Sunday, 8 June 2025
ประเทศไทย

‘ครูเดวิด’ เผยให้สัมภาษณ์ CNN ปม Apple เหยียดเมืองไทย ลั่น!! ไม่ต้องเสียใจที่โดนดูถูก เพราะวันนี้เสียงคนไทยดังไปทั่วโลก

เมื่อวานนี้ (30 ก.ค. 67) ‘เดวิด วิลเลี่ยม’ ชาวต่างชาติที่สอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย และเป็นเจ้าของช่อง Tiktok @davidwilliamdw ที่มีผู้ติดตามเกือบ 3 ล้านคน ได้โพสต์วิดีโอพร้อมเล่าเรื่องราวว่า CNN ขอติดต่อสัมภาษณ์ ประเด็นโฆษณาของ Apple ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองไทย โดยจะลงคลิปที่ให้สัมภาษณ์กับทาง CNN ในโอกาสต่อไป เพราะเพิ่งให้สัมภาษณ์จบ

“การสัมภาษณ์ในครั้งนี้ สิ่งที่พี่พูดเต็มปาก คือ สนามบินในไทยเป็นหนึ่งในสนามบินที่เลิศที่สุดในโลก แล้วพี่ก็พูดต่อในเรื่องความปลอดภัยในบ้านเราด้วย ตั้งแต่มาอยู่ประเทศไทยไม่เคยต้องห่วงเรื่องนี้เลย สำหรับใครที่ทุกข์มากกับโฆษณานี้ พี่อยากจะบอกว่าไม่ต้องเครียดแล้ว เพราะคนไทยมีเสียงทั่วโลกในตอนนี้” ครูเดวิดกล่าว

ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นดรามาร้อนแรง กรณีโฆษณา iPhone ในช่อง Youtube Apple UK ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้ทำให้หลายคนออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความไม่เหมาะสม ในการนำเสนอภาพประเทศไทย ด้วยมุมมองที่ล้าหลัง 

ซึ่งในวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ดาราหนุ่มซี ศิวัฒน์ ก็ออกมาวิจารณ์โฆษณานี้เช่นกันว่า “ไม่ขำ” และ “อยากเขวี้ยง iphone ทิ้ง” รวมถึงคนมีชื่อเสียงคนอื่น ๆ และชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนมาก ต่างออกมายืนยันว่าภาพในโฆษณานั้นต่างกับความเป็นจริงในประเทศไทยมาก

ในโฆษณาดังกล่าว มีหลายช่วงที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดูแย่ เช่น ขนส่งสาธารณะแออัด นั่งเรือแล้วเมาจนอ้วก นั่งรถเมล์แล้วต้องอุ้มลูกให้คนอื่น ไม่มีแท็กซี่จนต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง สนามบินเล็กและคนเยอะ พนักงานสนามบินทำให้กระเป๋าผู้โดยสารหายไป แท็กซี่พาไปผิดโรงแรม อีกทั้งยังพูดว่า “I think she likes me” กับผู้หญิงไทยอีกด้วย

จากการนำเสนอภาพของระบบขนส่งสาธารณะในประเทศไทยด้วยบรรยากาศที่แย่ รวมถึงพยายามถ่ายทอดภาพให้ ‘ฝรั่ง’ หรือชาวตะวันตกในโฆษณา สูงส่งกว่าคนไทย ทั้งในแง่ของมุมมองภาพ การกระทำ และวัฒนธรรม เช่น ถามว่าในโรงแรมที่ประเทศไทยมีแอร์ หรือห้องน้ำไหม?

อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องการย้อมสีภาพสำหรับฉากในประเทศไทย ให้กลายเป็นสีโทนร้อน ออกแนวเก่า ๆ ซึ่งเป็นโทนสีที่วงการภาพยนตร์มักใช้นำเสนอฉากหรือภูมิประเทศที่มีความล้าหลัง หรือด้อยพัฒนา เมื่อโฆษณา iPhone เลือกใช้โทนสีดังกล่าว ประกอบกับเขียนสตอรี่ให้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทยล้วนเต็มไปด้วยความยากลำบาก และไม่สะดวกสบาย จนทำให้ฝรั่งอยากกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสาเหตุให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก นับตั้งแต่วันที่ปล่อยโฆษณานี้ออกมาสู่โลกออนไลน์

'อัษฎางค์' แนะ!! คนไทยปล่อยวางกระแสโฆษณา Apple เชื่อ!! ดูถูกหรือไม่? คนทั้งโลกรู้จักไทยวันนี้ดีพออยู่แล้ว

(1 ส.ค. 67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

โฆษณาของ Apple อีกสักที

ผมอยู่เมืองนอกมานานมากพอสมควร ไอ้เรื่องฝรั่งที่มีมุมมอง ความรู้หรือทัศนคติแบบดูถูก เหยียดหยามหรือแค่เข้าใจผิด เกิดขึ้นอยู่เสมอ

แต่เวลาที่ถูกฝรั่งเข้าใจผิด หรือดูถูก เหยียดหยามก็ตาม ไม่เคยทำให้ผมโกรธจนตัวเนื้อสั่น แต่ผมกลับมีความรู้สึกเดียวคือ ไอ้ฝรั่งคนนี้ ‘กระจอก โคตรบ้านนอก ไดโนเสาร์’

เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น?

ก็เพราะคนเขารู้จักเมืองไทยกันทั้งโลกแล้ว แกมาจากหลังเขาลูกไหนถึงไม่รู้ว่าเมืองไทยเป็นยังไง Google Internet ใช้เป็นรึเปล่า ทำไมถึงคิดว่าเมืองไทยเป็นอย่างนั้น

คือแทนที่จะโกรธจนตัวสั่นที่ถูกฝรั่งดูถูก ผมดูถูกมันกลับไปแล้วในทันที เพราะฉะนั้น สบายตัว

ใครพูดอะไรออกมา ย่อมบ่งบอกตัวตนของเขา ‘คนโง่ก็พูดอะไรโง่ ๆ ออกมา’ เราจะต้องไปเต้นแร้งเต้นกาทำไม

Apple ทำโฆษณาแบบนี้ออกมา ก็บ่งบอกตัวของ Apple เอง บ่งบอกความเป็นอเมริกันชนของตนเอง และจะโดนฝรั่งชาติอื่น ๆ หัวเราะเยาะไปเอง

แต่ผมว่า มันคงไม่ถึงกับต้องโยน iPhone iPad Apple Watch ทิ้งแล้วแห่กันย้ายค่ายกระมัง

คือผมไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าใครจะโกรธ Apple หรือใครจะเลิกใช้ จะย้ายค่าย อันนั้นมันเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน ซึ่งทำได้อยู่แล้ว และผมเคารพการตัดสินใจส่วนตัวของแต่ละคน

แต่คงไม่ต้องถึงขั้นออกมารณรงค์ ชักชวนหรือแห่กันแบน 

ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ตามความคิดเห็นหรือความรู้สึกของแต่ละคน

อย่างไรก็ตาม การที่มีกระแสไม่พอใจในเมืองไทยหนัก ๆ แบบนี้ ผมว่าก็ดีเหมือนกัน เพราะเป็นเสียงสะท้อนที่ดังกลับไปถึง Apple และชาวอเมริกัน (บางคน) ที่เข้าใจอะไรผิด ๆ คิดว่าตัวเองนำสมัยและเป็นเจ้าโลกอยู่ฝ่ายเดียว และให้ชาวโลกได้รู้ถึงความกระจอก กับความรู้ที่ล้าสมัย และความเป็นฝรั่งบ้านนอก เป็นกบในกระลาอเมริโกย ที่ไม่เคยออกมาดูโลกว่า เขาไปกันถึงไหนแล้ว

