Monday, 9 June 2025
พรรคเพื่อไทย

‘แพทองธาร’ นำทัพ พท. เปิดตัวนโยบายใหม่ ชู “คนไทยไร้จน” เติมรายได้ขั้นต่ำ 2 หมื่นทุกครอบครัว

เมื่อวันที่ 17 มี.ค.66 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ขึ้นเวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ เปิดตัวนโยบายใหม่ จากพรรคเพื่อไทย พร้อมผู้ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 400 คน ณ ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

นางสาวแพทองธาร กล่าวบนเวทีประกาศความพร้อมพรรคเพื่อไทยที่จะพาประเทศไทยข้ามผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่กำลังเผชิญทั้งสภาวะยากจน สภาวะสงคราม และโรคระบาด หมดเวลายื้ออำนาจรัฐบาลที่ไม่เข้าใจประชาชน ขาดความรู้ ความเท่าทันสถานการณ์โลก เพราะท่ามกลางปัญหาที่ถูกทับถมเอาไว้ หากคิดไม่ใหญ่ เอาไม่อยู่

พรรคเพื่อไทยจึง ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ พร้อมประกาศ 3 นโยบายที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตคนไทยให้อยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี

เริ่มจากนโยบายแรก ลดช่องว่างรายได้คนไทยที่ต้องช่วยเหลือทันที ให้ทุกคนมีรายได้เพียงพอ ต่อการดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีรายได้ที่สูงมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราเติบโตของรายได้ต่อหัวโตช้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน พรรคเพื่อไทยจึงมีนโยบายเติมรายได้ให้ทุกครอบครัวมีรายได้ขั้นต่ำ 20,000 บาท / เดือน เราจะเติมเงินให้ในระยะชั่วคราวไปจนกว่านโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนจะสำเร็จ เพื่อให้เงินหมุนเวียนในระบบ รัฐก็จะมีรายได้จากภาษีเพิ่มขึ้น แพทองธารเพิ่มเติมว่านโยบายนี้อาจดูเหมือนประชานิยม แต่ความจริงแล้วคือการยกระดับ GDP ประเทศ  เงินที่จะใช้ ก็จะมาจากภาษีที่เก็บได้เพิ่มขึ้นนั่นเอง 

ถัดมาในนโยบายที่สองคือการสร้าง Blockchain ที่จะทำให้ไทยการเป็นศูนย์กลาง Fintech (เทคโนโลยีทางการเงิน) ของอาเซียน เปิดโอกาสให้คนไทยสามารถระดมทุนจากทั่วโลกได้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจขนาดเล็ก รวมทั้งการระดมทุนให้กับเกษตรกร  ตลอดจนการขายสินค้าล่วงหน้า รวมถึงผู้ที่มีความสามารถทางด้านอื่นๆ ก็จะขายผลงานของตนไปทั่วโลกได้สะดวกขึ้น ผ่านระบบที่ง่ายเหมือนแอพพลิเคชันธนาคารในโทรศัพท์

และนโยบายที่สาม แพทองธารได้เน้นย้ำปัญหา PM2.5  ที่พรรคเพื่อไทยตั้งใจจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยยกภาพถ่ายดาวเทียมของนาซ่า ที่แสดงร่องรอยสีแดงในประเทศไทย และเพื่อนบ้าน อันเกิดจากการเผาป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย 

ปทุมธานีบิ๊กแจ๊สต้อนรับอุ๊งอิ๊ง เพื่อไทยเปิดตัว400ว่าที่ผู้สมัคร เฉลิมย้ำแจ็สยังไงก็เพื่อไทย

(17 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. ที่อาคารยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี พรรคเพื่อไทย นำโดย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย , นางสาวแพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และ นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็น ร่วมจัดงาน 'คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน' เปิดตัวผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส.เขต ทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ รวมถึงประกาศนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการบริหารพรรค, สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.), ผู้ประสงค์ลงสมัครรับการเลือกตั้ง ส.ส., สมาชิกพรรค และผู้สนับสนุนพรรคเข้าร่วมงาน จนแน่นสถานที่

