Sunday, 8 June 2025
ประเทศไทย

ครึ่งแรกปี 67 ‘นทท.เกาหลีใต้’ มาเที่ยวไทยแตะ 9 แสนคน สะท้อนไทยยังครองใจ แม้กระแสคนไทยแบนเกาหลียังคุกรุ่น

(12 ก.ค. 67) นายพัฒนพงศ์ พงษ์ทองเจริญ ผู้อำนวยการสำนักงานกรุงโซล การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดเกาหลีเที่ยวไทย ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) มีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีเดินทางมาไทยมากกว่า 9 แสนคนแล้ว 

ซึ่งจากสถิติครึ่งปีหลัง นักท่องเที่ยวเกาหลีจะมาไทยมากกว่าช่วงครึ่งปีแรก จึงคาดการณ์ว่าทั้งปี 2567 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีเข้ามาเที่ยวไทย ประมาณ 1.94 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 20% จากปี 2566 

โดยในปี 2568 ททท.ตั้งเป้าดึงเกาหลีมาเที่ยวไทยประมาณมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งเป้าหมายของปี 2567 ที่จะเพิ่มขึ้นสู่ 1.94 ล้านคน ถือว่าสูงกว่าระดับปี 2562 แล้ว

นายพัฒนพงศ์ กล่าวว่า แนวโน้มปัจจุบันอาจแสดงให้เห็นถึงกรณีนักท่องเที่ยวชาวไทยถูกปฏิเสธที่จะเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางมาประเทศไทย สะท้อนจากตัวเลขการเดินทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้มีกระแสดังกล่าวเกิดขึ้น สำนักงานโซลจะกระตุ้นการเดินทางในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม อย่างต่อเนื่อง ผ่านการเพิ่มจำนวนเที่ยวบินแบบเหมาลำ เพื่อมุ่งสู่จุดหมายปลายทางที่มีศักยภาพทั้งภูเก็ต เชียงใหม่ และกรุงเทพมหานคร

“นักท่องเที่ยวชาวเกาหลียังคงมองประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายอันดับต้น ๆ เพราะมีทั้งวัฒนธรรม และอาหารไทย ที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงอย่างมาก ไม่ต่างจากชาวเกาหลี ที่นิยมอาหารที่มีรสจัด รสเผ็ด คนเกาหลีส่วนใหญ่ที่เดินทางมาไทย เพื่อตามรอยอินฟลูเอนเซอร์ ท่องเที่ยวตามรีวิวทางออนไลน์ มีคนเกาหลีจำนวนมากที่มีเป้าหมายการเดินทางยังเชียงใหม่ ขณะที่ศิลปินเคป็อปหลายคนได้ถ่ายทำมิวสิกวิดีโอในประเทศไทย อาทิ เซเวนทีน (Seventeen) และ ไอเดิล (G)I-DLE เมื่อภาพในเอ็มวีเพลงถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้กลุ่มแฟนคลับ ที่แบ่งเป็นด้อมติดตามทั้งวง หรือแยกรายศิลปินเกาหลีตามรอยมาเที่ยวไทยมากขึ้น” นายพัฒนพงศ์ กล่าว

นายพัฒนพงศ์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเก็บสถิติและพฤติกรรมนักท่องเที่ยว พบว่า ช่วงอายุของนักท่องเที่ยวเกาหลีที่นิยมเดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วโลก มีอายุอยู่ที่ 20-40 ปี ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 30-40% ของจำนวนนักท่องเที่ยวเกาหลีที่เดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ประมาณ 28 ล้านคน ททท.สำนักงานกรุงโซล จึงอยู่ระหว่างร่วมกับพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว เพื่อจัดทำแคมเปญหรือโปรโมชันดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เลือกเข้ามาเที่ยวไทยเป็นหลัก 

‘อุดรธานี’ (ว่าที่) เมืองแห่งสองมรดกโลก หลัง ‘ภูพระบาท’ มีลุ้น!! ปลายกรกฎาคมนี้

แหล่งมรดกโลกเป็นสถานที่สำคัญและพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายโดยอนุสัญญาระหว่างประเทศที่บริหารงานโดยองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ว่ามีความสำคัญทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ สถานที่เหล่านี้ได้รับการตัดสินว่ามี ‘มรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติทั่วโลกที่ถือว่ามีคุณค่าโดดเด่นต่อมนุษยชาติ’ โดย UNESCO จะเป็นผู้พิจารณาในการกำหนดแหล่งมรดกโลก (World Heritage Sites) ที่มีคุณค่าสากลอันโดดเด่นใน 2 ด้าน คือ (1) มรดกทางวัฒนธรรม และ (2) มรดกทางธรรมชาติ ซึ่งแหล่งมรดกโลกดังกล่าวเหล่านั้นได้รับการเสนอชื่อโดยประเทศผู้ลงนามในอนุสัญญามรดกโลกของยูเนสโก ปี 1975 (พ.ศ. 2518)