สรุป ความเห็นและคำวิพากษ์วิจารณ์ของผมคือ…

1. ผมเห็นด้วยกับกระแสความไม่พอใจ ที่จะดังสะท้อนไปถึง Apple และชายอเมริกัน (บางคน) 

2. ผมเคารพในความคิดเห็นของแต่ละคนต่อ Apple หลังจากชมโฆษณาชิ้นนี้ 

3. แต่ไม่เห็นด้วยกับการตีโพยตีพายอะไรกันจนมากมาย โดยเฉพาะเรื่อง 'กระแสแห่ตามกัน'

เพราะไอ้กระแสแห่ตามกันนี้มันอันตราย เหมือนที่เกิดขึ้นกับเรื่องการบ้านการเมืองของไทย ที่ชอบใครเกลียดใครก็แห่ตามกันจนไม่ลืมหูลืมตา แล้วมันเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะมันบ่งบอกว่าคนไทยหลอกง่าย การจะหลอกหรือจะสร้างกระแสให้ชอบหรือเกลียดใครหรืออะไรก็ทำได้ไม่ยาก เพราะถ้าจุดกระแสอะไรที่ขึ้นมาได้ คนไทยก็มักแห่ตามกัน

ผมเชื่อในแนวคิดที่ว่า ‘ถ้าเราเป็นทองแล้วมีคนเห็นเราเป็นอึ เราจะไม่มีวันกลายเป็นอึ แต่จะยังคงเป็นทองตลอดไป’

คนที่เป็นทองก็มักไม่นิยมที่จะเอา ‘พิมเสนไปแลกกับเกลือ’

โฆษณาแบบนี้ ทำให้เราคนไทยและชาวโลกได้ตาสว่างว่า คนอเมริกันหลงตัวเองอยู่ในกะลา และเป็นการเปิดเผยตัวตนออกว่าว่าตัวเองเป็น ‘ไอ้กระจอก โคตรบ้านนอก ไดโนเสาร์’

‘เป็นผู้ที่ครอบครองเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่คนของตนโคตรล้าสมัย’

เห็นด้วยหรือเห็นต่างจากผมก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมก็แค่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวในบ้านของตัวเอง

‘Apple’ ประกาศลบซีรีส์โฆษณา 'The Underdogs' แล้ว พร้อมขอโทษที่ไม่ได้นำเสนอวิถีชีวิตของไทยในปัจจุบัน

หลังจากเมื่อวันที่ 18 ก.ค.67 ‘Apple’ ได้ปล่อยคลิปโฆษณา The Underdogs: OOO (Out Of Office) ที่มีการถ่ายทำในประเทศไทย ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการนำเสนอเนื้อหา หลายประเด็นภายหลังจากเผยแพร่ และสร้างความไม่พอใจต่อคนไทยและต่างชาติที่รับไม่ได้กับเมืองไทยในมุมล้าหลัง ไม่เจริญ ไม่ปลอดภัย จากคลิปโฆษณาดังกล่าว

ล่าสุดทาง Apple ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและวันที่ 2 ส.ค.67 Apple ก็ได้ทำการยุติเผยแพร่ (ลบ) โฆษณา The Underdogs: OOO (Out Of Office) แล้ว พร้อมออกแถลงการณ์ ดังนี้...

"สืบเนื่องจากซีรีส์โฆษณา 'The Underdogs' ซึ่งถือเป็นผลงานชิ้นที่ 5 ในซีรีส์นี้ ทางเรามีการทำงานใกล้ชิดร่วมกับบริษัทในประเทศไทยเพื่อดำเนินการสร้างและผลิตชิ้นงานโฆษณา ซึ่งได้ทำการถ่ายทำในประเทศไทย ทั้งนี้เรามุ่งหวังและมีความตั้งใจที่จะถ่ายทอดวัฒนธรรมและมุมมองความคิดในแง่ดีของประเทศไทย และเราขออภัยที่โฆษณาชิ้นนี้ไม่ได้นำเสนอวิถีชีวิตของประเทศไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วนและเหมาะสม ณ ตอนนี้ ทางเราได้ดำเนินการยุติการเผยแพร่โฆษณาดังกล่าวแล้ว”

How to invest คุยเรื่องลงทุนกับ 'อรวดี ศิริผดุงธรรม' 'หุ้น-ทอง-อสังหาฯ' ในห้วงเวลาที่ต้องคลิกให้ถูกจังหวะ

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ คุณอรวดี ศิริผดุงธรรม Senior Investment Advisory เมื่อวันที่ 3 ส.ค.67 ในประเด็น 'เกาะติดการลงทุนไทย' ว่า...

ช่วงนี้หากมองการลงทุนในตลาดหุ้น คงต้องพิจารณาให้รอบด้าน เนื่องจากมีแรงเทขายหุ้นจากต่างชาติตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา แต่ก็ไม่ได้ทิ้งหุ้นไทยทั้งหมด เพียงแต่เปลี่ยนการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโต เช่น ยานยนต์, การแพทย์ และสื่อสาร 

อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่า นักลงทุนควรมองหาโอกาสการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า เช่น กลุ่มที่มีหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ, โรงไฟฟ้า, สายการบิน, สินค้านำเข้า เป็นต้น 

ต่อมา คาดกันว่าในเดือนกันยายนนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติลดดอกเบี้ย ก็จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจและสินทรัพย์เสี่ยงในอนาคต ซึ่งจะเป็นโอกาสของนักลงทุนเช่นกัน 

ส่วนนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ ก็อยากให้เริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวเองก่อนว่า สามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน? แนะนำให้ลองกรอกแบบฟอร์มประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก จากนั้นควรศึกษาข้อมูลของบริษัทที่สนใจลงทุนอย่างละเอียด เช่น ข้อมูลพื้นฐานของบริษัท, ผู้บริหาร, ธรรมาภิบาล, สินค้าและบริการตอบโจทย์ผู้บริโภคหรือไม่ 

คุณอรวดี ให้คำแนะนำในส่วนนี้เพิ่มด้วยว่า "การเล่นหุ้น จำเป็นต้องมองภาพใหญ่ของประเทศให้ออก ว่ากำลังเดินไปในทิศทางไหน เช่น รัฐบาลกำลังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศแบบใด แล้วหุ้นตัวไหนที่มีได้อานิสงส์จากโครงการนี้ เช่น ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม หรือ ร้านค้าปลีก เข้าข่ายไหม จากนั้นก็ค่อย ๆ ทยอยซื้อเก็บไปเรื่อย ๆ พอในระยะยาว เราก็อาจจะสามารถเอาชนะตลาดได้"

เมื่อถามถึงการลงทุนในตลาดทองคำ? คุณอรวดี เผยว่า ปัจจุบันมีผลงานวิจัยรายงานว่าทองคำบนโลกอาจมีให้ขุดได้อีกไม่เกิน 20 ปีเท่านั้น หมายความว่าปริมาณทองคำจะเริ่มลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับความต้องการที่มีมากขึ้น ภายใต้จุดเด่นที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งได้รับความนิยมสูง สามารถจับต้องได้ และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย

ทว่า ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่นิยมลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ แต่ไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เพื่อทำกำไรมากกว่า แต่กลับกันถ้าเศรษฐกิจขาลง นักลงทุนจะหันกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น 

ดังนั้น การลงทุนทองคำสามารถลงทุนได้เรื่อยๆ แต่ต้องรู้กลยุทธ์ว่าจะลงทุนในรูปแบบใด ระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ถ้าลงทุนในระยะยาวมีโอกาสทำกำไรได้สูง 

เมื่อถามถึงการลงทุนในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย? คุณอรวดี กล่าวว่า ในปัจจุบันอสังหาฯ เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินเย็นมากกว่า เพราะถ้าลงทุนไปแล้ว ไม่สามารถปล่อยเช่า หรือขายได้ ต้นทุนจะสูงขึ้น เนื่องจากต้องจ่ายค่าเสื่อมและค่าส่วนกลางตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันความต้องการอสังหาฯ ในไทยไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนเมื่อก่อน อาจต้องรอนโยบายจากรัฐบาลมาสนับสนุน เพื่อให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กลับมาคึกคักอีกครั้ง 

'แรงงานนอกระบบ' เสี่ยงเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในไทย บนความสบายใจของคนไทยที่รักสบายจนเคยตัว

อย่างที่เราทราบกันว่าตอนนี้มีแรงงานผิดกฎหมายเดินทางเข้ามายังประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่ม NGO ทั้งหลายก็พยายามผลักดันและกดดันให้ไทยรับแรงงานเหล่านี้เข้าระบบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของไทยเลย  

จากการเรียกร้องของกลุ่ม NGO โดยเฉพาะฝั่งพม่าที่พยายามผลักดันมากเสียจนดูน่าสงสัยไปหมด เมื่อไปตามดูสายสัมพันธ์ของคนเหล่านี้จะพบว่าคนเหล่านี้มีสายสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ในไทยทั้งในระดับปฏิบัติการและระดับนโยบายถึงขั้นพยายามผลักดันนโยบายอะไรบางอย่างในไทยได้ 

เพราะล่าสุดเห็นระบบการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวในไทย ระบบใหม่มีภาษาต่างชาติทั้งอังกฤษ, พม่า, ลาว, เวียดนาม และภาษาเขมร โดยเหมือนตั้งใจที่จะให้แรงงานสามารถแจ้งเองได้เลย ซึ่งจะต่างจากในอดีตที่จะให้นายจ้างไทยเป็นคนแจ้งออก

ถามว่าการทำแบบนี้ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ นายจ้างชาวไทย? หรือ แรงงานข้ามชาติ? 

บางที เอย่า ก็สงสัยจุดประสงค์ของกรมแรงงาน ว่าต้องการให้ไทยพัฒนาไปได้ในทิศทางที่ถูกต้องหรือต้องการแค่ใครก็ได้ที่มาทำแล้วผลักงานให้พ้นตัวไป?

มาอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่นานมานี้ เอย่า ได้รับรายงานมาว่า สนามกอล์ฟแห่งหนึ่งมีสาขาที่จังหวัดท่องเที่ยวในประเทศไทย มีเจ้าของเป็นคนไทย ประกาศรับแคดดี้ชาวพม่าเป็นผู้หญิงอายุระหว่าง 18-25 ปี โดยต้องมีทักษะพูดภาษาต่างประเทศได้ เช่น จีน, เกาหลี โดยจะได้รับเงินเดือน 12,000 บาท พร้อมสวัสดิการชุดพนักงาน ที่พักและอาหารฟรี

นอกจากนี้ ผู้สมัครจะต้องผ่านการทดสอบทักษะทางภาษาก่อน หากได้งานต้องทำงานไปก่อน 6 เดือน หลังพ้นระยะทดลองงาน 6 เดือนถึงจะทำบัตรชมพูให้ และในช่วงดังกล่าวพนักงานต้องห้ามเดินทางออกนอกสถานที่เด็ดขาด โดยการทำงานนี้มีสัญญาจ้าง 2 ปี ถ้าลาออกก่อนหรือทำงานไม่ครบสัญญาจะถูกปรับเป็นเงิน 300,000 บาท

หากมองว่าเป็นงานถูกกฎหมาย ก็น่าจะไม่ผิดกฎหมาย แต่การรับสมัครงานแบบนี้ไม่ถูกต้องไปตามการจ้างแรงงานต่างด้าว และบริษัทน่าจะรู้ดีว่าการจ้างต่างด้าวที่ไม่มีเอกสารเป็นความผิด เพราะนายจ้างจะต้องไปขึ้นทะเบียนจ้างคนต่างด้าวก่อน จึงจะสามารถรับคนงานได้ 

ในส่วนของลูกจ้างที่ควรจะคำนึงคือ การที่ต้องไปทำงานในที่ใดที่หนึ่งไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลยไม่ต่างอะไรกับการถูกหลอกไปทำงานในเขตจีนเทา เขาจะทำอะไรกับคุณก็ได้ เพราะคุณอยู่ในอาณาเขตของเขา อีกอย่างหากถูกลวนลามจากนักกอล์ฟจะสามารถหาทางเอาตัวรอดได้หรือไม่ อย่างไรกัน เพราะไม่สามารถเดินทางออกไปไหนได้เลย แม้ทางรีสอร์ตจะเสนอว่าหากทำครบ 1 ปีแล้วสามารถขอลาได้ 15 วัน และมีรถรับส่งไปยังชายแดนหรือสนามบินก็ตาม

ปัจจุบันนี้แรงงานที่หนีเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายคงไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ถึงกระนั้นขบวนการฟอกขาวที่นำโดยกลุ่มที่มาก่อนถึง แม้บางคนจะได้สัญชาติไทยไปแล้ว ก็ยังพยายามที่จะทำให้คนเหล่านั้นเข้ามาในระบบอย่างไม่ถูกต้อง โดยพยายามเรียกร้องว่า ไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์สัญชาติหรือประวัติอาชญากรรม 

ประเด็นคือ ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้แรงงานพวกนี้จริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้วคือ เรารักสบายจนเคยตัว และใช้เงินแก้ปัญหาจนเคยชิน โดยที่ไม่เคยสนใจว่าสิ่งที่เราก่อขึ้นจะส่งผลอะไรกลับมาบ้างในประเทศของเรา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว  

หากทุกท่านยังไม่เข้าใจ อาจจะต้องลองไปถามคนไทยในแม่สอดดูว่า เขารู้สึกอย่างไรที่พม่าเข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้ามาอาศัยเพิ่มมากขึ้น

'มินอ่องหล่าย' ประกาศเอง 'ไทย' เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กองทัพเมียนมาพ่าย กลายสภาพเป็นหนึ่งในโจทก์ ใต้จังหวะ 'การเมือง-กองทัพ' ที่ยังเพิกเฉย

เป็นเรื่องจนได้ หลังจากเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ได้ประกาศแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ โดยระบุว่า ความพ่ายแพ้ของกองทัพเมียนมาในรัฐฉานเหนือเป็นผลมาจากอาวุธ และ เสบียง ที่ถูกส่งมาจากพรมแดนไทยและจีน ให้แก่กองทัพชนกลุ่มน้อย  

พร้อมกันนี้ ยังระบุอีกว่า โดรนและจรวดที่ใช้โดยกองกำลังโกก้าง หรือ MNDAA ซึ่งยึดครองพื้นที่โกก้างและเมืองล่าเสี้ยวในรัฐฉานเหนือขณะนี้ เป็นอาวุธที่ได้รับการอัปเกรดด้วยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ ซึ่งต้องใช้ทั้งทรัพยากรมนุษย์และเงินทุนมหาศาลในการพัฒนาอาวุธเหล่านี้  

นอกจากนี้ ยังมีการอ้างถึงองค์กร Free Burma Ranger ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในประเทศไทยด้วยว่า ไม่ใช่องค์กรช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ หรือองค์กรทางศาสนา แต่เป็น 'ทหารรับจ้างต่างชาติ' ที่เข้ามาฝึกกองกำลัง จัดหาอาวุธและเสบียงให้กับกองกำลังชนกลุ่มน้อยตามชายแดนไทยเพื่อให้ต่อสู้กับกองทัพเมียนมา 

