Tuesday, 22 April 2025
ปสามสี

‘อีลอน มัสก์’ เล่นใหญ่!! ส่งอีเมลถึง ‘ข้าราชการสหรัฐฯ’ ถามชัด!! ‘คุณทำอะไรไปบ้าง’ ถ้าไม่ตอบ ถือว่าลาออก

(24 ก.พ. 68) อีลอน มัสก์ เล่นใหญ่! ส่งอีเมลถึงหน่วยงานรัฐทั่วอเมริกา ตั้งแต่ SEC, CDC ยัน NOAA สั่งให้ข้าราชการทุกคนรายงาน “คุณทำอะไรไปบ้างในสัปดาห์ที่ผ่านมา” พร้อมกำหนดเดดไลน์ชัด!! ใครไม่ตอบ = เท่ากับลาออก! งานนี้เล่นเอาข้าราชการใจหวิว เพราะถ้าตอบไม่ได้ ก็อาจถูกมองว่าอยู่ไปวันๆ ไม่มีผลงานให้จับต้อง

นี่ไม่ใช่แค่แนวคิดขำๆ แต่มัสก์เอาจริง! เขาใช้แนวทางบริหารแบบ ‘Demon Mode’ ที่เคยใช้ตอนเทกโอเวอร์ X (Twitter) จัดหนักให้ข้าราชการต้องลุกขึ้นมาทำงานจริง ไม่ใช่แค่เป็นฟันเฟืองระบบราชการที่ขยับช้า

แต่เรื่องยังไม่จบ!! สหภาพข้าราชการออกโรงค้านทันที ชี้ว่านี่เป็นการบริหารที่แข็งกร้าวและอาจละเมิดสิทธิพนักงานของรัฐ เพราะไม่ใช่ว่าทุกตำแหน่งจะสามารถเปิดเผยผลงานได้ทั้งหมด งานนี้ต้องจับตาดูกันว่า ‘มัสก์โมเดล’ จะได้ไปต่อ หรือจะโดนตีกลับจนต้องถอย

สงครามยูเครน กับทางเลือกสุดท้ายของ เซเลนสกี้ จำ!! ต้องคืนสู่โต๊ะเจรจากับ ‘วลาดีมีร์ ปูติน’

(2 มี.ค. 68) สถานการณ์สงครามยูเครนในปัจจุบันกำลังเดินไปสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกครั้ง เมื่อความเป็นไปได้ที่ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ อาจต้องกลับไปเจรจากับรัสเซียเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้เงื่อนไขที่แทบจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทั้งหมด ไม่ใช่เพราะเซเลนสกี้เต็มใจ แต่เพราะสถานการณ์บีบให้ยูเครนแทบไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว

1. อเมริกาถอนตัว – ยูเครนเหลือเพียงตัวเอง
หนึ่งในปัจจัยที่ผลักยูเครนเข้าสู่สถานการณ์นี้คือสหรัฐฯ กำลังแสดงท่าทีลดการสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายใน เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 ที่อาจนำโดนัลด์ ทรัมป์กลับคืนสู่ตำแหน่ง ซึ่งเขาเคยประกาศชัดว่าต้องการยุติสงครามโดยเร็ว หรือแม้แต่ฝ่ายเดโมแครตเองก็เริ่มมีความลังเลเรื่องการสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่ยูเครน เมื่อเห็นว่าสงครามกำลังยืดเยื้อโดยไม่มีวี่แววของชัยชนะ นอกจากนี้ สหรัฐฯ กำลังเผชิญภาระทางทหารและเศรษฐกิจที่หนักขึ้นจากการสนับสนุนอิสราเอลในสงครามกับฮามาส การขยายบทบาทในเอเชียเพื่อสกัดกั้นจีน และการเตรียมรับมือความขัดแย้งในภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ทำให้ความสำคัญของยูเครนในสายตาของวอชิงตันลดลงไป เมื่อสหรัฐฯ ไม่สามารถให้การสนับสนุนได้เต็มที่ ยูเครนจึงต้องเผชิญชะตากรรมของตัวเอง ท่ามกลางกองกำลังรัสเซียที่ยังคงรุกคืบอย่างต่อเนื่อง

2. อธิปไตยที่ต้องแลกด้วยดินแดน?
สงครามที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2022 ทำให้ยูเครนต้องเผชิญความสูญเสียอย่างหนัก ทั้งกำลังพลกว่า 500,000 นาย ที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ ดินแดนสำคัญทางยุทธศาสตร์ เช่น โดเนตสก์ ลูฮันสก์ ซาโปริชเชีย และเคอร์ซอน ที่ถูกรัสเซียผนวกอย่างเป็นทางการ การเจรจากลับไปสู่โต๊ะของปูตินในเวลานี้ย่อมหมายความว่ายูเครนอาจต้อง สูญเสียดินแดนบางส่วนเป็นเงื่อนไขของสันติภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไครเมีย ซึ่งรัสเซียครอบครองมาตั้งแต่ปี 2014 และปัจจุบันมีฐานทัพเรือที่สำคัญในเซวาสโตโพล นอกจากนี้ แม้ยูเครนจะรักษาอธิปไตยได้ในทางเทคนิค แต่ในความเป็นจริงแล้ว ประเทศอาจกลายเป็น รัฐกันชน (Buffer State) ที่ต้องดำรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซียโดยปริยาย หรืออาจถูกบีบให้มีสถานะคล้ายฟินแลนด์ในช่วงสงครามเย็น (Finlandization) ที่แม้จะเป็นเอกราช แต่ต้องปฏิบัติตามนโยบายต่างประเทศที่เอื้อต่อมอสโก