โดย ‘มรดกทางวัฒนธรรม’ ประกอบด้วยอนุสรณ์สถาน เช่น งานสถาปัตยกรรม ประติมากรรมขนาดใหญ่ หรือจารึก กลุ่มอาคาร และสถานที่ รวมถึงแหล่งโบราณคดี ส่วน ‘มรดกทางธรรมชาติ’ ประกอบด้วยการก่อตัวทางกายภาพและชีวภาพ การก่อตัวทางธรณีวิทยาและทางกายภาพ ซึ่งรวมถึงแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์และพืชที่ถูกคุกคาม และแหล่งธรรมชาติ ซึ่งมีความสำคัญจากมุมมองของวิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์ หรือความงามตามธรรมชาติ ให้คำจำกัดความว่าเป็นธรรมชาติ มรดก ประเทศไทยให้สัตยาบันอนุสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1987 (พ.ศ. 2530)

อย่างไรก็ตาม ในปี 2023 (พ.ศ. 2566) ประเทศไทยมีแหล่งมรดกโลกอยู่ในรายการบัญชีทะเบียนแหล่งมรดกโลกอยู่ของ UNESCO อยู่ 7 แห่ง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม 4 แห่ง และอีก 3 แห่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยแหล่งมรดกโลกของไทย 3 แห่งแรก ถูกประกาศในปี 1991  (พ.ศ. 2534) ได้แก่ เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัย และเมืองประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เมืองประวัติศาสตร์อยุธยา และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง ปี 1992 (พ.ศ. 2535) ต่อมา แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ปี 2005 (พ.ศ. 2548) กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ปี 2021 (พ.ศ. 2564) กลุ่มป่าแก่งกระจาน และแหล่งมรดกโลกของไทยที่ได้การประกาศขึ้นทะเบียนล่าสุดคือ เมืองโบราณศรีเทพเมืองโบราณศรีเทพและโบราณสถานสมัยทวารวดีที่เกี่ยวข้องในปี 2023  (พ.ศ. 2566)

ทั้งนี้ ที่ตั้งแหล่งมรดกโลกในประเทศไทยตามรูปประกอบ ‘จุดสีทอง’ บ่งบอกถึงแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม และ ‘จุดสีเขียว’ เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ หมายเลข 1-5 ที่ตั้งเขตป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ : 1. เขาใหญ่, 2. ทับลาน, 3. ปางสีดา, 4. ตาพระยา, 5. ดงใหญ่ และหมายเลข 6-9 แสดงถึงที่ตั้งของป่าแก่งกระจาน 6. เฉลิมพระเกียรติไทยประจัน, 7. แม่น้ำภาชี, 8. แก่งกระจาน และ  9. กุยบุรี

 

นอกเหนือจากแหล่งที่ถูกประกาศขึ้นทะเบียนไว้ในรายการแหล่งมรดกโลกแล้ว ประเทศสมาชิกยังสามารถเสนอรายชื่อสถานที่เบื้องต้น (Tentative list) ที่อาจพิจารณาเสนอชื่อเป็นแหล่งมรดกโลกได้ การเสนอชื่อเข้าชิงรายชื่อมรดกโลกจะได้รับการยอมรับก็ต่อเมื่อสถานที่นั้นเคยอยู่ในรายการเบื้องต้นเท่านั้น ณ ปี 2024  (พ.ศ. 2567) ไทยยังมีสถานที่อีก 7 แห่งอยู่ในรายการเบื้องต้นของแหล่งมรดกโลกได้แก่ (1) อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท (2) วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร นครศรีธรรมราช (3) อนุสรณ์สถานแหล่งต่าง ๆ และภูมิทัศน์วัฒนธรรมของเชียงใหม่ นครหลวงล้านนา (4) พระธาตุพนม และสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์และภูมิทัศน์ที่เกี่ยวข้อง (5) กลุ่มเทวสถานปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทปลายบัด (6) แหล่งอนุรักษ์ทะเลอันดามัน และ (7) สงขลาและชุมชนที่เกี่ยวเนื่องริมทะเลสาบสงขลา

หากนอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้ว ถ้าพูดถึง ‘จังหวัดอุดรธานี’ แหล่งมรดกโลกแห่งแรกคือ ‘แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง’ เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านเชียง (ในเขตเทศบาลตำบลบ้านเชียง) อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี เป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่ทำให้รับรู้ถึงการดำรงชีวิตในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่า 5,000 ปี แหล่งโบราณคดีบ้านเชียงได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่งมรดกโลกเมื่อปี 1992 (พ.ศ. 2535) ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 16 ที่เมืองแซนตาเฟ มลรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา โดยผ่านข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาให้เป็นแหล่งมรดกโลกว่า “เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว”

นอกจากนี้ ‘จังหวัดอุดรธานี’ ยังมี ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ เป็นอุทยานประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทยภายใต้การดูแลของกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาภูพาน ครอบคลุมพื้นที่ 3,430 ไร่ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีชื่อว่า ‘ป่าเขือน้ำ’ บ้านติ้ว ตำบลเมืองพาน อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดระยะทางประมาณ 67 กม.

โดยอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทแห่งนี้ ปรากฏร่องรอยของกิจกรรมของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อราว 2,000 - 3,000 ปีมาแล้ว มีการพบภาพเขียนสีมากกว่า 30 แห่ง ยังพบการดัดแปลงโขดหินและเพิงผาธรรมชาติให้กลายเป็นศาสนสถานของผู้คนในวัฒนธรรมทวารวดี ลพบุรี สืบต่อกันมาจนถึงวัฒนธรรมล้านช้างตามลำดับ ซึ่งร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี โดยพื้นที่ภูพระบาทนับเป็นแหล่งสีมาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในการทำหน้าที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพิธีกรรมทางพุทธศาสนา และแสดงให้เห็นถึงการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพทางธรณีวิทยาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมา ในฐานะของการเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และพื้นที่ประกอบพิธีกรรม

ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 44 ปี 2024 (พ.ศ. 2567) ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงนิวเดลี อินเดีย ระหว่างวันที่ 21 - 30 กรกฎาคมที่จะถึงนี้ ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ ได้รับการบรรจุเป็นวาระในการพิจารณาเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในครั้งนี้ด้วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก โดยเมื่อ 1 เมษายน 2003 (พ.ศ. 2547) UNESCO ได้ขึ้น ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ เป็นสถานที่ที่ได้รับขึ้นบัญชีรายชื่อเบื้องต้นเพื่อพิจารณาขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมไว้แล้ว

แต่กระนั้น ปี 2016 (พ.ศ. 2559) สภานานาชาติว่าด้วยการดูแลอนุสรณ์สถานและแหล่งโบราณคดี (ICOMOS) ได้แจ้งให้ทางการไทยทราบเกี่ยวกับการเสนอ ‘อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท’ ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของทางการไทย โดยมีข้อเสนอแนะให้ดำเนินการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของวัฒนธรรมของเสมาหินกับพุทธศาสนา เพื่อนำไปสู่ศักยภาพที่โดดเด่นของอุทยานฯ รวมทั้งหากเป็นไปได้ เสนอให้พิจารณาเกณฑ์และขอบเขตการขึ้นทะเบียนอุทยานฯ ตามที่ทางการไทยเสนอ โดยมีข้อมติเสนอให้ขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นแหล่งมรดกโลก ประเภทภูมิทัศน์วัฒนธรรม และเสนอให้เปลี่ยนชื่อแหล่งเป็น ‘Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period’ หรือ ‘ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมาสมัยทวารวดี’ รวมทั้งขอให้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ภายหลังจากการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกด้วยคุณค่าความโดดเด่นของการที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมสีมาในสมัยทวารวดี

ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและภาคภูมิใจที่ราชอาณาจักรไทยของเราจะได้มีแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งแสดงถึงความเก่าแก่และมีอยู่ของอารยธรรมของมนุษยชาติที่เกิดในอนุภูมิภาคนี้ ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานีที่จะมีเรื่องที่ดีงามและน่าภาคภูมิใจเกิดขึ้นในจังหวัดนี้เป็นครั้งที่ 2 หลังจาก ‘แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง’ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมไปแล้วเมื่อ 35 ปีก่อน และขอเรียนฝากถึงพี่น้องประชาชนชาวอุดรธานีและคนไทยทุกคนว่า “การเป็น ‘แหล่งมรดกโลก’ นั้น แม้จะเป็นความยากลำบากและต้องทุ่มเททรัพยากรอย่างมากมายแล้ว แต่ภารกิจที่ยากยิ่งกว่าและต้องเผชิญต่อไปไม่สิ้นสุดคือ การรักษาไว้ซึ่งความเป็น ‘แหล่งมรดกโลก’ ให้ดำรงคงอยู่ได้อย่างยั่งยืนตลอดไป” 

