Monday, 21 April 2025
พรรคส้ม

'หมอพรรคส้ม' ห้าว!! ลุกตัดงบกลาโหม ปมขยายโรงงานยาทหาร ด้าน 'จิรายุ' สวน!! เพราะบางยาให้เอกชนผลิตไม่ได้ ต้องควบคุมไง

เมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.กัลยพัชร รจิตโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายตัดงบกระทรวงกลาโหม ในส่วนของการสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ 938 ล้านบาท โดยยกข้อมูลที่สับสน ไม่เป็นความจริง นำพาสังคม ไปสู่ความเข้าใจผิดในหลายประเด็น เช่น การตั้งคำถามเกี่ยวกับยาซูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) หรือยาที่เรียกกันว่า ยาเสียตัว โดยกล่าวว่า ‘หลัง ๆ ยาชนิดนี้ไม่มีขายเท่าไรเพราะเป็นสารตั้งต้นยาบ้า ยาไอซ์‘ พร้อมนำมาอภิปรายผูกติดกับข้อมูลที่ว่า ‘ไทยส่งออกยาไอซ์สูงสุดอันดับ 1’ นับเป็นการกล่าวร้ายประเทศไทยบ้านเกิดของคนไทยอย่างน่าตกใจ จงใจนำข้อมูลที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน มาอภิปรายเชื่อมโยงกันให้ประชาชนเข้าใจผิด จนทำให้คนไทยทั้งประเทศไทยเสียหาย

จึงขอเรียกร้องให้ สส.คนดังกล่าว อภิปรายด้วย ‘ความทรงภูมิใหม่’ เพื่อชี้แจงความจริงต่อสังคมว่า ผู้ที่สามารถจำหน่ายซูโดอีฟีดรีนสูตรเดี่ยวนั้น ความจริงคือผลิตได้เฉพาะผู้รับอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ฯ กระทรวง ทบวง กรม สภากาชาดไทย องค์การเภสัชกรรม หรือ ‘สถาบันอื่นของทางราชการตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา’ เท่านั้น ดังนั้น โรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นหน่วยงานในกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องผลิตทางการแพทย์ตามกฎหมาย และยานี้ห้ามขายในร้านขายยาทั่วไปตามกฎหมายอยู่แล้ว

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า การอภิปรายในสภา โดยไม่มีฐานข้อมูลรองรับที่ว่า ‘แทบทั้งโลกเลิกผลิตซูโดอีฟีดรีนแล้ว ไปใช้ยาตัวอื่น’ ไม่เป็นความจริง ณ วันนี้ยังมีการผลิตยาดังกล่าวเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ซึ่งเรื่องนี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ ‘หน่วยงานใดเป็นผู้ผลิต’ แต่ที่ผ่านมาคือ ‘การควบคุมการใช้ยา‘ โดยปัจจุบัน ยาชนิดนี้ถูกจัดให้อยู่กลุ่มวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 (วจ.2) การใช้ต้องขออนุญาตทุกครั้งและจำกัดการใช้ ในทางการแพทย์ ยาทั้ง 2 ตัว เป็นยาที่อยู่ในกลุ่มที่ใช้รักษาภาวะอาการเดียวกัน ทั้งหมดจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วย

ส่วนวาทกรรมที่ว่า ‘การผลิตยาไม่ใช่ภารกิจของกองทัพ’ และ ‘กองทัพทำงานที่ไม่ใช่ธุระ’ พร้อมไล่เรียงเนื้อหาเพื่อเข้าสู่ปลายทางการตัดงบสร้างโรงงานเภสัชกรรมทหารแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีนั้น ข้อเท็จจริงคือ โรงงานเภสัชกรรมทหาร เกิดขึ้น พ.ศ. 2484 - 2488 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงที่การผลิตยาเพื่อช่วยเหลือประชาชน และ ทหารในภาวะสงคราม จนปัจจุบันยังอยู่ในสังกัดปลัดกระทรวงกลาโหม ผลิตยาเพื่อใช้ในกองทัพ และที่ผ่านมาโรงงานเภสัชกรรมทหาร ช่วย GPO องค์การเภสัชกรรม ภายใต้กำกับของกระทรวงสาธารณสุข ผลิตยาใช้ในยามวิกฤต เช่น ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมปี 2554 ที่องค์การเภสัชกรรม ผลิตยาไม่ทัน เช่นกัน

ส่วนการอภิปรายเชิงประชดประชันว่า ‘ทหารเป็นหวัดคัดจมูกกันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอคะ’ ทั้งที่โรงงานเภสัชกรรมทหาร ผลิตยาป้อนเข้าโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปใช้ยานี้ได้ เนื่องจากเป็นยาที่ควบคุมการผลิต และจำเป็นที่จะต้องควบคุมการผลิต และส่งให้กับโรงพยาบาลเพื่อรักษาคนไข้ การยกเอาฤทธิ์ของยาที่ถูกจำกัดการใช้ และนำเหตุผลว่ายานั้นเป็นสารตั้งต้นของยาเสพติดขึ้นมาอภิปราย เพื่อ ‘สร้างความกลัว’ ให้กับสังคม ทำให้เข้าใจผิดคิดว่า ยานี้ให้โทษมากกว่าให้คุณ เป็นสิ่งที่ผู้ที่เป็นแพทย์ ไม่สมควรทำ และพรรคการเมืองเองก็ไม่สมควรที่จะเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวให้ประชาชนเข้าใจผิด