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่เปิดเวที ในโอกาสนี้ พล.ต.ท.คำรณ ธูปกระจ่าง (บิ๊กแจ๊ส) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ร้อยตำรวจเอก ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต ได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจคุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย โดยคุณอุ๊งอิ๊งได้กล่าวขอบคุณบิ๊กแจ๊ส ส่วนนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวกับบิ๊กแจ๊สว่าเรายังเหมือนเดิม ทางด้าน ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง ได้พูดว่า บิ๊กแจ๊สจะไปไหนได้ยังไงอยู่เพื่อไทย มีการโบกธงเพื่อไทย ป้ายสนับสนุนยกเชียร์ พร้อมตะโกนโห่ร้อง ตั้งแต่หน้างานจนถึงบริเวณจัดงาน อากาศครึกครื้นตลอดเวลา

สำหรับพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานีทั้ง 7 เขต ประกอบด้วย เขต 1.นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล ที่ครองแชมป์มายาวนาน เป็นถึงอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ขุมกำลังหลักอยู่ที่อำเภอลาดหลุมแก้วและเมืองปทุม, เขต 2.นายศุภชัย นพขำ ลูกชาย นายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง เป็น สส.แชมป์เก่า และลงพื้นที่ตลอด, เขต.3 นายยุทธศักดิ์ ชูประเสริฐ นักการเมืองใหม่ที่เปิดตัวเดินลงพื้นที่มาหลายปีต่อเนื่อง อาสาอยากจะเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ , เขต 4.นายสุทิน นพขำ อดีต สส.ปทุมธานี น้องชาย นายกแป๊ะ นายสายัณ นพขำ อดีตนายกเทศมนตรีตำบลบ้านกลาง ครั้งนี้กลับมาลงสนามสู้ศึกอีกครั้ง , เขต 5.นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ แชมป์เก่าเขตนี้ยังคงเหนียวแน่น ลงพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องเป็น กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนฯที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด , เขต 6.นายมนัสนันท์ หลีนวรัตน์ อดีต ส.อบจ.ปทุมธานี เป็นและลูกชาย นายกฤษฎา หลีนวรัตน์ (นายกเบี้ยว) นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี และ เขต.7 นายยงยุทธ มั่นบุปผชาติ นายกเทศมนตรีตำบลลำลูกกา ที่เตรียมพร้อมลาออกลงมาต่อสู้ในสนามการเมืองใหญ่และมีฐานเสียงที่มั่นในพื้นที่ลำลูกกา

‘สมศักดิ์’ มั่นใจ 99% ‘เพื่อไทย’ ได้เป็นรัฐบาล ชี้ เห็นโอกาส มีนายกฯหญิงคนที่ 2

‘สมศักดิ์’ มั่นใจ 99% ‘เพื่อไทย’ เป็นรัฐบาล เผื่อใจเป็นฝ่ายค้านแค่ 1% ชี้เห็นโอกาส มีนายกฯหญิงคนที่ 2 จากตระกูลชินวัตร ยันตีไข่แตก ส.ส.ใต้ได้แน่ ปัดคุยจับขั้ว ‘พท.-พปชร.-ภท.’ 

วันที่ 20 มี.ค.2566 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ไทยพีบีเอสว่า ตนเองได้ส่งหนังสือสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ววันนี้ พร้อมระบุเหตุผลที่ตัดสินใจเข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย เพราะชื่นชอบทีมงานโดยเฉพาะทีมนโยบาย ที่สามารถปฏิบัติสำเร็จได้จริง ต่างจากพรรคการเมืองอื่น ที่ยังมีปัญหาเรื่องการไปสู่เป้าหมาย ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และไม่มีความชัดเจน 