Zhengxin Chicken แฟรนไชส์ไก่ทอดจีนบุกไทยต่อเนื่อง เปิดสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชูโมเดลสไตล์คล้าย Mixue

(12 ก.ค. 67) เพจ 'BrandCase' รายงานว่า Zhengxin Chicken Steak (เจิ้งซิน) ซึ่งเป็นร้านไก่ทอดจากประเทศจีน ที่มีกว่า 20,000 สาขา และเข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่ ONE ConneX แถว ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยล่าสุดก็ได้เปิดอีกสาขา ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ชั้น 7 ใกล้ ๆ กับร้าน Sushiro 

ที่น่าสนใจคือ ร้านนี้เหมือนจะมีกลยุทธ์คล้าย ๆ กับ MIXUE ในมุมที่เน้นขยายสาขาจำนวนมาก ๆ เข้าไว้ จนทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) และต้นทุนเฉลี่ยต่อชิ้นของสินค้าถูกมาก ๆ เพราะสั่งซื้อ สั่งเตรียมวัตถุดิบทีละมาก ๆ เลยทำให้สามารถขายไก่ทอดในราคาถูกได้ 

แล้ว Zhengxin ขายถูกแค่ไหน ? มาดูตัวอย่างราคาของไก่ทอดร้านนี้กัน...

- ไก่กรอบสไปซี่ ราคาชิ้นละ 15 บาท 
- เฟรนช์ฟรายส์ ราคาชุดละ 20 บาท 
- ชิกเกน วิงซ์ (น่องไก่ทอด) ราคาชิ้นละ 25 บาท 
- เบอร์เกอร์เนื้อ ราคาชิ้นละ 30 บาท 
- ชิกเกน สเต๊ก ราคาชิ้นละ 50 บาท
- สไปซี ชิกเกน เบอร์เกอร์ ราคาชิ้นละ 50 บาท 
- โค้ก กระป๋องละ 20 บาท 

นอกจากนี้ยังมี ไอศกรีม (คล้าย ๆ ของ MIXUE) เป็นของหวาน ขายราคาโคนละ 15 บาทด้วย ซึ่งราคานี้ต้องบอกว่าค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ โดยเฉพาะร้านที่ขายอยู่บนศูนย์การค้า 

ส่วนรสชาตินั้น Zhengxin Chicken Steak จะมีรสชาติเหมือนไก่ทอดทั่วไป แต่จะมีการคลุกผงรสเผ็ดของทางร้านอยู่ด้วย ทำให้มีรสชาติแปลกใหม่ ต่างจากไก่ทอดร้านอื่น ๆ 

‘ฝรั่ง’ ชื่นชม!! ‘น้ำใจคนไทย’ หลังลืมมือถือไว้บนแท็กซี่ ช่วยตามคืนจนเจอ พร้อมทำให้ฟรี ไม่ยอมรับสินน้ำใจ

(15 ก.ค. 67) จากเฟซบุ๊ก 'Jo Montanee' โดยคุณโจ มณฑานี ตันติสุข ดีเจ พิธีกร นักวิจารณ์ นักเขียนและวิทยากรชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“Danthomtravel เจ้าของช่อง TikTok ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ถึงกับทำคลิปประกาศให้โลกรู้ว่าคนประเทศนี้เป็นคนดีมีศีลธรรมเพียงใด และควรนำมาเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับคนในประเทศตะวันตกที่เขาจากมา

คุณแดนลืมมือถือไว้ในรถแท็กซี่ คิดว่าหายแน่แล้ว แต่พี่ ๆ ที่อยู่ข้างหลังเขาเห็นเหตุการณ์เลยวิ่งรถไปตามคืนจนเจอ (น่าจะวินมอเตอร์ไซค์มั้ย?)

ที่แดนปลื้มจนต้องเอามาทำคลิปชื่นชม ก็เพราะพี่ ๆ ไม่ยอมรับสินน้ำใจที่เขามอบให้ค่ะ ไปตามให้ฟรี 

'รัดเกล้า' ชวนคนไทยวางแผนท่องเที่ยวช่วงหยุดยาวสัปดาห์หน้า ยัน!! หลายพิกัดยังคึกคัก อย่าเชื่อเสียงโซเชียลกระพือซบเซา

(16 ก.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอเชิญชวนสายเที่ยวเตรียมปักหมุดวางแผนเที่ยวช่วงวันหยุดยาว 3 วัน ส่งท้ายเดือน ก.ค.67 ภายหลังจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภายใต้การดูแลของ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดตัวแคมเปญ 'สุขทันที ที่เที่ยวไทย' เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ครอบคลุมทั้งเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยว 

