคนมันมาผิดปกติ ผมก็เอากําลังตํารวจไปปิดล้อม ตรวจค้น ผมจับหมด ได้ข้าวหลามเนี่ย!! ใช้คําว่าเป็นร้อยกระบอกครับ เป็นเข่งนะครับ ผมไม่ยอม แล้วผมก็อยู่ในที่ประมูลด้วย ประมูลแข่งกันไปผลประโยชน์ตกแก่แผ่นดิน

อย่ามาล็อกกัน จับดําเนินคดีหมดนะครับ

ถือว่าพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาติ

หลังจากนั้น นายช่างมันรู้กัน มันไม่กล้ามาประมูลกันในเขตผมเลยนะครับ ไม่กล้ามาประกวดงาน ในเขตผมเลยนะครับ

อีกครั้งหนึ่งผมมาเป็นผู้กํากับที่บ้านโป่ง ก็มีการประมูลงานกัน ของกรมชลประทาน

ผมจับดําเนินคดีหมดครับ ผมไม่ยอมหรอกครับ 

เอาแฟร์แฟร์กัน!!

‘ดร.หิมาลัย’ โพสต์เฟซ!! เรื่องการประมูลพลังงานสะอาด ที่อภิปรายกันในสภาฯ เผย!! ‘ท่านพีระพันธุ์’ ไม่นิ่งเฉย สั่งเร่งตรวจสอบโดยละเอียด จนพบข้อมูลใหม่

(10 ธ.ค. 67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือเสธหิ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมา เรื่องของการประมูลพลังงานสะอาด โดยได้ระบุว่า ...

วันนี้ ผมมีเรื่องเล่า 3 เรื่อง มาเล่าแบบภาษาชาวบ้านครับ แต่ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ ระบอบประชาธิปไตย ที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้มีโอกาสอภิปรายรัฐบาลและนำเสนอข้อติติงต่างๆ เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปปรับปรุงแก้ไข ปฐมบทของเรื่องนี้ เกิดมาจากการอภิปรายที่ผ่านมา ในเรื่องของการประมูลพลังงานสะอาด 

หลังจากฟังการอภิปรายแล้ว และมีการตอบข้อซักถามในสภาฯไปแล้วทาง ‘ท่านพีระพันธุ์’ ได้นำข้อสังเกต ข้อติติง ของฝ่ายค้านมาพิจารณาโดยละเอียดและตรวจสอบการดำเนินการของ หน่วยงานในกำกับ อีกครั้ง จึงได้พบข้อมูลที่น่าจะต้องพิจารณาทบทวนให้รอบคอบ ดังนี้

1. ความต้องการไฟฟ้าพลังงานสะอาด เราต้องการที่ 5,000 จึงมีการเปิดประมูล มีผู้มาประมูล ถึง 17,000 ดังนั้น เมื่อประมูลไป 5,000 แล้ว จึงเหลือที่ประมูลไม่ได้ อยู่ที่ 12,000 ต่อมาผู้ที่ประมูลไป 5,000 ไม่สามารถส่งไฟเข้าระบบได้ 3,600 จึงเกิดเป็นฟันหลอในระบบขึ้น ทาง กฟผ.จึงเปิดประมูลใหม่ โดยแยก 3,600 ออกเป็น 2 ส่วน คือ 2,100 กับ 1,500 แต่ดันไปกำหนดการประมูลว่า 2,100 ให้จัดให้ผู้ประมูลเก่าที่ไม่ได้ ที่ค้างอยู่ 12,000 ส่วน 1,500 ที่เหลือ เปิดให้ประมูลใหม่ ซึ่งตรงนี้คือสิ่งที่ฝ่ายค้านติงมาว่าเอาหลักอะไรมาแบ่ง การประมูลครั้งแรกจบไปแล้ว น่าจะเปิดใหม่ทั้งหมดหรือถ้าจะให้สิทธิ์กับ 12,000 ที่เหลือ ทำไมไม่ให้ทั้งหมด หรือมีเกณฑ์อะไร มาแย่งแยก ประกอบกับ การจัดการ 2,100 ที่จัดสรรให้กับ 12,000 ยังไม่จบขบวนการ ท่านจึงมีหนังสือให้ระงับและทบทวน เพื่อตอบปัญหาที่สังคมกับฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตุไว้ หากตอบไม่ได้ ก็ควรหาวิธีดำเนินการทั้ง3,600 ให้ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยได้

2. เรื่องของคณะกรรมการสรรหาบอร์ด กกพ. ที่ท่านให้ทบทวนเอาเรื่องกลับมา ก็เพราะประเด็นจากการอภิปราย ในเรื่องนี้ กฎหมายเขียนไว้ว่าต้องตั้งกรรมการสรรหา 9 คน หนึ่งในนั้น ต้องมาจากสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แต่เนื่องจาก สภาฯดังกล่าว ได้โดนยุบไปแล้ว ทาง กกพ.จึงส่งเรื่องมาให้ตั้ง แค่ 8 คน เมื่อท่านสอบถามว่าใครให้ความเห็นข้อกฎหมายในเรื่องนี้ ปรากฏว่าเป็นฝ่ายกฎหมายของ กกพ.เอง ท่านจึงให้ชะลอเรื่องแล้วให้รีบส่งเรื่องสอบถามความเห็นไปที่กฤษฎีกาก่อน เพื่อความรอบคอบครับ

