Sunday, 8 June 2025
ประเทศไทย

👍‘พีระพันธุ์’ เริ่มแล้ว ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ขอประชาชนคนไทยช่วยกันส่งแรงเชียร์ให้จัดตั้ง ‘SPR’ สำเร็จโดยไว

การพลิกโฉมระบบพลังงานไทยให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย เป็นไปตามแนวทาง ‘รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง’ ของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยกระบวนการบันได 5️ ขั้นได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

 📌ขั้นที่ 1 ดำเนินการแล้ว : ใน 6 เดือนแรกของการกำกับดูแลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งการให้ตรึงราคาน้ำมัน พร้อมทั้งหาช่องทางในการปรับรื้อระบบเพื่อให้รู้ต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องไม่เคยรู้ และมีแต่คนบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้! 

 📌ขั้นที่ 2 ดำเนินการสำเร็จแล้ว : ‘พีระพันธุ์’ ได้ลงนามประกาศกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2567 เพื่อ ‘รื้อ’ ระบบการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งต้นทุนให้กับหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลทุกวันที่ 15 ของเดือนซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 51 ปี มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2567 จึงทำให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา

 📌ขั้นที่ 3 อยู่ในระหว่างการดำเนินการ : ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการ ‘รื้อระบบการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง’ โดยผู้ค้าต้องแจ้งให้กระทรวงพลังงานทราบก่อน และให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันได้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง ไม่ใช่ปรับราคากันทุกวันเช่นปัจจุบันนี้ โดยให้ปรับราคาได้ตามความเป็นจริงตามที่ราคาตลาดโลกสูงกว่าราคาต้นทุนเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมันในงวดเดือนนั้น ๆ ณ วันที่มีการปรับราคานั้น เพื่อ ‘ลด’ ภาระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงรายวันที่ไม่มีความเสถียรแน่นอนเป็นการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้สอดคล้องและสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้บริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงในราคาที่เหมาะสมและเป็นธรรม

 📌ขั้นที่ 4 อยู่ระหว่างการเตรียมดำเนินการ : ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียมจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR อย่างเร่งด่วน เพราะ SPR จะช่วยให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในระยะสั้นจากปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นผู้จัดเก็บน้ำมันสำรอง เพื่อการพาณิชย์ ซึ่งปริมาณที่จัดเก็บสามารถรองรับการใช้งานในประเทศเพียง 20 กว่าวันเท่านั้น 

กรณีฉุกเฉินหรือเกิดวิกฤตน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น กรณีสงครามอิสราเอล-อิหร่านเกิดขึ้นก็จะไม่ทำให้มีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนคนไทย ทั้งราคาและ Supply น้ำมัน และระบบ SPR นี้สามารถใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลกำหนดได้เองโดยไม่กระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลก (ทำให้ปัญหาการขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นเรื่องระหว่างรัฐกับผู้ค้าน้ำมัน โดยประชาชนผู้บริโภคไม่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง) รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานจะเป็นผู้ถือครองน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองให้เพียงพอต่อการใช้งาน 50-90 วัน เป็นไปตามมาตรฐานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ทั้งยังเป็นการ ‘ปลด’ พันธนาการชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยที่ต้องรับผลกระทบจากภาวะขึ้นลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกได้อย่างสิ้นเชิง

📌ขั้นที่ 5 อยู่ในระหว่างการเตรียมดำเนินการ : ‘พีระพันธุ์’ ได้สั่งให้มีการศึกษาข้อมูลของประเทศต่าง ๆ เพื่อเตรียม ‘สร้าง’ ระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นธรรมและยั่งยืนเพื่อพี่น้องประชาชนคนไทย ด้วยการนำผลสรุปการศึกษารวบรวมมาพิจารณาในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ทั้งหมด เพื่อให้สามารถดำเนินการตามขั้นตอนที่ 3 และ 4 ให้สำเร็จลุล่วงอย่างมั่นคงและมีต่อเนื่องความยั่งยืน

นโยบาย ในการจัดตั้งระบบ SPR: Strategic Petroleum Reserve หรือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ ของ ‘พีระพันธุ์’ เพื่อเป็นการสำรองน้ำมันดิบ หรือน้ำมันสำเร็จรูป (บางส่วน) ซึ่งถือครองโดยรัฐบาล หากสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้แล้วเสร็จจะเป็นการปกป้องเศรษฐกิจและรักษาความมั่นคงของชาติในช่วงวิกฤตพลังงานของประเทศที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สถานการณ์โลกเกิดความตึงเครียดจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ จึงถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญยิ่งของ ‘พีระพันธุ์’ ที่จะต้องพยายามผลักดันและดำเนินการจัดตั้งระบบ SPR ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด 

