Friday, 6 June 2025
นายหัวไทร

‘สว.สายสีน้ำเงิน’ เริ่มหวั่นไหว!! บางคนถูกเรียก เป็นผู้ถูกกล่าวหา บางคนขอเป็นพยาน หลัง ‘สว.คะแนนเป็นศูนย์’ เริ่มถูก ‘ดีเอสไอ’ เรียกสอบ เผย!! ใกล้สาวไปถึงตัวการใหญ่

(1 พ.ค. 68) รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ.) แจ้งว่า หลังจากดีเอสไอ.รับคดีฟอกเงิน อั้งยี้ฮั้วการเลือก สว.ไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอ.ก็ทำงานร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอัยการมาโดยตลอด มีการแยกกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสามกลุ่ม 1.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับขบวนการจัดฮั้วในระดับนำ ซึ่งมีบุคคลระดับรัฐมนตรีเกี่ยวข้อง 3 คน และระดับนำสูงสุดอีก 1 คน และมีแกนนำระดับโซนอีกหลายคน กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนจะเรียกมาสอบสวนในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กลุ่มที่สาม บุคคลที่จะเรียกมาเป็นพยาน รวมถึงอดีตผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นศูนย์ด้วย

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ได้ทยอยเรียกพยาน และบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำอย่างต่อเนื่อง และข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดีเป็นอย่างยิ่ง รู้ถึงวิธีการจัดการทั้งหมด และคณะกรรมการสอบสวนกำลังลงลึกในรายละเอียดถึงเส้นเงินที่โยงใยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

รายงานข่าวจากดีเอสไอ.แจ้งว่า จริงๆแล้วเรื่องฮั้วเลือก สว.ดีเอสไอ.ซุ่มทำข้อมูลมานานแล้ว การเรียกพยานมาให้เพียงคำเป็นเพียงการยืนยันข้อมูลข้อเท็จจริงเท่านั้น

กล่าวสำหรับนครศรีฯ คณะกรรมการสอบสวนพุ่งเป้าพิเศษไปยังอำเภอชะอวด เนื่องจากมีตัวเลขผู้สมัครรับการเลือกเป็นสว.มากเป็นพิเศษเกือบ 300 คน และอำเภอเดียวมี สว.ถึงสองคน

มีรายงานจากดีเอสไอ.ว่า มีสว.สายสีน้ำเงิน ท่านหนึ่ง ติดต่อไปยังดีเอสไอ เพื่อขอให้ปากคำเป็นพยาน แต่ดีเอสไอยังไม่รับปาก เพราะเป็น สว.ที่อยู่ในข่ายเรียกมาสอบเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่แล้ว

วันที่ 7 พฤษภาคม คณะกรรมการสอบสวนจะเรียกพยานจากนครศรีฯมาสอบอีก 2 คน ซึ่งอาจจะรวมถึงอดีตผู้สมัคร สว.ที่มีคะแนนเป็นศูนย์ด้วย เพราะให้น่าสงสัยว่าทำไมไม่ลงคะแนนให้ตัวเอง ซึ่งดีเอสไอมีข้อมูลว่า กลุ่มขบวนการฮั้วแจ้งว่า ไม่ต้องเลือกตัวเอง จะมีผู้สมัครจากกลุ่มอื่นมาลงคะแนนให้ แต่ผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นศูนย์ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จึงไม่มีชื่ออยู่ในโพย จึงไม่มีใครเลือก

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ผลการสอบปากคำพยานที่ผ่านมาเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก นอกจากโยงใยไปถึงรัฐมนตรีบางคนแล้ว ยังมีนักการเมืองท้องถิ่นร่วมในขบวนการจัดฮั้วด้วย ซึ่งนักการเมืองท้องถิ่นจะเป็นคนจัดการในระดับจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนจะสาวไปถึงหมดทุกคน

มีข้อมูลที่น่าวิตกกังวล คือข้อมูลการให้ปากคำของพยานบางคน หลุดไปถึงมือของฝ่ายจัดฮั้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องหลุดไปจากใครคนใดคนหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อพยาน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องเปลี่ยนตัวคณะกรรมการสอบสวนบางคนที่ทำตัวเป็นไส้ศึก ที่วงใน กกต.ก็สงสัยในพฤติกรรมอยู่บ้างแล้ว ที่สำคัญในสถานการณ์นี้ดีเอสไอก็ควรจะให้การคุ้มครองพยานด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้พยานเก็บตัวเครียดอยู่คนเดียว

ถอดรหัส อนาคตการเมือง ‘ภาคใต้’ หลัง!! ‘กล้าธรรม’ ปักธงเขต 8 เมืองคอน

(31 พ.ค. 68) นายเฉลียว คงตุก อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เนชั่นทีวี เปิดเผยว่า ได้รับสายโทรศัพท์จำนวนมากสอบถามถึง #อนาคตการเมืองในภาคใต้ จะเป็นอย่างไร ยิ่งหลังพรรคกล้าธรรม ชนะการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช ยิ่งมีการสอบถามเข้ามามากยิ่งขึ้น

”ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าอนาคตการเมืองภาคใต้จะเป็นอย่างไร และทำไมถึงมีคำถามเข้ามามาก ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ตอบแบบกลาง ๆ พอได้ จึงมานั่งคิดและหารือกับพรรคพวกว่า ถ้างั้นเราจัดเสวนาดีกว่าเพื่อถอดรหัส และหาคำตอบเรื่องนี้จากผู้รู้ จากคนวงใน

โครงการจัดเสวนา 'ถอดรหัสเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ บิ๊กโอ ปักธงให้พรรคกล้าธรรมกับอนาคตการเมืองภาคใต้' จึงเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยเครือข่ายสื่อมวลชนจับตาสังคม ณ ลานเพลิน หนองนกเพา คาเฟ่ ต.เขาพังไกร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะสิ้นกระบวนความ

นายเฉลียว กล่าวอีกว่า

การเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช แทน มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย โดยก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ชนะคู่แข่งขาดลอย ชนะพ่อตา 'ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ' จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าพ่ายแพ้อย่างบอบช้ำกับคะแนนที่ได้แค่ 4000 กว่าคะแนน 'Money politic' คือปัจจัยสำคัญที่มีการกล่าวถึงทำให้พรรคกล้าธรรม ปักธงในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้กับการเลือกตั้งครั้งแรกใช่หรือไม่ แม้จะมีความพยายามรณรงค์ 'กินเหยื่อไม่กินเบ็ด' หมายถึงรับเงิน แต่ไม่เลือก แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะการเมืองนครศรีธรรมราช การเมืองในภาคใต้เปลี่ยนไปแล้ว นักเลือกตั้งผ่านหน้าบ้าน เจ้าของบ้านถามว่า “เท่าไหร่”

เมื่อก่อนถ้าพูดถึงการใช้เงินซื้อเสียง ต้องพูดถึงภาคอีสาน ภาคใต้เขาเลือกกันด้วยอุดมการณ์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่ และเริ่มเป็นมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 62 เรื่อยมา โรคร้อยเอ็ดระบาดหนักเข้าสู่ภาคใต้ในการเลือกตั้งทุกระดับ

คะแนน 39000 กว่าคะแนนของก้องเกียรติ์ น่าสนใจยิ่งว่า มาได้อย่างไร จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตัวเลขกลม ๆ 120,000 คะแนน ถ้ามาใช้สิทธิ์ 70% ก็น่าจะอยู่ที่ 70,000 คะแนน นั้นก็แปลว่า ก้องเกียรติ์ได้ไปเกินกว่าครึ่ง ทิ้งพ่อตาให้คะแนนเรี่ยดิน ทิ้งห่างพรรคประชาชนที่ได้คะแนนมาแค่ 6000 กว่าคะแนน จากการเลือกตั้งครั้งก่อนคะแนนมีอยู่ 11000 กว่าคะแนน กระแสนิยมของพรรคประชาชนถดถอยขนาดนั้นเหรอ ก็ไม่น่าจะใช่ ปัจจัยที่เป็นกระสุนดินดำ จึงน่าจะเป็นตัวชี้วัดที่มาของคะแนน เพราะพรรคกล้าธรรมก็ไม่ได้ฟรีเว่อร์อะไรนักหนา แม้ตัวผู้สมัครจะโดดเด่นในพื้นที่ก็ตาม