3. เรื่องเหมืองแม่เมาะ เป็นการประมูลโครงการ 7,250 ล้านบาท ในครั้งแรกจะใช้วิธีพิเศษ ท่านก็ให้ทักท้วงไป จึงเปลี่ยนมาเป็นเปิดประมูล แต่มีข้อสังเกตุหลายอย่าง คือในการพิจารณาโครงการประมูลโครงการใหญ่ขนาดนี้ กลับใช้วิธีประชุมลับ ไม่ลงบันทึกประชุม เมื่อได้ผลประมูลแล้วต้องแจ้งให้ผู้เข้าประมูลทุกรายทราบ เพื่อให้ผู้ร่วมประมูลสามารถทักท้วงผลได้ในระยะเวลาที่กำหนด และหากมีการตกสเปค จะต้องแจ้งให้ทราบว่าตกเพราะเหตุใด ในเรื่องนี้บริษัทฯผู้ร้องได้รับแจ้งผลประมูลและเหตุผลหลังจากเลยระยะเวลาอุธรณ์หรือทักท้วงแล้ว ตลอดจนเหตุผลในการตกคุณสมบัติ ทางบริษัทก็โต้แย้ง ว่าสิ่งที่บริษัทได้เสนอให้มากกว่า ถ้าผมจำไม่ผิด น่าจะเป็นเรื่องเครื่องจักรอะไรสักอย่าง ที่กำหนดให้ต้องมีตัวใหญ่ 2 ตัวเล็ก 2 ทางผู้ร้องแจ้งว่า เขาเสนอให้ตัวใหญ่ 3 ตัวเล็ก 1 ซึ่งทางหน่วยงานจะได้ประโยชน์มากกว่า และตัวใหญ่ก็มีคุณสมบัติที่เหนือเกณฑ์มาตราฐานที่ตั้งไว้ แต่ประเด็นสำคัญ เขาไม่มีโอกาสโต้แย้ง ชี้แจง หรืออุทธรณ์ ร้องเรียนใดๆเลยเพราะการแจ้งผลให้เขาทราบ เป็นการแจ้งหลังจากผ่านระยะเวลาอุทธรณ์ไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติและไม่เป็นธรรม ประกอบกับในเรื่องดังกล่าวมีบอร์ดท่านหนึ่ง ได้ทำบันทึกตั้งข้อสังเกตุไว้ก่อนเกิดเรื่องร้องเรียนแล้ว พอมีการร้องเรียนมาท่านก็สั่งตรวจสอบ เพื่อให้ความเป็นธรรมและถูกต้อง 

เรื่องเล่าชาวบ้านของผมวันนี้ คงมีแค่ 3 เรื่องนี้ ช่วยกันรักษาคนดีและให้กำลังใจ คนที่ตั้งใจทำงานเพื่อความถูกต้องและประเทศชาติกันครับ ขอขอบคุณระบบรัฐสภาฯของเรา ที่เปิดให้มีการอภิปรายและตรวจสอบ ขอบคุณท่านพีระพันธุ์ฯ ที่ไม่ละเลยต่อคำทักท้วงตามระบอบประชาธิปไตยครับ

‘พลังงาน’ จับมือ ‘อุตสาหกรรม’ เพิ่มศักยภาพประเทศ เร่งปลดล็อกอนุมัติด้านไฟฟ้าเร็วขึ้น - หนุนใช้พลังงานสะอาด

(17 ธ.ค. 67) ‘พลังงาน’ เดินเกมรุกจับมือ ‘อุตสาหกรรม’ เร่งปลดล็อกการอนุมัติด้านไฟฟ้าให้เร็วขึ้น หนุนใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve พร้อมผลักดันการใช้พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน มุ่งลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มศักยภาพธุรกิจไทยอย่างเป็นรูปธรรม

เปิดมิติใหม่ของการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งปลดล็อกลดขั้นตอนขออนุญาตด้านไฟฟ้ายกระดับสู่ One Stop Service ชูแนวทางผลักดันเชื้อเพลิงชีวภาพไปสู่อุตสาหกรรมเพิ่มมูลค่ารองรับการยกเลิกอุดหนุน และร่วมผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน คิดไกลดูแลเทคโนโลยีพลังงานตั้งแต่ผลิตถึงการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ทั้งแผงโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ที่หมดอายุ นำระบบ Big Data ยกระดับการอนุรักษ์พลังงาน พร้อมประสานพลังพลิกโฉมภาคอุตสาหกรรมรองรับพลังงานไฮโดรเจนและการลงทุนจากต่างประเทศ

เมื่อวันที่ (16 ธันวาคม 2567) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งนำโดย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมผู้บริหารระดับสูงทั้ง 2 กระทรวง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนโยบายสำคัญระหว่างกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน ได้แก่

ประเด็นการดำเนินการ One Stop Service การอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้า เพื่อลดขั้นตอนกระบวนการและระยะเวลาการอนุมัติ/อนุญาตด้านไฟฟ้าให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการยกเลิกขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4 ลำดับที่ 88) จาก พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 แล้ว โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างยกร่างกฎหมายว่าด้วยการยกเลิกใบอนุญาต รง.4 ดังกล่าว รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์สำหรับภาคประชาชนที่กระทรวงพลังงานเตรียมส่งเสริมในปีหน้า เพื่อลดขั้นตอนและอำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น

ที่ประชุมยังมีการหารือประเด็นการส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชื้อเพลิงชีวภาพในอุตสาหกรรม S-Curve เพื่อเพิ่มมูลค่า เนื่องจากมาตรการชดเชยราคาเชื้อเพลิงชีวภาพจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2569 ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นต้นทางของเอทานอลจะได้รับผลกระทบ กระทรวงพลังงานจึงเตรียมมาตรการเพื่อส่งเสริมการใช้ทดแทนเอทานอลในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยา เครื่องสำอาง การสกัดสมุนไพร สุราสามทับ พลาสติกชีวภาพ หรือการนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง คาดว่าจะสามารถผลักดันให้สามารถจำหน่ายเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นเพื่อชดเชยบางส่วนได้ในทันที ส่วนปริมาณที่เหลือจะหารือเพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกรและเป็นการเพิ่มมูลค่าให้เอทานอลมากขึ้นต่อไป