ด้วยระบบ SPR หากเกิดขึ้นในประเทศไทยได้แล้วจะเกิดผลกระทบในเชิงบวกอย่างมากมายมหาศาลต่อประเทศไทยโดยรวมในทุก ๆ มิติไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ฯลฯ ทั้งจะทำให้ความมั่นคงด้านพลังงานในภาพรวมไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซ LPG และ LNG รวมถึงพลังงานไฟฟ้ามีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาวต่อไปในอนาคต 

โดยที่ความจริงแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา หากรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบได้คิดถึงประโยชน์ที่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยจะได้รับมากกว่าประโยชน์ที่บริษัทผู้ค้าน้ำมันจะได้รับ เรื่องที่ดีและมีประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชนคนไทยต่าง ๆ เช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นและมีการดำเนินการสำเร็จเสร็จสิ้นไปนานแล้ว

'สุชาติ ชมกลิ่น' จาก 'ก.แรงงาน' สู่ 'ก.พาณิชย์' คิดใหญ่!! ค้าขายไทยดี GDP ต่อประชากรสูง-ร่ำรวย

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยหนึ่งในประเด็นที่เปิดฉาก เป็นการพูดถึงบทบาท จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สู่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่ามีความแตกต่างในการบริหารงานหรือไม่? อย่างไร? 

เกี่ยวกับประเด็นนี้ นายสุชาติ กล่าวว่า "ผมมองว่าคล้ายกับกระทรวงแรงงาน ตรงนั้นต้องหางานให้พี่น้องประชาชนคนไทยไปทำงาน ซึ่งมีความต้องการทำงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศ ที่เราก็ต้องไปเจรจากับคู่ค้าต่างประเทศในการส่งแรงงาน...

"ขณะที่เมื่อมากำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องดูการเจรจาการค้า ว่าแต่ละประเทศต้องการสินค้าอะไรจากประเทศไทย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน...

"อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างกันของธรรมชาติในแต่ละกระทรวงฯ ก็มี เช่น ในแง่ของพาณิชย์ สินค้าที่เราส่งไปมีเรื่องของการแข่งขันในระดับโลก รวมถึงมีรายละเอียดมากกว่าในเรื่องราคาตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากบทบาทในเรื่องของแรงงาน"

เมื่อถามถึงบทบาทในปัจจุบันว่าต้องกำกับดูแลหน่วยงานใดเป็นสำคัญ? นายสุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันได้รับมอบหมายงานจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้กำกับดูแลงานของ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ / สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า / และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) 

โดยในส่วนของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นหน่วยงานสำคัญ เพราะเป็นเรื่องการเปิดประตูพูดคุยการค้าขายระหว่างประเทศ ต้องเปิดประตูให้ได้ ซึ่งนโยบายปัจจุบันมีการส่งออกสินค้าหลักอยู่แล้ว แต่ตนก็พยายามส่งเสริมสินค้ารองให้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจในการสร้างคนตัวเล็กให้เป็นคนตัวใหญ่ เช่น ผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่จำเป็นต้องส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการส่งออกให้ได้ รวมถึงการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากตลาดจีนเพียงอย่างเดียว เช่น อินเดีย และซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น 

"ปัจจุบันเรามีทูตพาณิชย์ทั่วโลก 58 ประเทศ ซึ่งทูตต้องทำการบ้านให้เราว่าแต่ละประเทศมีกำลังซื้อเป็นอย่างไร เปิดตลาดใหม่ให้มากขึ้นโดยเฉพาะผลไม้ไทย" รมช.พาณิชย์ กล่าวเสริม 

ในส่วนของ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า? นายสุชาติ เผยว่า ก็ต้องลงพื้นที่เก็บข้อมูลการค้าต่าง ๆ จากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบการธุรกิจ SME เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วจัดทำนโยบายแผนและยุทธศาสตร์ให้มีข้อมูลรอบด้าน  

สุดท้ายกับ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานที่อบรมให้ความรู้ให้แก่บุคลากรในภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพด้านการค้าและการพัฒนา ซึ่งทุกหน่วยงานต้องคิดนอกกรอบ เหล่านี้คือภารกิจใต้หมวกผู้ช่วยรัฐมนตรีพาณิชย์ ณ ปัจจุบัน