เอย่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกันนะว่า ที่ผ่านมาทางการไทย โดยเฉพาะกองทัพบก ผู้มีหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทย 'ไม่ทราบ' หรือ 'ไม่สนใจ' กับคำกล่าวของทางฝั่งเมียนมา ทั้ง ๆ ที่แหล่งข่าวระดับสูงในเมียนมาอ้างว่า มีการประชุมนอกรอบกับฝั่งไทยหลายครั้งถึงการให้ฝั่งไทยจัดการกับ 'นายเดวิด อูแบงก์' ผู้นำกลุ่ม Free Burma Ranger แต่ทางการไทย รวมถึงกองทัพไทย ก็ไม่เคยสนใจกับคำขอร้องนี้ของทางฝั่งกองทัพเมียนมา เพียงเพราะว่า นายเดวิด อูแบงก์ คนนี้เดินเข้าออกสถานทูตประเทศหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่เป็นว่าเล่น

อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ทางเมียนมาออกมาระบุชัดเจนว่า มีการสนับสนุนอาวุธและเงินทุนมาจากทางชายแดนไทยและจีน จนเป็นผลให้การต่อสู้เพลี่ยงพล้ำ ไม่นับคลิปที่ว่อนตามโซเชียลมีเดียที่แสดงให้เห็นว่า มีนักรบรับจ้างชาติตะวันตกที่หลายสื่อที่เป็นของชนกลุ่มน้อยออกมาระบุว่า นักรบรับจ้างเหล่านั้นเข้ามารบให้แบบไม่รับค่าจ้าง แต่เพราะว่าทนเห็นสภาพบ้านเมืองแบบที่เป็นอยู่ไม่ไหว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้จ่ายเป็นเงิน แต่จ่ายเป็นทองที่ขุดมาจากเหมืองของชนกลุ่มน้อยต่างหาก

ตอนนี้ ประเทศไทย เลยกลายเป็น 1 ในโจทก์ของเมียนมาไปโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง แต่เพราะความเพิกเฉยของทั้งฝ่ายการเมืองก็ดี ฝ่ายกองทัพไทยก็ดี ทำให้เรากลายเป็นแหล่งซ่องสุมและกระจายยุทโธปกรณ์และเงินทุนของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลของเขา

สุดท้ายคนที่ต้องรับแรงกระเพื่อมจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นคนไทย ไม่ว่าจะต้องเจอกับปัญหาการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ที่นำมาสู่การเรียกร้องสิทธิเท่าเทียม โดยนำคำว่ามนุษยธรรมมาอ้าง, การมาแย่งอาชีพคนไทยทำโดยสมบูรณ์ รวมถึงเรื่องของอาชญากรรม ทั้งลักขโมย จนไปถึงการปล้น ทะเลาะ วิวาท ระหว่างคนไทยกับคนเหล่านี้ อีกทั้งยังเรื่องยาเสพติดที่มีมากขึ้น หลังจากการรัฐประหาร เพราะชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ใช้ยาเสพติดในการระดมเงินทุนจัดหาอาวุธและเสบียงอีกทางหนึ่ง

ปัญหาล้นขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องขึ้นกับทางกองทัพไทยแล้วว่า คำว่า 'วางตัวเป็นกลาง' คือ ทำตัวไม่รับรู้ถึงไฟไหม้บ้านข้างๆ แล้วให้คนที่มาใช้บ้านเราเติมเชื้อไฟเข้าไป สุดท้ายพอบ้านเขามอดไหม้หมด ก็คงไม่พ้นบ้านเราที่จะต้องไหม้เองต่อจากนั้น หรือจะเลือกช่วยบ้านข้างๆ ดับไฟเพราะอย่าลืมว่าบ้านข้าง ๆ มีพรมแดนติดกับบ้านเราถึงกว่า 2,400 กิโลเมตร  

"สุดท้ายแล้วกองทัพไทย พวกท่านได้ทำอย่างที่ได้เคยให้สัจจะไหมว่า จักรักษามรดกของบูรพกษัตริย์หรือในที่สุด แค่รักษาประโยชน์ส่วนตัว"

‘สมาคมซิงไฟจากฮ่องกง’ ขนทัพนักแสดงจัดอุปรากรจีนเยาวชนกวางตุ้ง เดินหน้าเผยแพร่วัฒนธรรม ‘งิ้วกวางตุ้ง’ ครั้งแรกในประเทศไทย

(8 ส.ค. 67) สมาคมส่งเสริมอุปรากรจีนกวางตุ้งซิงไฟ จากฮ่องกง เปิดการแสดงอุปรากรจีนเยาวชนกวางตุ้ง (Sing Fai Bangkok Premiere Cantonese Opera Heritage) ครั้งประวัติศาสตร์ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์งิ้วกวางตุ้งและมุ่งมั่นในการพัฒนานักแสดงรุ่นต่อไป ด้วยการส่งเสริมให้ศิลปินรุ่นเยาว์ที่มีความรักได้สืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานของงิ้วกวางตุ้ง โดยมีเป้าหมายที่จะนำศิลปะอันล้ำค่านี้ไปสู่ในเวทีระดับนานาชาติ ซึ่งที่ผ่านมางิ้วกวางตุ้งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติโดยยูเนสโก ในปี 2009 ด้วยคุณค่าทางศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการรักษามานานหลายศตวรรษ โดยการแสดงฯ ในประเทศไทยได้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1-2 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์ ในกรุงเทพฯ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงในกรุงเทพมหานคร และเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมฟรี โดยมีผู้สนใจจองบัตรเข้าชมเต็มทั้ง 2 วัน รวมเป็นจำนวนกว่า 1,200 คน

สำหรับการแสดงอุปรากรจีนกวางตุ้งในครั้งนี้ ได้นำเสนอในเรื่องที่ได้รับความนิยม อาทิ

1) ม้าเหล็กทวนทอง (Making a Mass Pledge) เมื่อบ้านเมืองโดนคนทรยศทำลาย ขุนนางที่ซื่อสัตย์ถูกฆ่า ประชาชนจึงต้องตามนายทหารที่เกษียณอายุให้มาช่วยเหลือและรวมพลังประชาชนเข้าต่อต้านกับข้าศึก
2) นางฟ้ามอบบุตร (Farewell by the Ash Tree) นางฟ้าคนที่ 7 พบรักกับชายหนุ่มยากจนในโลกมนุษย์ ต่อมาเง็กเซียนฮ่องเต้ทราบเรื่องจึงให้นางกลับสวรรค์ ก่อนไปนางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีได้ทราบใต้ต้นไม้ 
3) หอรักนิรันดร์ (Departure) พระขนิษฐาของเจ้าชายเดินทางกลับบ้านเกิด แม่ทัพต่างแดนที่เป็นคู่รักได้มาส่ง และร้องเพลงรักจากลาซึ่งกันและกัน
4) สิบปีในวังสุย (Princess Le Chang) ตำนานของความรักและการเสียสละ เมื่อบ้านเมืองแพ้สงคราม องค์หญิงจึงต้องปลอมตัวถ่วงเวลาเพื่อให้ราชบุตรเขยได้หลบหนี ทำให้นายทหารนับถือในความกล้าและช่วยหลบหนีออกไป
5) ความฝันในหอโบตั๋น (The Phantom Union) หญิงสาวฝันว่าได้พบบัณฑิตหนุ่มรูปงาม ต่อมาหญิงสาวได้ป่วยตาย บัณฑิตได้พบหญิงสาวปรากฏตัวในความฝัน และบอกให้ชายหนุ่มมาเปิดโลงศพในปีหน้า เพื่อช่วยให้นางได้ฟื้นคืนชีพ
6) เหมยแดงคืนชาติ (Encountering a Beauty When Picking Plum Blossoms) ตำนานความรักผิดตัว บัณฑิตหนุ่มได้พบหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมีหน้าตาเหมือนหญิงที่ตนเคยหลงรัก และทำให้เกิดความรักครั้งใหม่ที่ไม่คาดคิด
7) ระบายทุกข์ในโรงเตี๊ยม (Venting the Grievances at the Inn from Revenge at Guang Chang Long)  เรื่องราวการร้องขอความเป็นธรรม พ่อค้าไปเข้าพักในโรงเตี้ยม และถูกผีสาวหลอก ผีได้เล่าเรื่องราวสาเหตุที่ทำให้นางต้องผูกคอตาย จึงรู้สึกเห็นใจและเข้าช่วยเหลือพานางไปฟ้องศาล
8) พบฝันที่ไทหวู (Meeting at Lake Tai in a Dream) คู่รักพบกันในความฝันที่ทะเลสาบไทอันลึกลับ แต่โศกนาฏกรรมยังคอยติดตามการกลับมาพบกันอีกครั้ง