โดยนำเสนอกิจกรรมมากมายหลายรูปแบบกับแหล่งท่องเที่ยวที่แตกต่างหลากหลายในแต่ละภูมิภาค ตลอด 365 วัน โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2567 ททท. พร้อมจัดงานใหญ่ให้ได้สัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวไทย อาทิ โครงการ 'ศรัทธา' จังหวัดขอนแก่น วันที่ 19-21 ก.ค.67 ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวสายมูกิจกรรม VIJIT 5 ภาค ใน 5 พื้นที่อัตลักษณ์สะท้อนความงดงามของวิถีชีวิต ภูมิปัญญา และประเพณีท้องถิ่น หรือกิจกรรม Amazing Music Festival เทศกาลดนตรี วันที่ 30 ส.ค. -1 ก.ย.67 จ.ชลบุรี ในรูปแบบ ART FESTIVAL เพื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่สนใจดนตรีและศิลปะ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้ามีบางกลุ่มในสื่อโซเชียลมีเดียระบุว่า แหล่งท่องเที่ยวในไทย เช่น ชะอำ ร้างหรือมีคนเที่ยวน้อย ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จและสร้างความวิตกกังวลให้สังคม จึงขอย้ำให้ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารอย่างระมัดระวัง และจากแหล่งที่เชื่อถือได้ โดยนายกสมาคมโรงแรมไทยภาคตะวันตก (เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์) ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ชะอำไม่ได้ร้างนักท่องเที่ยว และ ททท. ได้เช็กมาให้แล้วว่า ช่วงวันหยุดยาวในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ (20-22 กรกฎาคม 2567) มีอัตราการจองเข้าพักล่วงหน้าเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 70-75% ในขณะที่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในพื้นที่ชะอำ เช่น หาดชะอำ วัดถ้ำแจง ฯลฯ ยังคงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวตามปกติ

“นายกฯ วางยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ใช้มนต์เสน่ห์ความเป็นไทย และจุดแข็งดึงดูดการท่องเที่ยวไทย ยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย สู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับโลก และให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่นายกฯ ระบุว่า การกระตุ้นการท่องเที่ยว คือ การกระตุ้นรายได้ที่เร็วที่สุด…”

"ทั้งนี้ ขอวอนให้กลุ่มดังกล่าวมีความเข้าใจว่า การท่องเที่ยวในจังหวัดข้างเคียงกรุงเทพ ฯ ส่วนใหญ่นั้น กระแสนักท่องเที่ยวจะอ้างอิงกับวันหยุดยาว ไม่ได้เป็นจังหวัดที่มีการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีอยู่แล้ว นอกจากนี้ คนไทยด้วยกัน ควรช่วยกันเชิญชวน ช่วยกันกระตุ้นการท่องเที่ยวของไทย จะเป็นการใช้สื่อโซเชียลมีเดียอย่างสร้างสรรค์มากกว่า” นางรัดเกล้า กล่าว

ซีรีส์ 'Alien' ถูกใจไทยแลนด์ ปักหมุดถ่ายทำ 123 วัน คาด!! สร้างเงินสะพัด 3,000 ล้านบาท จ้างงาน 1,600 คน

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เยี่ยมชมกองถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์ ‘Alien’ จากสหรัฐอเมริกา พร้อมด้วย นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดร.เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายภัทร ภมรมนตรี คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี ดร.กิตพล เชิดชูกิจกุล คณะที่ปรึกษารัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ภักดีวานิช อธิบดีกรมการท่องเที่ยว นายบุญเสริม ขันแก้ว รองอธิบดีกรมการท่องเที่ยว และคณะ

โดย Mr. Matt Magielnicki รองประธานบริษัท FX Network สหรัฐอเมริกา นายคริสโตเฟอร์ โลเวนสติน และนายอภินัทธ์ ศิริเจริญจิตต์ กรรมการบริษัท ลิฟวิ่ง ฟิล์ม จำกัด ให้การต้อนรับ ณ The Studio Park อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ

สำหรับการถ่ายทำซีรีส์ในประเทศไทยดังกล่าว มีจำนวนวันถ่ายทำกว่า 123 วัน มีสถานที่ถ่ายทำ อาทิ กรุงเทพมหานคร จังหวัดกระบี่ จังหวัดสมุทรปราการ เป็นต้น มีงบประมาณการลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศที่มีงบประมาณการลงทุนสูงที่สุดนับตั้งแต่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย

ส่วนคณะถ่ายทำ ได้มีการเตรียมการถ่ายทำในประเทศไทยมากกว่า 2 ปี ใช้โรงถ่ายทำภาพยนตร์จำนวน 13 โรงถ่าย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสตูดิโอของประเทศไทยที่สามารถรองรับกองถ่ายทำขนาดใหญ่ได้ และยังมีการจ้างงานทีมงานชาวไทยมากกว่า 1,600 คน ซึ่งเป็นทีมงานที่กระจายไปทุกแผนกของกองถ่าย เช่น การสร้างฉาก การจัดหาสถานที่ถ่ายทำ เป็นการตอกย้ำถึงความสามารถของทีมงานชาวไทยเป็นที่ยอมรับของกองถ่ายต่างประเทศ

ตลอดระยะเวลาการถ่ายทำซีรีส์เรื่องนี้ ยังมีการใช้บริการโรงแรมเป็นที่พักให้กับทีมงานต่างประเทศและทีมงานชาวไทยมากกว่า 20 แห่ง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจท่องเที่ยว

ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้ให้การสนับสนุนกองถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ เพื่อสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของประเทศ กระจายรายได้ไปสู่ภาคธุรกิจภาพยนตร์ ธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง

อีกทั้ง ช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทยในการเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ระดับโลก และส่งผลให้เกิดการท่องเที่ยวตามรอยสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป 

31 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ถือกำเนิด ‘แท็กซี่’ ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ยุคนั้นเรียก 'รถไมล์' ช่วยทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้มีอาชีพหลังปลดราชการ

วันนี้ในอดีต 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2466 ประเทศไทยเริ่มมี ‘แท็กซี่’ ให้บริการเป็นครั้งแรก โดย พระยาเทพหัสดินร่วมกับพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ เป็นผู้ก่อตั้ง ‘บริษัท แท็กซี่สยาม’ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อช่วยทหารอาสาในสงครามโลกครั้งที่ 1 ให้มีอาชีพหลังจากปลดจากราชการ โดยนำเอารถเก๋งออสติน (Austin) ขนาดเล็กออกวิ่งรับจ้าง โดยติดป้ายรับจ้างไว้ข้างหน้า-หลังของตัวรถ โดยมีรถให้บริการ 14 คัน คิดค่าบริการตามไมล์ ไมล์ละ 0.15 บาท หรือ 15 สตางค์ (1 ไมล์ = 1.609344 กิโลเมตร) ซึ่งนับว่าแพงมากเมื่อเทียบกับราคาค่าโดยสารในปัจจุบัน ในสมัยนั้นจึงนิยมเรียกกันว่า ‘รถไมล์’ เพราะเก็บค่าโดยสารตามเลขไมล์ระยะทางที่วิ่ง โดยใช้รถยนต์ยี่ห้อออสติน แต่ประสบปัญหาขาดทุน เนื่องจากค่าโดยสารแพง ผู้คนยังไม่คุ้นเคยจึงไม่ยอมนั่ง ประกอบกับเมืองกรุงเทพฯ ยังมีขนาดเล็ก และมีรถรับจ้างอื่น ๆ อยู่มากและราคาถูกกว่าจึงต้องล้มเลิกกิจการไป 

จนกระทั่งปี 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เจ้าของธุรกิจเอกชนบางราย ได้เริ่มการฟื้นฟูกิจการแท็กซี่ในประเทศไทยขึ้นมาใหม่ โดยในช่วงแรกจะนิยมใช้รถยนต์ยี่ห้อเรโนลต์ (Renault) สมัยนั้นจึงเรียก ‘แท็กซี่’ ว่า ‘เรโนลต์’ ได้รับความนิยมจากคนทั่วไปเป็นอย่างมาก เนื่องจากสะดวกรวดเร็วกว่ารถจักรยานสามล้อถีบซึ่งมีชุกชุมในยุคนั้น ด้วยเหตุนี้ทำให้อาชีพขับรถแท็กซี่เป็นที่ฮือฮา มีผู้นำรถเก๋งไปทำเป็นรถแท็กซี่กันมากขึ้นจนระบาดไปต่างจังหวัด จนต้องมีการควบคุมกำหนดจำนวนรถ ต่อมารถแท็กซี่ เปลี่ยนกลับมานิยมยี่ห้อออสติน ตามด้วยรถดัทสัน, บลูเบิร์ด, และโตโยต้าในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เมื่อก่อนป้ายทะเบียนของรถประเภทแท็กซี่จะมีราคาแพงเป็นหลักแสนบาท จึงทำให้ผู้ให้บริการใช้รถยนต์แท็กซี่นานหลายสิบปี จนมีสภาพชำรุดทรุดโทรมเพื่อให้คุ้มทุนค่าป้ายทะเบียน 'แท็กซี่’