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Passakorn Ton Kongsakorn' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า... "ห้ามทหารผลิตยา แต่สนับสนุนสุราเสรี ไม่เลวจริงทำไม่ได้นะครับ"

เปิดเหตุผล!! ทำไมเลือกตั้งท้องถิ่น 'ส้ม' มักปราชัย สวนทางเลือกตั้งใหญ่ เพราะท้องถิ่นต้องวัดกันตัวต่อตัว ส่วนเวทีใหญ่พรรคอื่นตัดแต้มกันเอง

(9 ก.ย. 67) นายนิธิพัฒน์ พันธุ์ธุมจินดา นักธุรกิจ ฟาร์มปลาสวยงาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Nitipat Bhandhumachinda’ ระบุว่า...

มีเพื่อนถามผมว่าทำไม พรรคสีส้มถึงชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่เลือกตั้งย่อย ๆ ที่ไหน ก็มักจะไม่ชนะ

ผมก็เล่าให้ฟังว่า สมัยผมเรียนที่เกาหลีนั้น มีการเลือกตั้งผู้นำประเทศครั้งหนึ่ง ซึ่งเบอร์ ๑ นั้น เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนเก่าที่ใครต่อใครก็ไม่ชอบหน้า

เรียกว่างานนี้ดูยังไง ๆ ฝ่ายค้านที่มีตัวหลัก ๆ สองคนนั้น ส่งคนไหนมาแข่งก็ชนะแบเบอร์แน่ ๆ

แต่ก็ไม่รู้ฝ่ายค้านสองคนนั้นเอาความมั่นใจมาจากไหน ที่ดันแย่งกันลงแข่งทั้งคู่ เป็นผู้สมัคร เบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ โดยต่างก็มั่นใจว่าตนจะได้ชัยชนะแน่นอน

ผลก็ออกมาอย่างที่ผมคาดเอาไว้ คือคะแนนเบอร์ ๒ กับเบอร์ ๓ นั้น ถ้าเอามารวมกันก็ชนะเบอร์ ๑ แบบไม่ต้องลุ้น

แต่ผลสรุปแล้ว เบอร์ ๑ ได้เป็นผู้นำประเทศ เพราะคะแนนแยกของทั้งเบอร์ ๒ และเบอร์ ๓ ที่ดันแข่งกันเองนั้น สู้คะแนนที่ไม่ต้องแข่งกับใครของเบอร์ ๑ ไม่ได้ทั้งคู่

การเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่ผ่านมาของประเทศเรานั้น ขณะที่พรรคการเมืองทั้งหลาย ยังเล่นการเมืองแบบเดิม ๆ ส่งผู้แข่งขันไปแย่งคะแนนกันเหมือนเดิม ๆ และ เห็นหน้าก็รู้ว่า คงไม่มีเกมการเมืองใหม่ ๆ อะไรให้เล่นเลยนั้น

พรรคสีส้มเขามีฐานเสียงหลักของเขาที่อยากลองพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เหมือนการเมืองเดิม ๆ ไม่เคยต้องแย่งกับใคร และก็ไม่ได้มีพรรคไหนลงไปเเข่งขันแย่งฐานเสียงดังกล่าวนั้นตรง ๆ เลย

นั้นก็คือเหตุผลหลัก ๆ ที่ พรรคสีส้มได้คะแนนมากกกว่าพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่ มัวแต่ตัดคะแนนกันเอง จนไปไม่เป็นกันสักพรรค

ส่วนในการแข่งขันการเมืองย่อยไม่ว่าจะเลือกตั้งซ่อม เลือกตั้ง อบจ. อะไรต่อมิอะไรนั้น

พรรคส้มมักเจอคู่แข่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งคะแนนของส้มนั้น จริง ๆ ก็ไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ เมื่อไม่มีการตัดคะแนนกันให้วุ่นวาย

พรรคส้มก็มักจะปราชัยด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้

ผมไม่ได้เชี่ยวทางการเมืองขนาดจะสอนใครว่า  พรรคการเมืองควรจะรวมพลังกันในการเลือกตั้งใหญ่ หรือ ควรจะมีพรรคการเมืองใหม่มาเบียดแย่งคะแนนจากฐานเสียงของพรรคส้ม

แต่ถ้าถามว่า ทำไม พรรคน้อยใหญ่ไม่ชนะพรรคส้มในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว

ก็จะหาเหตุผลได้ประมาณนี้นะครับ

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' วิเคราะห์!! เหตุผลที่บางพรรคมักแพ้แล้วแพ้อีก ชี้!! ใช้วิธีคิดผิดๆ สนแต่ปกป้องต่างด้าว น้ำท่วมเหนืออีสานไม่สน

(16 ก.ย. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ‘ผิดที่วิธีคิด’ ระบุว่า…