เมื่อถามถึงความกังวลใจกับภารกิจในการบริหารงานกระทรวงพาณิชย์ที่ค่อนข้างหนัก? นายสุชาติ กล่าวว่า "จริงๆ แล้ว เป็นความ 'ใฝ่ฝัน' ของผมเลย เพราะวันหนึ่งผมเคยทำหลายภารกิจของกระทรวงแรงงานได้สำเร็จ ก็อยากทำเรื่องการค้าขายให้ประเทศไทยร่ำรวย และมี GDP ต่อประชากรสูงๆ ด้วยเช่นกัน"

เมื่อถามถึงประเด็นราคาสินค้าและค่าครองชีพสูงในปัจจุบัน? นายสุชาติ กล่าวว่า "เรื่องนี้ท่านภูมิธรรม ได้มอบนโยบายให้ทางกรมการค้าภายใน โดยท่านอธิบดีลงไปดูหลายเรื่อง ลงไปดูต้นทุนสินค้าจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร มันสูงจริงไหม ด้วยเหตุและผล และต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ค่าครองชีพสูงกว่านี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ต้องดูแลเรื่องราคาสินค้าไม่ให้ผู้ผลิตเอาเปรียบผู้บริโภค และต้องสร้างสมดุลให้ได้ เอาความจริงให้ปรากฏอย่าฟังความข้างเดียว" 

สุดท้าย นายสุชาติ ยังได้ฝากถึงกลุ่มผู้กักตุนสินค้า ด้วยว่า ไม่ควรกักตุน เพราะเป็นการเอาเปรียบประชาชน 

'ชาวจีน' หนี 'สิงคโปร์' มาเที่ยวไทย เหตุเพราะ 'ความแพง' และมีแต่ตึก

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย.67) เว็บไซต์ Mothership สื่อของสิงคโปร์ได้รายงานถึงการที่นักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวในไทยและญี่ปุ่นมากกว่าสิงคโปร์ โดยให้เหตุผลหลัก ๆ ว่า ค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์สูงเกินไปและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น้อยเมื่อเทียบกับไทยและญี่ปุ่น

ชาวสิงคโปร์หลายคนได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยบอกว่าค่าใช้จ่ายในสิงคโปร์แพงมาก เช่น การกินข้าวแกงที่มีราคา 21 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อจาน ซึ่งเป็นราคาที่สูงเกินไปสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป 

นอกจากนี้ ยังมีความเห็นว่าสิงคโปร์มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกไม่สะดวกสบาย

หนึ่งในชาวสิงคโปร์ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์มีข้อจำกัดที่โง่เขลามากเกินไป มีสิ่งที่ไม่อนุญาตเป็นจำนวนมาก สิงคโปร์เหมือนกับหุ่นยนต์ที่เดินไปเดินมาเพื่อหาเลี้ยงชีพ อย่ามาสิงคโปร์เลย ไปประเทศไทยเถอะ!”

จากความคิดเห็นนี้สะท้อนให้เห็นว่าชาวสิงคโปร์เองก็รู้สึกไม่พอใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเห็นว่าการเดินทางไปเที่ยวในประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากไทยมีค่าครองชีพที่ถูกกว่า และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลายและน่าสนใจมากกว่า

การที่นักท่องเที่ยวจีนหนีจากสิงคโปร์ไปเที่ยวไทยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งมีทั้งความเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และอาหารที่อร่อยและราคาไม่แพง

เหตุการณ์นี้ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่สิงคโปร์ต้องเผชิญในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านการท่องเที่ยว ถ้าสิงคโปร์ต้องการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น อาจจำเป็นต้องพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น

‘รัดเกล้า-มินิ วปอ.รุ่นที่ 1’ ลงพื้นที่ภาคอีสาน 5 จว. รับฟังปัญหา ปชช. พร้อมเดินหน้าเซ็น MOU ผลักดันอุตฯ-ผลิตภัณฑ์เลือดอีสานสู่เวทีโลก

(26 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะสื่อสารของหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารในอนาคต หรือ วปอ.บอ. หรือที่รู้จักกันในนาม ‘มินิ วปอ. รุ่นที่ 1’ ได้เปิดเผยกำหนดการการลงพื้นที่ครั้งที่ 2 ของหลักสูตรที่มีกำหนดการเดินทางต่อเนื่อง 5 วัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายนจนถึง วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2567 