และในสมัยก่อน กฎหมายไม่ได้บังคับให้มีการติดมิเตอร์ การจ่ายค่าโดยสารจึงเป็นไปตามการต่อรองระหว่างผู้โดยสารและผู้ให้บริการ เมื่อยุคสมัยผ่านไป ในช่วงเวลาหนึ่ง 'แท็กซี่' กลายเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหาจราจรจากการจอดต่อรองราคาดังกล่าว 

ดังนั้นในปี 2535 จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีการออกกฎหมายให้รถแท็กซี่ที่จดทะเบียนใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป ‘ต้องติดมิเตอร์’ อีกทั้งกรมการขนส่งทางบกยังได้เปลี่ยนระบบป้ายทะเบียนแท็กซี่ ให้จดทะเบียนได้ในราคาถูกลงจากเดิม (เป็นหลักพันบาท) แต่จำกัดอายุของรถแท็กซี่ไว้มิให้เกิน 12 ปี หากเกินจากนี้จะต้องปลดประจำการไม่สามารถเป็นรถแท็กซี่ได้อีก และยังได้สั่งให้เปลี่ยนสีรถแท็กซี่บุคคล จากสี ‘ดำ-เหลือง’ ในระบบป้ายแบบเก่า เป็นสี ‘เขียว-เหลือง’ ในระบบป้ายแบบจำกัดอายุ

ปัจจุบันแท็กซี่ในเมืองไทยเป็นรถปรับอากาศ ติดมิเตอร์คิดอัตราค่าโดยสารตามระยะทางและเวลา โดยเริ่มต้นที่ 35 บาท พร้อมทั้งมีวิทยุสื่อสาร บางคันอาจมีทีวีให้ดูในระหว่างการเดินทางด้วย

‘CK Cheong’ สะท้อน!! ‘อาหารไทย’ ทำไมราคาถูกกว่าอาหารญี่ปุ่น ทั้งที่กว่าจะรังสรรค์เมนู ต้องผ่านกระบวนการ ‘ปรุง-หมัก-ผัด’ ก่อน

เมื่อไม่นานมานี้ จากช่องยูทูบ ‘CK Cheong’ หรือ ‘คุณซีเค เจิง’ นักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งไทย-จีน (มาเก๊า) ผู้เติบโตที่ประเทศอเมริกา และเป็นหนึ่งในผู้บริหารของ ‘Fastwork Technologies’ ได้โพสต์คลิปแชร์มุมมองของตนเองต่อคุณค่าของความเป็นไทย โดยระบุว่า…

“ผมจุดตั้งต้นในบริษัทว่าจะไม่มีวันทําแบบโปรโมชัน 1.1, 2.2, 3.3, 4.4 ผมจะไม่มีวันทํา เป็นเพราะว่าสิ่งที่ผมขาย…ผม ‘ขายเวลา’ ของคนไทย และคนไทย ‘ไม่ใช่ของถูก’...

ผมไม่ชอบที่อาหารไทยเป็นของถูก ทําไมอาหารบ้านเราต้องถูกกว่าอาหารญี่ปุ่น บ้านเรามีความซับซ้อนตั้งเยอะ ต้องปรุง ต้องหมัก ต้องผัด ต้องใส่พริก หรือใส่นู้นก่อนนี่ก่อน แต่ซูชิคือหั่นและวางข้าวจบเลย ทําไมของเขาต้องแพงกว่า…

คุณลองคิดดูว่า คุณมีแซลมอนอันหนึ่ง คุณจะทําเป็นซาชิมิ กับทําเป็นแกงส้มปลาทอดอันหนึ่ง คุณว่าอันไหนยากกว่ากัน? แต่ทําไมของเราถูกกว่า คนไทยชอบด้อยค่าตัวเอง และอันนี้เป็น Soft Power ที่ผมพยายามที่จะพาไป คือ…คนไทยไม่ใช่ของถูก”

'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ยอดนักกินจอมชักดาบ | THE STATES TIMES Story EP.150

ในประวัติศาสตร์ไทย มียอดนักกินจอมชักดาบอยู่ท่านหนึ่ง นามว่า 'โพธิ์เงิน กระตุฤกษ์' ตามประวัติแล้วถือว่าเป็นคนที่เกิดมาในครอบครัวมีฐานะ และมีชีวิตที่ดีกว่าผู้คนมากมายหลายคน แต่ด้วยปัจจัยบางอย่าง ทำให้เขากลายเป็น 'นักกินจอมชักดาบ' และสร้างวีรกรรมมากมายจนร้านอาหารมากมายระอา 

วันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมเรื่องราวของผู้ชายคนนี้มาเล่าสู่กันฟัง จะเป็นอย่างไร เชิญรับฟัง