3. บทเรียนจากการเลือกตั้งผู้นำที่มองข้ามประโยชน์ชาติ
หนึ่งในข้อวิพากษ์สำคัญคือการตัดสินใจของยูเครนที่เลือกผู้นำซึ่ง มองข้ามความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ และพยายามเดินหน้าชนรัสเซียอย่างไม่ไตร่ตรองถึงผลที่ตามมา เซเลนสกี้ในฐานะอดีตนักแสดงที่ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้นำรัฐ อาจไม่เข้าใจความซับซ้อนของเกมการเมืองระหว่างประเทศเท่าที่ควร และเลือกเดิมพันอนาคตของประเทศไว้กับการสนับสนุนของตะวันตกเพียงอย่างเดียว โดยลืมไปว่าการเจรจากับรัสเซียอาจเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงความเสียหายมหาศาลให้กับประเทศได้ตั้งแต่แรก

4. การเดินหมากครั้งสุดท้ายของยูเครน
แม้ว่ายูเครนจะพยายามต่อต้านต่อไป แต่ สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ กำลังพลที่ลดลง และการขาดการสนับสนุนจากตะวันตกกำลังบีบให้ยูเครนต้องคิดใหม่ หากยูเครนยังคงเลือกแนวทางแข็งกร้าว อาจเสี่ยงต่อการล่มสลายของรัฐคล้ายกับอัฟกานิสถานหลังสหรัฐฯ ถอนตัว หรืออาจถูกบังคับให้ยอมรับข้อตกลงที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมหาศาล ในท้ายที่สุด เซเลนสกี้อาจไม่มีทางเลือกนอกจากกลับไปเจรจากับปูติน แต่ คำถามที่แท้จริงคือ ยูเครนจะยังเหลืออะไรอยู่บ้างให้ต่อรอง?

จาก ‘นักเคลื่อนไหว’ สู่ ‘หมอนวดฝ่าเท้า’ ชีวิตใหม่!! ของนายจอม ในแดนน้ำหอม เมื่อทุนขาด!! ซัพพอร์ตหาย ฝรั่งไม่จ่ายแล้ว ก็ต้อง ‘กัดฟัน’ ปั้นอาชีพกันไป

ใครจะไปคิดว่าเส้นทางชีวิตของ 'นายจอม' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะวกเข้าสู่สายอาชีพนวดฝ่าเท้ากลางกรุงปารีส จากอดีตนักเคลื่อนไหวหัวร้อน สู่มือทองนักกดจุดผ่อนคลาย ด้วยเรทราคาเป็นกันเอง 25 ยูโรต่อชั่วโมง โปรโมชันแรงเหมาได้ทั้งสามี-ภรรยา แถมรับนวดหมู่เหมือนจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ได้อีกต่างหาก

แต่นอกจากเรื่องเส้นทางชีวิตที่พลิกผัน จุดที่ชวนตั้งคำถามยิ่งกว่าเทคนิคกดจุด คือข้อความจากเจ้าตัวเองที่ประกาศชัดว่า “ไม่เคยจบคอร์สหรือมีใบรับรองจากสถาบันใด ๆ” นี่แหละประเด็น! เพราะในฝรั่งเศส การให้บริการนวดแบบเก็บเงินนั้น ไม่ใช่ว่าใครอยากทำก็ทำได้ง่าย ๆ นะเธอ

ในฝรั่งเศส การประกอบอาชีพนวดเพื่อสุขภาพ (massage bien-être) โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ หรือระบบไหลเวียนโลหิต จำเป็นต้องมีการอบรมและได้รับ ใบรับรองจากสถาบันที่ได้รับการรับรอง (Certificat หรือ Diplôme) รวมถึงต้องจดทะเบียนธุรกิจอย่างถูกต้อง (Auto-entrepreneur) เพื่อเสียภาษีและป้องกันข้อหาแอบแฝงทำงานผิดกฎหมาย

ถ้าเป็นการนวดเฉพาะทาง เช่น นวดฝ่าเท้า (Réflexologie plantaire) ก็อยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกัน และยิ่งต้องระมัดระวัง เพราะเป็นการกระตุ้นจุดสำคัญในร่างกาย หากไม่มีความรู้จริงอาจเข้าข่ายอันตรายต่อสุขภาพลูกค้า

ส่วนถ้าเป็นที่เยอรมนีก็หนักไม่แพ้กัน เพราะหากทำอาชีพนวดโดยไม่มีใบอนุญาต (Heilpraktiker) หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนกิจการ (Gewerbeanmeldung) และเสียภาษีอย่างถูกต้อง ก็ถือว่าเป็น การประกอบวิชาชีพผิดกฎหมาย เช่นกัน และเสี่ยงต่อโทษปรับสูงมาก หรืออาจถึงขั้นสั่งห้ามประกอบกิจการได้ทันที

พูดง่าย ๆ ว่า

ไม่มีใบรับรอง = ผิดกฎหมาย

ไม่จดทะเบียนธุรกิจ = ผิดกฎหมาย

รับเงินค่าบริการโดยไม่มีสถานะทางกฎหมาย = ผิดกฎหมาย

จะเห็นได้ว่า 'ใจรัก' อย่างเดียวอาจไม่พอ เพราะข้อกฎหมายที่ฝรั่งเศสและเยอรมนีเคร่งครัดมากเกี่ยวกับวิชาชีพสายสุขภาพแบบนี้ เพื่อปกป้องผู้บริโภคจากการรับบริการที่อาจเสี่ยงต่อสุขภาพ

และถ้าย้อนไปเมื่อก่อน ตอนยังวิ่งปราศรัยอยู่เมืองไทย ว่ากันว่าชีวิตของนายจอมก็เคยมีสายป่านต่างชาติคอยหนุน ทั้งทุน ทั้งทิป ทั้งค่าเดินทาง งานประชุมต่างแดนเรียกว่ามาครบวงจร แต่พอวันหนึ่งโลกเปลี่ยน ทุนเปลี่ยน กระแสเปลี่ยน จากที่เคยรับสปอนเซอร์ตั๋วเครื่องบินหรู ก็ต้องมานั่งนวดฝ่าเท้าคลายเส้นหารายได้จ่ายค่าเช่าห้องเองแบบเหงา ๆ