ในส่วนของไบโอดีเซล จะร่วมกันผลักดันกฎหมายส่งเสริมปาล์มน้ำมัน เพื่อสร้างกรอบในการกำหนดทิศทางการใช้ประโยชน์ของปาล์มน้ำมัน พร้อมไปกับการเพิ่มโอกาสนำเชื้อเพลิงชีวภาพให้สามารถผ่านเกณฑ์ความยั่งยืนของสากลเพื่อนำไปผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) รองรับความต้องการที่สูงขึ้นในอนาคต

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือแนวทางการรับซื้อใบอ้อย/ยอดอ้อยเพื่อผลิตไฟฟ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นหนึ่งในการแก้ปัญหาที่ประชาชนต้องเผชิญอย่างต่อเนื่องในฤดูเก็บเกี่ยวอ้อย โดยข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) พบว่า โรงไฟฟ้าชีวมวลสามารถรองรับการใช้ใบอ้อย/ยอดอ้อยในสัดส่วน 10 - 30% พร้อมร่วมพิจารณาการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสมโดยไม่กระทบค่าไฟฟ้าในภาพรวมของประเทศ ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินอัตรารับซื้อโรงไฟฟ้าชีวมวลจากใบอ้อย/ยอดอ้อยอยู่ในระดับ 2.67 บาท/หน่วย ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมรับข้อเสนอและคาดว่าในปีหน้าจะสามารถเพิ่มปริมาณการใช้ใบอ้อยในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นหลังจากดำเนินนโยบายการรับซื้อในราคาที่จูงใจ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ลดการเผาแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งในการลดฝุ่น PM2.5 ได้อีกด้วย

รวมทั้งประเด็นหารือความร่วมมือแนวทางการจัดการแผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ที่หมดอายุใช้งาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งทั้งสองกระทรวงเล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงขอความร่วมมือจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำกับคุณภาพและความปลอดภัยของแผงโซลาร์เซลล์ และให้ทบทวนมาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์ โดยเพิ่มเติมแนวทางการบริหารจัดการแผงโซลาร์เซลล์ให้ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการจัดการแผงที่หมดอายุใช้งานทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคครัวเรือน รวมทั้งกระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการร่างกฎหมายและจัดตั้งกองทุนเพื่อบริหารจัดการสำหรับแก้ไขปัญหาและชดเชยให้กับผู้ได้รับผลกระทบจากแผงโซลาร์เซลล์ ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงาน กกพ. มีฐานข้อมูล ปริมาณการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่ผลิตไฟฟ้าทั้งในระบบและนอกระบบที่สามารถนำไปประเมินปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์จากแผงโซลาร์เซลล์ที่หมดอายุในอนาคตได้ รวมทั้งจะร่วมมือพัฒนาส่งเสริมการนำแบตเตอรี่จากยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) มาใช้งานเป็น 2nd Life Battery คือนำไปใช้งานร่วมกับแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน หรือเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) สำหรับบ้าน อาคาร โรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

ในด้านประเด็นการส่งเสริมการใช้ไฮโดรเจนในภาคอุตสาหกรรมนั้น ตามแผนการพัฒนาการผลิตและการใช้ไฮโดรเจนในภาคพลังงาน ซึ่งเชื่อมโยงกับร่างแผน PDP2024 มีการกำหนดสัดส่วนผสมไฮโดรเจนกับก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนร้อยละ 5 ภายในปี 2573 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในภาคพลังงาน โดยขอความร่วมมือจากกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกันเตรียมการให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงพิจารณาแนวทางการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักร รองรับการใช้เชื้อเพลิงผสมดังกล่าว โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติ โดยทางสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้นี้ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางการเงินและเศรษฐศาสตร์สำหรับการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังหารือถึงการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) อยู่ระหว่างผลักดันการใช้ Factory Energy Code ในภาคอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจก ผ่านการดำเนินนโยบาย BCG พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลโรงงาน เครื่องจักรของอุตสาหกรรม และข้อมูลการใช้พลังงานในโรงงานควบคุมและนอกข่ายควบคุม

“ผมถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้กำกับดูแลทั้งกระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งโดยเนื้อหาของงานทั้งในภาคนโยบายและภาคปฏิบัติมีความเกี่ยวพันเชื่อมโยงกันอย่างมาก การได้หารือร่วมกับหน่วยงานกระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมท่าน เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นมิติใหม่ที่จะสร้างความร่วมมือให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ซึ่งเป้าหมายที่สำคัญคือการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานทั้งภาคเอกชน และภาคอุตสาหกรรมที่ส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน รวมทั้งสร้างความชัดเจนในการพลิกโฉมการบริหารจัดการพลังงานสะอาดและการอนุรักษ์พลังงานในภาคอุตสาหกรรมด้วยมาตรการที่เป็นรูปธรรม ช่วยนำประเทศเข้าใกล้เป้าหมายที่ประกาศจะสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี 2065” นายพีระพันธุ์ กล่าว

ด้านนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ กล่าวว่า “รู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่กระทรวงพลังงานและกระทรวงอุตสาหกรรมได้ทำงานกันอย่างใกล้ชิด โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าที่จะให้ภาคอุตสาหกรรมดัน GDP ของไทยให้เพิ่มขึ้น 1% โดยที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ เน้นการเพิ่มมูลค่าในด้านการผลิต ด้านการเกษตร และผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อในการเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญจะต้องไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ถือเป็นการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมแบบมีความรับผิดชอบ และพร้อมที่จะส่งเสริมธุรกิจใหม่อย่างการนำขยะมาสร้างมูลค่า ซึ่งก็ต้องใช้กฎหมายเข้ามาเป็นตัวช่วยผู้ประกอบการไทย ซึ่งจะพยายามดำเนินการให้เสร็จให้เร็วที่สุด”

‘เปลว สีเงิน’ อ่านเกม ‘ทักษิณ’ ชี้ชัด อยากตะเพิด ‘พีระพันธุ์ – รทสชง’ พ้นรัฐบาล

(17 ธ.ค. 67) เปลว สีเงิน คอลัมนิสต์การเมืองชื่อดัง เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้เขียนบทความในคอลัมน์ ‘คนท้ายซอย’ ว่า "พีระพันธุ์-เพชรแท้"
เห็นถามเชิงเถียงกันขรมเมืองทั้งวัน ว่า.....