“พรรคการเมืองแพ้แล้วแพ้อีก ได้คิดบ้างไหม มันเกิดอะไรผิดพลาดจากการสื่อสารกับประชาชน คิดไม่ออกจะบอกให้ พรรคนี้มีวิธีคิดที่ไม่ใช่ไทยแต่ลอกฝรั่ง ปกป้องแรงงานต่างด้าวเสนอให้อยู่ไทยนานขึ้น เสนอให้แรงงานต่างด้าวขายของได้ สนใจแต่จะช่วยแรงงานต่างด้าว ไม่เสนอให้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งเสียเลย…

“น้ำท่วมเหนืออีสานไม่พูดถึงเลย ไม่สนใจ เท่านั้นยังไม่พอ น้ำท่วมแทนที่จะลงไปดูแล กลับออกมาต่อว่า คนไทยเสียภาษีทำไม แต่ต้องพึ่งอาสาสมัครและเงินบริจาค ชัด ๆ เลยก่อนนี้ สส.เยอรมันตั้งประเด็นคำถาม ทำไมไทยถึงต้องพึ่งอาสาสมัครทำงาน…

“ฝรั่งไม่เคยทำงานฟรี ไม่มีความคิดจิตอาสา ทำงานต้องได้เงิน เสียภาษีแล้วรัฐต้องบริการ แต่อาสาสมัครทุ่มเทด้วยจิตอาสา ไม่คิดถึงเงิน หากอาสาสมัครไม่ช่วย กำลังจนท.เพียงพอหรือ ส่วนเงินบริจาค ท่าน สส.ไม่บริจาคก็ไม่มีใครว่า คนบริจาคด้วยหลักทานมัย แบ่งเบาภาระคนอื่น ไม่มีใครถูกบังคับให้บริจาค เป็นการช่วยเหลือพึ่งพากันเฉพาะหน้าให้ประทังชีวิตได้ไม่อดอยาก ไม่อยากบริจาคก็ควรเฉย ๆ เงียบ ๆ ไว้ อย่าพูด อายเขา…

“วิธีคิดอย่างนี้ ขอให้แพ้เลือกตั้ง ดีแต่ตอ…ไปวัน ๆ talk only no action”

'ดร.เสรี' ชี้ชัด!! แทบทุกพื้นที่คนไม่เอาพรรคส้มมีมากกว่าคนที่เอาพรรคส้ม สะท้อนสูตรการเมือง 1 ต่อ 1 ล้มพรรคส้มได้ แต่ถ้าเสียงแตก ‘ส้มจะชนะ’

(16 ก.ย. 67) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสารโพสต์เฟซบุ๊ก ถึงผลการเลือกตั้งซ่อมสส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลกว่า…

เห็นชัดกันแล้วยังว่าถ้าหากพรรคส้มสู้กับฝ่ายตรงกันข้าม จะเป็นพรรคไหนก็แล้วแต่ พรรคส้มจะแพ้ในทุกพื้นที่

แต่หากพรรคต่าง ๆ ที่สู้กับส้มลงมาแข่งทุกพรรค แล้วแย่งคะแนนกันจนเสียงแตก พรรคส้มก็จะชนะ ทั้ง ๆ ที่พรรคตรงกันข้ามกับส้ม เอาคะแนนมารวมกันจะมากกว่าส้ม

แสดงว่าแทบทุกพื้นที่คนไม่เอาพรรคส้มมีมากกว่าคนที่เอาพรรคส้ม แต่คนกลุ่มนี้มีพรรคให้เลือกหลายพรรคที่แย่งคะแนนกัน

ตัวเลขก็ชัดขนาดนี้แล้วว่าสู้แบบ 1 ต่อ 1 ส้มแพ้ แต่ถ้าสู้แบบ 1 ต่อหลายพรรคที่แย่งคะแนนกัน ส้มจะชนะ

เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ มองคณิตศาสตร์การเมืองกันไม่ออกหรือไร เมื่อไรจะถอดบทเรียนกันออกมาสักที สู้กันแบบนี้ ระวังส้มจะครองเมือง

หรือมันเป็นเรื่องศักดิ์ศรีที่พรรคต่าง ๆ ที่สู้กับส้มยอมกันไม่ได้ ถ้ายังคิดแบบนี้ เลือกตั้งคราวหน้าส้มมาแน่ ลองคิดอ่านกันหน่อยนะ จะสู้กับส้มย้งไง

คนที่ลงสมัครจะเข้ามาหาหัวหน้าพรรคแล้วบอกตัวเองมีฐานเสียงดีกันทั้งนั้น แล้วหัวหน้าพรรคก็เชื่อ หวังว่าจะชนะก็ส่งลงแข่งขัน

และต้องยอมรับว่าทุกคนที่บอกว่าตัวเองฐานเสียงดี มันก็ดีจริง ๆ แต่เมื่อฐานเสียงดีกันหลายคน คะแนนมันก็เลยแตก

สุดท้ายก็ต้องแพ้ส้มที่เสียงไม่แตก เมื่อเป็นเช่นนี้จะเปลี่ยนแนวทางสู้กันอย่างไร ถึงจะหยุดชัยชนะส้มให้ได้