เมื่อทุนขาด ซัพพอร์ตหาย ฝรั่งไม่จ่ายแล้ว ก็ต้องกัดฟันปั้นอาชีพกันไป ใครว่าอุดมการณ์เลี้ยงท้องไม่ได้... ก็ต้องนี่แหละตัวอย่างจริง เสียงจริง นวดจริง เจ็บจริง

สุดท้ายนี้ ก็ขอเอาใจช่วยนายจอมให้หาเลี้ยงชีพได้ปลอดภัย ไม่โดนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเรียกตรวจเอกสารกลางคิวลูกค้ากำลังผ่อนคลายเท้าอยู่ละกันนะ

จากต้นแบบ!! ของประเทศที่มี ‘เสรีภาพ-ความก้าวหน้า’ กลับกลายเป็นสมรภูมิของความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ศาสนา

(6 มี.ค. 68) ในช่วงแรกของการอพยพ ผู้อพยพชาวมุสลิมบางกลุ่มพยายามเผยแพร่ศาสนาโดยใช้วิธีที่สร้างความขัดแย้งในพื้นที่สาธารณะ พวกเขานำลำโพงติดตั้งบนรถยนต์และขับไปตามเมืองต่างๆ เปิดเสียงอาซาน (เสียงเรียกละหมาด) และบทสวดจากอัลกุรอานผ่านวิทยุและเครื่องกระจายเสียง สิ่งนี้กลายเป็นชนวนให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนท้องถิ่น เพราะมองว่าเป็นการรบกวนพื้นที่สาธารณะ และเป็นการพยายาม "บังคับ" ให้ศาสนาอิสลามเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน

ในบางเมืองของสวีเดน ประชาชนได้ร้องเรียนถึงหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อให้ระงับการกระทำดังกล่าว โดยมองว่าสวีเดนเป็นประเทศฆราวาสที่แยกศาสนาออกจากรัฐ และการเปิดเสียงอาซานผ่านลำโพงในที่สาธารณะ เป็นการละเมิดความสงบสุขของประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้อพยพบางส่วนกลับมองว่านี่เป็น "สิทธิทางศาสนา" ของพวกเขา และถือว่าเป็นการ "ต่อสู้เชิงอุดมการณ์" ระหว่างศาสนาอิสลามกับวัฒนธรรมตะวันตก
ศาลชารีอะห์และการบังคับใช้กฎศาสนาในชุมชนมุสลิม

แม้ว่ากฎหมายชารีอะห์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายของสวีเดน แต่ก็มีแรงกดดันจากบางกลุ่มในสังคมมุสลิมที่ต้องการให้มี "กฎหมายคู่ขนาน" ซึ่งหมายถึงการที่ชาวมุสลิมสามารถดำเนินชีวิตภายใต้กฎศาสนาได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ ตัวอย่างเช่น กรณีของการแต่งงานในเด็ก การหย่าร้างที่ให้สิทธิฝ่ายชายมากกว่าหญิง หรือแม้แต่การลงโทษตามหลักศาสนาในชุมชนบางแห่ง

ปัญหาคือ ในบางพื้นที่ของสวีเดน โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรมุสลิมหนาแน่น กฎหมายชารีอะห์ถูกใช้กันอย่างลับๆ แม้ว่าจะผิดกฎหมายของสวีเดนก็ตาม มีรายงานว่ามี "ศาลชารีอะห์" ที่ดำเนินการตัดสินคดีความในหมู่ชาวมุสลิมเอง โดยไม่ขึ้นต่อระบบยุติธรรมของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเมิดหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง

สตรีมุสลิม: เสรีภาพหรือการกดขี่?

อีกหนึ่งประเด็นร้อนในสังคมสวีเดนคือเรื่อง การสวมฮิญาบและบุรกา แม้ว่ากฎหมายสวีเดนจะอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถเลือกแต่งกายตามหลักศาสนาได้ แต่ในบางชุมชนมุสลิมกลับมีการกดดันผู้หญิงให้สวมใส่ชุดคลุมโดยที่พวกเธอไม่มีทางเลือก มีรายงานว่าเด็กหญิงบางคนถูกกลั่นแกล้งหากพวกเธอไม่สวมฮิญาบไปโรงเรียน หรือแม้แต่ผู้หญิงที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมสวีเดน ก็อาจถูกครอบครัวและสังคมรอบตัวประณามว่าผิดหลักศาสนา

เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับ เสรีภาพที่แท้จริง เพราะในขณะที่สวีเดนให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่กลับมีบางชุมชนที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่สมาชิกของตนเอง ทำให้เกิดสังคมคู่ขนานที่ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยของประเทศ

ความขัดแย้งทางการเมืองและแนวโน้มในอนาคต

การเมืองสวีเดนเองก็แบ่งออกเป็นสองขั้วในเรื่องนี้ ฝ่ายที่สนับสนุนเสรีภาพทางศาสนามองว่า ทุกคนควรมีสิทธิในการปฏิบัติตามศาสนาของตนเอง รวมถึงการแต่งกายตามหลักศาสนา แต่ฝ่ายขวากลับมองว่า นี่คือการปล่อยให้วัฒนธรรมที่ขัดกับหลักเสรีภาพเข้ามาแทรกแซงประเทศ และเชื่อว่าการให้สิทธิที่มากเกินไปกับกลุ่มศาสนาหนึ่ง อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม

สิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ร้อนแรงขึ้นไปอีกคือ บางเมืองในยุโรป เช่น ในฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ออกกฎหมายห้ามสวมบุรกาและนิกอบในที่สาธารณะ โดยให้เหตุผลว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่สตรี ในขณะที่สวีเดนยังคงลังเลที่จะเดินตามแนวทางนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะละเมิดสิทธิมนุษยชน

แต่คำถามคือ เสรีภาพที่สวีเดนปกป้องอยู่นี้ เป็นเสรีภาพของทุกคนจริงหรือ? หรือเป็นเพียงเสรีภาพที่เอื้อให้บางกลุ่มสามารถบังคับใช้กฎของตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักการประชาธิปไตยของประเทศ?

หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป สวีเดนอาจต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะเมื่อศาสนาและกฎหมายของรัฐเดินไปคนละทาง จุดปะทะก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสวีเดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย เมื่อมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้ามาตั้งรกรากโดยไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ย่อมนำไปสู่ความท้าทาย ทั้งสำหรับผู้มาใหม่ที่ต้องปรับตัว และสำหรับชุมชนเดิมที่ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกัน

ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากศาสนาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่อยู่ที่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างสองฝ่าย—ฝ่ายหนึ่งมองว่าควรเปิดรับความหลากหลายเต็มที่ ในขณะที่อีกฝ่ายกังวลว่าหากไม่มีการปรับตัวเข้าหากัน อัตลักษณ์และหลักการของสังคมเดิมอาจถูกสั่นคลอน ความไม่ลงรอยเหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านและความหวาดระแวงกันในหลายระดับ

ทางออกของปัญหานี้ไม่ใช่การปิดกั้นหรือกีดกันศาสนาหรือวัฒนธรรมใด แต่เป็นการหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพของแต่ละกลุ่มกับความเป็นปึกแผ่นของสังคมโดยรวม ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน โดยเคารพกฎหมายและคุณค่าของประเทศที่ตนอยู่ หากรัฐไม่สามารถสร้างแนวทางที่ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ความแตกแยกก็อาจขยายตัวมากขึ้นจนยากจะควบคุม

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมองปัญหานี้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวหรืออคติ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขคือเป้าหมายของทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใด

Stephen Capus ซีอีโอของ RFE/RL ลั่น!! ‘อเมริกา’ ส่งของขวัญชิ้นโตให้ ‘ศัตรู’ เหตุ!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ หั่นงบ ‘USAID’ มอง!! สื่อเสรีภาพ ต้องได้รับการสนับสนุน

(16 มี.ค. 68) โดมิโน่สื่อสายทุนจบเห่! RFE/RL โดนหั่นงบฯ หลัง USAID เดี้ยงด้วยน้ำมือทรัมป์

เมื่อวานเดินเล่นไถฟีดไปเรื่อยๆ เจอข่าวชวนตะลึงเข้าให้—Radio Free Europe/Radio Liberty (RFE/RL) ออกมาคร่ำครวญว่าถูกตัดงบสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ แบบสายฟ้าแลบ! อ่านแล้วก็อดสะกิดใจไม่ได้ว่านี่มันอีกหนึ่งโดมิโน่เอฟเฟ็คจากการที่ USAID ถูกทรัมป์ซอยเละตั้งแต่ยุคแรกๆ แล้วนี่นา

RFE/RL นี่ไม่ใช่ใครที่ไหน สื่อที่ได้กินอิ่มกินดีจากงบประมาณของรัฐสหรัฐฯ มาตลอด 75 ปี เป็นกระบอกเสียงเสรีประชาธิปไตยสไตล์วอชิงตันที่ส่งตรงไปถึงประเทศแถบยุโรปตะวันออก รัสเซีย จีน และตะวันออกกลาง ตอนสงครามเย็นก็ทำหน้าที่ตีแผ่ความจริง (ในเวอร์ชันที่สหรัฐฯ อยากให้โลกเห็น) ใส่พวกคอมมิวนิสต์ และแม้ว่าสงครามเย็นจะจบไปนานแล้ว RFE/RL ก็ยังคงมีงบให้ได้โลดแล่นต่อไปภายใต้ข้ออ้างว่า “สื่อเสรีภาพต้องได้รับการสนับสนุน”

แต่พอทรัมป์กลับมาทวงคืนเวทีการเมือง ปฏิบัติการสับงบฯ ก็ตามมาเป็นของแถม ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องนี้ USAID ก็โดนฟันมาก่อนหน้าแล้ว จะให้เหลืออะไรอีกล่ะ?

RFE/RL ลั่น: ตัดงบเรา = ของขวัญให้จีน-รัสเซีย

Stephen Capus ซีอีโอของ RFE/RL รีบออกมาจุดพลุทันที บอกว่าการถูกตัดงบนี้ เป็นเหมือนการส่งของขวัญชิ้นโตให้ศัตรูของอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น จีน รัสเซีย อิหร่าน หรือผู้นำเผด็จการแห่งมินสก์ เพราะพวกนั้นคงจะฉลองกันยกใหญ่ที่สื่อขาประจำของวอชิงตันกำลังล้มระเนระนาด

Capus ไม่ได้พูดเล่น เพราะที่ผ่านมาสื่อสายทุนเหล่านี้ก็มีบทบาทชัดเจนในการเล่นเกมสงครามข้อมูลข่าวสาร ไล่ขุดแฉรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามของสหรัฐฯ ตั้งแต่เรื่องสิทธิมนุษยชน ยันการทุจริตแบบข้ามชาติ แต่พอโดนตัดงบเอง ดันออกมาโอดครวญซะอย่างนั้น

อ่านมาถึงตรงนี้ก็อดคิดไม่ได้ว่า เฮ้ย แล้วตอนที่ไปเจาะข่าวประเทศอื่นเขา ทำไมไม่พูดถึงแหล่งทุนของตัวเองบ้าง? พอตัวเองโดนบ้าง กลับมาเรียกร้องเสรีภาพซะงั้น!