ตกลง "ทักษิณไล่ใคร?"

ไล่ "อนุทิน-ภูมิใจไทย" หรือไล่ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ" ให้พ้นจาก "พรรคร่วมรัฐบาล"?

หรือไล่มันทั้ง ๒ พรรคนั่นเลย?

ผมตอบแทนทักษิณให้ก็ได้ "อยากเฉดหัวให้มันออกไปทั้ง ๒ พรรค" นั่นแหละ

แต่ที่อยากมากกกกก ถึงขั้นไล่ได้ ไล่ให้ออกไปวันนี้-วันพรุ่งเลย คือ "พีระพันธุ์-รวมไทยสร้างชาติ"!

เพราะอะไร?

๑.ไล่พรรครวมไทยสร้างชาติ ๓๕-๓๖ เสียงออกไป ก็ไม่มีปัญหา เพราะตอนนี้มี "พรรคธรรมนัส" ร่วม ๒๕ เสียงเสียบเสริมอยู่แล้ว

๒.ทุกคนรู้-โลกรู้ "รวมไทยสร้างชาติ" ชาติกำเนิดคือพรรคของอดีต "นายกฯ ประยุทธ์"

พีระพันธุ์จึงมีภาพเป็นคนของ "ลุงตู่" ซึ่งเป็น "หนามปักคาใจ" ให้ทักษิณคลั่งในยิ่งนัก

๓.ขณะเดียวกัน พีระพันธุ์เป็นคนที่ชาวประชารับรู้ว่า เป็นนักการเมือง "เพื่อชาติและประชาชน" ของแท้ ๑๐๐%

พีระพันธุ์จึงเป็น "หมาเฝ้าบ้าน" โดยจิตวิญญาณ ไม่ใช่ "หมาในคอก" โดยหิวอาหารเม็ด จากมือคนคด!

๔.ด้วยคุณสมบัติ ไม่สน "อาหารเม็ด" ทำให้พีระพันธุ์ดูเป็นคนหัวแข็ง ไม่ยอมลงให้กับใคร

ถ้าเรื่องนั้น ทำแล้ว "นักการเมืองได้-ประชาชนเสีย"!

ต่อให้เป็นนโยบายรัฐบาล.....

สั่งให้ตาย พีระพันธุ์ก็จะไม่ยอมไหลตามไปกับสิ่งไม่ถูกต้องนั้น

๕.พีระพันธุ์เป็นรัฐมนตรี "คุมพลังงาน" แล้วใครบ้างที่ไม่รู้ว่า พลังงาน "ขุมทรัพย์นับล้านล้าน" ของไทย ทุกวันนี้ อยู่ในกำมือใคร?

ชาวบ้านใช้ไฟแพงจากค่า ft ทุกวันนี้ ต้นเหตุมาจากไหน ทุกคนรู้ เว้นแต่รัฐบาลของคนมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เท่านั้น ที่ไม่รู้?

พีระพันธุ์เข้าไปแก้ในดงขวากหนาม เท่ากับ "ขวางทางโจร" ที่มันกำลังปล้นประชาชนจนรวยติดอันดับ "มหาเศรษฐีโลก"

ตัวเจ้าพ่อและร่างทรงเจ้าพ่อ จึงเพิ่มแรงอยากไล่ให้พีระพันธุ์ออกไปเร็วๆ เป็น ๒ เท่า

ยิ่งเขากำลังจะขุดพลังงานในอ่าวไทยใต้เกาะกูดไปรวยแบ่งกันกับเขมรอยู่ด้วย

พีระพันธุ์และอนุทิน ดันเป็น "ไอ้เข้" เข้าไปนอนขวางทางขุดเขาอีก จึงต้องส่งสัญญาณ "กูไม่พอใจพวกมึง" แล้วนะโว้ย

แต่จังหวะและบรรยากาศที่จะไล่ทั้ง ๒ พรรค มันยังไม่ให้ ถึงแม้ล้วงประเป๋ากางเกง มี "พรรคประชาชน" ให้กระเดาะเล่นในมือก็ตาม

ที่ทำได้ทันที โดยไม่กระทบเสียงรัฐบาล ก็คือไล่รวมไทยสร้างชาติออกไป จะ "รวยแบ่งกัน" ได้สบายกว่า มีพีระพันธุ์อยู่ให้กระดากปาก ตอนซ้วบบบบ!

แต่ก็นั่นแหละ.....

ในจุดเด่นของคุณพีระพันธุ์ก็มีจุดด้อยด้วยเหมือนกัน คือในความเก่งเฉพาะตัว ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

แต่คุณพีระพันธุ์เป็นคนปากกับใจตรงกัน รู้สึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น บางเรื่องจึงกลายเป็นว่า คุณพีระพันธุ์ไม่รู้จัก "ถนอมน้ำใจคน"

นั่นทำให้การบริหารคนในฐานะ "หัวหน้าพรรค" มีปัญหา การใช้มาตรฐานตัวเองเป็นมาตรฐานวัดทุกคนในพรรค ทำให้รวมใจคนในพรรคให้เป็นหนึ่งไม่ได้

ห่านดิน ยังกินหญ้า ห่านฟ้า ยังกินยุง ฉันใด ลูกน้องในพรรค ก็ฉันนั้น คนเป็นหัวหน้าก็ต้องบริหารอาหาร