โดยสมาคมซิงไฟ (Sing Fai Cantonese Opera Promotion Association Limited) นั้นเป็นองค์กรศิลปะที่ไม่แสวงหากำไร จดทะเบียนในฮ่องกง ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ค.ศ. 2008 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนานักแสดงอุปรากรจีนกวางตุ้งรุ่นเยาว์ ให้สืบทอดรูปแบบศิลปะแบบดั้งเดิม ที่ผ่านมาทางสมาคมฯ ได้จัดการเรียนการสอนให้เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 2-24 ปี ไปแล้ว 6 รุ่น จำนวนกว่า 60 คน และยังได้เข้าร่วมการแข่งขันเพลงและอุปรากรจีนกวางตุ้งหลายครั้ง ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยในปี ค.ศ.2017 ได้ถูกเชิญไปร่วมแข่งขันในงานครบรอบ 20 ปี เขตปกครองฮ่องกง ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเกาลูน, มีส่วนร่วมในกิจกรรมแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เพื่อให้ต่างชาติได้รู้จักความงดงามของอุปรากรจีนกวางตุ้ง รวมถึงการไปจัดแสดงที่ประเทศแคนาดา, สหรัฐ และสิงคโปร์ ซึ่งจากผลงานได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทางสมาคมฯ ในการเผยแพร่ความงดงามของงิ้วกวางตุ้งสู่สากล การอุทิศตนในการอนุรักษ์วัฒนธรรม และการพัฒนาเยาวชน เพื่อให้มั่นใจได้ว่ามรดกของรูปแบบศิลปะอันงดงามนี้ จะยังคงเจริญรุ่งเรืองสำหรับคนในรุ่นต่อไป

'อัษฎางค์' ยก!! ปัญหาด้าน 'ปัญญา' เรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทย หลัง 'โค้ชการเงินดัง' พลาด!! บอก 'ศาล รธน.' ไม่ได้มาจากประชาชน

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) อัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'ปัญหาใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งของเมืองไทยคือ คนไทยจำนวนมากมีปริญญาแต่ไม่มีปัญญา' ระบุว่า...

พอล ภัทรพล โพสต์ข้อความว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

อัษฎางค์ ยมนาค จะเอาความรู้สมัยมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยปี 1 มาทบทวนให้ใหม่อีกครั้ง

'องค์กรที่พอลพูดถึง' ก็คงไม่พ้น 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ที่เพิ่งตัดสินยุบพรรคก้าวไกล

อยากถาม พอล กูรูการเงินคนดังว่า ที่วิจารณ์แบบนั้น รู้หรือไม่ว่า องค์กรที่ว่านั้น ซึ่งหมายถึง 'ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' ประชาชนไม่ได้เลือก แล้วใครเลือก?

สงสัยมาก ๆ ว่า พอล เรียนหนังสือจบมัธยมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยมาได้ยังไง เพราะวิชากฎหมายพื้นฐานต้องเรียนมาแล้วทุกคน

เริ่มต้นพื้นฐานแบบนี้เลยนะ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 200 กำหนดให้ 'ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 9 คน ซึ่งทั้ง 9 คนนี้ได้รับการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์'

ถ้าพระมหากษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง พอลมีปัญหาอะไรหรือเปล่า?

พอล มีปัญหาอะไรกับพระมหากษัตริย์หรือไม่?

หรือพอลเป็นปฏิปักษ์ต่อพระมหากษัตริย์หรือเปล่า?

ที่นี้มาอธิบายแบบรายละเอียดขั้นสูงขึ้นมาอีกนิด เพราะภาษากฎหมายบางที่มัน Complicated

คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' คือภาษากฎหมาย ที่คนไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัย หรือบางคนแม้จะจบมหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้เรียนนิติศาสตร์หรือรัฐศาสตร์อาจไม่เข้าใจว่า...

*คำว่า 'พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ' แต่ความจริงผู้แต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริง 'ไม่ใช่พระมหากษัตริย์'

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติก็จริง แต่ไม่ทรงมีอำนาจทางการเมืองหรืออำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน อำนาจแท้จริงที่ทรงมีเรียกว่า 'อำนาจทางพิธีการ' เท่านั้น

**ผู้ที่มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัวจริงคือ 'วุฒิสภา'

***โดยผู้ได้รับการคัดเลือกหรือสรรหาให้ดำรงตำแหน่งเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต้องได้รับความเห็นชอบจาก 'วุฒิสภา' ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

เมื่อได้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนแล้ว จึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

พระปรมาภิไธย หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว

ที่นี้เข้าใจคำว่า 'อำนาจทางพิธีการ' ของพระมหากษัตริย์หรือยัง?

การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดในโลก และไม่ว่าจะเรียกชื่อต่างกันอย่างไร ก็มีหลักการเดียวกันทั้งโลก

>> นั่นคือ ผู้เลือกคณะรัฐมนตรี คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ผู้เลือกศาลหรือตุลาการ คือ รัฐสภา (วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนฯ)

>> ส่วนผู้ที่เลือกผู้แทนราษฎร (สส.) วุฒิสมาชิก (สว.) ซึ่งเป็นสมาชิกของรัฐสภา คือ ประชาชน

ดังนั้นอธิบายวิชากฎหมายเบื้องต้น ซึ่งมีสอนในชั้นมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นที่ 1 ซ้ำให้พอลได้ทบทวนแล้ว (ไม่รู้ว่าตอนเรียนสอบผ่านหรือเรียนหนังสือจบมาได้ยังไง)

พอล ได้คำตอบแล้วหรือยังว่า 'องค์กร' ที่อำนาจมาก (ซึ่งพอลหมายถึง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) แต่ 'ประชาชนไม่ได้เลือก' ตามที่พอลบ่นออกมา

ความจริงแล้ว!! ใครเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ?