การปักธงแรกของพรรคกล้าธรรม จึงน่าถอดรหัสยิ่งว่า จะเป็นแนวทางในการเป็นธงนำในการเลือกตั้งครั้งต่อไป (ปี 70) หรือไม่ ในสถานการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์เจ้าถิ่นก็ป่วยติดเตียง พรรคภูมิใจไทยที่ก้าวคืบเข้าไป ก็เป็นมะเร็งร้าย พรรคประชาชาติ แกนนำหลักก็อ่อนล้าหมดเรี่ยวหมดแรง จะเป็นช่องทางให้พรรคกล้าธรรมรุกคืบไปอย่างฮึกเหิมกับความสำเร็จ หรือไม่

น่าสนใจถอดรหัส กับการเสวนา การปักธงเมืองคอนของบิ๊กโอ จะเป็นก้าวที่ฮึกเหิมของพรรคกล้าธรรมในสนามภาคใต้หรือไม่

พบกับนักการเมือง อดีตนักการเมือง นักวิชาการสายการเมือง สื่อมวลชน นายเฉลียว กล่าวถึงวิทยากรที่จะมาร่วมวงเสวนา ประกอบด้วย
 
-นิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย อดีต สส.หลายสมัยของสงขลา
-รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ อดีต สส.นครฯ พรรคพลังประชารัฐ นักวิชาการผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมือง
-อานนท์ มีศรี นักสังเกตการณ์ทางการเมือง
-พุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว ตัวแทนจากพรรคประชาชน
-สส.ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.เขต 4 สงขลา ตัวแทนจากพรรคกล้าธรรม 
-พระครูรัตนสุตากร ดร.
รองเจ้าคณะอำเภอหัวไทร เจ้าอาวาสวัดคลองแดน ต.รามแก้ว อ.หัวไทร
เป็นต้น

วันที่ 14 มิย.เสวนา ณ ลานเพลิน ร้านหนองนกเภาคาเฟ่ (บ้านสวนสจ.ละม้าย เสนขวัญแก้ว) เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป และพบกับครับ เรียนเชิญผู้สนใจทุกท่านครับ 

‘ปวิช พรหมทอง’ แต่งตัว!! ลงชิง สส.เขต 2 พัทลุง ‘พรรคกล้าธรรม’

(1 มิ.ย. 68) ผมไล่ดูในเฟซบุ๊กของพรรคพวก @ปวิช พรหมทอง กรรมการในการยางแห่งประเทศไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจ

น่าสนใจว่า ปวิช พรหมทอง ลงไปพัทลุงบ่อยครั้งในช่วงปีนี้ น่าจะมีภารกิจพิเศษที่น่าสนใจมากกว่าการลงไปปฏิบัติภารกิจในฐานบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)

พบข้อมูลว่า ปวิชลงไปแจกเอกสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า 'โฉนดต้นยาง' บอกตามตรงว่า ไม่รู้จัก เคยรู้ที่ นส.3 /โฉนด/หรือ สค.1 แต่คำว่า โฉนดต้นยาง ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน

สืบค้นพบว่า เอกสารโฉนดต้นยางเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ขออนุญาตนำเรียนว่าด้วยความไม่รู้จึงไปสืบค้นผ่าน 'ปัญญาประดิษฐ์' หรือ AI ด้วยการเสิร์ชหาผ่าน Chat GPT พบข้อมูลที่น่าจะพออธิบายคำว่า 'โฉนดต้นยาง' ซึ่งแตกต่างจากโฉนดเพื่อการเกษตร ที่แปลงโฉมมาจาก สปก.4-01