นายสมศักดิ์ ยังมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทย จะตีไข่แตกได้ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ และส่วนตัวมีความคุ้นเคยกับคนภาคใต้หลายเรื่องโดยเฉพาะเรื่องที่เคยทำหรือมีแนวคิด เช่นปลดล็อกกระท่อมออกจากยาเสพติด โครงการเปลี่ยนวัวชนเป็น Soft Power ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามา การไกล่เกลี่ยหนี้สินให้ประชาชนทั่วประเทศได้ถึงแสนครอบครัว ตัดวงจรยาเสพติดสามารถยึดทรัพย์ได้หลายพันล้าน ซึ่งการเข้าพรรคเพื่อไทยก็จะนำนโยบายที่เคยทำเหล่านี้และมีแนวคิดจะทำไปนำเสนอ ดังนั้นขอให้คอยดูเพราะพรรคเพื่อไทย มีพื้นที่ว่างเพื่อให้ไปขับเคลื่อนได้ รวมถึงมั่นใจว่าเพื่อไทยจะได้เป็นรัฐบาล 99% ถ้าได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียวเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนถ้าสถานการณ์การเมืองพลิกการประเมินเกิดพลาดและเป็นฝ่ายค้าน นายสมศักดิ์กล่าวว่า เปอร์เซ็นต์ต่ำมาก ไม่ถึง 1% ส่วนโอกาสจะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวหรือไม่อยู่ที่พี่น้องประชาชน แต่ที่เข้าพรรคเพื่อไทยจะช่วยเท่าที่ทำได้ เพื่อเป้าหมายแลนสไลด์ 310 ส.ส.

ส่วนเรื่องขั้วการเมือง เพื่อไทย พลังประชารัฐและภูมิใจไทย หลังปรากฏภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล นำคณะแกนนำพรรคภูมิใจไทยไปพบพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และถัดมาอีกวันนายสมศักดิ์ และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าพบพลเอกประวิตรนั้น นายสมศักดิ์ ยืนยันไม่ได้เป็นการพูดคุยเรื่องจัดตั้งรัฐบาล เพียงแต่เข้าพบเพื่ออำลา ในอนาคตถ้ามีปัญหาขัดแย้งก็สามารถพูดคุยกันได้ 

เมื่อถามว่าขั้วการเมืองเหล่านี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้อาจจะเขม็งเกลียวในการเลือกตั้งแย่งคนจากพรรคนั้นไปพรรคนี้วิพากษ์วิจารณ์ว่ากันไป แต่หลังการเลือกตั้ง อาจต้องใช้คำพูดของพลเอกประวิตรคือ ก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่วันนี้ไม่ได้จับมือตั้งรัฐบาล ไม่ได้คุย และตนไม่ได้มีหน้าที่ ส่วนคู่แข่งในสนามเลือกตั้ง ครั้งนี้ ของพรรคเพื่อไทยคือความยากจนและการทำความเข้าใจกับประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง คู่แข่งไม่ใช่พรรคการเมืองที่จะสู้กัน เพราะมันข้ามจุดนั้นไปแล้ว 

นายสมศักดิ์ ยังปฏิเสธไม่ได้พูดคุยหรือดีลตรงกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย แต่คนในพรรคเพื่อไทยขานรับดีมาก ขอบคุณที่เข้าไปแล้วไม่ว้าเหว่ ได้ทำงานร่วมกัน และยืนยันว่าจะไม่มีกลุ่มไปต่อรองใดๆ โดยเฉพาะกลุ่มสามมิตรตอนนี้แยกย้ายไปอยู่หลายพรรค

‘เศรษฐา’ ชี้โอกาสมาถึงแล้ว พท. พร้อมสร้างความเปลี่ยนแปลง ลั่น เตรียมทวงคืนศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลก

เมื่อวันที่ 20  มีนาคม 2566 ภายหลังจากที่มีการออกพระราชกฤษฎีกายุบสภา นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า วันนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในอีกไม่เกิน 60 วันข้างหน้านี้ ที่คนไทยทุกคนจะได้คัดเลือกผู้แทนประชาชนชุดใหม่ ทดแทนชุดที่กำลังหมดวาระ ถือเป็นช่วงเวลาที่คนไทยทุกคนมีสิทธิ และบทบาทเท่าเทียมกันต่อการกำหนดทิศทาง 4 ปีถัดจากนี้ของประเทศไทย ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง

นายเศรษฐา ระบุต่อว่า ตนอยากเชิญชวนทุกท่านศึกษานโยบาย จุดยืน และอุดมการณ์ของพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อหาพรรคการเมืองที่จะมาเป็นความหวังของท่าน ที่จะมาเป็นผู้ทำให้ภาพประเทศไทยในฝันของท่านเป็นจริง ที่จะมาขับเคลื่อนประเทศและทำให้ชีวิตของทุกท่านดียิ่งขึ้น

"พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม และทวงคืนศักดิ์ศรีของประเทศไทยในเวทีโลกอีกครั้ง โอกาสของทุกท่านที่จะกำหนดทิศทางของประเทศมาถึงแล้ว" นายเศรษฐา ระบุ

‘ณัฐวุฒิ’ เผย พท. เตรียมเปิดเวทีปราศรัย 22-26 มี.ค. 5 วัน 5 จังหวัด 5 เวที นนทบุรี-อยุธยา-กทม.-สระบุรี-นครปฐม

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมเปิดเวทีปราศรัยตั้งแต่วันที่ 22-26 มีนาคม 2566 รวม 5 จังหวัด 5 เวที ได้แก่ นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา กทม. สระบุรี และนครปฐม นำโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมแกนนำพรรคและผู้ประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. พรรคเพื่อไทย เริ่มจากวันที่ 22 มีนาคม 2566 เปิดเวทีปราศรัย ณ ลานท่าน้ำนนท์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี เวลา 17.30 - 19.30 น. ซึ่งเป็นเวทีแรกหลังการประกาศยุบสภา ซึ่งนางสาวแพทองธาร จะร่วมเวทีปราศรัยนี้ด้วย

จากนั้นในวันที่ 23 มีนาคม 2566 เปิดเวทีปราศรัยที่ตลาดน้ำอโยธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนในวันที่ 24 มีนาคม จะเปิดเวทีปราศรัยพร้อมเปิดตัวผู้ประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. กทม. 33 คนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พร้อมนำเสนอ นโยบาย แนวคิดการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน สถานที่และเวลาจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง

'เศรษฐา' ขอบคุณ 'ทักษิณ' ชมเป็นนายกฯได้ ด้าน 'ชลน่าน' ออกตัวยังไม่เคาะชื่อแคนดิเดตฯ

‘เศรษฐา’ เผย รู้สึกเป็นเกียรติ ‘ทักษิณ’ ชม ชี้ ยังมีข้อต่างอีกเยอะ ลั่น หากเป็นนายกฯ จะไม่ตั้งคณะกรรมการซ้อนกรรมการ แก้ปัญหาปชช. ชู หลักคิดเร็ว ทำเร็ว ด้าน ‘ชลน่าน’ บอก เรื่องแคนดิเดตเป็นแค่ความเห็นของ ‘อดีตนายกฯ’

(22 มี.ค. 66) ที่จ.นนทบุรี นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการปราศรัยในเวทีแรก หลังนายกฯประกาศยุบสภาฯ ว่า จัดเต็มทุกเวที ไม่มีข้อยกเว้น เราเสนอนโยบายตามความเป็นจริงทุกอย่าง ทั้งนี้ สำหรับเวทีที่นนทบุรี เราจะเน้นหลายประเด็น ซึ่งเหมือนทุกจังหวัดที่เน้นเรื่องความยากจน ความเหลื่อมล้ำ ความล้มเหลว ขณะนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของกระบวนการคืนอำนาจสู่ประชาชน และขอให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันเยอะๆ

เมื่อถามว่า มองประเด็นที่เมื่อคืนนี้ (21 มี.ค.) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เปรียบเทียบนายเศรษฐา เหมือนตอนที่นายทักษิณเข้ามาทำงานการเมืองแรกๆว่าอย่างไร นายเศรษฐา กล่าวว่า เราก็มีความเหมือนกันได้ แต่เมื่อมีความเหมือนก็มีความแตกต่างในตัวของมันเอง ถือเป็นเกียรติเพราะท่านก็เป็นนายกรัฐมนตรีที่ประสบความสำเร็จ และได้รับความนิยมชมชอบมาตลอดกาล ส่วนในความแตกต่างที่ตนพูดถึงนั้นมีหลายอย่าง ท่านเองเป็นคนที่ก่อร่างสร้างตัวมา ตนมาช่วยเติมเต็ม ท่านวางรากฐานมาไว้ดีอยู่แล้ว และเรามีบุคคลที่มีคุณภาพในพรรค