โดยการเดินทางครอบคลุม 5 จังหวัดในแดนอีสาน เริ่มต้นตั้งแต่จังหวัดเลย เดินสายต่อไปที่จังหวัดอุดรธานี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย และปิดท้ายด้วยจังหวัดนครราชสีมา 

ซึ่งกำหนดการมีทั้งเนื้อหาของการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ปัญหาเชิงลึก การฟังการบรรยายในหัวข้อที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน และผลกระทบการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง ที่ได้เรียนรู้ถึงผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนที่มีต่อจังหวัดเลย ที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และเรียนรู้ถึงความกังวลใจของประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่บริเวณชายแดนแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อน เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงของประเทศลาว โดยเฉพาะชาวประมงที่จะพบเจอการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่ส่งผลให้มีจำนวนปลาน้อยลง จำนวนสาหร่ายเพิ่มขึ้น เป็นต้น

นางรัดเกล้า เผยเพิ่มเติมว่า วันนี้ (26 มิ.ย. 67) พลโท ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กรรมการบริหารการศึกษา และ ผู้อำนวยการหลักสูตร วปอ.บอ. นำทัพเดินทางมาจังหวัดบึงกาฬเพื่อฟังการบรรยายเรื่อง ‘ประตูการค้าสู่อินโดจีน’ และคณะนักศึกษาได้ประกอบกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคม (CSR) รวมถึงการลงนามเซ็นในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ในการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการของจังหวัดบึงกาฬไปสู่เวทีโลกภายใต้แนวคิด Connect to the future: Moving forward together ซึ่งจะเป็นการลงนามระหว่าง 5 ฝ่ายได้แก่ หลักสูตร วปอ.บอ. จังหวัดบึงกาฬ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ หอการค้าจังหวัดบึงกาฬ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดบึงกาฬ 

นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ประธานคณะกรรมการฝ่ายพัฒนาสังคม CSR นักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 ชี้แจงภายหลังจากการร่วมลงนามใน MOU ว่า สาระสำคัญใน MOU คือการทำงานร่วมกันเชิงบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการของจังหวัดบึงกาฬไปสู่เวทีโลก อันจะนำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬอย่างยั่งยืน 

โดยนักศึกษา วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 จะช่วย Connect จังหวัดบึงกาฬไปสู่อนาคตที่สดใส ภายใต้แนวคิด Moving forward together ขับเคลื่อนทำงานร่วมกันกับอีก 4 ฝ่ายในจังหวัดบึงกาฬ ผ่านการให้คำปรึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการของจังหวัดที่ประสบปัญหาในการสร้างรายได้ให้สามารถเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนและเป็นที่รู้จักในระดับประเทศและนานาชาติ ร่วมกันให้คำปรึกษาในการพัฒนาและขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทยไปสู่เวทีโลก รวมถึงการขยายช่องทางการค้าและส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันอีกด้วย

"ในอีก 2 วันที่เหลือของการเดินทาง คณะจะเดินทางไปหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เพื่อฟังการบรรยายเกี่ยวกับ ‘การรักษาความสงบตามแม่น้ำโขง’ และ ‘การจัดการและพัฒนาแหล่งน้ำทรัพยากรและผลกระทบลุ่มแม่น้ำโขง’ ตามด้วยการทำ MOU อีกฉบับร่วมกับจังหวัดหนองคาย จังหวัดอุดรธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ในการผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมลุ่มแม่น้ำโขงสู่เวทีโลก โดยในการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเซ็น MOU ลักษณะเดียวกันที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดตากอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการลงพื้นที่ของ หลักสูตร วปอ.บอ. จะมีกำหนดการและเนื้อหาสาระที่อัดแน่น และมีการพ่วงกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมทุกครั้ง เหตุเพราะหลักสูตร วปอ.บอ. นี้เป็นการรวมตัวของผู้นำแห่งอนาคตที่มุ่งหวังรวมตัวกันทำการดี เป็นการสร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยที่ดีขึ้น" นางรัดเกล้า กล่าวเสริม

🔎เปิด 10 ธุรกิจสร้างรายได้มากที่สุดในไทย ประจำปี 2566 💸

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2566 และได้ส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 พ.ค. 2567 จำนวน 581,856 ราย คิดเป็น 86.6% จากนิติบุคคลที่ต้องส่งงบการเงินทั้งหมด 671,823 ราย และคงเหลือนิติบุคคลที่ไม่ได้นำส่งอีกจำนวน 89,967 ราย คิดเป็น 13.4% 

