จากต้นแบบ!! ของประเทศที่มี ‘เสรีภาพ-ความก้าวหน้า’ กลับกลายเป็นสมรภูมิของความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ศาสนา
(6 มี.ค. 68) ในช่วงแรกของการอพยพ ผู้อพยพชาวมุสลิมบางกลุ่มพยายามเผยแพร่ศาสนาโดยใช้วิธีที่สร้างความขัดแย้งในพื้นที่สาธารณะ พวกเขานำลำโพงติดตั้งบนรถยนต์และขับไปตามเมืองต่างๆ เปิดเสียงอาซาน (เสียงเรียกละหมาด) และบทสวดจากอัลกุรอานผ่านวิทยุและเครื่องกระจายเสียง สิ่งนี้กลายเป็นชนวนให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนท้องถิ่น เพราะมองว่าเป็นการรบกวนพื้นที่สาธารณะ และเป็นการพยายาม "บังคับ" ให้ศาสนาอิสลามเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของทุกคน
ในบางเมืองของสวีเดน ประชาชนได้ร้องเรียนถึงหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อให้ระงับการกระทำดังกล่าว โดยมองว่าสวีเดนเป็นประเทศฆราวาสที่แยกศาสนาออกจากรัฐ และการเปิดเสียงอาซานผ่านลำโพงในที่สาธารณะ เป็นการละเมิดความสงบสุขของประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้อพยพบางส่วนกลับมองว่านี่เป็น "สิทธิทางศาสนา" ของพวกเขา และถือว่าเป็นการ "ต่อสู้เชิงอุดมการณ์" ระหว่างศาสนาอิสลามกับวัฒนธรรมตะวันตก
ศาลชารีอะห์และการบังคับใช้กฎศาสนาในชุมชนมุสลิม
แม้ว่ากฎหมายชารีอะห์จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายของสวีเดน แต่ก็มีแรงกดดันจากบางกลุ่มในสังคมมุสลิมที่ต้องการให้มี "กฎหมายคู่ขนาน" ซึ่งหมายถึงการที่ชาวมุสลิมสามารถดำเนินชีวิตภายใต้กฎศาสนาได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ ตัวอย่างเช่น กรณีของการแต่งงานในเด็ก การหย่าร้างที่ให้สิทธิฝ่ายชายมากกว่าหญิง หรือแม้แต่การลงโทษตามหลักศาสนาในชุมชนบางแห่ง
ปัญหาคือ ในบางพื้นที่ของสวีเดน โดยเฉพาะในเขตที่มีประชากรมุสลิมหนาแน่น กฎหมายชารีอะห์ถูกใช้กันอย่างลับๆ แม้ว่าจะผิดกฎหมายของสวีเดนก็ตาม มีรายงานว่ามี "ศาลชารีอะห์" ที่ดำเนินการตัดสินคดีความในหมู่ชาวมุสลิมเอง โดยไม่ขึ้นต่อระบบยุติธรรมของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเมิดหลักนิติรัฐอย่างร้ายแรง
สตรีมุสลิม: เสรีภาพหรือการกดขี่?