รวมพรรคกันได้ไหม? ถอยให้กันได้ไหม? รู้ว่าลงไปก็สู้ไม่ได้ ลงไปก็ตัดคะแนนกันเปล่า ๆ ไม่ส่งในบางพื้นที่ได้ไหม

ได้แต่คิด แต่สิ่งที่คิดได้ คงไม่เกิดขึ้นอย่างที่คิด คงต้องทำใจยอมรับชัยชนะของส้ม เพราะพรรคที่สู้กับส้มทุกพรรคต่างมีศักดิ์ศรี

หัวหน้าพรรคทุกพรรคต่างก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรียังยอมกันไม่ได้ เลยต้องตกที่นั่งผู้แพ้ไปด้วยกัน เศร้าจัง

‘อัครเดช’ ชี้!! ‘การเลือกตั้ง’ เท่ากับประชาชนได้ใช้อำนาจตาม รธน. ติง!! ‘หัวหน้าพรรคส้ม’ ไม่ควรสร้างวาทกรรมทำให้สังคมแตกแยก

(16 ก.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยถึงกรณี ผลการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 ว่า ก่อนอื่นขอแสดงความยินดี กับ ผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย ที่ชนะการเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 หลังจากที่ได้รับเสียงจากพี่น้องประชาชนให้มาทำงานในฐานะตัวแทนของพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

ขณะเดียวกัน ตนขอชื่นชมในสปิริตของพรรคประชาชน ที่ออกมาแสดงความยินดีและยอมรับในผลการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้

แต่อย่างไรก็ดี ขอติงและฝากข้อเสนอแนะไปถึง ‘นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ หัวหน้าพรรคประชาชน กรณีออกมาระบุว่า "หนทางในการเปลี่ยนแปลงการเมือง เพื่อทำให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนนั้นไม่ง่าย" นั้น ตนมองว่าไม่เหมาะสม ตามมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็บัญญัติไว้อยู่แล้วว่า อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย 

ดังนั้นการที่ประชาชนได้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถือว่าเป็นการใช้อำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง การแสดงวาทกรรมของหัวหน้าพรรคประชาชนเช่นนี้ ถือเป็นการบ่อนเซาะระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือไม่ เป็นการแสดงออกที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก กับวาทกรรมแบบนี้

"ดังนั้น พรรคประชาชนควรยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ว่ามาจากอำนาจประชาชนอย่างแท้จริง อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอยู่แล้วในปัจจุบันตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดและขอให้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างวาทกรรมให้แตกแยกกันในสังคม ควรมุ่งเน้นทำงานรับใช้พี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจะดีกว่า” นายอัครเดช กล่าว

'เพจดัง' แฉตัวตน HR ที่ไม่ให้ผ่านทดลองงาน เพราะ 'ใส่เสื้อส้ม-พูดอีสาน' คาดเป็นทีมไอโอ สายปั่นตนเป็น 'รอยัลลิสต์' คอยทำให้สังคมแตกแยก

จากกรณี ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ว่า 'น้องชายตนเอง' ไม่ผ่านทดลองงาน เหตุเพราะใส่เสื้อสีส้มและใช้ภาษาอีสานในที่ทำงาน จากการประเมินของฝ่ายบุคคลที่ชื่อ 'พี่เลิศ' นั้น...

ล่าสุด (19 ก.ย.67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้เปิดเผยว่า กรณีที่สื่อหลายสำนักเสนอข่าว พนักงานไม่ผ่านทดลองงาน เพราะใส่เสื้อส้มและพูดอีสาน 

จากการตรวจสอบพบตัว HR คนดังกล่าว ในวงการออนไลน์ชื่อ 'พี่เลิศ' ในชีวิตจริงชื่อ 'น็อต' สนิทกับ สส. พรรคส้ม และ ด้อมส้มหลายคน

ทั้งนี้ ทางเพจฯ ได้โพสต์อีกว่า #ทุกคนคะ มาต่อกันค่ะ ไอ้เลิศ ที่ อิพลอย บอกว่าเป็น หัวหน้า HR คนที่ไม่ให้พนักงานใส่เสื้อส้ม และ พูดอีสาน ผ่านงาน มันเป็นใคร ?

ไอ้เลิศ มันเป็นด้อมส้ม มีเพื่อนสนิทสมัครเป็น สส.พรรคส้ม ไอ้เลิศ มันชอบปั่นว่าตัวเองเป็น รอยัลลิสต์ รักสถาบัน ปั่นตรรกะโง่ ๆ ในหลายกลุ่ม

ไอ้เลิศ อิพลอย และแก๊งพวกมัน คาดว่าเป็นทีมไอโอที่คอยทำให้สังคมแตกแยก ไอ้เลิศมันล็อกโปรไฟล์ แต่มันลืมไปว่ามันเมนต์ไว้ที่เพจคนอื่นว่าอะไรบ้างค่ะ

'เพจดัง' สรุปดรามา 'ใส่เสื้อส้ม พูดอีสาน' ม้วนเดียวจบ มีเอี่ยวพรรคส้ม ชี้!! เป็นก๊วนแกล้งรักสถาบัน แล้วปั่นให้คนเกลียดด้วยตรรกะเพี้ยนๆ

(19 ก.ย. 67) เพจ 'วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร' ได้โพสต์บทสรุปประเด็นภาคต่อดรามา 'ใส่เสื้อส้ม พูดอีสาน' จนไม่ผ่านการทดลองงานไว้ดังนี้...