เมื่อ USAID เดี้ยง สื่อสายทุนก็ขาลง

มองย้อนกลับไปหน่อย USAID ไม่ใช่แค่หน่วยงานพัฒนา มันเป็น ท่อส่งเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการสนับสนุนสื่อ นักเคลื่อนไหว และ NGOs ทั่วโลก ซึ่งก็ไม่ต้องบอกนะว่าเงินไหลไปไหนบ้าง พอ USAID โดนทรัมป์ฟันงบ ก็เหมือนปิดก๊อกน้ำ ทำให้สื่อหลายเจ้าที่เคยพึ่งพางบนี้ต้องดิ้นรนหาแหล่งทุนใหม่

RFE/RL ก็คือหนึ่งในนั้น และตอนนี้ดูเหมือนว่าวิกฤตนี้จะมาถึงจุดที่พวกเขาเองก็ ต้องเผชิญความเป็นจริงว่าหากไม่มีรัฐอุ้ม ก็อยู่ลำบาก
คำถามสำคัญที่น่าสนใจคือ สื่อเสรีแบบนี้ หากไม่มีงบจากรัฐ ยังเสรีได้อยู่ไหม? หรือจริงๆ แล้วมันคือ “สื่อเสรีภาพที่มีเงื่อนไข” มาตลอด
โดมิโน่ต่อไปจะเป็นใคร?

VOA (Voice of America) ก็คงมีเสียวๆ อยู่บ้าง เพราะเป็นอีกเจ้าที่ใช้งบสนับสนุนจากรัฐสหรัฐฯ เช่นกัน จะว่าไปแล้ว ในยุคที่โซเชียลมีเดียครองเมือง สื่อที่อาศัยทุนรัฐเพื่อทำข่าวนโยบายต่างประเทศ อาจต้องเตรียมใจเผชิญยุคที่ “อเมริกาต้องมาก่อน” อย่างเต็มตัวแล้วจริงๆ
ว่าแต่… หรือพวกเขาจะหาทางออกใหม่โดยไปขอทุนจากที่อื่นแทน? หรือถ้าหมดยุคของสื่อสายทุน รัฐบาลสหรัฐฯ จะใช้ช่องทางไหนในการขยายอิทธิพลทางข้อมูลข่าวสาร? คำตอบอาจอยู่ในอนาคตที่กำลังใกล้เข้ามา…

เมื่อ VOA ถูกตัดงบ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสงครามข่าวสารที่แท้จริง ศึกวัดพลังรัฐบาลสหรัฐฯ กับทุนข้ามชาติที่ต้องการครองสื่อโลก

(17 มี.ค. 68) ถอดรหัส Michael Abramowitz – ใครอยู่เบื้องหลังเสียงโวยวายเรื่อง VOA ถูกตัดงบ? 

"เป็นครั้งแรกในรอบ 83 ปีที่ Voice of America กำลังถูกทำให้เงียบเสียง"

นั่นคือคำแถลงของ Michael Abramowitz ผู้อำนวยการ Voice of America (VOA) หลังจากรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดงบองค์กรสื่อของรัฐอย่างหนัก จนทำให้ นักข่าว โปรดิวเซอร์ และเจ้าหน้าที่กว่า 1,300 คน ถูกพักงานทันที

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสนั่น โดย Abramowitz อ้างว่าเรื่องนี้เป็นการทำลายเสรีภาพของสื่อ และเปิดช่องให้ศัตรูของสหรัฐฯ อย่างจีน รัสเซีย และอิหร่าน ขยายอิทธิพล

แต่คำถามคือ "นี่คือเรื่องของเสรีภาพจริง ๆ หรือเป็นเกมแห่งอำนาจ?"

Michael Abramowitz – นักข่าว หรือ นักยุทธศาสตร์?
ชื่อของ Michael Abramowitz อาจดูเหมือนเป็นนักข่าวสายประชาธิปไตยที่ออกมาปกป้องเสรีภาพของสื่อ แต่หากเราขุดลึกลงไป เขาไม่ใช่แค่ผู้อำนวยการ VOA เท่านั้น

เขาเป็นอดีตประธานของ Freedom House องค์กรที่ อ้างว่าเป็นองค์กรอิสระด้านประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้ว ได้รับเงินสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเครือข่ายนายทุนข้ามชาติ

Freedom House มีหน้าที่ จัดอันดับความเป็นประชาธิปไตยของประเทศต่าง ๆ ซึ่งบ่อยครั้ง คะแนนของประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ มักต่ำอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ พันธมิตรของสหรัฐฯ กลับได้รับการจัดอันดับดีกว่าเสมอ

ดังนั้นจึงไม่แปลกครับที่ freedom house ต้องมาจัดอันดับประเทศไทยให้เรตติ้งร่วงทันทีที่รัฐบาลไทยเลี้ยงดูปูเสื่อผู้หลบหนีเข้าประเทศไทยชาวอุยกูรฺ์กว่า 11 ปีและส่งกลับประเทศต้นทางก็คือประเทศจีนนั่นเอง...

แล้วทำไม Abramowitz ต้องออกมาเดือดเรื่อง VOA?
เพราะ VOA เป็นกระบอกเสียงของสหรัฐฯ ที่ใช้เผยแพร่ประชาธิปไตยไปทั่วโลก และทำงานประสานกับองค์กรอย่าง Freedom House หาก VOA ถูกทำให้ไร้ประสิทธิภาพ นั่นหมายถึงอำนาจของ Freedom House ก็จะลดลงไปด้วย

Freedom House – องค์กรอิสระจริง หรือแขนขาของ CIA?
หลายคนอาจมองว่า Freedom House เป็นองค์กรอิสระที่ส่งเสริมประชาธิปไตย แต่เมื่อขุดลึกลงไป เราพบว่ามันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานข่าวกรอง

กว่า 80% ของงบประมาณมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะ กระทรวงการต่างประเทศ (U.S. State Department) และ USAID

ได้รับทุนจาก National Endowment for Democracy (NED) ซึ่งมีประวัติว่าเคยเป็น เครื่องมือของ CIA ในการแทรกแซงรัฐบาลต่างชาติ

ในอดีตมีรายงานว่า Freedom House มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในหลายประเทศ เช่น ยูเครน อาหรับสปริง และเวเนซุเอลา

แต่ที่น่าสนใจคือ นอกจากเงินรัฐบาลสหรัฐฯ แล้ว Freedom House ยังได้รับเงินสนับสนุนจากเครือข่ายนายทุนที่ต้องสงสัย