คนน่ะ...จริงอยู่ เป็นคนเท่ากัน แต่มันไม่เท่ากันในความสามารถด้านหน้าที่การงาน

แต่ทุกคนสามารถใช้ศักยภาพที่มีแต่ละด้าน ช่วยให้พรรคเจริญเติบใหญ่ได้

มีเงินหมื่นล้าน ก็สร้าง "กระต๊อบ" หลังเดียวไม่ได้

ถ้าไม่มีคนไปตัดไม้ไผ่ ไม่มีคนขุดดิน ไม่มีคนตัดหวาย จักตอก ไม่มีคนมุงหลังคา

ฉะนั้น คนสำคัญกว่าเงิน แต่ต้องรู้จักใช้ทั้งเงิน-ทั้งคน              

ผู้บริหารที่ "รู้จักใช้คน" เขาจะไม่มองข้ามใครเลย ขณะเดียวกัน เขาจะมองเชิงวิจัยทะลุศักยภาพแต่ละคน

แล้วดึง "คุณภาพคน" ที่ต่างกันออกมาใช้ตามลักษณะงาน ตามจังหวะ-เวลา-สถานการณ์

"ชนะ" ที่เป็น "ชัยชนะ" แท้จริง มี ๒ อย่าง คือ

ชนะขั้นสามัญ ชนะใจคนอื่น

ชนะขั้นสูงสุด ชนะใจตัวเอง!

คุณพีระพันธุ์มีคุณสมบัติพร้อมทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ดึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวออกมาใช้ในบทบาท "ผู้นำพรรค" ให้ถึงพร้อมเท่านั้น

ถ้าเปิดใจให้กว้างต่อมิตรสหายในเส้นทาง ทั้งที่คิดเหมือนและคิดต่างให้มากกว่านี้

คำสบประมาทที่ว่า "รวมไทยสร้างชาติ" เจ๊งแล้ว นายทุนแยกพรรคไปแล้ว

เลือกตั้งครั้งหน้า....

"รวมไทยสร้างชาติ" ใต้การนำพีระพันธุ์ ไม่ใช่พรรคต่ำสิบ แต่จะเป็นพรรคต่ำห้า มันจะกลายเป็นฝ่าตีนตบหน้าคนสบประมาททันที!

พูดถึงนายทุนน่ะ ตะแคงกระบุงแล้วเอาเท้าโกยก็ถมถืด หาไม่ยากหรอก

ที่หายาก คือ "นักการเมือง" ที่บริสุทธิ์-จริงใจ ต่อชาติบ้านเมืองและประชาชนตะหาก

คุณพีระพันธุ์ คือ ๑ ในจำนวนที่หายากนั้น

แต่การดึงศักยภาพตัวเองออกมาแสดง "ภาวะผู้นำ" ที่ทั้งคนในพรรคและนอกพรรคยอมรับ

สู่ขั้นเปล่งประกายเข้าตาสังคมชาติ ว่า คนนี้ ฝากผี-ฝากไข้ ให้เป็น "ผู้นำประเทศ" ได้ ยังไม่สาดแสงทะลุตา

ทะลุวันไหน แค่ตะแคงกระบุงไว้หน้าพรรคเฉยๆ เงินอุดหนุนมาเต็ม บอกไม่เชื่อ!

เพราะเครดิตด้านคนทำงานเอางาน "เพื่อชาติบ้านเมือง" ไม่ใช่ "เอาเงินเข้ากระเป๋า" คุณพีระพันธุ์ทำให้เห็นมาแล้ว

จำตอม่อ "โฮปเวลล์"....

ที่ตำใจ ประจานไทย ว่าเป็นประเทศบริหารด้วยนักการเมือง "โกงชาติ-ผลาญเมือง" แต่ปี ๒๕๓๓ กันได้มั้ย?

ผ่านมากี่รัฐบาล ไม่มีรัฐบาลไหนสนใจแก้ปัญหา เพราะแดกเนื้อกันหมดแล้ว ทุกรัฐบาลจึงเมิน

เอกชนฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ยกเลิกสัญญาเขา คณะอนุญาโตตุลาการให้คมนาคมและการรถไฟฯ ชดใช้ค่าเสียหาย บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ร่วม ๓ หมื่นล้านบาท!

มาถึงรัฐบาลพลเอกประยุทธ์....

จะว่าไปต้องให้เครดิตและชม "ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" รมว.คมนาคมตอนนั้น ไม่ยอม ฮึดสู้ จนชนะ เซฟค่าโง่ให้ประเทศร่วม ๓ หมื่นล้าน

มือกฎหมายที่พลิกจากแพ้ให้กลับมาชนะ ก็คือ "คุณพีระพันธุ์" ผู้นี้แหละ

อดีตท่านเป็นผู้พิพากษา เมื่อนายกฯ ประยุทธ์มอบให้เข้าไปดูเรื่องนี้ ท่านใช้เวลาร่วม ๓ ปี ขุดเอกสารต่างๆ มาดูตามแง่มุมกฎหมาย

ก็ไปสู้ในศาล....

ปรากฏว่า จากที่แพ้-จ่ายแน่ เพราะไม่มีรัฐบาลไหนสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ เมื่อรัฐบาลประยุทธ์ โดย "รมว.ศักดิ์สยาม" สู้

ปรากฏว่า ชนะ "พลิกล็อก-พลิกโลก"

"ศาลปกครองกลาง" มีคำพิพากษา เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ที่ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท.ชดใช้ค่าโง่โฮปเวลล์ ๒.๔ หมื่นล้านบาท

พร้อมดอกเบี้ยแก่บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด

ศาลเห็นว่า "บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด" ยื่นฟ้องคดีพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ "พ้นกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด"!

เนี่ย....

ถ้าคุณพีระพันธุ์อยากได้ค่าโอเลี้ยงซักสี่ซ้าห้าพันล้าน แลกกับการไม่เป็นคานเข้าไปสอดหมูที่เขากำลังจะหามกัน

พูดได้คำเดียว "สบายมาก"!