เริ่มจากอิพลอยนำแชตไลน์มาโพสต์ว่าน้องชายไม่ผ่านงานเพราะบริษัทไม่ชอบที่ใส่เสื้อส้มและพูดอีสาน จากนั้นไอ้เลิศออกตัวว่าเป็น HR คนนั้น เรื่องถูกตีฟูจากสื่อและอินฟลูบางคนจนเป็นกระแส

ทีมงานตรวจสอบพบว่า อิพลอย เป็นเฟสปลอม เป็นแอดมินกลุ่มคอยปั่นให้สังคมทะเลาะด้วยเรื่อง Fake news หลายกลุ่ม โดยมี ไอ้เลิศคือ หนึ่งในนั้น

ไอ้เลิศ (คนซ้าย) ที่สถาปนาตัวเองเป็น หัวหน้า HR จะคอยเสี้ยมและปั่นตามกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะแกล้งทำตัวรักสถาบัน แต่คอยทำหน้าที่ยุให้คนเกลียดด้วยตรรกะเพี้ยน ๆ ให้ดูกลุ่มรักสถาบันเป็นคนบ้า

ไอ้เลิศมันใช้เฟสจริงแต่ล็อกไม่ให้คนเข้าไปดูโปรไฟล์ แต่มันลืมไปว่าเพื่อนมันชอบแท็กเวลาไปงาน และหนึ่งในเพื่อนสนิทมันคือ 'เจอรี่' เป็นผู้สมัคร สส. พรรคก้าวไกล (คนขวามือภาพบน)

ไอ้เลิศและเจอรี่ โพสต์อวย พรรคก้าวไกลมาตลอด ปัจจุบัน เจอรี่เป็นทีมงานพรรคส้มในจังหวัดปทุมธานี

#คำถามที่ ไอ้เลิศ และ เจอรี่ ต้องตอบ...

1. ข่าวปลอมที่ พนักงานไม่ผ่านโปร เพราะใส่เสื้อส้มและพูดภาษาอีสาน ถูกปั่นไปถึงอินฟลูและสื่อใหญ่ได้อย่างไร ใครเป็นคนส่งข้อมูลให้พวกเขา

2. ทำไมถึงจุดประเด็นขึ้นมาอย่างเป็นระบบ ชง ตบ ปั่น ขึ้นมาเมื่อวาน ต้องการเบี่ยงประเด็นหรือกลบข่าวอะไร

แต่ถ้าทำสนุก ๆ สื่อและอินฟลูงับข่าวไปเล่นเอง ไปงับได้อย่างไร และจะออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่เสนอข่าวบิดเบือนกี่โมง

ขอคำตอบด้วยค่ะ

ด้อมส้มยังส่ายหัว หลัง 'พรรคประชาชน' ตั้งแม่ทัพคุมพื้นที่ดีกรีน่าห่วง พบ!! อดีตคนขายเบียร์ไม่เสียภาษี คุมตะวันออก ส่วน 'โตโต้' คุม กทม.

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากเลยทีเดียว เมื่อเพจ ‘วันนี้พรรคส้มโกหกอะไร’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “ทุกคนคะ ผบ.โตโต้ อดีตหัวหน้าการ์ดวีโว่ ที่ทีมงานก่อม็อบป่วนเมือง บุกชิงตัวประกัน เผาทรัพย์สินราชการ จุดพลุรบกวนชาวบ้าน ได้รับความไว้วางใจจากพรรคส้ม ผงาดคุม กรุงเทพฯ และปริมณฑล”

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคประชาชนจัดงานสัมมนาภายในระหว่างแกนนำพรรค สส. พนักงานพรรค และฝ่ายเครือข่าย เพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการทำงานที่ผ่านมา ถอดบทเรียนจากเสียงสะท้อนของผู้สนับสนุนพรรค วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองปัจจุบัน และร่วมกันกำหนดทิศทางการเดินหน้าทำงานต่อไปของพรรค 

นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับทัพแกนนำบริหารพรรคชุดใหม่ จัดเต็มรองหัวหน้าพรรค 7 คน ซึ่งก็มีดาวเด่นตามที่คาดกันไว้ ทั้ง ‘ศิริกัญญา-โรม-วิโรจน์-ปกรณ์วุฒิ-วาโย’ นั่งรองหัวหน้าพรรค ขณะที่รองเลขาธิการพรรค มีการตั้ง ‘โตโต้ ปิยรัฐ’ คุมงานใน กทม.และปริมณฑล