คำตอบคือ 'วุฒิสมาชิก' เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ โดยที่ วุฒิสมาชิก (ตามวิธีการสรรหาในปัจจุบัน) ประชาชนเป็นคนเลือกเข้าสภาอีกที

ดังนั้น คำตอบสุดท้ายของสมการนี้คือ 'ประชาชน' ก็เป็นผู้เลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ นั่นเอง 

การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ส่วนใหญ่ในโลก ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยโดยตรง แต่เป็นระบบตัวแทน

ระบบตัวแทนก็คือ ประชาชน เลือกผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก เข้าไปทำงานการเมืองและบริหารราชการแผ่นดินแทนประชาชน

แล้ว…ผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก ซึ่งทำหน้าที่ในรัฐสภา ก็เป็นผู้เลือกคณะรัฐมนตรีและศาล แทนประชาชน

ดังนั้น คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภาและตุลาการในศาล ซึ่งเป็น 3 องค์กรที่อำนาจมากที่สุด (เนื่องจากเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทยทุกคน) โดยใช้อำนาจดังกล่าวนั้นแทนประชาชนทุกคน

- เข้าใจหรือยังว่า
- ประชาชนเลือกผู้แทนฯ 
- ผู้แทนฯ เลือกรัฐมนตรีและศาล
- เลือกได้แล้วจึงทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

*พระมหากษัตริย์มีอำนาจและหน้าที่ เพียงแค่ลงชื่อหรือเซ็นชื่อรับรองเท่านั้น 

**พระมหากษัตริย์ ไม่มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินเลย

***ผู้มีอำนาจเลือกใครมาทำงานการเมืองหรือบริหารราชการแผ่นดินคือ ประชาชนอย่างเรา ๆ ทุกคน

สิ่งที่พอล ภัทรพล โพสต์ไว้ว่า "ที่น่ายุบที่สุด คือองค์กรที่อำนาจมาก แต่ประชาชนไม่ได้เลือก"

เป็นคำพูดหรือประโยคของคนที่เหมือนไม่ได้รับการศึกษา หรือเหมือนจบการศึกษามาโดยไม่มีความรู้ใด ๆ ติดตัวมา นอกจากกระดาษหนึ่งใบที่เรียกว่า 'ใบปริญญา' แต่เหมือนว่าอยากจะแสดงความเห็นอย่างคนที่มีการศึกษา 

พอลคิดว่า เราเลือกผู้แทนฯ ให้ไปนั่งพูดในสภาเท่านั้นหรือ? 

ผู้แทนฯ ของเราคือ ผู้มีอำนาจล้นฟ้าเลยนะ เพราะเขาใช้อำนาจอธิปไตยแทนเรา เพื่อบริหารราชการแผ่นดิน 

"คำว่าบริหารราชการแผ่นดิน ก็รวมถึงการเลือกคนมาทำงานบริหารราชการแผ่นดิน เช่น คณะรัฐมนตรีและศาลด้วยนั่นเอง"

คิดก่อนพูด มีความรู้จริงค่อยแสดงความคิดเห็น

เพราะคำพูดหรือความเห็นใด ๆ ของใคร บ่งบอกภพภูมิของคน ๆ นั้น

คนเป็นกูรูทางการเงิน แต่ไม่รู้เรื่องการเมืองและกฎหมายพื้นฐานเลยไม่ได้นะ เพราะการเงินมีปัจจัยสัมพันธ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับการเมืองและกฎหมาย

พูดแต่เรื่องที่รู้หรือเชี่ยวชาญนะดีแล้ว
แต่อย่าไปพูดเรื่องที่ไม่รู้
เพราะ…ไม่พูด คนก็ไม่รู้ว่า เราโง่ หรือไม่รู้!

กรุณาแสดงความเห็นด้วยข้อเท็จจริงและด้วยความสุภาพ

'หม่อมไกรสร' ไพรีผู้พินาศ ประมาทเพราะอำนาจ กำเริบน้อยไปถึงมาก พาชีวิตพลาดจนตัวตาย

หากจะพูดถึงเจ้านายที่ชีวิตขึ้นสุด ลงสุดคือ มีอำนาจวาสนาถึงสูงสุด มียศศักดิ์ได้ทรงกรมถึง 'กรมหลวง' ร่วงลงต่ำสุด จนถูกถอดยศเหลือแค่ 'หม่อม' ก่อนถูกประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว 

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร นั้นถือได้ว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจบารมีมาก ในช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเริ่มเข้ารูปเข้ารอย และเจ้านายเริ่มเข้ามามีบทบาทในการกำกับกิจการบ้านเมือง 

พระองค์เจ้าไกรสรเป็นเจ้านายพระองค์หนึ่งที่ได้เข้ามามีส่วนในการจัดระเบียบพระสงฆ์ ส่งเสริมกิจการของพระพุทธศาสนา ได้กำกับ 'กรมสังฆการี' ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการศึกษาและพระราชศรัทธาของพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นเจ้านายเพียงไม่กี่พระองค์ที่ได้สถาปนาให้ทรงกรม โดยแรกได้ทรงกรมที่ 'กรมหมื่นรักษ์รณเรศ' เคียงคู่กับพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ ๒ คือ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' ซึ่งกาลต่อมาก็คือ 'พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว' รัชกาลที่ ๓ เรียกได้ว่าทรงงานคู่กันมาตลอดรัชกาล แม้จะมีศักดิ์เป็น 'พระปิตุลา' หรือ อา ของรัชกาลที่ ๓ แต่ว่าทั้งสองพระองค์มีพระชันษารุ่นราวคราวเดียวกัน ร่วมงานกันมาอย่างยาวนานต่อเนื่องเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนยากของ ร.๓ เลยก็ว่าได้ 

พระองค์เจ้าไกรสร เป็นกำลังสำคัญในการก้าวขึ้นสู่พระราชอำนาชของรัชกาลที่ ๓ เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะนอกเหนือจากบุญญาบารมีทางการเมืองของในหลวงรัชกาลที่ ๓ แล้ว พระองค์เจ้าไกรสรทรงเป็นโต้โผหลักร่วมกับเจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ อาทิ กรมหมื่นสุรินทรรักษ์, กรมหมื่นศักดิพลเสพ, เจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค), พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัต บุนนาค) ในการสนับสนุนให้ 'กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์' เป็นพระเจ้าแผ่นดิน และพยายามกำจัดคู่แข่งทางการเมือง โดยเฉพาะ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' ซึ่งกาลต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ให้ต้องพลาดจากราชบัลลังก์ ทั้งยังตั้งตัวเป็นศัตรูมาอย่างต่อเนื่องอย่างที่เรียกว่า 'จองเวร' ก็ว่าได้ 

เริ่มต้นความเป็น 'ไพรี' หรือ 'ศัตรู' ของพระองค์เจ้าไกรสรที่มีต่อ 'เจ้าฟ้ามงกุฎ' นั้นสืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งเมื่อรัชกาลที่ ๒ ทรงสวรรคต เพราะพระองค์เป็นหนึ่งในโต้โผตามที่กล่าว ทั้งยังแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์อย่างชัดเจน โดยเริ่มต้นจากการ 'หน่วงเหนี่ยว กักขัง' 'วชิรญาณภิกขุ' ซึ่งผนวชมาก่อนสวรรคตราว ๒ สัปดาห์ 

เมื่อรัชกาลที่ ๒ สวรรคต ก็ได้ลวงว่ามีพระบรมราชโองการให้เข้าเผ้า ฯ แต่เมื่อมาถึงพระราชวังหลวงกลับถูก 'กักบริเวณ' เพื่อจัดการเรื่องผู้สืบราชสมบัติเสร็จสิ้นเสียก่อน ณ พระอุโบสถวัดพระแก้ว แล้วแจ้งความจริงแก่พระองค์ (ดีที่พระองค์ทรงเตรียมใจด้วยทรงปรึกษาเรื่องการขึ้นครองราชย์มาก่อนแล้ว โดยเจ้านายผู้ใหญ่ที่นับถือทรงบอกกล่าวแล้วว่ายังมิควร เรื่องนี้จึงช่วยได้เยอะ) 