เพราะเป็นคนไม่ชอบ "สบายมาก" นั่นแหละ จึงถูกเจ้าของคอกหมาไล่ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

คุยแล้วก็รากงอก ตั้งใจจะแตะนิดเดียว ดันเลี้ยวลงคู-ลงคลอง ที่ตั้งใจคุยเรื่อง "พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล" ก็เลยหมดเนื้อที่

เอาเป็นว่าเมื่อวาน (๑๖ ธ.ค.๖๗)" ศาลปกครองสูงสุด "มีคำสั่ง" ยกคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองของบิ๊กโจ๊ก

นั่นคือ "สิ้นสุดทางเลื่อนของ แมว ๙ ชีวิต" ลงแค่นี้

เป็นไปตามคำสั่ง ผบ.ตร. "พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์" และมติ "ก.พ.ค.ตร."

ที่ให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ "ออกจากราชการไว้ก่อน"!

กรณีถูกกล่าวหา "ทำผิดวินัยร้ายแรง" จนถูกตั้งกรรมการสอบสวน กรณีมีพฤติการณ์...

เกี่ยวข้องเว็บพนันออนไลน์  BNKMASTER จนถูกดำเนินคดีอาญา

และถูกศาลอาญาออกหมายจับในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน"

และ "เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน"

ก็สู้ต่อไปนะ แพ้เป็นโจ๊ก ชนะเป็น "เทพโจ๊ก"!.

-เปลว สีเงิน

๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๗

คนปลายซอย

‘พีระพันธุ์’ แจ้งข่าวดี! กบง. ตรึงราคา LPG อีก 3 เดือน ที่ราคา 423 บาทต่อถัง มีผล 1 ม.ค. ถึง 31 มี.ค. 68

(17 ธ.ค. 67) ข่าวดี!! ‘พีระพันธุ์’ เผยที่ประชุม กบง. มีมติ คงราคาขายส่งก๊าซ LPG นาน 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 31 มี.ค. 2568

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมได้มีมติให้คงราคาขายส่งก๊าซ LPG หน้าโรงกลั่นที่ 20.9179 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยมีกรอบเป้าหมายให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ประมาณ 423 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค. 68

ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) พิจารณาบริหารจัดการเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับแนวทางการทบทวนการกำหนดราคาก๊าซ LPG ต่อไป

‘พีระพันธุ์’ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วมวันเดียว 9 จุด สั่งเร่งฟื้นฟูความเป็นอยู่ประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

เมื่อวันที่ (18 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมหลายจังหวัดทางภาคใต้ซึ่งส่งผลให้ประชาชนในหลายพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน  ตนในฐานะที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบดูแลเขตตรวจราชการที่ 5 ซึ่งประกอบด้วย จ.ชุมพร  จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช จ.พัทลุง และ จ. สงขลา จึงลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.ชุมพร  จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งอยู่ในเขตตรวจราชการที่ได้รับมอบหมาย

ทั้งนี้  นายพีระพันธุ์ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ของทั้ง 3 จังหวัด รวม 9 แห่ง ได้แก่  1.โรงเรียนวัดปากด่าน ต. สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร 2.โรงเรียนครนพิทยาคม ต.ครน อ.สวี จ.ชุมพร 3. เทศบาลบ้านนาโพธิ์ ต.นาโพธิ์ อ.สวี จ.ชุมพร  4.โรงเรียนทุ่งตะโก ต.ทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร 5.ศูนย์พักพิงผู้ประสบภัยชั่วคราว บ้านบ่อน้ำร้อน ม.5 ต.กรูด อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี 6.วัดปากคู ต.ช้างซ้าย จ.สุราษฎร์ธานี 7.โรงครัวชั่วคราว สี่แยกกาญจนดิษฐ์ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี 8.โรงเรียนบ้านเผียน ต.เทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช 9.วัดคงคาเลียบ ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช  โดยได้สั่งการให้หน่วยงานราชการต่าง ๆ รวมทั้งหน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เร่งประสานงานให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า  นอกจากการทำหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแล้ว  ตนยังได้รับมอบหมายให้ดูแลเขตตรวจราชการที่ 5 ซึ่งประกอบด้วย 5 จังหวัด และขณะนี้ทุกจังหวัดกําลังประสบเหตุน้ำท่วมใหญ่จากฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนัก โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตนก็ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัด พัทลุง และสงขลา และได้พบปะเยี่ยมเยียนประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

“มาลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมก็ได้เห็นสถานการณ์อย่างที่ได้รับรายงานมา  น้ำท่วมคราวนี้หนักมากนะครับ แม้จะเป็นลักษณะมาเร็วไปเร็ว แต่ก็มาหนัก มาแรง มาเยอะ  และมีปริมาณน้ำมากกว่าทุก ๆ ปี  ไล่ตั้งแต่ชุมพรลงไป  พื้นที่บางแห่งแม้วันนี้จะไม่มีน้ำท่วมแล้ว แต่ก็ทิ้งความเสียหายไว้มาก ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทาง บ้านเรือนที่อยู่อาศัย  รวมทั้งโรงเรียนของเด็กๆ  ที่ไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ และที่สำคัญคือมีผู้เสียชีวิต ซึ่งต้องขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบและสูญเสียในครั้งนี้ด้วย” นายพีระพันธุ์กล่าว

นายพีระพันธุ์กล่าวอีกว่า สิ่งที่เราต้องช่วยกันวันนี้ก็คือ การฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน  และขอขอบคุณทุก ๆ ฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือ ทั้งทางด้านกองทัพที่ส่งทหารมาช่วยฟื้นฟู และ ทาง อบต. ที่พยายามจัดงบประมาณเร่งด่วนมาทําความสะอาดโรงเรียน ตลอดจน สส.ในพื้นที่และผู้ประกอบการหลายรายที่ได้จัดหาเครื่องอุปโภคบริโภค รวมไปถึงวัตถุดิบในการทําอาหารมาดูแลประชาชน