George Soros และทุนลับที่อยู่เบื้องหลัง
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเงินทุนของ Freedom House คือ George Soros มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่มีอิทธิพลมหาศาลในวงการการเมืองโลก

Soros เป็นผู้ก่อตั้ง Open Society Foundations (OSF) องค์กรที่ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มที่เรียกร้องประชาธิปไตยในหลายประเทศ

OSF เคยถูกกล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโค่นล้มรัฐบาลในยุโรปตะวันออกและอเมริกาใต้
Freedom House และ OSF เคยร่วมมือกันในหลายโครงการ รวมถึงการสนับสนุนขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกง

เงินของ Freedom House มาจากรัฐบาลสหรัฐฯ หรือ Soros? หรือทั้งสองฝ่ายต่างทำงานร่วมกัน?
หากคำตอบคือ "ทั้งสองฝ่าย" นั่นหมายความว่า Freedom House ไม่ได้เป็นแค่องค์กรส่งเสริมประชาธิปไตย แต่เป็นเครื่องมือของเครือข่ายทุนข้ามชาติที่ใช้ประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือในการแทรกแซงประเทศอื่น

VOA ถูกตัดงบ – ผลกระทบต่อเครือข่าย Soros และพวก Globalist
เมื่อทรัมป์ตัดงบ VOA ไม่ใช่แค่สื่อของรัฐที่ได้รับผลกระทบ แต่มันคือการโจมตีเครือข่ายทั้งหมดที่ใช้ VOA เป็นเครื่องมือ

Freedom House สูญเสียหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ประชาธิปไตย

Open Society Foundations ของ Soros อาจได้รับผลกระทบ หาก VOA ไม่สามารถทำงานร่วมกับขบวนการของเขาได้

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ทรัมป์อาจกำลังพยายามลดอิทธิพลของกลุ่มทุนข้ามชาติที่ใช้สื่อเป็นเครื่องมือแทรกแซงการเมือง

สรุป – เรื่องนี้เป็นแค่การตัดงบ หรือเป็นการสกัดอำนาจของพวก Globalists?
สิ่งที่เราพบจากการถอดรหัสคือ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเสรีภาพสื่อ แต่มันคือ การต่อสู้เชิงอำนาจระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมของทรัมป์ กับเครือข่าย Globalists ที่ต้องการควบคุมข้อมูลข่าวสาร

Michael Abramowitz ไม่ใช่แค่ ผู้อำนวยการ VOA แต่เขาคือ อดีตประธานของ Freedom House องค์กรที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และอาจรวมถึงกลุ่มทุนของ George Soros

การที่เขาออกมาโวยวายเรื่อง VOA จึงไม่ใช่แค่เพราะ "เสรีภาพของสื่อ" แต่เพราะ "อำนาจของเครือข่ายที่เขาอยู่กำลังถูกท้าทาย"

คำถามที่เราต้องคิดต่อคือ "เมื่อทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง VOA จะถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องมือของฝ่ายอนุรักษ์นิยมแทนหรือไม่?"

และ "Freedom House จะยังเป็นองค์กรอิสระได้จริงหรือ ถ้ามันยังพึ่งพาเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ และเครือข่ายทุนข้ามชาติ?"

นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามข่าวสารที่แท้จริง… ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับทุนข้ามชาติที่ต้องการครองสื่อโลก

กลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทย ยังดำเนินต่อไป เปลี่ยนคนพูด แต่ไม่เปลี่ยนคนเขียนบท อ้าง!! กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ความเป็นจริง เต็มไปด้วย ถ้อยคำ ‘ปลุกใจเสือป่า’

(7 เม.ย. 68) ข้าพเจ้าเคยพูดไว้แล้วเรื่องนโยบายของพรรคเป็นธรรม—ไม่ว่าจะเป็นการเสนอถอนทหาร ยกเลิกกฎหมายพิเศษ หรือผลักดันให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ปกครองตนเอง ทั้งหมดล้วนเป็นกลยุทธ์บ่อนเซาะอำนาจรัฐไทยอย่างเป็นระบบ ภายใต้ฉากหน้าคำว่า "สิทธิมนุษยชน" และ "สันติภาพ"

ล่าสุด ขบวนการนี้ยังไม่หยุดพัก เมื่อมีการจัดงาน Green Melayu 2025 โดยอ้างว่าเป็น “กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม” แต่ในความเป็นจริง เวทีนี้กลับเต็มไปด้วยถ้อยคำปลุกใจเสือป่าในนาม “ราชอาณาจักรปาตานี” พูดถึงอัตลักษณ์ มรดกแผ่นดิน และอำนาจที่ “ต้องทวงคืน”

ผู้ปราศรัยอย่าง มูฮัมหมัดอาราดี เด็งนิ และ ฮาซัน ยามาดีบุ แม้จะถูกมองว่าเป็น “หน้าใหม่” ในสายตาคนนอก แต่ความจริงแล้ว พวกเขาคือ “คนกันเอง” ในเครือข่ายเดียวกับ รอมฎอน ปันจอ และ กัณวีร์ สืบแสง ตัวละครชุดเดิมที่แค่เปลี่ยนเวที เปลี่ยนฉากหน้า

จะเป็นพรรคประชาชนที่ล่มไป หรือพรรคเป็นธรรมที่ยังวิ่งอยู่
จะเป็นเวทีสิทธิมนุษยชน หรือเวทีสิ่งแวดล้อม
จะเป็นงานวิชาการ หรือกิจกรรมวัฒนธรรม

ทั้งหมดล้วนเป็นมุกเก่าในบทใหม่
ทั้งหมดล้วนเป็นคนกันเองที่เปลี่ยนหน้ากากตามสถานการณ์

และเป้าหมายก็ยังไม่เปลี่ยน—ท้าทายอำนาจรัฐไทย และแยกดินแดนในทางอุดมการณ์โดยไม่ต้องใช้ปืนแม้แต่นัดเดียว