ซึ่งประเด็นที่ทำให้คนวิจารณ์กันหนัก ก็เพราะว่าวันที่ 25-27 กันยายนนี้ศาลอาญา นัดสืบพยานคดี นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ สส.กทม.พรรคประชาชน ในฐานะอดีตแกนนำการ์ดวีโว่ กระทำความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฐานโพสต์ข้อความวิจารณ์ตำรวจ กรณีเข้าสลายกิจกรรมขายกุ้งที่สนามหลวง เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 63 พาดพิงการใช้ภาษีของสถาบันพระมหากษัตริย์ แถมยังมีอีกหนึ่งคดี ที่จ่อคอหอยถูกศาลตัดสิน ในวันที่ 11 ตุลาคมนี้ด้วย

และไม่ใช่แค่การแต่งตั้งโตโต้เท่านั้น ที่ทำเอาตกใจกันทั่วบ้านทั่วเมือง เพราะล่าสุด เพจวันนี้พรรคส้มโกหกอะไร เช็กลิสต์ข้อมูลแบบลงรายละเอียด ก็พบข้อมูลที่น่าตกใจ โดยทางเพจระบุว่า “ทุกคนคะ ภาคตะวันออก ก็ไม่รอดค่ะ พรรคส้มไม่มีใครดีกว่านี้แล้วหรือคะ โย พงศธร คือคนที่เคยมีข่าวโพสต์ขายเบียร์ คนที่ไม่เสียภาษี และคนที่เคยถูกแจ้งคดีความยักยอก ที่หนูเคยแฉไว้

เท่านั้นยังไม่พอ ทางเพจยังลงข้อมูลเพิ่มเติมอีกคนหนึ่งด้วยว่า “ทุกคนคะ เช็กคนไหน โดนคนนั้น อันนี้หนักสุด เป็น สส.สอบตก แต่เป็นแกนนำม็อบ เลยได้ดูแลภาคกลาง หรือว่า ป้าเจี๊ยบคอนถม สิ้นฤทธิ์แล้วคะ โดยบุคคลดังกล่าวคือ หนุ่ม เจษฎา เอี่ยมปุ่น อดีตผู้สมัคร สส.กาญจนบุรี เขต 3 พรรคก้าวไกล ซึ่งทางเพจยังได้นำภาพของนายเจษฎา ที่เคยเป็นแกนนำม็อบมาโพสต์ด้วย พร้อมแคปชันสั้น ๆ ว่า “สภาพตัวแทนภาคกลาง”

หลังโพสต์นี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์กันสนั่นโซเชียลเลยทีเดียว เช่น
-หมดตัวเล่นละ ติดคุก กับ โดนตัดสิทธิ์ เกือบหมด เหลือแต่ตัวแถม
-อันนี้จัดทัพบริหารพรรค หรือบริหารม็อบ
-สภาพ แต่ละคน
-ก็ดีแล้ว เอาคนพวกนี้มานำ ชาวบ้านจะได้เห็นอะไรชัดๆ
-คุมตัวเองให้ได้ก่อน ค่อยมาคุมคนอื่น
-เหมือนเอาคนไม่สำคัญที่พร้อมตัดทิ้ง ออกมาเป็นระเบิดพลีชีพ ต้องวางแผนทำไรไม่ดีอีกแน่ เพลียใจ
-ระบบอุปถัมภ์ไงครับ ต่างตอบแทน

‘พรรคสามนิ้ว’ มุ่งล้มเจ้า เอาพม่า ขี้ข้าฝรั่ง แต่กินเงินเดือนจากภาษีของ..คนไทย

(1 ต.ค. 67) แล้วก็มาถึงวันนี้จริง ๆ วันที่คนไทยจำนวนไม่น้อยเริ่มจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรม 'กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา' ของพรรคการเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการปลุกปั่นเด็ก และหลอกต้มผู้ใหญ่ที่คิดไม่เป็นให้ออกไป 'ชูสามนิ้ว' เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเลว ๆ ของตนเอง จนต้องติดคุกในคดี 112 นับไม่ถ้วน

บางคนก็หนีไปต่างประเทศเป็นที่เรียบร้อย 'โรงเรียนสามกีบ' แล้ว 

แม้กระทั่งคนจากจำนวน '14 ล้าน' ที่เคยสนับสนุน ก็ตื่นจากความผิดพลาดในอดีตกันไม่น้อย ด้วยเคยหลงเชื่อ 'เด็กเมื่อวานซืน' ที่อวดอ้างว่าจะมาเปลี่ยนแปลงประเทศให้ไปในทางที่ดี เพราะคือ “คนรุ่นใหม่” แต่สิ่งที่เผยให้เห็นพฤติกรรมมาตลอดก็คือ มุ่งแต่ทำลายสถาบัน คิดแต่ล้มเจ้าล้มแผ่นดิน หวังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดีลลับกับตะวันตก ไม่มีสักนิดที่จะเผยนโยบายในทางสร้างสรรค์ให้ประชาชนได้อยู่ดีกินดี 

หนำซ้ำในวันที่หลายจังหวัดกำลังน้ำท่วมใหญ่ คนไทยจำนวนมากไร้ที่อยู่ ไร้อาหาร แต่ 'พรรคส้มสามกีบ' ก็ยังด้อยค่าหน่วยงานที่ออกหน้าเสียสละมาช่วยเหลือเกื้อกูลคนไทยด้วยกัน