โดยได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินมาวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจ พบว่า รายได้ของนิติบุคคลทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 57.86 ล้านล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 2.34 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มภาคการผลิต สามารถทำรายได้สูงสุดจำนวน 23.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.00% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.03% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

รองลงมาคือกลุ่มภาคขายส่ง/ปลีก ทำรายได้ 23.32 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40.30% ของรายได้ทั้งหมด ทำกำไรอยู่ที่ 0.46 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.57% ของกำไรสุทธิทั้งหมด และกลุ่มภาคบริการ ทำรายได้จำนวน 10.82 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18.70% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 0.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.40% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

นอกจากนี้กรมฯ ยังได้วิเคราะห์รายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกใน ปี 66 ได้แก่

1.ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำรายได้ 3.84 ล้านล้านบาท
2. ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ ทำรายได้ 3.12 ล้านล้านบาท
3. ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้ 2.39 ล้านล้านบาท   

4. ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล ทำรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท
5. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ ทำรายได้ 1.55 ล้านล้านบาท
6.ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท

7. ธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท
8. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท
9. ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ทำรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท
10. ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว ทำรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ธุรกิจทั้ง 10 อันดับที่กล่าวมาข้างต้นส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดไซซ์ L ที่สามารถทำรายได้สูงสุดในธุรกิจแต่ละประเภท

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือน พ.ค. 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,499 ราย เพิ่มขึ้น 969 ราย เพิ่มขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 21,887.12 ล้านบาท ลดลง 22.97% การที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร

ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนเลิก 1,004 ราย เพิ่มขึ้น 194 ราย คิดเป็น 23.95% เมื่อเทียบกับ เม.ย. 67 และลดลง 230 ราย คิดเป็น 18.64% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 54,804.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,707.54 ล้านบาท 

ทั้งนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกสูงผิดปกติเป็นผลมาจากการเลิกประกอบกิจการของ 2 บริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัทกรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด (มหาชน ) และบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา เรียลตี้ จำกัด เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจให้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 98 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 59 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการอื่น ๆ 25 ราย

สำหรับภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้ง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวน 39,032 ราย ลดลง 1.58 % ทุนจดทะเบียน 117,099 ล้านบาท ลดลง 69.89 ซึ่งมีอัตราการจัดตั้งลดลงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการ 5 เดือนแรกมีจำนวน 4,623 ราย ลดลง 14.99 % ทุนจดทะเบียนเลิก  71,844 ล้านบาท เพิ่ม 65.89% 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า เสถียรภาพทางการเมือง และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้การคาดการณ์ยอดจดทะเบียนธุรกิจ ทั้งปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) 

ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลข การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000 - 47,000 ราย และทั้งปี 90,000 - 98,000 ราย

ปัจจุบัน (31 พ.ค. 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,916,267 ราย โดยจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 916,634 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 22.26 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 714,143 ราย คิดเป็น 77.91% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 16.02 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,031 ราย คิดเป็น 21.93% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 0.47 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,460 ราย คิดเป็น 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 5.77 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้กรมยังได้วิเคราะห์ธุรกิจที่ต้องจับตามอง โดยเห็นว่า กระแส Art Toy ของเล่นสะสมที่สร้างสรรค์งานศิลปะโดยศิลปินจากต่างประเทศและศิลปินไทยก็กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ส่งผลให้ ‘ธุรกิจของเล่น’ กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง แม้ในช่วง 5 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-2566) ธุรกิจของเล่นจะมีการเติบโตที่ผันผวนเพราะมีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาส่งผลกระทบเชิงลบ แต่เมื่อสถานการณ์สงบลงธุรกิจของเล่นก็ใช้เวลาไม่นานที่สามารถกลับมาพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (S) ที่ครองตลาดส่วนใหญ่มากถึง 1,024 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 220 ราย และกลุ่มขายจำนวน 804 ราย คิดเป็น 93.7% จากจำนวนธุรกิจของเล่นที่มีจำนวน 1,093 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 238 ราย และกลุ่มขายจำนวน 855 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตจำนวน 2,909.61 ล้านบาท และกลุ่มขายจำนวน 2,782.60 ล้านบาท สำหรับปี 2566 ธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้รวมถึง 19,677.21 ล้านบาท และทำกำไรได้ 467.62 ล้านบาท การเติบโตของธุรกิจของเล่น ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการเกิดกลุ่มในวงการของเล่นที่เรียกว่า Kidult ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีความนิยมในการสะสมของเล่นและมีกำลังการซื้อสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในวัยเด็ก การสะสมเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต

'พี่บัวขาว-น้องลิซ่า' สองขุนพลแห่งสยามยุคใหม่ ผู้พา 'ศิลปะ' และ 'ความเป็นไทย' สู่สายตาชาวโลก

(29 มิ.ย.67) เพจ 'Bangkok I Love You' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

วินาทีนี้บุคคล 2 คนที่คนไทยและชาวโลกรู้จักคงไม่พ้น พี่บัวขาว สุดยอดนักมวยไทยแชมป์เวทีมวยระดับโลกหลายสมัย และน้องลิซ่า ดาวค้างฟ้าที่ทำสถิติใหม่แทบจะตลอดเวลา 

แต่ สิ่งหนึ่งที่ทุกคน พูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือ สองคนนี้ คือ ตัวแทนของประเทศไทย ที่นำศิลปะและ ความเป็นไทย ออกไปเผยแพร่ให้โลกเห็น จึงนับได้ว่า สองคนนี้เป็นแม่ทัพ ของ Soft Power ประเทศไทย ตัวจริง 

ทว่า กว่าจะมาถึงจุดนี้ ทั้งสองคนก็ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างหนัก ซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับ ทุกๆ คน กับคำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น

ประโยคที่ว่า คนไทยไม่แพ้ใครในโลก เป็นจริงได้เสมอและในโลกปัจจุบัน ที่ ทุกคนสามารถเข้าถึง ศิลปะวิทยาการ ได้อย่างเต็มที่ ก็หวังว่าจะมี คนเก่งๆ มาเสริมทัพ ที่บัวขาว และน้องลิซ่า อีกมากๆ เพื่อให้ชื่อเสียงของประเทศไทยขจรกระจายไปทั่วโลก นะครับ

กับดักประเทศไทย วนเวียนสถานะ 'นักรบรับจ้าง' (ผลิต) ยาวนาน ไม่เคยอยากเปลี่ยนไปกินเนื้อ ทั้งที่ศักยภาพมีมากเกินพอ

(1 ก.ค. 67) คุณเฉลิมพร ตันติกาญจนากุล ผู้ดำเนินรายการด้านเศรษฐกิจและการลงทุน ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กสะท้อนข้อจำกัดของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลายสิบปีมานี้ ว่า...

“เราไม่ชอบกินเนื้อ แต่เราชอบแทะเม็ด”

“หนึ่งในความคิดที่เป็นข้อจำกัดของเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี คือเราไม่เคยคิดจะกินส่วนที่ดีที่สุด อร่อยที่สุด ในห่วงโซ่การผลิตของโลกเลย”

“ประเทศไทยนั้น มีความเก่งในด้านการผลิตไม่แพ้ใครนะครับ ด้วยความที่เราเป็น OEM มายาวนาน ขอแค่มีโจทย์กับคำสั่งซื้อมา ผมว่าคนไทยเราผลิตได้หมดแหละ อยากได้อะไรขอให้บอก เราสร้าง Product Champion ออกมาได้เรื่อย ๆ ตั้งแต่ข้าว, ยาง, ชิ้นส่วนรถยนต์, ฮาร์ดดิสก์, ทุเรียน, อาหารหมา-แมว บลา ๆ ๆ”

“แต่ในความดีก็มีความแย่ คือเราเป็นนักรับจ้างผลิตที่เก่งกาจและซื่อสัตย์ เราดูจะพอใจแค่หน้าที่ที่เราได้ เหมือนกินผลไม้ เราก็ชอบนั่งแทะเม็ด กินเนื้อติดเม็ด ไม่เคยอยากเปลี่ยนไปกินเนื้อ กินไก่เราก็แทะคอไก่ อย่างดีก็ปีกไก่ ไม่ได้กินน่อง หรือต่อให้อยากเปลี่ยนไปกินส่วนดี ๆ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร”

“ให้เห็นภาพชัดที่สุด ลองดูสิครับว่า คนที่ผลิตชิ้นส่วนและประกอบรถยนต์ได้เก่งที่สุดในโลกคนนึงอย่างเรา ทำไมเราไม่มีแบรนด์รถยนต์ของตัวเองเลย?”

“หรือประเทศที่ผลิตสินค้าเกษตรหลายอย่างเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก เรากลับต้องแข่งกันที่ราคาเสียเป็นส่วนใหญ่?”