จากนั้นเมื่อทรงทราบทุกเรื่องแจ้งตลอดแล้วจึงได้เข้าถวายบังคมพระบรมศพ แต่ก็ทรงโดนพระองค์เจ้าไกรสรเข้าประกบพร้อมทรง 'ข่มขู่' จาก 'บันทึกความทรงจำ' พระยาสาปกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ระบุไว้ว่า “พระจอมเกล้าฯ เสด็จเข้าไป พอเห็นสวรรคตแล้วก็ทรงพระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลําดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสงเข้าไป พระจอมเกล้าฯ ก็ตกพระทัยรับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเสียเลย พระนั่งเกล้าฯ รับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทําอะไรหรอกอย่าตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทําอย่างไรได้เวลานั้นโดยท่านตกพระทัย พระบังคลไหลออกมาเปียกสบงเป็นครึ่งผืน” 

นี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงผนวชอย่างยาวนานกว่า ๒๗ พรรษา

ครั้นมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว 'พระองค์เจ้าไกรสร' ได้รับการสถาปนาให้เป็น 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ทรงกำกับกรมวัง มีหน้าที่ตัดสินคดีความ คุมเบี้ยหวัดของพระราชวงศ์และขุนนาง ทรงคุม 'กรมสังฆการี' อยู่ในกำมือ เรียกว่ามีอำนาจอิทธิพลมาก นั่นทำให้พระราชวงศ์หลายพระองค์ต้องทรงมีอาการหมางเมินต่อพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ ด้วยความกริ่งเกรง 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นั่นเอง 

แต่ถึงจะครองเพศบรรพชิตก็ใช่ว่าจะแกล้งไม่ได้ 'พระวชิรญาณภิกขุ' ขึ้นชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา มีภูมิรู้ทางภาษาบาลีอย่างเอกอุ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบในด้านนี้ของพระองค์ วันหนึ่งจึงทรงอาราธนาพระองค์เข้าสอบความรู้พระปริยัติธรรมสนามหลวงโดยมีรัชกาลที่ ๓ ทรงเสด็จฯ ออกทรงฟังการสอบความรู้พระปริยัติธรรมด้วยทุกวัน ซึ่งปรากฏว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' แปลบาลีได้อย่างไม่ติดขัดจนถึงประโยคที่ ๕ เมื่อผ่านพ้นการแปลในประโยคนี้รวม ๓ วัน ก่อนจะขึ้นในวันใหม่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ก็ได้เข้ามาทรงทักท้วงกับ พระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม กลางที่ประชุมกรรมการแปลโดยเสียงที่ได้ยินกันทั่วว่า...

"นี่จะปล่อยกันไปถึงไหน" คืออารมณ์ว่าจะปล่อยให้แปลไปสบาย ๆ แบบนี้ได้ยังไง จน 'พระวชิรญาณภิกขุ' ต้องทูลฯ รัชกาลที่ ๓ ขอหยุดแปล ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบก็ไม่ทรงขัดศรัทธา อีกทั้งยังทรงพระราชทานพัดยศเปรียญธรรม ๙ ประโยค อันเป็นสัญลักษณ์ของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติชั้นสูงสุดแห่งคณะสงฆ์ไทยให้ทรงถือ ก็แสดงให้เห็นชัดว่า ร.๓ ท่านไม่ได้ทรงขุ่นข้องหมองใจใด ๆ ยกเว้นเพียง พระองค์เจ้าไกรสรที่ยังทรงคิดรังควานต่อไป 

เมื่อเล่นงานตรง ๆ ไม่ได้เพราะ ร.๓ ไม่ทรงเล่นด้วย พระองค์เจ้าไกรสร ก็หันมาปล่อยข่าวปลอม สืบเนื่องจากความเป็นปราชญ์ในด้านบาลีของพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ อีกทั้งยังทรงเป็นนักศึกษา นักค้นคว้า ทำให้มีผู้คนไปนมัสการพระองค์ ณ วัดราชาธิวาส (วัดสมอราย) ซึ่งพระองค์จำพรรษาอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีการปล่อยข่าวว่า 'พระวชิรญาณภิกขุ' ซ่องสุมผู้คนเพื่อหวังผลทางการเมือง ครั้นเมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงทราบเข้าจึงให้ย้ายพระภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร ในปี พ.ศ ๒๓๗๙ เพื่อให้พ้นข้อครหา

ปล่อยข่าวปลอมไม่สำเร็จงั้นก็แกล้งอย่างอื่นต่อ หลังจากที่ 'พระวชิรญาณภิกขุ' มาเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร พระองค์ได้ทรงสถาปนาธรรมยุติกนิกายขึ้น โดยยึดพระวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการนุ่งห่มก็เรียบร้อย พระภิกษุต้องสำรวมขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นจุดที่ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' นำมากลั่นแกล้งได้อีก โดยคราวนี้พระองค์ให้คนในสังกัดไปดักรอใส่บาตรพระธรรมยุติ โดยสิ่งที่ใส่ในบาตรคือ 'ข้าวต้ม' ร้อน ๆ คือ ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าในสมัยก่อนยังไม่มี 'ถลกบาตร' หรือ 'สลกบาตร' ซึ่งเสมือนถุงที่ใส่บาตรให้พระได้ถือกันร้อน มีแต่เชิงบาตรไว้ตั้งเมื่อรับบาตรเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อโยมในสังกัดของ 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ตักบาตรข้าวต้มร้อนๆ แก่พระธรรมยุติ พระท่านก็ปฏิเสธไม่ได้ แถมยังต้องสำรวม ในการรับบาตรนี้พระทั้งหลายก็มือพอง แขนพอง กลับวัดกันไป นี่ก็อีกหนึ่งวิบากที่ร่ำลือกันถึงความ 'จองเวร' จาก 'กรมหลวงรักษ์รณเรศ' 

แต่มีอำนาจก็เสื่อมอำนาจได้ หากมิมีคุณธรรมควบคุมตนกรณีของ พระองค์เจ้าไกรสรก็เช่นกัน พระองค์ทรงมีความหวังว่าพระองค์จะได้เป็นวังหน้าในครั้งที่กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ ทรงทิวงคต อีกทั้งยังทรงกระทำการด้วยอำนาจบาตรใหญ่หลายเรื่อง เช่น การตัดสินคดีความอย่างลำเอียงด้วยเห็นแก่สินบน ซ่องสุมผู้คนอย่างมิเหมาะควร กระทำตนเยี่ยงพระมหากษัตริย์ในงานลอยประทีป ณ กรุงเก่า และเมืองเขื่อนขันธ์ ซึ่งมีผู้คนเห็นกันอย่างถ้วนทั่ว หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนพระองค์ที่ทรงมิได้ร่วมหลับนอนกับพระชายาหรือหม่อมห้ามในวัง แต่กลับไปคลุกอยู่กับคนโขนละครซึ่งเป็นชายแต่โปรดฯ ให้แต่งกายเป็นหญิง ซึ่งนับว่าออกลูกมั่นใจว่าไม่มีใครกล้าเป็น 'ศัตรู' กับพระองค์มากไปสักหน่อย 

จากเหตุดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๓๙๑ 'ไพรี' ของพระองค์ จึงเริ่มขึ้นในรูปใบฏีกาที่ยื่นร้องทุกข์การปฏิบัติราชการและพฤติกรรมของพระองค์เป็นจำนวนมาก มากจนเกิดเป็นการจับกุมและต้องตั้งศาลเพื่อตัดสินคดีความของพระองค์ขึ้น ไล่จากเบาคือ เรื่องไม่บรรทมกับพระชายาหรือหม่อมห้าม ซึ่งเป็นเรื่องส่วนพระองค์โดยพระองค์ให้การว่า "ใช้มือกำคุยหฐาน (อวัยวะเพศ) ของกันและกันจนสุกกะ (น้ำกาม) เคลื่อนเท่านั้น" อีกทั้ง "การไม่อยู่กับลูกเมียนั้น ไม่เกี่ยวข้องแก่การแผ่นดิน" เรื่องทำตนเทียมกษัตริย์นั้น ในงานลอยประทีปนั้นก็มีมูลเพียงรับไว้บางส่วน 