เป็นนักการเมืองไทยที่ไร้ความสามารถยังไม่พอ ยังแล้งน้ำใจ ไร้เมตตาธรรม วัน ๆ คิดจ้องแต่จะกัดเซาะดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ไม่เคยมีความคิดหรือสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมให้สังคมไทยเลยแม้แต่น้อย 

ห้วงเวลาที่คนไทยด้วยกันกำลังขาดที่พึ่งพิง แต่กลับมีแนวคิดจะให้สังคมไทยโอบอุ้มคนพม่า ไม่รู้ว่าเอา “นิ้วโป้งเท้า” จากขาเน่า ๆ ที่เอาไว้ราน้ำข้างใดคิด ในหัวจิตหัวใจจึงไร้แนวทาง ที่จะทำให้สังคมไทยดีขึ้นได้เลย ถือเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ต่างจากขยะ ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งรายวัน และไร้ประโยชน์ต่อสังคมไทย และโลกใบนี้ 

การได้เกิดเป็นคน ได้มีชีวิต มีหน้าที่การงาน มีเงินเดือนจากภาษีของประชาชน แต่กลับมุ่งทำร้ายสถาบัน และพี่น้องคนไทยด้วยกัน ตามสถิติไม่เคยมีที่ชีวิตจากนี้จะจบสวย อาจจะไม่เชื่อว่าแผ่นดินไทยนี้ศักดิ์สิทธิ์นัก จึงไม่เคยปล่อยให้ 'ขี้ข้าต่างชาติ' ชูคอผงาดได้โดยไม่ได้รับผลกรรม 

นับเวลาถอยหลังกันได้เลย 

ย้อนรอยวีรกรรม ‘สิริน สงวนสิน’ สส.ขับรถชนกลางสภา ถึงเวลาพรรคส้มต้องปรับพฤติกรรมตน ก่อนประชาชนเช็กบิล

(17 ต.ค. 67) ชื่อ ‘สิริน สงวนสิน’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร เขต 31 พรรคประชาชนปรากฏบนหน้าสื่ออีกครั้งจากอุบัติเหตุรถชนกันที่ชั้น B2 ของลานจอดรถรัฐสภา

ครั้งนี้นายสิรินได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ว่า ระหว่างขับรถมาทางตรง รถคู่กรณีได้เลี้ยวมาพอดีและอาจจะไม่ได้ดูรถทางด้านซ้าย จึงทำให้ชนเข้าตรงกลางรถของตน​ และตนเป็นฝ่ายถูก และยืนยันว่าไม่ได้ขับรถเร็ว และไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งเตือนจากพรรคประชาชนเรื่องขับรถเร็วมาก่อน​ ปกติขับรถโดยใช้ความเร็วเพียง 80 กม.ต่อ ชม.

ซึ่งเป็นคำตอบจากปากของนายสิรินเพียงฝ่ายเดียว แต่อย่างไรก็ตามเหตุการณืได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้เรียกประกันของทั้งสองฝ่ายมาจัดการปัญหาเป็นที่เรียบร้อย 

สำหรับประวัติของ ‘สิริน สงวนสิน’ นั้นเป็นบุตรของ นายสมนึก สงวนสิน และนางศศมณฑ์ สงวนสิน เจ้าของธุรกิจโชว์รูมรถยนต์ฮอนด้าปิ่นเกล้ากรุ๊ป และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ สำเร็จการศึกษาทั้งปริญญาตรี และปริญญาโทจาก ออสเตรเลีย โดยจบปริญญาตรีใน สาขาวิชาการเงินประยุกต์ University of South Australia และปริญญาโท สาขาวิชาการวิเคราะห์การเงิน University of New South Wales 

ก่อนหน้านี้ชื่อของ สส.กทม. เขต 31 เคยตกเป็นข่าวโด่งดังมาแล้วครั้งหนึ่งกรณีถูกแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.บ่อวิน จังหวัดชลบุรี จากเหตุทำร้ายร่างกายแฟนสาว จนต้องโพสต์เฟซบุ๊กเพื่อขอโทษประชาชน ความว่า

“ผมขออภัยอย่างสูงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนอื่นต้องขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด และพี่น้องประชาชน ที่ผมออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าวล่าช้า เนื่องจากผมประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ศีรษะแตก จึงใช้เวลาสองวันที่ผ่านมาในการรักษาตัว

ผมเสียใจอย่างมากในสิ่งที่ได้ทำลงไป ผมขออภัยคุณเอ (นามสมมุติ) คุณพ่อคุณแม่ของคุณเอ (นามสมมุติ) และขออภัยพี่น้องประชาชนที่ได้เลือกผมเข้ามาทำหน้าที่ ส.ส. ที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง

จากนี้ผมยินดีเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และการสอบสวนวินัยจากพรรคก้าวไกล และจะน้อมรับผลที่ตามมาจากการกระทำที่ปราศจากความยั้งคิดของผมโดยดุษณี