“ลองดูประเทศจีนครับ จีนก็เริ่มจากการเป็น OEM แบบเรา เริ่มทีหลังเราด้วย แต่จีนทำแบบนั้นอยู่อาจจะแค่สิบกว่าปี และก็ยกระดับตัวเอง จากการผลิตสินค้า ไปผลิตแพลตฟอร์ม ผลิตแบรนด์ ผลิตเทคโนโลยี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ คือเนื้อสันใน หรือน่องไก่ ที่แพงกว่า อร่อยกว่า ทำจนมีปัญหากับเบอร์ 1 อย่างอเมริกา”

“ส่วนเราไม่เคยมีปัญหากับยักษ์ใหญ่คนไหน เพราะไม่เคยมีใครมองเราเป็นภัยคุกคามนั่นแหละ อย่างมากก็ทะเลาะกับเขมร”

“สุดท้าย ปัญหาทั้งหมดก็วนกลับมาที่รัฐ เพราะหลายสิบปีที่ผ่านมา รัฐเราไม่เคยวางแนวนโยบายแบบ 'คิดใหญ่' ที่จะพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนา Platform หรือแบรนด์ เราก็เลยต้องทำงานหนักด้วยการเป็นผู้ผลิต ที่ทั้งเหนื่อย กำไรน้อย แถมผันผวน เพราะของที่เราทำได้ดี วันนึงก็จะไม่เป็นที่ต้องการแล้ว ต้องหา Product Champion ใหม่ไปเรื่อย ๆ”

“พูดภาษาบ้าน ๆ คือรัฐ ไม่เคยวาง Career Path ของประเทศเราเองให้ชัดเลย หรือคิดในแง่ร้าย คือผู้นำเราถูกจ้างมาให้วางแผน ให้ประเทศเราเป็นพนักงานผู้ซื่อสัตย์ไปตลอดกาล”

“ถ้าเริ่มตอนนี้ แม้จะสาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำ เราต้องวาง Position ตัวเองในโลกได้แล้ว ว่าเราจะยืนตรงไหน โตไปตรงไหน แล้วหาแนวทางไปสู่เป้าหมาย ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำงานหนัก แล้วค่อยมารู้ตัวเมื่อสายว่าโลกเขาไม่ต้องการเราอีกแล้ว”

'ต่างชาติ' อวย!! ชอบทุกอย่างของประเทศไทย ยกเว้นอย่างเดียว รสชาติอาหารติดหวานไปหน่อย

เรียกได้ว่าเป็นกระทู้เรดดิทที่ได้รับความสนใจไม่น้อย เมื่อชาวต่างชาติรายหนึ่งได้ตั้งกระทู้ถึงประเทศไทยว่า ตัวเขานั้นรักทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองไทย ยกเว้นอย่างเดียวคือ ‘อาหารรสชาติหวาน’

หนุ่มเจ้าของกระทู้เล่าว่า เขาและภรรยาไปทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านแห่งหนึ่งซึ่งภรรยาเป็นคนเลือก เมื่อเดินเข้าไปในร้าน เขาก็พบในสิ่งที่รับไม่ได้อย่างแรงก็คือ ‘น้ำซุปที่หวานเกินไป’ ซึ่งเขาชอบทานก๋วยเตี๋ยวมากโดยเฉพาะพวกหมูแดง แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมร้านต้องใส่น้ำตาลจำนวนมากลงในซุปด้วย

นอกจากนั้น เมื่อพ่อค้าแม่ค้าทำแบบนี้ ยังทำให้แมลงวันบินหึ่งเต็มร้าน เวลาอ้าปากกินบะหมี่แมลงวันก็อาจจะบินเข้าปากได้ เขาจึงอยากสอบถามว่า มีใครที่ไม่ชอบอาหารรสหวานบ้าง?

สำหรับความคิดเห็นของชาวเน็ตนั้นหลากหลาย บางคนแนะนำว่าอาหารไทยไม่ได้หวานทั้งหมด ควรลองทานเมนูอื่นบ้าง บางคนก็แนะนำว่า ลองระบุในคำสั่งซื้อว่า ‘ไม่ใส่น้ำตาล’ แล้วจะเพลิดเพลินกับอาหารมากขึ้น บ้างก็บอกว่าไม่แปลกใจทำไมไทยถึงติดอันดับผู้ป่วยเบาหวานในเอเชีย

“มันไม่ได้หวานทั้งหมด ลองเมนูอื่น”