‘วัดโพธิ์’ ติด 1 ใน 10 สถานที่เที่ยวยอดนิยมที่สุดในเอเชีย 2024 นักท่องเที่ยวทั่วโลกนิยมเช็กอิน - ชื่นชมความงามของพระนอน

(19 ก.ค. 67) ‘ทริปแอดไวเซอร์’ เว็บไซต์ท่องเที่ยวรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้ประกาศผลการจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2024 จากการโหวตของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ปรากฏว่า ‘วัดโพธิ์’ หรือ ‘วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร’ ได้รับการจัดอันดับสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมมากที่สุด เป็นอันดับที่ 9 ในเอเชีย ซึ่งเป็นข่าวที่สร้างความปลื้มปีติยินดี และภาคภูมิใจแก่ประเทศและคนไทยเป็นอย่างมาก

สำหรับการจัดอันดับของทริปแอดไวเซอร์ ประจำปี 2024 มีดังนี้

-อันดับที่ 1 ได้แก่ การ์เด้นส์ บาย เดอะเบย์ ประเทศสิงคโปร์ ถูกยกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม–อันดับ 1 ในรางวัล Best of the best 2024 
-อันดับที่ 2 คือ นครวัด ประเทศกัมพูชา 
-อันดับที่ 3 มู่เทียนหยู ประเทศจีน 
-อันดับที่ 4 ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย 

-อันดับที่ 5 ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ ประเทศญี่ปุ่น 
-อันดับที่ 6 ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว รอยัลสลังงอร์ ประเทศมาเลเซีย 
-อันดับที่ 7 เมืองโบราณฮอยอัน ประเทศเวียดนาม 
-อันดับที่ 8 ป่าลิงอูบุด ประเทศอินโดนีเซีย

-อันดับที่ 9 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ประเทศไทย เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาส หรือ พระนอน สร้างขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และมีความงดงามเป็นยิ่งนัก ปิดด้วยทองคำรอบองค์ขนาดใหญ่ มีความยาว 46 เมตร และสูง 15 เมตร และ-อันดับที่ 10 พิพิธภัณฑ์ไซง่อน เวียดนาม

พระเทพวัชราจารย์ รศ.,ดร. (เจ้าคุณเทียบ) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแพร่วัดพระเชตุพนฯ เปิดเผยว่า ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดทั่วโลกลดความรุนแรงลง นักท่องเที่ยวที่มาวัดโพธิ์ ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เฉลี่ยวันละ 7,000 - 10,000 คนขึ้นไป โดยเฉพาะช่วงเทศกาลมีมากกว่า 10,000 คน เพราะต้องการมาชมความงามของพระนอนวัดโพธิ์ที่เป็นที่เลื่องชื่อ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ได้มีผู้นำจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมาที่วัด อาตมภาพ ได้มีโอกาสให้การต้อนรับและนำชมแทบทุกครั้ง ตั้งแต่นายบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นางฮิลลารี่ คลินตัน มกุฏราชกุมารและพระชายาแห่งเบลเยียม 

ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่งเบลเยียม นายกรัฐมนตรีของจีน ประธานาธิบดีชิลี รองประธานาธิบดีอินเดีย นายกรัฐมนตรีภูฏาน คณะพระคาร์ดินัลจากนครรัฐวาติกัน 

ล่าสุด คือเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เป็นต้น ซึ่งผู้นำทุกท่านที่มาเยือนวัดโพธิ์ ล้วนประทับใจความงามของ ‘พระนอน’ เป็นยิ่งนัก

“ที่สำคัญต้องยอมรับว่าข่าวสารของโลกสมัยนี้ มีความก้าวหน้า ทันสมัยและรวดเร็วมาก เมื่อผู้นำหรือผู้ที่เป็นที่รู้จักของสังคมโลกได้เผยแพร่ภาพที่มาเยือนวัดโพธิ์ออกไป ยิ่งทำให้คนทั่วโลกอยากมาเห็น อยากมาสัมผัสพระนอนวัดโพธิ์ด้วยตาตนเองสักครั้ง อาตมภาพมองว่าอานิสงส์ในครั้งนี้ล้วนเกิดจากสายพระเนตรที่กว้างไกลขององค์พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ที่ทรงมีความศรัทธาในพระศาสนาอย่างแรงกล้า ทรงทำนุบำรุงและปฏิสังขรณ์ วัด ศาสนสถานมาอย่างต่อเนื่อง นับเป็นพระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ต่อประเทศและพสกนิกรชาวไทยอย่างแท้จริง” พระเทพวัชราจารย์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top