อีกหนึ่งประเด็นร้อนในสังคมสวีเดนคือเรื่อง การสวมฮิญาบและบุรกา แม้ว่ากฎหมายสวีเดนจะอนุญาตให้ผู้หญิงสามารถเลือกแต่งกายตามหลักศาสนาได้ แต่ในบางชุมชนมุสลิมกลับมีการกดดันผู้หญิงให้สวมใส่ชุดคลุมโดยที่พวกเธอไม่มีทางเลือก มีรายงานว่าเด็กหญิงบางคนถูกกลั่นแกล้งหากพวกเธอไม่สวมฮิญาบไปโรงเรียน หรือแม้แต่ผู้หญิงที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมสวีเดน ก็อาจถูกครอบครัวและสังคมรอบตัวประณามว่าผิดหลักศาสนา
เรื่องนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับ เสรีภาพที่แท้จริง เพราะในขณะที่สวีเดนให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่กลับมีบางชุมชนที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือกดขี่สมาชิกของตนเอง ทำให้เกิดสังคมคู่ขนานที่ขัดแย้งกับหลักประชาธิปไตยของประเทศ
ความขัดแย้งทางการเมืองและแนวโน้มในอนาคต
การเมืองสวีเดนเองก็แบ่งออกเป็นสองขั้วในเรื่องนี้ ฝ่ายที่สนับสนุนเสรีภาพทางศาสนามองว่า ทุกคนควรมีสิทธิในการปฏิบัติตามศาสนาของตนเอง รวมถึงการแต่งกายตามหลักศาสนา แต่ฝ่ายขวากลับมองว่า นี่คือการปล่อยให้วัฒนธรรมที่ขัดกับหลักเสรีภาพเข้ามาแทรกแซงประเทศ และเชื่อว่าการให้สิทธิที่มากเกินไปกับกลุ่มศาสนาหนึ่ง อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม
สิ่งที่ทำให้ปัญหานี้ร้อนแรงขึ้นไปอีกคือ บางเมืองในยุโรป เช่น ในฝรั่งเศสและเดนมาร์ก ออกกฎหมายห้ามสวมบุรกาและนิกอบในที่สาธารณะ โดยให้เหตุผลว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่สตรี ในขณะที่สวีเดนยังคงลังเลที่จะเดินตามแนวทางนี้ เนื่องจากกลัวว่าจะละเมิดสิทธิมนุษยชน
แต่คำถามคือ เสรีภาพที่สวีเดนปกป้องอยู่นี้ เป็นเสรีภาพของทุกคนจริงหรือ? หรือเป็นเพียงเสรีภาพที่เอื้อให้บางกลุ่มสามารถบังคับใช้กฎของตนเอง โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักการประชาธิปไตยของประเทศ?
หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป สวีเดนอาจต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น เพราะเมื่อศาสนาและกฎหมายของรัฐเดินไปคนละทาง จุดปะทะก็อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ปัญหาที่เกิดขึ้นในสวีเดนไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของศาสนา แต่เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลาย เมื่อมีผู้ลี้ภัยจำนวนมากเข้ามาตั้งรกรากโดยไม่ได้คำนึงถึงความพร้อมของพื้นที่และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ย่อมนำไปสู่ความท้าทาย ทั้งสำหรับผู้มาใหม่ที่ต้องปรับตัว และสำหรับชุมชนเดิมที่ต้องหาวิธีอยู่ร่วมกัน
ความขัดแย้งไม่ได้เกิดจากศาสนาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่อยู่ที่ความเข้าใจที่ไม่ตรงกันระหว่างสองฝ่าย—ฝ่ายหนึ่งมองว่าควรเปิดรับความหลากหลายเต็มที่ ในขณะที่อีกฝ่ายกังวลว่าหากไม่มีการปรับตัวเข้าหากัน อัตลักษณ์และหลักการของสังคมเดิมอาจถูกสั่นคลอน ความไม่ลงรอยเหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านและความหวาดระแวงกันในหลายระดับ
ทางออกของปัญหานี้ไม่ใช่การปิดกั้นหรือกีดกันศาสนาหรือวัฒนธรรมใด แต่เป็นการหาจุดสมดุลระหว่างเสรีภาพของแต่ละกลุ่มกับความเป็นปึกแผ่นของสังคมโดยรวม ทุกฝ่ายจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าหากัน โดยเคารพกฎหมายและคุณค่าของประเทศที่ตนอยู่ หากรัฐไม่สามารถสร้างแนวทางที่ทำให้ทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ความแตกแยกก็อาจขยายตัวมากขึ้นจนยากจะควบคุม
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมองปัญหานี้ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ด้วยความหวาดกลัวหรืออคติ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขคือเป้าหมายของทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ใด
เรื่อง : ปราชญ์ สามสี