“ฉันเริ่มระบุในคำสั่งซื้อว่า ‘ไม่ใส่น้ำตาล’​ / mai sai naam-dtaan แล้วฉันก็เพลิดเพลินกับการกินบะหมี่มากขึ้น เพื่อนคนไทยบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่คนจะระบุความต้องการลงไปในคำสั่งซื้อ อย่างเช่น ไม่ใส่ผงชูรส หรือผักชี”

“ฉันว่าฉันเคยอ่านเจอเมื่อวันก่อนว่า ไทยติดอันดับผู้ป่วยเบาหวานในเอเชีย ไม่แปลกใจละ”

“ฉันก็รักประเทศไทยเช่นกัน แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ฉันได้ไปเวียดนามเป็นครั้งแรก และรู้สึกโล่งใจจริง ๆ ที่ได้กินอาหารโดยไม่ต้องใส่น้ำตาล แฟนสาวชาวไทยของฉันรู้สึกเศร้ามาก ที่ไม่มีถ้วยเครื่องปรุงอยู่ที่โต๊ะ และเมื่อเธอขอน้ำตาล ฉันคิดว่าพนักงานคงสับสนว่า เธอขอน้ำตาลเพิ่มทำไม”

📌ปักหมุด 6 บิ๊กอีเวนต์ ครึ่งหลังปี 2024 ถ้าไม่ไป ถือว่าพลาดอย่างแรง!!

เวลาผ่านพ้นไปไว เผลอแปปเดียวก็ก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังของปี 2567 ซะแล้ว ช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจจะยุ่งกับการทำงานหรือธุระต่าง ๆ ในชีวิต จนไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวสักเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร เพราะวันนี้ THE STATES TIMES ได้รวบรวมพิกัดท่องเที่ยวทั่วไทยจากเหนือจรดใต้มาไว้ให้แล้ว ขอบอกสั้น ๆ เลยว่า “ถ้าไม่ได้ไป ถือว่าพลาดอย่างแรง” ส่วนจะเป็นงานอะไร ที่ไหน จังหวัดใดบ้าง มาดูกัน!!

'แบงก์ชาติ' เผย!! สาเหตุ 'เศรษฐกิจไทย' ทำไมฟื้นช้ากว่าเพื่อนบ้าน 'พึ่งท่องเที่ยว-ภาคบริการมาก' ส่วนภาคการผลิตก็ต้องเจอจีน

(4 ก.ค. 67) Brand Inside เผยถึงสภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นช้ากว่าเพื่อนบ้าน จากคำกล่าวของ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า...

"เศรษฐกิจตอนนี้ ภาพที่อาจจะคลาดเคลื่อน ที่จะเห็นบ่อย ที่ว่า ธปท. มองเศรษฐกิจดีเกินไป ไม่เห็นความลำบากของคน มองแต่ตัวเลข ไม่รู้สึกสิ่งที่หลายกลุ่มเผชิญกันอยู่ เราก็ทราบดีว่า ศก. ไม่ได้ดีขนาดนั้น ศก. ฟื้นช้า...

"ศก. ฟื้นตัวในแง่ของภาพรวมโดยเฉลี่ยของคน ในแง่ของตัวเลข ไม่ว่าจะ GDP หรืออะไร แต่เราเข้าใจดีในการฟื้นตัวในตัวเลขรวม ตัวเลขเฉลี่ย มันซ่อนความลำบากและความทุกข์ของประชาชนไม่น้อย หลายกลุ่มด้วยกัน...

"ถ้าดูตัวเลขผ่าน ๆ ผิว ๆ รายได้เขาฟื้นแล้ว แต่จริง ๆ มันเป็นตัวเลขที่ซ่อนความลำบาก ความทุกข์ประชาชน กลุ่มอาชีพอิสระ...

"แม้รายได้กลับมา แต่มีหลุมรายได้มหาศาลระหว่างทาง รายได้หายไป จากปกติที่ควรจะได้ เขามีหลุมรายได้ ตัวเลขไม่สะท้อนความลำบากของประชาชน...

"ภาคการผลิต ทำไมประเทศไทยฟื้นช้ากว่าชาวบ้าน เพราะเราพึ่งพาท่องเที่ยวเยอะ เราพึ่งภาคบริการเยอะและท่องเที่ยวมาก ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่อื่น...

"ภาคการผลิต พวกส่งออก Sector สำคัญ ๆ เจอโครงสร้างที่หนักขึ้น Landscape การแข่งขันเปลี่ยนไปด้วย หลายเซคเตอร์เจอการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าก่อนเยอะ โดยเฉพาะจากจีน"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top