เมื่อถามว่า การที่นายทักษิณ ชมนายเศรษฐาเช่นนั้นอนาคตจะชูเป็นแคนดิเดตใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ขอให้เป็นขั้นเป็นตอนไป คณะกรรมการบริหารก็จะประชุมกันในเร็ววันนี้ ขอให้อดใจรออีกนิด เพราะมีคนที่มีคุณภาพอยู่หลายคน ขอเวลาเล็กน้อย ให้เป็นไปตามขั้นตอนดีกว่า

เมื่อถามว่า หากเป็นนายกรัฐมนตรีครั้งแรกจะทำได้ดีเหมือนนายทักษิณหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เมื่อย้อนหลังไป 20 ปี ที่ผ่านมา ตนมองว่าธุรกิจที่ท่านทำประสบความสำเร็จมากกว่าตนเยอะ ท่านก่อร่างสร้างตัวจากตรงนั้นก็เป็นอะไรที่น่าชื่นชม และเป็นอะไรที่เปรียบเทียบกับตนยังไม่ได้

เมื่อถามต่อว่า ทั้งนายทักษิณและนายเศรษฐามาจากภาคธุรกิจเช่นกัน ในทางการเมืองจะนำวิธีการทำงานอะไรของนายทักษิณมาปรับใช้หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนคิดว่าเป็นหลักการคิดเร็ว ทำเร็ว และต้องมีการวิเคราะห์ถึงความเสี่ยง เปรียบเทียบกับความเร่งด่วนว่าจะมีการบริหารจัดการอย่างไร ไม่ใช่การตั้งคณะกรรมการซ้อนกรรมการ ถ้าทำแบบนั้นปากท้องแห้งพอดี

เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่กองเชียร์พรรคเพื่อไทย ออกปากเชียร์ทั้งนายเศรษฐา และน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่กองเชียร์ไม่ได้เอ่ยชื่อ เพียงแต่ตนอาจจะได้การสนับสนุน หรือออกสื่อมากหน่อย อาจจะเป็นเพราะตัวสูงมองเห็นง่าย แต่ตนก็รู้สึกว่ายังต้องเจียมตัว เพราะผู้ใหญ่ในพรรคหลายคนล้วนมีความสุดยอดทั้งนั้น

‘เฉลิม’ จัดหนัก 9 ความล้มเหลว ‘บิ๊กตู่’ ชี้ ตลอด 8 ปี ศก.ไทยนิ่งสงบ - ยาเสพติดเกลื่อนเมือง

(23 มี.ค.66) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษของพรรคเพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า กราบเรียนพี่น้องประชาชน กระผม ร้อยตำรวจเอก ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษของพรรคเพื่อไทย ต่อไปคงจะไม่มีเวลาเขียนข้อความลงในเฟซบุ๊ก เพราะต้องออกไปรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง วันนี้จึงขอเสนอความเห็นวิจารณ์การทำงานของ พล.อ. ประยุทธ์ รวม 9 ประเด็นด้วยกันที่รัฐบาลมีความบกพร่อง กล่าวคือ

1. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ทันสถานการณ์ ปฏิบัติไม่ได้ และ(แทบจะ) แก้ไขไม่ได้

2. นโยบายการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง(ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว) ล้มเหลว

3. ขาดวิสัยทัศน์ สั่งราชการทั้ง ๆ ที่ ขาดความรู้ความเข้าใจ

4. ภาพลักษณ์บนเวทีต่างประเทศไม่ดี

5. การแก้สถานการณ์โควิดประเทศล้มเหลว

6. นโยบายแจกเงินตลอดเวลาส่งผลเสียในระยะยาว

7. การบริหารเศรษฐกิจจากความขัดแย้งระดับโลกผิดพลาด

8. การควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมพรรคการเมือง

9. ขาดภาวะผู้นำ

สื่อและรัฐบาลชอบนำเสนอและกล่าวว่า “ความสงบมาจบที่ลุงตู่” สุดท้ายก็ไม่เป็นความจริง ผมได้พิจารณาแล้ว ควรจะเป็นสโลแกนว่า

1. เศรษฐกิจไทยนิ่งสงบจบที่มึง

2. ยาเสพติด พนันออนไลน์ ฉิบหายสมัยมึง

‘ลิณธิภรณ์’ ดัก!! หยุดใช้ปม ‘โทนี่กลับไทย’ สร้างประเด็นโจมตี พท. ชี้!! พรรคไม่หวั่นกระแสแซะ เหตุนโยบาย พท.อยู่ในใจ ปชช.