อธิบายความอย่างนี้จากข้อมูลผ่าน Chat GPT พบว่า คำว่า 'โฉนดต้นยาง' อาจหมายถึงเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับ ต้นยางพารา หรือ ที่ดินที่ปลูกต้นยาง แต่ในกฎหมายไทย ไม่มีเอกสารชื่อว่า 'โฉนดต้นยาง' โดยตรง ดังนั้นคำนี้อาจมีความหมายในบริบทใดบริบทหนึ่งต่อไปนี้:

1. โฉนดที่ดินที่ปลูกต้นยางพารา
• เป็นโฉนดที่ดิน (น.ส.4) ที่เจ้าของใช้ปลูกสวนยาง
• ใช้เป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ปลูกต้นยาง
• สามารถนำไปใช้ค้ำประกันกู้เงินจากธนาคารหรือกองทุนต่าง ๆ ได้

2. ทะเบียนต้นยางพารา (เอกสารขึ้นทะเบียนสวนยาง)
• เอกสารที่กรมส่งเสริมการเกษตร หรือการยางแห่งประเทศไทย ออกให้เมื่อเกษตรกรไปแจ้งขึ้นทะเบียนต้นยาง
• ใช้ประกอบการขอรับเงินสนับสนุน หรือเงินช่วยเหลือจากรัฐ เช่น โครงการประกันรายได้
• ไม่ใช่โฉนด แต่เป็นหลักฐานแสดงการครอบครองและดูแลต้นยาง

3. ใบรับรองหรือสัญญาซื้อขายต้นยาง
• หากเป็นกรณีซื้อขายต้นยางโดยเฉพาะ เช่น ขายยางก้อนถ้วยหรือขายต้นยางที่ตัดแล้ว อาจมีใบสัญญาหรือใบรับรองแยกต่างหาก
• เอกสารเหล่านี้ใช้ในการค้ายางหรือขอสินเชื่อในรูปแบบที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร

แต่ข้อมูลที่พบปรากฏว่า ปวิช พรหมทอง เดินทางไปแจก โฉนดต้นยาง ในจังหวัดพัทลุง โซนเหนือแบบถี่ยิบ ผิดสังเกต เช็กข้อมูลพบว่า ปวิช กับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มีบทบาทสำคัญในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น่าจะร่วมกันผลักดันนโยบายโฉนดต้นยาง เพื่อให้เกษตรกรใช้เอกสารนี้เข้าถึงแหล่งทุน

ฟังดูแล้วน่าจะยังพื้น ๆ แต่เช็คลงไปในเชิงลึกพบว่า พรรคกล้าธรรม ที่มี รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานที่ปรึกษา กำลังเปิดเกมรุกในภาคใต้ หลัง บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ปักธงให้กล้าธรรม ในการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช

ปวิช พรหมทอง ถูกวางตัวให้ลงสมัคร สส.พัทลุง เขต 2 ในนามพรรคกล้าธรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่แปลกที่ปวิช ปรากฏตัวในจังหวัดพัทลุงบ่อยครั้งหนึ่งในช่วง 3-4 เดือนมานี้

ปวิช เป็นคนพัทลุง เคยเป็นสมาชิกสภาเขต ในย่านห้วยขวาง เขาก็มีฐานเสียงอยู่ไม่น้อยย่านป่าพะยอม ควนขนุน เขามีประวัติที่น่าสนใจไม่น้อยกับการแทรกตัวเข้าไปในสนามการเมืองระดับชาติ