“ ในส่วนของกระทรวงพลังงานที่ผมรับผิดชอบอยู่ ก็ต้องขอบคุณทาง ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ได้กรุณาจัดถุงยังชีพไปช่วยพี่น้องประชาชน น้ำท่วมครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าหนักมาก ในหลายพื้นที่ก็เคยรุนแรง แต่ก็ไม่รุนแรงเท่านี้ ถึงแม้จะไปเร็ว แต่สร้างความเสียหายทิ้งไว้เยอะ เหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ และขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่บริจาคสิ่งของมา  รวมทั้งหน่วยราชการทุกภาคส่วนที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือ อย่างน้อยก็ทำให้พี่น้องชาวภาคใต้ก็รู้สึกมีขวัญกําลังใจ  ซึ่งก็ต้องช่วยดูแลกันต่อไปครับ” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘พีระพันธุ์’ ผุดไอเดียแปลงพลังน้ำเป็นพลังงานไฟฟ้า ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน แถมชาวบ้านได้ใช้ไฟราคาถูก

‘พีระพันธุ์’ ผุดไอเดียแปลงพลังน้ำเป็นพลังงานไฟฟ้า แก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน แถมประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าราคาถูก

จากการลงพื้นที่ภาคใต้ของ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา นายพีระพันธุ์ได้เปิดเผยถึงวิธีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนอีกแนวทางหนึ่ง นั่นคือ การแปลงพลังงานน้ำให้เป็นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนอกจากจะช่วยชะลอกระแสน้ำไม่ให้สร้างความเดือดร้อนเสียหายแก่ประชาชนแล้ว ความแรงของกระแสน้ำยังสามารถนำไปผลิตไฟฟ้าในต้นทุนต่ำเพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของครัวเรือน และยังเป็นแหล่งกักเก็บน้ำสำหรับใช้ในการเกษตรได้ด้วย

นายพีระพันธุ์กล่าวว่า จากการไปตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนครั้งนี้ ตนเห็นว่าในบางพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำมากและไหลแรงสามารถนำกระแสน้ำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งจะเป็นอีกแนวทางในการแก้ปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากอย่างยั่งยืน และสามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีน้ำใช้ในการเพาะปลูก อีกทั้งยังช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานน้ำมีต้นทุนถูกกว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติหลายเท่า โดยตนได้มอบหมายให้ทางพลังงานจังหวัดศึกษาข้อมูลรายละเอียดและประสานงานกับส่วนกลางเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ต่อไป 

“จากการที่ผมได้ไปตรวจเยี่ยมติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่ บ้านห้วยน้ำเน่า อ.สิชล ผมก็ได้แนวทางแก้ปัญหาน้ำท่วมอีกวิธีหนึ่ง พื้นที่ตรงนั้นมีปริมาณน้ำเยอะและไหลแรง แต่ผมไม่ได้เห็นเป็นแค่น้ำ ผมเห็นเป็นไฟฟ้า ผมเลยคิดว่าตรงนี้น่าจะทำเป็นแหล่งเก็บน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กให้ชาวบ้าน ซึ่งจะช่วยชะลอน้ำเวลาถึงฤดูน้ำหลาก และยังสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้เพื่อการเกษตร ขณะเดียวกัน แรงของน้ำที่ไหลผ่านยังสามารถนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างน้อย 2 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถดูแลพี่น้องประชาชนได้ประมาณ 400 ครัวเรือน และจะช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าหลัก ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.18 บาทต่อหน่วยเพราะผลิตจากก๊าซ ขณะที่ต้นทุนการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำอยู่ที่ประมาณ 1 บาทกว่า ๆ เท่านั้น ผมกำลังให้กระทรวงพลังงานรวบรวมข้อมูลและศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดทำเป็นโครงการต้นแบบในการแก้ปัญหาน้ำท่วมอีกแนวทางหนึ่ง” นายพีระพันธุ์กล่าว

‘ดร.อาทิตย์’ ชื่นชม!! ‘พีระพันธุ์’ ลุยปฏิวัติโครงสร้างพลังงาน เพื่อความเป็นธรรม ชี้!! ไม่ยึดผลประโยชน์ของตนเอง และนายทุนพวกพ้อง เหมือนนักการเมืองคนอื่น

(22 ธ.ค. 67) ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยรังสิต อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ชื่นชมนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยดร.อาทิตย์ ได้ระบุว่า 

ผมขอชื่นชมและสนับสนุนท่านพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองรายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ปฏิวัติโครงสร้างพลังงานเพื่อความเป็นธรรมและประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง โดยไม่ยึดผลประโยชน์ของตนเองและนายทุนพวกพ้องเหมือนนักการเมืองคนอื่น

‘สส. รทสช.’ ร่วมให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ ตอกย้ำหนักแน่น พร้อมขอเดินเคียงข้างพรรคเสมอ

กลมเกลียวเป็นหนึ่ง ‘อัครเดช’ เผย สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมให้กำลังใจ ‘พีระพันธุ์-เอกนัฏ’ เดินหน้าทำสิ่งที่ถูกต้อง ย้ำหนักแน่นเคียงข้างพรรคเสมอ