พวกเขาอาจเรียกมันว่า “กิจกรรมของคนรุ่นใหม่”

แต่ข้าพเจ้าเห็นชัดว่า มันคือยุทธศาสตร์เดิม ที่เปลี่ยนแค่คนพูด ไม่เคยเปลี่ยนคนเขียนบท

‘Mr. S - Miss W’ นร.นอกที่จบจากตะวันตก ปั่นกระแส ทำลายความสัมพันธ์ ‘ไทย - จีน’ ใส่ร้าย!! สร้างวาทกรรม ‘จีนเทา’ ทั้งที่จริงนักลงทุนจีน 99% ดำเนินกิจการ อย่างโปร่งใส

(7 เม.ย. 68) มองให้ลึก ก่อนเหมารวม : เมื่อความเงียบกลายเป็นพลังบ่อนทำลาย

ช่วงนี้ในแวดวงความคิดเห็นและการเมืองระหว่างประเทศ เริ่มมีกระแสบางอย่างที่น่าสนใจและควรค่าแก่การจับตา

มีกระแสหนึ่งที่กำลังค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอย่างเงียบเชียบ มีทิศทางชัดเจน และใช้กลวิธีที่แนบเนียน

เบื้องหลังของกระแสดังกล่าว มีบุคคลกลุ่มเล็ก ๆ โดยเฉพาะสองคนที่รู้จักกันในวงในชื่อย่อว่า Mr. S และ Miss W สองนักเรียนนอกจากโลกตะวันตก ผู้ร่วมกันผลักดันวาทกรรมในเชิง “ป้ายสีจีน” ด้วยการหยิบยกข้อมูลบางด้าน และใช้เทคนิคทางภาษาเพื่อชี้นำสังคมให้เข้าใจผิด เหมารวมว่านักลงทุนจีนทั้งหมดเป็น “ทุนสีเทา”

หลายฝ่ายในวงการเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า นี่อาจไม่ใช่แค่ความเห็นส่วนตัว แต่เป็นการ “ปั้นกระแส” อย่างมีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน

สิ่งที่สังคมไทยควรตั้งสติและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนคือ—เราไม่ควรเหมารวมบริษัทจีนทั้งหมดว่าเป็นกลุ่มทุนสีเทา

ในความเป็นจริงแล้ว นักลงทุนจีนกว่า 99% ที่เข้ามาในประเทศไทย ล้วนเป็นบริษัทระดับโลกที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และสร้างงานให้กับคนไทยอย่างจริงจัง อาทิ :
 • GWM
 • Haier
 • Midea
 • Hisense
 • BYD
 • GAC AION
 • Longi
 • MG
 • ChangAn
 • CATL
 • SVOLT

บริษัทเหล่านี้ปฏิบัติตามกฎหมายไทย และมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ

แม้จะไม่มีใครกล้ายืนยันว่าเบื้องหลังของกระแสนี้คืออะไรแน่ แต่ในโลกของการทูต “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

ทุกกระแสที่ถูกจุดขึ้น ล้วนมีที่มา

และทุกความเคลื่อนไหว ย่อมมี “ราคา” ที่ตามมาเสมอ

เมื่อความประมาทบนถนน!! กลายเป็น ‘บาดแผล’ ในใจสังคม เกิดคำถาม ถึงคนในบ้าน ต้องสร้างคนรุ่นใหม่ ให้มีวุฒิภาวะ เข้าใจการเคารพผู้อื่น ไม่ใช่แสดงอำนาจ อวดบารมี

เหตุการณ์รถยนต์ BMW ป้ายแดงขับเบียดรถกระบะบนทางด่วน จนทำให้ผู้สูงวัยสองท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นเรื่องสะเทือนใจและถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม เมื่อมีการเปิดเผยภายหลังว่า ผู้ขับขี่เป็นลูกชายของนักการเมืองท้องถิ่นชื่อดัง

ประเด็นที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงแค่อุบัติเหตุบนท้องถนนเท่านั้น หากแต่คือสิ่งที่สังคมสะท้อนกลับว่า "การกระทำของลูกคนหนึ่ง อาจส่งผลกระทบถึงศักดิ์ศรีและความน่าเชื่อถือของทั้งครอบครัวโดยเฉพาะผู้เป็นพ่อแม่"

การที่บุตรหลานของผู้มีตำแหน่งทางการเมืองมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ย่อมทำให้คนทั่วไปตั้งคำถามถึงการเลี้ยงดู และคุณธรรมที่ครอบครัวนั้นยึดถือ ถึงแม้ผู้เป็นพ่อจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โดยตรง แต่ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบทั้งต่อชื่อเสียงและหน้าที่การงาน

สังคมไทยยังคงให้ความสำคัญกับ 'เกียรติ' ของครอบครัว โดยเฉพาะในกลุ่มผู้นำชุมชนหรือผู้มีอำนาจ ดังนั้นพฤติกรรมใด ๆ ที่หลุดจากกรอบของความมีวินัย ความเคารพต่อกฎหมาย และความรับผิดชอบ ย่อมกลายเป็นประเด็นรุนแรงในสายตาสาธารณชน

ในฐานะผู้ใหญ่คนหนึ่ง ข้าพเจ้าขอใช้โอกาสนี้เตือนสติ ไม่ใช่เพื่อตำหนิหรือซ้ำเติม หากแต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า การมีลูกหลานเติบโตมาในโลกที่หมุนเร็ว มีทั้งแรงกดดันและค่านิยมมากมาย พ่อแม่ควรใส่ใจในการปลูกฝังความรับผิดชอบมากกว่าความเก่งกล้า และความถ่อมตนมากกว่าความกล้าได้กล้าเสีย

ลูกก็คือตัวแทนของครอบครัว หากเขาล้ม ก็เหมือนบ้านสะเทือน และถ้าสังคมเห็นว่าเขาไม่ยืนอยู่บนความถูกต้อง คนในบ้านก็ย่อมถูกตั้งคำถามไปด้วย — แม้จะไม่ได้ทำผิดด้วยก็ตาม