(25 มี.ค.66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) และรักษาการโฆษกพรรคพท. กล่าวกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ออกมาให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อต่างประเทศ ว่าพร้อมที่จะกลับมารับโทษจำคุกในประเทศไทย หากได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นในเดือน พ.ค.นี้จะออกมาเป็นอย่างไร ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขว้าง และถูกหยิบมาเป็นประเด็นทางการเมือง และเชื่อมโยงพรรคพท.ว่า นายทักษิณแสดงความคิดเห็นส่วนตัวในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่อยากกลับบ้าน และกลับมาอยู่กลับลูกหลานในช่วงบั้นปลายชีวิต และเพื่อเข้าสู่กระบวนการกฎหมายของไทยอย่างถูกต้อง

ที่ผ่านมาคดีต่างๆที่นายทักษิณถูกดำเนินคดี ล้วนเกิดจากฝั่งตรงข้ามทางการเมือง จนทำให้เกิดคำถามว่า ความยุติธรรมที่มีไว้เพื่อกำจัดฝั่งตรงข้ามจะยังใช่ความยุติธรรมไหม วันนี้หากนายทักษิณจะเดินทางกลับไทยและเข้าสู่การพิจารณาคดี ถือว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นเรื่องดีที่จะมาพิสูจน์ตนเอง ดังนั้นจึงไม่ควรใช้เป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง โดยการเชื่อมโยงบุคคลอื่นในคดีอื่นๆ

'ชลน่าน-เศรษฐา' ตอบปมทักษิณประกาศจะกลับมาติดคุก  ชี้!! เป็นความเห็นส่วนบุคคล เชื่อไม่กระทบแลนด์สไลด์

(25 มี.ค.66) - ที่สหกรณ์โคนมมวกเหล็ก อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า พร้อมที่จะกลับไปรับโทษจำคุกในประเทศไทย หากได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับครอบครัว ไม่ว่าผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 14 พ.ค.นี้ จะออกมาเป็นอย่างไร ว่าเท่าที่ตนได้ฟังเป็นการแสดงความคิดเห็นของนายทักษิณ ฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่มีความประสงค์จะกลับบ้านเกิด และนายทักษิณใช้คำว่าติดคุกมา 16 ปี และยินดีที่จะมาติดคุกกลับเมืองไทย เพราะต้องการจะมาอยู่ใกล้ลูก ซึ่งเป็นการแสดงความคิดเห็นของตัวท่านเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค

เมื่อถามว่า มองการโจมตีของพรรคการเมืองอื่นๆ ในกรณีที่นายทักษิณออกมาพูดในลักษณะนี้อย่างไร นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป็นช่วงที่มีการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง แต่ละพรรคก็พยายามหาจุดเด่นจุดด้อยของตัวเองและคู่แข่ง ฉะนั้นประเด็นอะไรที่เขาคิดว่าเป็นประโยชน์กับเขา เขาก็ย่อมหยิบยกขึ้นมา แต่โดยรวมนายทักษิณเอง เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของคนที่รักพรรค พท. ย้ำว่านายทักษิณไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค พท. เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แต่เป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพรรค พท. ดังนั้นความเชื่อความศรัทธา ของแต่ละคนก็เป็นสิทธิ์ของประชาชน และขณะเดียวกันคนที่ไม่ชอบนายทักษิณ ก็มีเป็นธรรมดา และประเด็นเหล่านี้เราต้องเฝ้ามองว่าจะกระทบต่อพรรคเรา มากน้อยขนาดไหนเท่านั้นเอง