แต่ก็ยังไม่ร้ายแรงที่สุด มาหนักตรงเรื่อง 'กินสินบาทคาดสินบน' ซึ่งมีการพิสูจน์ได้หลายเรื่อง โดยเรื่องที่บันทึกไว้ก็มีเรื่องของ 'พระยาธนูจักรรามัญ' ซึ่งถวายฎีกาฟ้องพระองค์ว่าตัดสินคดีไม่ชอบ เมื่อตุลาการชำระความก็ปรากฏว่าผิดจริง นำไปสู่การรื้อการพิจารณาอีกหลายคดี ส่วนเรื่องใหญ่ที่สุดก็คือการซ่องสุมผู้คน ซึ่งว่ากันว่าขุนนางคนไหนที่มีไพร่พล หากยอมสวามิภักดิ์พระองค์ก็จะนับว่าเป็นพวก แต่ถ้าใครไม่ยอมก็จะจองเวรหาเรื่องเอาผิดอยู่เนือง ๆ ซึ่งเรื่องการซ่องสุมผู้คน พระองค์ทรงให้การว่า...

“พระองค์มิได้ทรงจะก่อการกบฏ แต่เป็นการเตรียมไว้หากจะมีการผลัดแผ่นดิน ก็จะไม่ยอมเป็นข้าใคร" คือถ้ารัชกาลที่ ๓ สวรรคต ใครจะครองราชย์ต่อไม่ได้หากไม่ใช่พระองค์เอง ทั้งยังให้การกับตุลาการว่าหากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจะตั้ง 'กรมขุนพิพิธโภคภูเบนทร์' เป็นวังหน้า ซึ่งคำให้การทั้งปวง ทำให้ตุลาการผู้ชำระความที่เป็นทั้งพระราชวงศ์และขุนนางผู้ใหญ่ต้องประชุมกันอย่างเคร่งเครียด

ไล่ ๆ กับที่ 'พระองค์เจ้าไกรสร' กำลังเริ่มโดนไต่สวน มีเกร็ดเล่าว่ามีผู้มาถวายพระพุทธรูปองค์หนึ่งแด่ 'วชิรญาณภิกขุ' หรือ ครั้นเมื่อได้มาแล้วบรรดาศัตรูผู้คิดปองร้ายแก่พระองค์ล้วนแล้วแต่แพ้ภัยตนเอง พ่ายลงไปเสียสิ้น พระองค์จึงถวายนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า 'พระไพรีพินาศ' อันหมายถึงการสิ้นศัตรูในคราวแรก ทั้งยังทรงตั้งนามเจดีย์ศิลาเล็ก ๆ องค์หนึ่งว่า 'พระไพรีพินาศเจดีย์' อีกด้วย โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ได้มีค้นพบว่าในพระเจดีย์มีกระดาษแผ่นหนึ่งประทับตราสีแดงและปรากฏข้อความว่า "พระสถูปเจดีย์ศิลาบัลลังก์องค์ จงมีนามว่าพระไพรีพินาศ ตตเทอญ" และอีกด้านเขียนว่า "เพราะตั้งแต่ทำมาแล้ว คนไพรีก็วุ่นวายยับเยินไปโดยลำดับ" ซึ่งหากนับแล้วไม่เพียงแต่ พระองค์เจ้าไกรสร แต่ยังมีคณะบุคคลอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องพินาศไป ซึ่งจะนำมาเสนอในบทความต่อ ๆ ไป 

กลับมาที่พระองค์เจ้าไกรสร เมื่อตุลาการพิจารณาเป็นความสัตย์ ในหลวงรัชกาลที่ ๓ จึงทรงให้ถอด 'พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ' ให้เหลือแต่เพียง 'หม่อมไกรสร' และตัดสินให้ประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ ซึ่งส่วนหนึ่งของคำพิพากษาระบุไว้อย่างน่าสนใจว่า "…การที่ตัวได้ดีมียศศักดิ์ขึ้นกว่าแต่ก่อนก็ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้ยิ่งกว่าเจ้านายทุกๆ พระองค์ จึงได้คิดกำเริบใจขึ้น แต่ก่อนนั้นยังกำเริบน้อยๆ เดี๋ยวนี้มากขึ้นๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ได้ ๒๕ ปีแล้ว บัดนี้ก็ถึงปรารถนาจะเป็นเจ้าแผ่นดิน ให้ตัวรำลึกถึงความหลังดู ... ความชั่วของตัวมันฟุ้งเฟื่องเลื่องฦๅไปทั่วนานาประเทศทั้งปวง หาควรไม่เลย ต่างคนต่างมีใจโกรธแค้นยิ่งนัก แล้วยังมาคิดมักใหญ่ใฝ่สูง จะเป็นวังหน้าบ้าง เป็นเจ้าแผ่นดินบ้าง อย่าว่าแต่คนเขาจะยอมให้เป็นเลย แต่สัตว์เดียรัจฉานมันก็ไม่ยอมให้ตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน…"

แต่เรื่องความ 'จองเวร' ของ 'หม่อมไกรสร' ก็จัดว่าไม่ธรรมดา แม้จะถูกตัดสินความผิดถึงประหาร จนในวาระสุดท้าย ที่ 'วชิรญาณภิกขุ' จะขอขมาเพื่อจะทรงยกโทษกรรมเวรที่ทรงกระทำต่อกันมาด้วยดอกไม้ธูปเทียน นอกจากหม่อมไกรสรจะไม่รับแล้ว ยังกลับไปกำทรายแล้วตอบกลับว่า "จะขอผูกเวรไปทุกชาติเท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย!!" ซึ่งเรื่องนี้ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ได้ทรงประทานเล่าไว้ในคราหนึ่ง 

'หม่อมไกรสร' ถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ณ วัดปทุมคงคา เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม ๓ ค่ำ ปีวอก สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๑๐ ตรงกับวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๗๑ ขณะนั้นหม่อมไกรสรมีพระชันษาได้ ๕๖ ปี และนับเป็นพระราชวงศ์องค์สุดท้ายที่ถูกสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้

'ก.ต่างประเทศไทย' ออกแถลงการณ์ ยืนยันความภาคภูมิใจ ในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อวานนี้ (8 ส.ค.67) นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยยืนยันว่า...

คำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นเอกสิทธิ์ และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งอยู่ภายใต้ บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ และคำตัดสินของศาล เป็นสิ่งที่ไม่อาจสามารถแทรกแซงได้ โดยอำนาจอื่นหรืออำนาจรัฐบาล และผลคำตัดสินดังกล่าวมีผลผูกพันตามกฎหมาย และต้องได้รับความเคารพโดยปวงชนชาวไทย

อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยังเน้นย้ำอีกว่า ประเทศไทยจะยังคงดำเนินแนวทางค่านิยมตามหลักการประชาธิปไตย และในฐานะรัฐภาคีของกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และย้ำความมุ่งมั่นต่อพันธกรณี และเสรีภาพการแสดงออก เสรีภาพในการสมาคม เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ และเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง

ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อขนบประเพณีไทย ที่สร้างความเป็นชาติตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของไทย และประเทศไทย จะดำเนินตามขนบประเพณีและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนี้อย่างมั่นคง ด้วยความภาคภูมิใจ และมีศักดิ์ศรี พร้อมเชื่อมั่นว่า ประชาชนคนไทยทุกคน จะเคารพในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และร่วมการนำพาประเทศไปข้างหน้า ตามวิถีทางประชาธิปไตยต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top