ขอให้เหตุการณ์นี้ไม่จบลงแค่ในห้องพิจารณาคดี แต่เป็นบทเรียนที่ขยายไปถึงทุกบ้าน เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่รู้เท่าทันตนเอง เคารพผู้อื่น และไม่ใช้ชีวิตบนท้องถนนเป็นเวทีแสดงอำนาจใด ๆ อีกต่อไป

‘อินทนิล’ นักรบนิรนามในเงาสงคราม 333 วีรกรรมที่ไม่มีใครเขียนถึง ในบทไพร่พล

(20 เม.ย. 68) ท่ามกลางเสียงปืนที่ไม่เคยปรากฏในหน้าหนังสือเรียน และวีรกรรมที่ไม่มีใครเขียนถึงในบทไพร่พล - มีชื่อหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในความเงียบ คือ “อินทนิล”
อินทนิล ไม่ใช่ชื่อบุคคลธรรมดา แต่คือชื่อจัดตั้งของ ร้อยโทชูเกียรติ สินค้าเจริญ นายทหารยุทธการแห่งกองพันรหัส BC.609 ซึ่งประจำการอยู่บนยอด ภูเทิง - หนึ่งในแนวสันเขายุทธศาสตร์กลางทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ที่ใช้ควบคุมเส้นทางเคลื่อนพลในสงครามลับยุคสงครามเย็น

ปฏิบัติการของอินทนิล อยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2514–2518 ภายใต้รหัสลับ “333” เป็นภารกิจสนับสนุนการสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ร่วมกับฝ่ายราชการในลาว โดยมีไทย-สหรัฐฯ เป็นผู้หนุนหลัง ผ่านการรบแบบไร้สัญชาติ ไร้เหรียญตรา และบางครั้ง…ไร้ทางรอด

ณ ใจกลางสมรภูมิแห่งนี้ นักรบไทยได้ตั้งฐานรบระดับกองพันไว้ 3 แห่งรอบทุ่งไหหิน ได้แก่ ภูเทิง, ภูห่วง และ ภูเก็ง — ทั้งหมดตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่ถูกจัดชั้นว่า Key Terrain หรือพื้นที่ยุทธศาสตร์สูงสุด หากควบคุมได้ ย่อมควบคุมทั้งแนวรบ

แนวสนับสนุนจากแนวหลังคือฐานยิงปืนใหญ่ของไทยในรหัสลับ มัสแตง, ไลอ้อน, คิงคอง, สติงเรย์ และ แพนเธอร์ ที่คอยยิงสนับสนุนทุกครั้งที่ฐานแนวหน้าส่งสัญญาณขอ “ไฟ” จากฟ้า

ปี พ.ศ. 2515 ฐาน BC.609 ถูกกองกำลังฝ่ายตรงข้ามโอบล้อมจากทุกทิศ เส้นทางส่งกำลังบำรุงถูกตัดขาด อากาศเลวร้ายจนเครื่องบินไม่อาจฝ่าเข้าไปได้ สถานการณ์เต็มไปด้วยสัญญาณแห่งความตาย

ในที่สุด ภูเทิงตกอยู่ในวงล้อมอย่างสมบูรณ์ ทหารเวียดนามเหนือระดมยิงปืนใหญ่ใส่ฐานไทยตั้งแต่เช้าจรดเย็น บังเกอร์ถูกถล่มกระจุยทุกแนวเพลาะ ลูกปืนของศัตรูดูไม่มีวันหมด ...

ร้อยโทชูเกียรติ — หรือ “อินทนิล” — จึงตัดสินใจประกาศคำสั่งสุดท้ายผ่านวิทยุ:

> “ขอให้ปืนใหญ่ไทย ยิงแตกอากาศใส่ฐานของเราเอง”

คำว่า “แตกอากาศ” คือคำสั่งให้ยิงลูกกระสุนระเบิดกลางอากาศเหนือฐาน เพื่อให้สะเก็ดกระจายลงมา ทำลายอาวุธ แผนที่ เอกสารลับ และ…ชีวิตของผู้ที่อยู่ในวงล้อม ไม่ให้ตกไปในมือศัตรูแม้แต่นัดเดียว

เสียงระเบิดในวันนั้น คือเสียงของคนที่เลือกตายอย่างมีศักดิ์ศรี มากกว่าจะยอมเป็นเชลยโดยไร้เกียรติ
และหลังการตรวจสอบภายหลังสงครามจบลง — เราจึงได้ทราบว่า
กำลังพลไทยที่ยังปักหลักอยู่ในฐานภูเทิง ณ วินาทีสุดท้าย มีเพียง 8 นาย
ในจำนวนนั้นคือ ร้อยโทชูเกียรติ สินค้าเจริญ, ร้อยโทโรม ชัยมงคล และทหารกล้าทั้งหมดอีก 6 นาย ส่วนที่เหลือถอยออกจากสนามรบทำให้เป็นผู้รอดชีวิต...
หลายปีผ่านไป ไม่มีพิธีรำลึก ไม่มีบันทึกในตำราทหาร ไม่มีแม้แต่ชื่อของอินทนิลอยู่ในรายนามของผู้กล้า… จนกระทั่งมีการสร้าง “อนุสาวรีย์วีรกรรมทหาร 333” ขึ้น ณ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี แท่นหินที่ตั้งสงบแต่หนักแน่นอยู่ริมถนนแห่งนี้ คือคำยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ลืมวีรบุรุษที่เลือกสละแม้กระทั่งชื่อเสียง เพื่อรักษาแผ่นดิน

> อินทนิล คือเสียงของผู้ไม่พูด
คือแสงสว่างจากเงามืด
คือผู้ที่ยอมแตกเป็นผุยผง ดีกว่าให้แผ่นดินแตกเป็นเสี่ยง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top