“ในมุมที่เขามาใส่ร้ายที่เกินขอบเขต ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เราก็จะดูในมุมนั้น แต่ทั้งนี้มันคือมิติในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง อย่าให้กระทบสิทธิ์ และข้อกฎหมายแต่ละพรรค” นพ.ชลน่าน กล่าว

ส่วนกรณีที่นายทักษิณ ระบุว่า จะไม่ขอนิรโทษกรรมจากรัฐสภา แม้ว่าพรรค พท. จะชนะเลือกตั้งได้ครองเสียงข้างมากในสภาฯ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นความคิดของตัวนายทักษิณเอง ท่านบอกว่าถ้าท่านจะกลับมา ก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งนายทักษิณ ยินดีกลับเข้าสู่กระบวนการ ถ้านายทักษิณพูดแบบนั้น คงมั่นใจว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นไปตามหลักนิติธรรม และมีความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ซึ่งไม่เกี่ยวกับพรรค พท. ว่าจะต้องทำอะไร

‘เพื่อไทย’ พร้อมคืนชีพ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ มั่นใจ!! ทำได้ภายใน 100 วัน หลังเป็น รบ.

(28 มี.ค.66) ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย และนายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย ร่วมกับคณะที่ปรึกษา นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา, นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวนโยบาย 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ พลัส 

ผศ.พิมลกล่าวว่า นโยบายนี้เคยเกิดขึ้นครั้งแรกระหว่างปี 2544-2549 ที่นายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และประสบความสำเร็จอย่างมาก ในโอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ที่ได้เหรียญรางวัลมาถึง 6 เหรียญ หลังจากเกิดการปฏิวัติก็ได้ยกเลิกไป ถึงแม้จะเอากลับมาอีกครั้ง ก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเดิม จนปัจจุบันเหลือเพียงสมาคมกีฬาเทควันโดฯ เพียงสมาคมเดียวที่ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐวิสาหกิจอย่างธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตั้งแต่ปี 2548 มาจนถึงตอนนี้

ผศ.พิมลกล่าวอีกว่า เมื่อเห็นประโยชน์และความสำเร็จจากนโยบายนี้ในอดีต ทำให้เพื่อไทยอยากจะนำกลับมาอีกครั้ง ที่สำคัญรัฐวิสาหกิจไทยกว่า 20 แห่ง มีกำไร 2 แสนล้านบาทต่อปี ถ้าเจียดมาสัก 1 เปอร์เซ็นต์มาช่วยวงการกีฬา ก็จะสร้างสิ่งดี ๆ ให้ทั้งสังคม เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยิ่งนักกีฬาไทยได้เหรียญทอง ได้ฟังเพลงชาติไทย เป็นความสุขของคนไทย ครั้งนี้ถ้าเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะทำให้สำเร็จภายใน 100 วันแรก โดยแนวทางจะตั้งคณะกรรมการที่ดูแลโดยกระทรวงการคลัง 7-9 คน พิจารณาการสนับสนุนสมาคมกีฬาต่าง ๆ ช่วงแรกเน้นไปที่กีฬาสากลที่มีในโอลิมปิกเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, ซีเกมส์ ที่หวังผลเป็นเลิศได้

ผศ.พิมลกล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐวิสาหกิจจะได้รับจากการสนับสนุนสมาคมกีฬานี้ จะได้สิทธิผู้สนับสนุนมีที่นั่งในคณะกรรมการบริหารสมาคมอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง รวมทั้งสามารถตรวจสอบความโปร่งใสเรื่องงบการเงินของสมาคมได้ ที่สำคัญสมาคมต้องสร้างผลในระดับนานาชาติซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดในการสนับสนุนต่อไปในอนาคตด้วย

“สมาคมที่ใช้เงินเยอะก็ต้องจับกับรัฐวิสาหกิจที่เงินเยอะหน่อย ต้องเป็นการพูดคุยกันว่าสมาคมไหนเหมาะกับหน่วยงานไหน ไม่มีอะไรตายตัว แต่จะอธิบายกับรัฐวิสาหกิจว่าสร้างประโยชน์กับวงการกีฬาและประเทศ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจอย่างไรบ้าง” ประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top