ทั้งนี้ ผมยืนยันว่า ข่าวที่สื่อนำเสนอรายละเอียดเหตุการณ์ และอ้างว่าผมให้ข้อมูลว่าทำไปเพราะความเป็นห่วงคุณเอ (นามสมมุติ) ทั้งหมดไม่เป็นความจริง ผมและคุณเอยังไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือกล่าวถึงเหตุการณ์นี้แม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยคิดจะอ้างว่ากระทำไปด้วยความเป็นห่วง

ผมขอแสดงความสำนึกผิดและขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทุกคนด้วยใจจริง

ซึ่งโพสต์บนเฟซบุ๊กเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2566 ก่อนอีกไม่ถึงสัปดาห์แฟนสาวของ สส.สิริน สงวนทรัพย์ จะออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งทาง สส.สิริน ก็ได้แชร์ข้อความดังกล่าวด้วย โพสต์ดังกล่าวระบุว่า

ข้อเท็จจริงกรณีระหว่างดิฉัน และคุณสิริน สงวนสิน ส.ส.พรรคก้าวไกล ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ดิฉันรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างดิฉันและคุณสิริน สงวนสิน ส.ส. พรรคก้าวไกล

กลายเป็นข่าวที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา และถูกนำเสนอไปในหลายทิศทาง โดยเฉพาะการนำเสนอของสื่อหลายช่อง ที่นำเสนอข่าวเกินจริง มีข้อมูลบางประการไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อตัวดิฉันเป็นอย่างมาก และขัดต่อสิ่งที่ดิฉันต้องการจากการตัดสินใจแจ้งความต่อคุณสิริน 

ก่อนอื่นดิฉันขอชี้เแจงข้อเท็จจริงในวันเกิดเหตุ ในวันนั้นเรามีปากเสียงกัน และเกิดการยื้อแย่งโทรศัพท์กันในรถ คุณสิรินใช้กำลังยื้อแย่งโทรศัพท์จากดิฉัน จนทำให้โทรศัพท์มากระแทกหน้าดิฉันอย่างแรง ภายหลังที่มีการพูดคุยทำให้ทราบว่า เป็นการกระทำโดยมิได้ตั้งใจ

และยังมีเหตุการณ์ยื้อฉุดกันบริเวณข้างรถ ทำให้ดิฉันเผลอล้มกระแทกลง จนเป็นเหตุให้เกิดบาดแผล อีกทั้งคุณสิรินยังใช้คำพูด และอารมณ์ที่ทำให้ดิฉันรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ดิฉันจึงตัดสินใจไปแจ้งความ เพื่อปกป้องสิทธิของตนเอง และต้องการให้คุณสิรินได้สำนึกว่าตนเองทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

หลังจากดิฉันไปแจ้งความ คุณสิรินและครอบครัวได้ติดต่อมายังดิฉัน และคุณสิรินกับครอบครัวได้แสดงความสำนึกผิด อีกทั้งตระหนักว่าตนเองกระทำผิดต่อดิฉัน และได้ขออภัยดิฉันอย่างจริงใจแล้ว ทำให้ดิฉันและครอบครัวไม่ติดใจเอาความต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสิ่งที่ดิฉันต้องการได้บรรลุผลแล้ว นั่นคือให้บทเรียนกับคุณสิริน และทำให้เขาตระหนักว่าต้องไม่มีพฤติกรรมเช่นนี้ กับดิฉันหรือบุคคลใดๆ อีก

ดิฉันขอแจ้งให้ทราบตรงนี้ว่าดิฉันไม่ติดใจเอาความคุณสิริน และหวังว่าบทเรียนที่เขาได้จากสังคม จากการถูกแจ้งความ รวมถึงบทลงโทษที่เขากำลังจะได้รับจากพรรคก้าวไกล จะเพียงพอทำให้คุณสิริน และนักการเมืองทุกคนตระหนักว่า การใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไม่ว่าต่อเพศใด โดยเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม เป็นสิ่งที่สังคมไม่ยอมรับ และผู้กระทำผิดจะต้องได้รับผลจากการกระทำนั้นค่ะ ขอบพระคุณค่ะ.

แม้ว่าในขณะนั้นแฟนสาวของ ‘สิริน สงวนสิน’ จะตัดสินใจยุติการดำเนินคดี แต่ยังมีอีกขาที่มีการดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง คือฟากฝั่งของพรรคก้าวไกล(พรรคในขณะนั้น) ซึ่งผลการสอบสวนของทางพรรคก้าวไกล ได้วินิจฉัยว่า ‘สิริน’ ว่ามีความผิดจริง และสั่งฟันโทษ ห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค พร้อมกับหากมีการกระทำความผิดซ้ำจะขับออกจากพรรค 

จากพรรคก้าวไกลมาถึงพรรคประชาชน นอกจากจะต้องสอบสวนเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว ทางพรรคควรจะต้องพัฒนาแนวทางดึงคนอย่างจริงจังเร่งด่วน เนื่องจากหลากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คะแนนเสียงของประชาชนที่ให้ไป คุ้มค่า-เหมาะสมหรือไม่ 

มิเช่นนั้นคะแนนนิยมอันท่วมท้นที่ได้รับมา อาจจะเป็นคะแนนลวงตา...ก็เป็นได้ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top