ดวงเมืองคอน กับ ปรากฏการณ์ข่าวน่าละอาย  สส.ทำร้ายประชาชน!! กระทืบนักธุรกิจ

(3 มิ.ย. 68) ปรากฏการณ์ข่าวใหญ่ในเมืองนครศรีฯ “สส.คนดังเมืองนครศรีฯกร่าง กระทืบนักธุรกิจ” นั้นคือหัวข่าวเบื้องต้น

ต่อมานักข่าวในพื้นที่ และสื่อสังคมออนไลน์สืบค้นพบว่า คนก่อเหตุน่าจะเป็น “แทน-ชัยชนะ เดชเดโช” และคณะ ส.อบจ. อันเป็นการก่อเหตุในงานอุปสมบทลูกชายนายกฯอบต.ควนพัง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีฯ

ปฐมเหตุเกิดจากการนั่งร่วมโต๊ะอาหารระหว่างทีมของ สส.แทน กับเสี่ยเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง และมีการพูดคุยกันถึงศึกเลือกตั้งนายกฯอบต.ควนพัง ในการเลือกตั้งปลายปี 2568 

แน่นอนว่า การเมืองต้องมีการแข่งขัน และกำลังมีการฟอร์มทีมใหม่ เพื่อลงแข่งกับนายกฯปัจจุบัน ที่สนิทชิดเชื้อกับ สส.แทน จึงมีการเอื้อนเอ่ยเชิงขอร้องไม่ให้มีการส่งทีมลงแข่ง แต่คู่สนทนาที่กำลังฟอร์มทีมสู้ปฏิเสธข้อเรียกร้อง

สุราเม…ออกอาการ เมื่อการพูดคุยไม่รู้เรื่อง ฝ่ามือ 1 ฉาด จึงพุ่งตรงเข้าหน้าของคู่สนทนา และลุกลามถึงขั้นลากไปกระทืบหลังเวทีตามข่าว

กรณีที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดกล้าวิจารณ์ พยานในงานบวชก็พากันเงียบกริบ แต่เกิดมวยคู่เอกปรากฏขึ้น “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่า เป็นคู่กรณี และคนรู้จัก รวมทั้งอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในอนาคตก็ออกโรงขย่ม สส.แทนทันที ทั้งเรื่องจริยธรรม คุณธรรม คดีอาญายอมความไม่ได้ รับอาสาเป็นทนายความให้เหยื่อ เรียกร้องให้โอนคดีให้กองปราบปรามทำแทนตำรวจในพื้นที่ 

แม้คู่กรณีของ สส.แทนจะถอนแจ้งความในวันเดียวกันกับวันแจ้งความ โดยให้เหตุผลว่าเข้าใจผิด แน่นอนว่า ต้องเกิดจากเหตุไม่ปกติแน่นอน เพราะก่อนหน้านั้น มีข่าวสับสนว่า แจ้งความแล้วยังถูกข่มขู่ให้ถอนแจ้งความ ระดับผู้การฯบอกว่า ไม่มีการแจ้งความ แต่หลักฐานหลุดมาจนได้ “ใบแจ้งความ ใบถอนแจ้งความ” ส่วน สส.แทน ปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่

ผมสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองคอน เกิดเหตุร้าย เหตุให้ละอาย เหตุภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง จึงไปสืบค้นข้อมูลที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอต่อจากข่าวนี้
ใครทำอะไรผิด หรือฝ่าฝืนจารีต ถึงทำให้เมืองนครศรีฯตกต่ำ ไม่เจริญก้าวหน้า

คำถามที่ว่าทำไมเมืองนครศรีธรรมราช “ถึงตกต่ำ” หรือ “ไม่เจริญก้าวหน้า” นั้นเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน และอาจมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างสังคม รวมถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ เช่นเรื่อง “ดวงเมือง” ที่คุณพูดถึง ซึ่งคนในพื้นที่บางกลุ่มก็มีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ต่อไปนี้คือ สาเหตุที่คนทั่วไปหรือกลุ่มนักวิชาการ–นักไสยศาสตร์บางส่วน มองว่าอาจเกี่ยวข้องกับความถดถอยของเมืองนครศรีธรรมราช