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะโฆษกพรรค แถลงผลการประชุมประจำสัปดาห์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยระบุว่า ในวันนี้ทั้งผู้บริหารพรรค สส.พรรคได้เดินทางมาประชุมร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงและพร้อมใจกันให้กำลังใจนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป เนื่องจากเข้าใจดีว่า การทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน แต่ไปขัดขวางผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ย่อมทำให้เกิดกลุ่มผู้เสียผลประโยชน์และผู้ไม่หวังดีที่พยายามปล่อยข่าวดิสเครดิต เพื่อหวังให้พรรคเสียหาย ซึ่งในที่ประชุมทั้งผู้บริหารพรรค สส. และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนก็ยืนยันตรงกันอีกครั้งว่า จะขออยู่เคียงข้างหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และพร้อมเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อเป็นความหวังของพ่อแม่พี่น้องประชาชนและประเทศไทยต่อไป

ด้านนายพีระพันธุ์ ได้แจ้งต่อที่ประชุมด้วยว่า ขณะนี้พรรคได้คะแนนนิยมและเสียงตอบรับที่ดีขึ้นจากประชาชน เห็นได้จากยอดเงินบริจาคที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงขอให้สส. พรรคทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนพ่อแม่พี่น้องประชาชน และขอให้ทุกคนเดินเคียงข้างไปพร้อม ๆ กันกับตนเองและเลขาธิการพรรค เพื่อพัฒนาพรรคให้เติบโต แข็งแกร่ง เป็นที่พึ่งของประชาชนต่อไปให้เหมาะสมกับคำขวัญของพรรคที่ว่า “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง”

ขณะเดียวกันในวันที่ 25 ธ.ค. 67 เวลา 11.00 น. จะมีการแถลงข่าวมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย นำโดยนายพีระพันธุ์และนายเอกนัฏ และสส. พรรค เกี่ยวกับการปลดล็อก “โซลาร์รูฟท็อป” ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาดได้ในราคาที่ถูกและเป็นธรรมด้วย

‘พีระพันธุ์’ ยัน ไม่โกรธ-ไม่สนใจ ฉายา “พีระพัง” ที่สื่อทำเนียบตั้งให้ พร้อมย้อนถามใครแก้ปัญหาได้เร็วกว่าตน

(25 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายาให้เป็น “พีระพัง” ว่า ตนเองไม่ได้อ่าน แต่ประชาชนได้ชี้แจงแทนตนเองหมดแล้ว ดังนั้น จึงไม่โกรธ และไม่ได้สนใจ เพราะแทบจะไม่มีเวลาทำงานอยู่แล้ว 

ส่วนการที่ได้รับฉายา “พีระพัง” อาจเป็นเพราะแก้ไขปัญหาด้านพลังงานล่าช้าหรือไม่นั้น นายพีระพันธุ์ ได้ย้อนถามสื่อมวลชนกลับว่า มีใครแก้ปัญหาได้เร็วกว่าตนเองหรือไม่? และ 1 ปีที่ผ่านมา ตนก็มีผลงาน ก่อนที่สื่อมวลชนจะถามเช่นนี้ ต้องถามก่อนว่า มีใครทำได้เร็วกว่าตน? และกระบวนการต่าง ๆ ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนเอง ซึ่งถ้าทุกอย่างอยู่ภายใต้การดูแลของตนเองพรุ่งนี้ก็สามารถประกาศได้ ดังนั้น อยากให้เร็ว จะต้องแก้กฎหมาย แก้ระบบ และมีกฎหมายเข้าสภา

นายพีระพันธุ์ ยังยืนยันว่า ภายใต้การดูแลของตนเองทุกอย่างจะถูกลง ประชาชน และประเทศชาติ จะได้ประโยชน์มากขึ้น รวมถึงจะสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ลดต้นทุนการผลิตสินค้าให้ประชาชน 

นายพีระพันธุ์ ยังระบุอีกว่า วันก่อนมีสื่อมวลชนกล่าวถึงตนเองว่า ไม่เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งตนเองไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ และสื่อมวลชนน่าจะฉลาดกว่านี้ 

ส่วนกังวลจะมีม็อบมากดดันเรื่องการแก้ไขปัญหาพลังงานหรือไม่นั้น นายพีระพันธุ์ ยืนยันว่า ไม่กังวล เพราะพรรคฯ ทำเพื่อประชาชนได้ประโยชน์

ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (25 ธ.ค. 67) นายพีระพันธุ์ พร้อมด้วย สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังได้แถลงข่าวร่วมกันในการปลดล็อก “โซลาร์รูฟท็อป” เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนในการลดค่าไฟฟ้า เนื่องจากที่ผ่านมา ทุก 4 เดือน จะต้องมีการปรับราคาค่าไฟฟ้าทุก ๆ 4 เดือน เพราะไฟฟ้าไทยยังต้องใช้เชื้อเพลิงมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต ราคาจึงต้องขึ้นกับตลาดโลก และพบว่า การให้ประชาชนหลุดพ้นจากค่าไฟที่แพง จึงต้องสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานจากแสงแดด แต่การติดตั้งของประชาชนในประเทศยังยุ่งยากด้านกฎหมาย มีราคาแพง มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเกี่ยวพัน ใช้เวลานานในการดำเนินการขออนุญาต ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกระทรวงพลังงานดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งจะมีร่างกฎหมายสนับสนุนให้ประชาชนใช้พลังงานไฟฟ้าจากแสงแดด ที่ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน และพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ยกร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จสิ้นแล้ว โดยประชาชนจะสามารถติดตั้ง “โซลาร์รูฟท็อป” ได้อย่างสะดวก เพื่อแค่ยื่นแจ้งเพื่อทราบ ไม่ต้องมีการขออนุญาตใด ๆ และให้ประชาชน ดำเนินการตามขั้นตอนที่กระทรวงฯ จะกำหนด และจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบความถูกต้องภายหลัง จึงมั่นใจว่า ประชาชนจะสามารถใช้ราคาไฟฟ้าที่ถูกขึ้น และจะส่งผลให้สินค้าอื่น ๆ ถูกขึ้นด้วย เนื่องจาก ราคาไฟฟ้าซึ่งเป็นต้นทุน มีราคาถูกลง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top