 1. ความเชื่อเรื่อง “ลบหลู่ดวงเมือง”
มีความเชื่อในหมู่ชาวนครบางส่วนว่า:
• มีการเปลี่ยนแปลง/เคลื่อนย้าย/ปรับปรุงบริเวณศาลหลักเมือง หรือพระบรมธาตุเจดีย์ โดยไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกฤกษ์
• มีบุคคลบางกลุ่มในอดีต “ไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือทำพิธีกรรมผิดขั้นตอน
เช่น ความเชื่อว่าถ้ามีผู้ปกครองที่ “ไม่ถูกโฉลกกับดวงเมือง” เมืองจะเจอภัยพิบัติ เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการเมืองวุ่นวาย

 2. การเมืองภายในจังหวัดที่แตกแยก
• เมืองนครศรีธรรมราชมีประวัติความขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่นยาวนาน
• การแข่งขันระหว่างกลุ่มการเมือง/นักธุรกิจ/ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น อาจทำให้การพัฒนาเมืองล่าช้า หรือไม่ยั่งยืน

 3. โครงสร้างพื้นฐานไม่ทันยุค
แม้เมืองนครฯ จะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ในบางมุมเมืองยังมี:
• ระบบคมนาคมที่ไม่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่
• ระบบบริการสาธารณะที่ไม่ทันสมัยเท่าเมืองอื่น ๆ ในภาคใต้ เช่น ภูเก็ตหรือสุราษฎร์ฯ

 4. การเปลี่ยนผ่านด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
• หลังยุคบูมของ “จตุคามรามเทพ” (ราวปี 2549–2550) เมืองมีความหวังใหม่ด้านเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ
• แต่เมื่อความเชื่อเหล่านั้นถูกมองว่า “กลายเป็นเชิงพาณิชย์” ความศักดิ์สิทธิ์ก็เสื่อมลงในสายตาของบางคน
• บางกลุ่มจึงมองว่าดวงเมือง “อ่อนแรง” เพราะความศรัทธาเสื่อม

 5. ปัญหาเชิงระบบ
• การกระจายอำนาจไม่เพียงพอ: งบประมาณพัฒนาท้องถิ่นมีจำกัด
• การศึกษาหรือนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น

สรุป:
ไม่มีใคร “ทำผิดคนเดียว” ที่จะทำให้เมืองนครศรีธรรมราชตกต่ำหรือไม่ก้าวหน้า
แต่ปัจจัยร่วมกันทั้ง คนในเมือง, การบริหารท้องถิ่น, โครงสร้างอำนาจ และ ความเชื่อ/ศรัทธา ล้วนมีบทบาท
เมื่อศึกษาค้นคว้าลึกลงไปจะพบว่า….

ดวงเมืองนครศรีธรรมราชมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์และผู้สถาปนาเมืองนครศรีธรรมราช พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมของเมือง

การสถาปนาเมืองและดวงเมือง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสถาปนาเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1830 หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลาย โดยมีการกำหนดดวงเมืองในวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมืองนี้เป็นการวางรากฐานทางจิตวิญญาณและการปกครองของเมือง

การส่งเสริมพระพุทธศาสนา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงเป็นผู้ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และทรงจัดระเบียบการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและหลักธรรมทางศาสนา 

ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับดวงเมือง
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชยังถูกผูกโยงกับความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพที่ชาวนครศรีธรรมราชเคารพนับถือ การสร้างเสาหลักเมืองและการกำหนดดวงเมืองจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและความเชื่อทางศาสนา

สรุป
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชถูกผูกโยงอย่างแน่นแฟ้นกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผ่านการสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมือง และการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเมืองที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน 
จริงๆมีข้อมูลมากเกี่ยวกับดวงเมืองนครศรีธรรมราช กับปรากฏการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการวางรากฐานทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ ศาสนา กับการเมืองการปกครอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top